ติดตามสถานะการณ์

Surviving Earth Changes 2013 and Beyond ได้แชร์ลิงก์ผ่าน HawkkeyDavisChannel

ลูกเห็บขนาดใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น
Massive Hailstorm In Japan...

<iframe width="640" height="390" src="//www.youtube.com/embed/Y0rkYwMSWmQ" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

 

คนไทย รักในหลวง

ญี่ปุ่นทำหนังอภิมหาสึนามิมาให้ชาวโลกชมกัน 5.17 นาที. ชมดูค่ะ ถ้าเกิดจริงๆในบ้านเราแบบนี้เราจะทำอย่างไรกันควรคิดเตรียมตัวกันเถิด Japanese Tsunami | The Mother Wave:

<iframe width="640" height="390" src="//www.youtube.com/embed/k8IAgUNr6x4" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

 

Kaokala Fc

...น้ำใจสุดยอดเลยค่ะ



24 มิ.ย. มะกันทึ่งร้านอาหารไทย ลุยน้ำท่วม40กม. ส่งอาหารถึงมือ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากรัฐอลาสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ว่า สื่อนอกแห่ตีข่าวนายอนุสรณ์ พูลสวัสดิ์ หรือ น็อตเจ้าของร้านอาหารไทยชื่อว่า น็อตส์ เทค เอ้าท์ อิน นอร์ท โพลในเมืองนอร์ท โพล รัฐอลาสกาของสหรัฐ บุกบั่นฝ่าน้ำท่วมที่เขตเคลียร์ ครีก เพื่อส่งอาหารไทยให้ลูกค้า ที่รถกำลังติดหล่มอยู่บนทางหลวงริชาร์ดสัน ทั้งที่ร้านอยู่ไกลราว 40 กิโลเมตร

ลูกค้าทั้งสองมีชื่อว่า นายไมค์ ไลที และนายแบรนดอน บอร์เจนส์ ขับรถมาอลาสกาโดยใช้เส้นทางหลวงดังกล่าวมาเป็นเวลาหลายวันจนกระทั่งวันเสาร์ที่ผ่านมา รถของพวกเขาเกิดติดหล่มเพราะฝนที่ตกลงมาอย่างหนักจนน้ำท่วมสูง ไม่สามารถขยับไปที่ใดได้ ทั้งนี้ สำนักงานคมนาคมของอลาสกาเองก็ตัดสินใจปิดสะพานที่อยู่บริเวณเขตเคลียร์ ครีกอีกด้วย
นายไลทีกล่าวว่า ตอนที่พวกเขาเห็นนายอนุสรณ์มาส่งอาหาร นายอนุสรณ์อยู่ในสภาพถกขากางเกงขึ้นสูง ลุยน้ำที่เย็นจัดและสูงระดับก้นมาเรื่อยๆ เทินกล่องอาหารไว้บนศีรษะ จนกระทั่งนายไลทีได้รับอาหารซึ่งข้างในบรรจุซี่โครงทอดรสบาร์บีคิว ข้าวผัด และไข่ลูกเขย นอกจากนี้ นายอนุสรณ์จะมาส่งอาหารแล้วเขายังช่วยนายไลทีและนายแบรนดอนออกไปจากบริเวณน้ำท่วมอีกด้วย ทำให้ทั้งคู่ประทับใจและขอบคุณในความมีน้ำใจ รวมทั้งอาหารไทยสุดอร่อยที่นายอนุสรณ์ทำ

มะกันทึ่งร้านอาหารไทย ลุยน้ำท่วม40กม. ส่งอาหารถึงมือ - Nation TV

 

นาซ่าเตรียมความพร้อมในการสังเกตการณ์ดาวหาง Siding Spring ผ่านดาวอังคาร 2557 Last Updated on Friday, 13 June 2014 16:56

ในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้นาซ่าได้มุ่งความสนใจไปที่ดาวหางที่จะเข้าเฉียดผ่านดาวอังคารในวันที่ 19ตุลาคม 2557 ซึ่งจะเป็นวันที่ดาวหาง C/2013 A1 Siding Springจะเข้าใกล้ดาวอังคารในระยะที่ใกล้กว่าดาวหางดวงใดๆ ที่เคยถูกบันทึกไว้ว่าเฉียดผ่านโลกถึง 10 เท่า



