วิชามโนมยิทธิ ทางลัดสู่พระนิพพาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย มันไม่แน่, 3 กรกฎาคม 2014.

  1. มันไม่แน่

    มันไม่แน่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +7,956

    วิชามโนมยิทธิ เป็นหลักสูตรทางพระพุทธศาสนา
    ทางด้านวิชชา ๓ กึ่งอภิญญา
    คำว่ามโนมยิทธิ แปลว่ามีฤทธิ์ทางใจ เป็นวิชาที่
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) นำมาสอน

    จุดประสงค์
    เพื่อให้คนได้พิสูจน์พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
    ในเรื่อง นรก สวรรค์ พรหม พระนิพพาน เป็นสิ่งที่มีจริง
    เป็นจริง เป็นการตัดตัววิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
    ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นการละ
    สังโยชน์ข้อที่ ๒ ในสังโยชน์ ๑๐

    คนที่ฝึกได้สามารถใช้จิตหรืออทิสมานกาย ท่องเที่ยว
    ไปตามภพภูมิต่างๆ ได้เมื่อเขาไปเห็นแดนอบายภูมิ
    เห็นโทษจากการละเมิดศีล เขาก็จะตั้งใจและรักษาศีล
    ได้บริสุทธิ์ เป็นการละสังโยชน์ข้อที่ ๓ คือสีลัพพตปรามาส

    คนที่ฝึกมโนมยิทธิได้ การทรงอารมณ์พระโสดาบัน
    จะได้ผลอย่างรวดเร็วเพราะพระโสดาบันตัดสังโยชน์
    ได้ ๓ ข้อ คือ สักกายะทิษฐิ, วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส
    และพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ท่านกล่าวไว้ว่า
    สักกายะทิษฐิของพระโสดาบันคือ คิดว่าตัวเราจะต้องตายแน่
    และให้นึกถึงความตายอยู่เสมอ คิดว่าเราอาจจะตายวันนี้
    พรุ่งนี้ จะได้ไม่ประมาทในชีวิต

    การฝึกมโนมยิทธินั้น สิ่งสำคัญจุดหนึ่งก็คือ ตัวลังเลสงสัย
    เพราะเป็นนิวรณ์ คือเครื่องกั้นความดี ถ้าคุณยังสงสัยอยู่
    ฝึกเท่าไหร่ก็ไม่มีทางได้ คนที่จะฝึกได้
    ต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์ จิตละนิวรณ์ได้ขณะฝึก ตัดตัวอยากรู้
    อยากเห็น ความสงสัยทั้งหลาย

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านกล่าวว่าผู้มาฝึกให้ทำตัวแบบ
    คนโง่ไปก่อน ครูฝึกเขาแนะนำอย่างไรก็ทำอารมณ์จิต
    พิจารณาตามครูสอนถ้าคิดว่าตัวเองฉลาดก็จะคิดโน่น
    สงสัยนี่ อารมณ์สมาธิก็เกิดยาก เพราะมัวคิดฟุ้งซ่าน

    ส่วนใหญ่ครูฝึกก็จะแนะนำให้พิจารณาขันธ์ ๕ ว่ามัน
    เป็นทุกข์อย่างไร ร่างกายคนเรามันไม่มีอะไรดี มีแต่สิ่ง
    สกปรก และมันก็มีความเสื่อมสลายไปทุกวัน
    ไม่ช้าก็เจ็บป่วย และตายในที่สุด เป็นตัววิปัสนาญาณ
    ถ้าเราทำอารมณ์ได้ตามที่ครูฝึกแนะนำ จิตของเรา
    ก็จะผ่องใสถ้าเคลื่อนจิตไปได้แล้ว ภาพที่ปรากฏ
    จะชัดเจนแจ่มใสตามกำลังจิตของแต่ละคน
    การเห็นการสัมผัสด้วยจิตจะไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับ
    ศีล อารมณ์สมาธิและวิปัสนาญาณ ของแต่ละคน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      95.7 KB
      เปิดดู:
      239
  2. มันไม่แน่

    มันไม่แน่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +7,956

    คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิสำหรับนักปฏิบัติใหม่
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    วัตถุประสงค์ของการฝึกมโนมยิทธิ