ภาพของดาวหาง C/2013 A1 Siding Spring ที่จับภาพไว้ได้โดย ภารกิจ NEOWISE ของนาซ่า ซึ่งดาวหางดวงนี้จะเฉียดเข้าใกล้ดาวอังคารในวันที่ 19 ตุลาคม 2557 นี้ จากภาพถ่ายในช่วงคลื่นอินฟราเรดเผยให้เห็นดาวหางที่มีความเคลื่อนไหวและเต็มไปด้วยฝุ่นแม้ว่ามันจะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ถึงประมาณ 355ล้านไมล์ (571 ล้านกิโลเมตร) ในขณะที่ถ่ายภาพนี้เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2557 : Image credit: NASA/JPL-Caltech

นับเป็นเป็นโอกาสที่ดีที่ยานอวกาศที่ทำการอยู่ที่ดาวอังคารจะสามารถสังเกตนิวเคลียสดาวหาง Siding Spring ในช่วงที่มันจะผ่านเข้าใกล้ดาวอังคารมากที่สุดที่ระยะประมาณ 86,000 ไมล์ (138,000 กิโลเมตร) นอกจากนี้ยังมีโอกาสเล็กน้อยที่อนุภาคฝุ่นจากนิวเคลียสของดาวหางจะเป็นอันตรายต่อยานอวกาศในวงโคจรดาวอังคารในช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งในตอนนี้เราอาจจะยังไม่ทราบระดับของความเสี่ยงที่ชัดเจน แต่นาซ่าก็ได้เริ่มเตรียมพร้อมมาตรการที่เป็นไปได้ในการศึกษาและป้องกันผลกระทบจากดาวหางดวงนี้แล้ว

Rich Zurekหัวหน้าคณะนักวิทยาศาสตร์โครงการสำรวจดาวอังคารจากห้องทดลอง Jet Propulsion Laboratory(JPL)ของนาซ่า ได้กล่าวว่า “เรามีแผนในการใช้ยานอวกาศที่ปฏิบัติงานบนดาวอังคารสังเกตการณ์ดาวหาง Siding Springโดยจะประสานงานร่วมกับหน่วยภาคพื้นในการวางแผนการหลบหลีกและป้องกันตัวเองจากผลกระทบของดาวหาง ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น”

ดาวหาง Siding Springมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า C/2013 A1 ถูกค้นพบเมื่อวันที่ 3มกราคม 2556 โดยหอดูดาว Siding Spring Observatoryของออสเตรเลีย ซึ่งขณะนี้ดาวหางยังอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากกว่าระยะห่างของดาวพฤหัสบดี การสังเกตการณ์อีกประการหนึ่งคือการที่นักวิทยาศาสตร์จาก JPL และจากที่อื่นๆ จะมีการคำนวณเส้นทางการเคลื่อนที่ของดาวหางหลังจากการเหวี่ยงตัวผ่านดาวอังคาร ซึ่งจะช่วยเพิ่มความรู้เกี่ยวกับเส้นทางโดยประมาณของดาวหาง โดยนิวเคลียสของดาวหาง Siding Springนี้จะเฉียดเข้าใกล้ดาวอังคารถึงประมาณหนึ่งในสามของระยะห่างระหว่างโลกกับดวงจันทร์

ดาวหางพร้อมเข้าเฉียดใกล้ดาวอังคารแล้ว

ในการสังเกตการณ์ดาวหาง Siding Springมีการวางแผนที่จะใช้เครื่องมือต่างๆบนพื้นโลก บนวงโคจรโลก บนพื้นโลก บนพื้นและวงโคจรดาวอังคาร รวมถึงโครงการอื่นๆที่ยังดำเนินการอยู่ ไม่ว่าจะเป็น กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล ภารกิจ NEOWISE ที่จะทำการสังเกตการณ์ดาวหางตั้งแต่เริ่มพบผู้มาเยือนจากหมู่เมฆออร์ตดวงนี้ จะมีการศึกษาขนาดของอนุภาคฝุ่น และปริมาณที่ถูกปล่อยออกจากดาวหาง เพื่อเป็นการศึกษาถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับยานอวกาศในวงโคจรดาวอังคาร จากภาพถ่ายในช่วงคลื่นอินฟราเรดเผยให้เห็นดาวหางที่มีความเคลื่อนไหวอย่างมากและปกคลุมไปด้วยอนุภาคฝุ่น ทั้งที่มันยังอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์กว่าสามในสี่เท่าของระยะห่างระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวพฤหัสบดี ในส่วนของหอสังเกตการณ์ภาคพื้นดิน และอุปกรณ์ในการสังเกตการณ์ของนาซ่า เช่น กล้องโทรทรรศน์อินฟราเรด ก็คาดว่าจะเริ่มเข้าร่วมสังเกตการณ์ในช่วงที่ดาวหางเข้าสู่ตำแหน่งที่เหมาะสมในการสังเกตการณ์

และเมื่อถึงเวลาดาวหางเข้าใกล้ดาวอังคาร ก็จะมีการระดมทุกเครื่องมือในการสังเกตการณ์ของนาซ่าเพื่อทำการศึกษาผู้มาเยือนจากดินแดนอันห่างไกลของระบบสุริยะดวงนี้

“เราจะศึกษาเกี่ยวกับนิวเคลียส รูปร่าง การหมุน ของดาวหาง รวมทั้งพื้นที่บนพื้นผิวของมันที่มีสีเข้มกว่าบริเวณอื่นๆ” Zurekกล่าว



ภาพแสดงเส้นทางการเคลื่อนที่ของดาวหาง Siding Spring : Image credit: NASA/JPL-Caltech

ในการนี้นักวิจัยจะได้รับประสบการณ์จากความพยายามในการใช้ยานอวกาศบนดาวอังคารสังเกตการณ์ดาวหางที่แตกต่างกัน เช่น ดาวหาง ISON (ชื่ออย่างเป็นทางการคือ C/2012 S1) ที่เดินทางเข้าใกล้ดาวอังคารเช่นเดียวกัน แต่ก็มีระยะห่างจากดาวอังคารที่มากกว่าดาวหาง Siding Springถึงประมาณ 80เท่า อีกข้อแตกต่างหนึ่งของดาวหางทั้งสอง คือหลังจากดาวหาง ISON ผ่านเข้าใกล้ดาวอังคารแล้ว มันก็ยังคงมุ่งหน้าเข้าสู่ระบบสู่ระบบสุริยะชั้นในต่อไปอีกประมาณสองเดือน และปรากฏให้นักดูดาวบางส่วนมองเห็นมันได้ด้วยตาเปล่าเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่มันจะเดินทางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์และสลายตัวไปในที่สุด ส่วนดาวหาง Siding Springนั้นมันจะเดินทางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้นอีกเพียงหกวันหลังจากผ่านเข้าใกล้ดาวอังคาร ซึ่งมันจะไม่ปรากฏตัวให้เห็นในท้องฟ้าบนโลก และเมื่อมันผ่านออกนอกระบบสุริยะไปในครั้งนี้แล้ว มันจะไม่โคจรกลับเข้าสู่ระบบสุริยะชั้นในอีกในช่วงเวลาราวหนึ่งล้านปี

ในช่วงที่ภาพดาวหางเคลื่อนที่เข้ามาในระยะใกล้ดาวอังคาร คาดว่ากล้อง High Resolution Imaging Science Experiment (HiRISE)บนยานอวกาศ Mars Reconnaissance Orbiter(MRO) ขององค์การนาซ่า อาจจะสามารถถ่ายภาพนิวเคลียสของดาวหางที่มีความละเอียดหลายสิบพิกเซลได้ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงที่ HiRISEสังเกตการณ์ดาวหาง ISON นั้นสามารถถ่ายภาพของนิวเคลียสของ ISON ได้ในขนาดไม่ถึงหนึ่งพิกเซลเท่านั้น เพราะสำหรับดาวหาง ISON แล้วมันไม่สว่างพอที่จะสามารถสังเกตการณ์ได้จากกล้องถ่ายภาพใดๆที่บนยานที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ที่ดาวอังคาร นับได้ว่าในกรณีดาวหาง Siding Springน่าจะเป็นโอกาสที่ดีมากที่ในการสังเกตการณ์ดาวหาง

สำหรับบนภาคพื้นดาวอังคารก็ยังจะมีกล้องของยานโรเวอร์ Curiosityที่อาจจะนำมาใช้การสังเกตดาวตกที่จะมองเห็นได้บนดาวอังคาร และด้วยลักษณะทางเรขาคณิตของการเคลื่อนที่ผ่านดาวอังคารของดาวหางจะทำให้มีดาวตกที่มองเห็นได้ในเวลากลางวันมากกว่ากลางคืน ซึ่งการสังเกตการณ์ปริมาณดาวตกที่มองเห็นได้นี้จะเป็นตัวช่วยบ่งชี้ถึงความหนาแน่นของปริมาณอนุภาคภายของดาวหางได้อีกทางหนึ่ง