    เพื่อให้นักปฏิบัติทุกท่าน พิสูจน์พระธรรมคำสั่งสอน
    ขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ว่า นรก สวรรค์ พรหม นั้นมีจริงหรือไม่ พระนิพพานสูญ
    จริงหรือ และเป็นการปฏิบัติทางลัดให้เข้าสู่พระนิพพาน
    ได้โดยเร็วขึ้น ไม่ใช่ฝึกเพื่อความสนุกสนานหรือเพื่อ
    เป็นการโอ้อวดบุคคลอื่นหรือเพื่อไปเป็นหมอดูให้ชาวบ้าน

    จุดประสงค์ให้ทุกท่านตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน
    โดยเริ่มเป็นพระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์
    นักปฏิบัติทุกท่านควรศึกษา สังโยชน์ 10 และบารมี 10
    ให้เข้าใจ และอารมณ์ของพระอริยเจ้า
    ตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงปลาย ฉะนั้นนักปฏิบัติเมื่อได้แล้ว
    ควรฝึกฝนให้ชำนาญทุกอิริยาบถ
    โดยกำหนดจิตของตนไปเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์
    ขององค์สมเด็จพระชินวรอยู่เป็นประจำ

    การวางอารมณ์ ขณะเวลาปลอดเสียง

    1. ตัดความกังวลห่วงใยใดๆ ทั้งหลายให้หมดสิ้น
    และตั้งจิตแผ่เมตตาไปในจักรวาลทั้งปวง
    ตั้งจิตไว้ว่า เราจะไม่เป็นศัตรูกับใคร มนุษย์
    และสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย
    รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน

    2. กำหนดรู้ลมหายใจ เข้า ออก พร้อมทั้งพิจารณา
    ว่าเราเกิดมาเพื่อตาย ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
    ร่างกายนี้เป็นของสกปรก ไม่เที่ยง เป็นปัจจัยของ
    ความทุกข์ทั้งหลายและเสื่อมสลายไปในที่สุด
    ดินแดนที่มีความสุขอมตะ คือ พระนิพพาน
    ให้จิตจับพระนิพานเป็นอารมณ์

    3. เมื่อพิจารณาจนจิตสบายแล้ว ก็ใช้คำภาวนาว่า
    “นะ มะ พะ ธะ” พร้อมกับกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก
    เวลาหายใจเข้าว่า “นะ มะ” เวลาหายใจออกว่า “พะ ธะ”
    ภาวนาแบบสบายๆ อย่าบังคับให้ช้าหรือเร็วเกินไป
    (เมื่อรู้สึกอึดอัดให้หายใจเข้าช้าๆ หายใจออกช้าๆ 3-4 ครั้ง
    ก็จะหายเอง)

    เมื่อหมดเวลาปลอดเสียงแล้ว ถ้าครูเข้าไปให้คำแนะนำ
    ขอให้นักปฏิบัติหยุดภาวนา วางอารมณ์เบาๆ
    แบบสบายๆ อย่าปักอารมณ์ สมาธิให้แน่นจะเสียผล
    ตั้งใจฟังคำแนะนำ และปฏิบัติโดยพิจารณาตามไปด้วยทันที
    (ตั้งใจพิจารณาให้เห็นจริงด้วยปัญญา)

    เมื่อจิตสามารถเคลื่อนตัวได้แล้วการตอบคำถามให้ตอบ
    ตามความรู้สึกสัมผัสทางจิตก่อน มิใช่ เอาตาไปเห็น
    หรือ เอาหูไปฟังเสียง ถ้าครูถามว่ามีความรู้สึกว่าเห็นอะไร
    ความรู้สึกของจิตแรกว่าอย่างไรให้ตอบอย่างนั้นทันที
    อย่าไปลังเลสงสัย

    ถ้ามีอารมณ์ไม่แน่ใจ อารมณ์ลังเลสงสัยที่มาขวางอยู่
    ท่านบอกว่าเป็นอารมณ์เลวที่กั้นความดี มาขวางอยู่
    นักปฏิบัติควรศึกษาให้เข้าใจ และตัดอารมณ์สงสัย
    ให้หมดไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...