“การตรวจสอบอีกประการหนึ่งคือ การศึกษาว่าอนุภาคที่ตกลงสู่ดาวอังคารมีผลกระทบอะไรกับบรรยากาศชั้นสูงของดาวอังคารบ้าง” Zurek กล่าว “พวกมันอาจทำให้เกิดความร้อนและการขยายตัวของชั้นบรรยากาศชั้นบน ไม่ต่างจากผลกระทบของพายุฝุ่นบนดาวอังคาร” ในการสังเกตการณ์นี้อาจจะใช้อุปกรณ์ Infrared-sensingบนยานอวกาศ Mars Reconnaissance Orbiterและยาน Odyssey เป็นอุปกรณ์ในการเฝ้าสังเกตการณ์ผลกระทบดังกล่าว

การประเมินอันตรายที่อาจเกิดกับยานที่ปฏิบัติภารกิจในวงโคจรดาวอังคาร
ลักษณะอย่างหนึ่งที่ดาวหาง Siding Spring และดาวหาง ISON มีเหมือนกันคือ เราไม่สามารถทำนายได้ว่ามันจะสว่างขึ้นแค่ไหนในช่วงหลายเดือนก่อนมันจะเคลื่อนที่ผ่านดาวอังคาร ซึ่งระดับความสว่างของดาวหาง Siding Spring ในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้จะเป็นตัวบ่งชี้ว่ามันจะเป็นอันตรายต่อยานอวกาศที่ปฏิบัติงานบนดาวอังคารหรือไม่

“มันเร็วเกินไปกว่าที่เราจะทราบได้ว่าดาวหาง Siding Spring จะเป็นภัยคุกคามยานอวกาศของเรา มันอาจเป็นการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่ หรือไม่ก็มีอะไรเกิดขึ้นเลย หรือเป็นอะไรที่อยู่ระหว่างทั้งสองอย่างนั้นก็ได้” Soren Madsenหัวหน้าคณะวิศวกรโครงการสำรวจดาวอังคารของ JPL กล่าว

ตอนนี้เราทราบเรื่องของเส้นทางเรื่องของนิวเคลียสดาวหางค่อนข้างดีแล้ว แต่เรื่องสำคัญที่เรายังไม่ทราบคือ ปริมาณฝุ่นที่ดาวหางปล่อยออกมา และลักษณะทางเรขาคณิตของส่วนหัวและหางของดาวหาง

ในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม ดาวหางจะเริ่มเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น ผิวหน้าของดาวหางจะมีความเคลื่อนไหว มีการเปลี่ยนแปลงสถานะของน้ำแข็งและแก๊สแข็งที่ผิวหน้าดาวหางปลดปล่อยอนุภาคฝุ่นออกมาจากนิวเคลียสของดาวหางจะมากขึ้นจนสามารถปกคลุมบริเวณโดยรอบของดาวอังคารในช่วงเดือนตุลาคม

“เราจะเฝ้าดูว่าในเดือนเมษายนและพฤษภาคมดาวหาง Siding Spring จะมีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง” Madsen กล่าว “ถ้าหากสัญญาณเตือนถึงอันตรายเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม มันก็อาจสายเกินไปที่จะวางแผนในการรับสถานการณ์ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงเตรียมการกันล่วงหน้าตั้งแต่ตอนนี้”

สองกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงที่ยานโคจรรอบดาวอังคารจะได้รับคือ จะมีการนำยานอวกาศในวงโคจรไปหลบไว้ด้านหลังของดาวอังคารในช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงสูง และอีกวิธีหนึ่งคือ ทำการหันส่วนของยานที่ติดตั้งอุปกรณ์ที่เปราะบางต่อความเสียหายออกให้พ้นจากแนวอันตรายจากอนุภาคจากดาวหาง”

ในส่วนยานโรเวอร์ที่ปฏิบัติงานอยู่บนพื้นดาวอังคารนั้น แม้ว่าชั้นบรรยากาศของดาวอังคารจะเบาบาง แต่น่าจะเพียงพอที่จะปกป้องอันตรายจากฝุ่นของดาวหางที่จะมีต่อยานโรเวอร์สองลำบนพื้นผิวดาวอังคารได้

ปัจจุบันมียานอวกาศที่โคจรรอบดาวอังคารสามลำที่ยังปฏิบัติงานอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ ยาน Mars Reconnaissance Orbiter (MRO),ยาน Mars Odysseyและยาน Mars Expressนอกจากนี้ยังมีอีกสองลำที่ถูกส่งออกจากโลกในปี 2556 ที่จะเข้าสู่วงโคจรของดาวอังคารก่อนที่ดาวหาง Siding Springจะเคลื่อนที่ผ่านดาวอังคารประมาณสามสัปดาห์ คือ ยาน Mars Atmosphere and Volatile Evolution (MAVEN) ขององค์การนาซ่า และยาน Mars Orbiter Missionของอินเดีย

การออกแบบยานอวกาศนั้นจะมีต้องมีการคำนึงถึงความเสี่ยงจากการชนกับฝุ่นและอนุภาคต่างๆในอวกาศอยู่แล้ว ซึ่งการชนส่วนใหญ่มักจะไม่สร้างความเสียหายต่อภารกิจ โดยที่ยานอวกาศจะมีการออกแบบอุปกรณ์ที่ใช้ป้องกันชิ้นส่วนที่บอบบางต่อความเสียหายให้ปลอดภัย ตลอดระยะเวลากว่าห้าปีของภารกิจยานสำรวจดาวอังคาร นาซ่ามีเปอร์เซ็นต์ความเสียหายที่มีนัยสำคัญจากการชนของอนุภาคที่เรามักเรียกว่าอุกาบาตเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และไม่ว่าจะระดับความเสี่ยงของผลกระทบจากดาวหาง Siding Spring อาจจะมีอันตรายมาก ซึ่งอาจมากมากกว่าสิบเท่าของระดับปกติ ในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงต่างๆของดาวหางที่จะเกิดขึ้นนั่นเอง เนื่องจากดาวหางดวงนี้จะโคจรรอบดวงอาทิตย์ในทิศทางที่เกือบตรงข้ามกับดาวอังคารและดาวเคราะห์ดวงอื่น นิวเคลียสและอนุภาคฝุ่นที่มันปล่อยออกมาจะเดินทางด้วยความเร็วประมาณ 35ไมล์ต่อวินาที (56 กิโลเมตรต่อวินาที) เมื่อเทียบกับยานโคจรรอบดาวอังคาร นั่นเท่ากับว่ามันมีความเร็วมากกว่ากระสุนปืนไรเฟิลแรงสูง หรือสองถึงสามเท่าของความเร็วของการชนของการพุ่งชนของสะเก็ดดาวพื้นหลัง

การเตรียมการรับมือ

ถ้าผู้จัดการเลือกที่จะนำยานบนวงโคจรดาวอังคารไปหลบหลังดาวอังคารระหว่างช่วงที่มีความเสี่ยงสูงสุด สิ่งที่ตามมาคือจะต้องมีความก้าวหน้าในยุทธศาสตร์ของการปรับโคจรจะต้องเกิดขึ้น ที่จะต้องใช้พลังงานให้น้อย ความก้าวหน้าของการปฏิบัติการเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับอีกทางเลือกหนึ่งด้วยเช่นกัน นั่นคือการหันเหทิศทางของยานอวกาศเพื่อรักษาอุปกรณ์ที่เปราะบางต่อความเสียหายให้พ้นจากอันตรายจากอนุภาคฝุ่นจากดาวหาง ซึ่งการหันยานไปในทิศทางที่ปลอดภัยเช่นนี้จะเป็นหนึ่งในวิธีการที่จะรักษาอำนาจในการสื่อสารไว้ได้

“ผลความเปลี่ยนแปลงของดาวหางที่จะเกิดขึ้นนี้ต้องการการทดสอบจำนวนมาก” Madsen กล่าว “เราจะต้องมีการเตรียมการอีกมากที่จะต้องทำในตอนนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของพวกเรา ในกรณีที่เราทราบได้ว่าการเคลื่อนที่ผ่านดาวอังคารของดาวหางในเดือนพฤษภาคมจะเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายได้”

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเคลื่อนผ่านของดาวอังคารของดาวหาง Siding Springได้ที่เว็บไซต์ http://mars.nasa.gov/comets/sidingspring/

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรมการสำรวจดาวอังคารได้ที่เว็บไซต์ http://mars.jpl.nasa.gov


เรียบเรียงโดย นายภาณุ อุบลน้อย เจ้าหน้าที่สารสนเทศดาราศาสตร์
แหล่งที่มา NASA Preparing for 2014 Comet Watch at Mars

http://www.jpl.nasa.gov/news/news.php?release=2014-026

http://www.narit.or.th/index.php/astronomy-news/1363-siding-spring

 

“ปธน. อาร์เจนตินา” ไม่ยอมทำตามศาลสูงสหรัฐฯ สั่งจ่ายหนี้เต็มจำนวน ทั้งที่ “เฮดจ์ฟันด์สหรัฐฯ” กว้านซื้อไว้ถูกกว่าครึ่ง โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 มิถุนายน 2557 18:41 น.


*ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา คริสตินา เฟอร์นันเดซ เคิร์ชเนอร์

เอเจนซีส์ - ศาลสูงสหรัฐฯตัดสินในวันจันทร์(16)ที่จะไม่พิจารณาการยื่นอุทธรณ์ของอาร์เจนตินาต่อกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ที่เป็นเจ้าหนี้ เป็นผลทำให้ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา คริสตินา เฟอร์นันเดซ เคิร์ชเนอร์ ประกาศผ่านจอทีวีที่จะไม่ส่งมอบประเทศให้กับสิ่งที่เธอเรียกว่า “Vulture Fund” หรือกลุ่มบริหารการเงินที่หาผลกำไรจากประเทศที่ประสบวิกฤตทางการเงินเกือบล้มละลาย ในขณะที่บีบีซีรายงานเมื่อวานนี้(17)ว่า ทางIMFเตือนอาร์เจนตินาระวังจะได้รับผลกระทบในวงกว้างจากการแพ้คดีในสหรัฐฯ

ในวันจันทร์(16) ศาลสูงสหรัฐฯพิพากษาให้อาร์เจนตินาต้องจ่ายกลุ่มเจ้าหนี้เฮดจ์ฟันด์มูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ และทำให้ IMFส่งสัญญาณเตือนว่า จะกระทบเอาร์เจนตินาป็นวงกว้างอย่างเป็นระบบ ในขณะที่บริษัทจัดเรตติงความน่าเชื่อถือการเงิน S&P ได้ลดระดับความน่าเชื่อถือของอาร์เจนตินาลงจาก CCC+ เหลือ CCC- พร้อมกับเตือนว่า คำพิพากษาศาลสูงสหรัฐฯเหมือนได้ชี้ว่าอาร์เจนตินาไม่มีความสามารถจ่ายหนี้ได้

“อาร์เจนตินามีความสามารถด้านการเงินจำกัดในการจ่ายคืนเจ้าหนี้ในขณะที่ยังต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับหนี้ปัจจุบันของประเทศ” S&Pกล่าว และจากการถูกลดการจัดอันดับความน่าเชื่อถือทำให้อารเจนตินาต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นในการขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากแหล่งการเงินระหว่างประเทศ

ทางด้านรัฐมนตรีเศรษฐกิจของอาร์เจนตินา แอ็กเซิล คิซิลลอฟ เปิดเผยว่า รัฐบาลอาร์เจนตินาจะเริ่มกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้กฏหมายอาร์เจนตินา เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงที่จะทำตามคำพิพากษาศาลสหรัฐฯ ในการแถลงข่าว คิซิลลอฟกล่าวว่า วิธีนี้จะทำให้อาร์เจนตินายังคงสามารถทำตามข้อตกลงที่ได้ให้ไว้กับเหล่าเจ้าหนี้

และคิซิลลอฟยังเสริมว่า เขาจะส่งทีมกฏหมายไปสหรัฐฯเพื่อเจรจากับผู้พิพากษาโธมัส กรีซา (Thomas Griesa) เจ้าของคดี

ทั้งนี้ศาลสูงสหรัฐฯปฎิเสธพิจารณาคำขออุทธรณ์จากอาร์เจนตินาต่อคำสั่งที่บังคับให้แดนฟ้าขาวต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนมูลค่าตราสารหนี้ที่ทางกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ได้เหมาซื้อไว้หลังจากที่อาร์เจนตินาประสบวิกฤตเศรษฐกิจถึงขั้นล้มละลายเมื่อ 13 ปีก่อนหน้านี้ โดยอาร์เจนตินาอ้างว่าตราสารเหล่านี้ถูกซื้อไว้ในราคาที่ถูกมากหลังจากที่ประเทศประสบปัญหาทางเศรษฐกิจในปี 2001 ซึ่งบรรดาเหล่าเจ้าหนี้ได้ยื่นฟ้องเพื่อต้องการบังคับให้อาร์เจนตินายอมจ่ายเงินเต็มจำนวน

นอกจากหนี้บรรดาเจ้าหนี้ที่เป็นผู้ถือตราสารหนี้ต่างได้รับชัยชนะจากผลคำพิพากษาในสิทธิที่สามารถใช้ศาลสหรัฐฯในการบังคับอาร์เจนตินาให้เปิดเผยแหล่งทรัพย์สินซ่อนอยู่ทั่วโลก และทำให้บรรดาเจ้าหนี้สามารถหาทางเรียกเงินคืนจากอาร์เจนตินาได้ง่ายขึ้น

ในขณะเดียวกัน นิวสวึครายงานเมื่อวานนี้(17)ว่า แหล่งข่าวใกล้ชิดของบริษัทการเงินระดับหมื่นล้าน กลุ่มเฮดจ์ฟันด์ อีเลียต แมเนจเมนต์ คอร์ป ที่มีฐานในนิวยอร์ก เปิดเผยว่า “ทางอาร์เจนตินายังไม่ได้ติดต่ออีเลียต” โดยอีเลียต แมเนจเมนต์ คอร์ป (Elliott Management Corp) ภายใต้การบริหารของ พอล ซิงเกอร์ พยายามติดต่ออาร์เจนตินาหลายครั้งเพื่อขอให้มีตั้งโต๊ะเจรจา แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ และไม่มีเคยมีข้อตกลงอย่างเป็นทางการ

โดยอาร์เจนตินาเคยกล่าวว่าจะไม่มีวันจ่ายหนี้ตราสารที่ทางบริษัทถืออยู่ และได้ผ่านกฎหมายห้ามการจ่ายหนี้คืนบริษัทไม่ว่ากรณีใดๆ นอกจากนี้แหล่งข่าวยังเปิดเผยต่อว่า “ในวันจันทร์(16)ประธานาธิบดีอาร์เจนตินาไม่ได้ประกาศว่าจะไม่มีการเจรจาเพื่อหาข้อยุติ แต่เธอดูเหมือนแข็งกร้าวมาก และยากมากที่จะตีความจากสิ่งที่เธอพูด”

และแหล่งข่าวเปิดเผยว่าจะรอการให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาร์เจนตินาที่ได้ให้สัมภาษณ์ในค่ำวันอังคาร์(17)เพื่อดูว่า ทิศทางรัฐบาลของอาร์เจนตินาจะทำอย่างไรต่อไป


* พอล ซิงเกอร์ ผู้บริหารกลุ่มเฮดจ์ฟันด์อีเลียต แมเนจเมนต์ คอร์ป (Elliott Management Corp)

 

“กลุ่มเฮดจ์ฟันด์สหรัฐฯ” เดินหน้าเก็บแต้มต่อ หลัง “ปธน.อาร์เจนตินา” ยอมเปิดเจรจาเป็นครั้งแรก โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 มิถุนายน 2557 15:16 น.



* (ซ้าย) พอล ซิงเกอร์ จากบริษัทอีเลียต แมเนจเมนต์ คอร์ป (ขวา) ประธานาธิบดีอาร์เจตินา คริสตินา เฟอร์นันเดซ เคิร์ชเนอร์ และ (ล่าง) วิกฤตการเงินครั้งใหญ่ของอาร์เจนตินาในปี 2001

เอเจนซีส์ - กลุ่มเฮดจ์ฟันด์ที่มีตราสารอาร์เจนตินาอยู่ในมือ เช่น บริษัทอีเลียต แมเนจเมนต์ คอร์ป และบริษัทออเรอุส แคปปิตอล แอลพี อยู่ในสถานะถือแต้มเหนือกว่าจากคำพิพากษาของศาลสูงสหรัฐฯในวันจันทร์(16) ประกาศให้อาร์เจนตินาต้องจ่ายเงินมูลค่า1.3 พันล้านดอลลาร์เต็มจำนวนตามตราสาร ถึงแม้อาร์เจนตินาอ้างว่ากลุ่มเฮดจ์ฟันด์ได้กว้านซื้อในราคาเสี้ยวหนึ่งของราคาจริงในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจประเทศ และเมื่อวานนี้(18)ประธานาธิบดีอาร์เจตินา คริสตินา เฟอร์นันเดซ เคิร์ชเนอร์ ยอมอ่อนข้อรับเปิดเจรจาเป็นครั้งแรก

วอลสตรีท เจอร์นัล สื่อสหรัฐฯรายงานในวันพฤหัสบดี(19)ว่า บริษัทแกรเมอร์ซี ฟันด์ส แมเนจเมนต์ แอล แอลซี (Gramercy Funds Management LLC )ในปีนี้ทำกำไรจากการขายตราสารส่วนใหญ่ของรัฐบาลอาร์เจนตินาที่ซื้อมาในปี 2007 แหล่งข่าวใกล้ชิดเปิดเผยกับวอลสตรีท เจอร์นัล

ทางบริษัทแกรเทอร์ซีได้ขายไปก่อนที่จะมีการพิพากษาจากศาลสูงสหรัฐฯในวันจันทร์(16)ที่ส่งผลร้ายแรงต่ออาร์เจนตินา โดยศาลสูงสหรัฐฯปฎิเสธที่จะพิจารณาคำขออุทธรณ์ของอาร์เจนตินาที่ถูกสั่งให้ต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนแก่เจ้าหนี้ และไม่อนุญาตให้มีการปรับโครงสร้างหนี้หลังจากวิกฤตล้มละลายของประเทศในปี 2001

ส่งผลทำให้ในวันพุธ(18)รัฐบาลอาร์เจนตินาดูมีท่าทีที่อ่อนลง และยอมเปิดโต๊ะเจรจากับกลุ่มเจ้าหนี้เฮดจ์ฟันด์จากสหรัฐฯ

สื่อสหรัฐฯรายงานว่า ทั้งอีเลียต แมเนจเมนต์ คอร์ป (Elliott Management Corp) และออเรอุส แคปปิตอล แมเนจเมน แอลพี (Aurelius Capital Management LP) ที่สามารถทำกำไรจากการลงทุนในอาร์เจนตินา ได้ฟ้องร้องให้อาร์เจนตินาจ่ายคืนเต็มจำนวนมักจะขัดแย้งกับแกรเมอร์ซีเสมอในเรื่องนี้

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ อาร์เจนตินาได้ประกาศที่จะไม่มีการเจรจากับกลุ่มเฮดจ์ฟันด์เจ้าหนี้ และประธานาธิบดีอาร์เจตินา คริสตินา เฟอร์นันเดซ เคิร์ชเนอร์ แถลงในวันจันทร์(16)ว่า ความพยายามของเจ้าหนี้เฮดฟันด์สหรัฐฯที่จะบีบให้อาร์เจนตินาต้องจ่ายเงินเปรียบเสมือน “การกรรโชกทรัพย์”

แกรเมอร์ซี ฟันด์ส แมเนจเมนต์ ที่มีฐานอยู่ในกรีนวิช รัฐคอนเนตทิคัต ถือตราสารของอาร์เจนตินามูลค่าอย่างน้อย 400 ล้านดอลลาร์ในเดือนกุมภาพันธ์ล่าสุดก่อนที่จะได้เทขายออกไป อ้างตามบันทึกของศาล ในขณะที่อีเลียต แมเนจเมนต์ได้ฟ้องรัฐบาลอาร์เจนตินาร่วม 2.5 พันล้านดอลลาร์ และออเรอุส แคปปิตอลได้ฟ้องอีกร่วม1.5 พันล้านดอลลาร์ รายงานจากบันทึกของศาล และพบว่ามีตราสารมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ที่ถือโดยบริษัทเฮดจ์ฟันด์ได้รับผลกระทบจากคำสั่งศาลสูงสหรัฐฯ

ซึ่งทำให้เห็นถึงความต่างในกลยุทธของบริษัทเฮดจ์ฟันด์จากอเมริกาแต่ละแห่งที่ได้หาผลประโยชน์ในอาร์เจนตินาที่ได้รับผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจโลก และต้องล้มละลายเมื่อปี 2001จากหนี้ร่วม 1,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นมูลค่าหนี้รัฐบาลสูงสุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ และบริษัทเฮดจ์ฟันด์ต่างชาติที่ได้ไล่กว้านซื้อตราสารอาร์เจนตินาไว้ด้วยราคาที่ถูกได้รอคอยเวลาที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เต็มจำนวน

“ถ้าหากคุณได้ดีลเหมือนอย่างที่อีเลียตกำลังได้รับ คุณสามารถทำเงินได้อย่างมหาศาลมากกว่านั้น แต่ไม่ใช่เช่นว่าได้ซื้อทิ้งไว้เมื่อหลายปีก่อนแต่ไม่สามารถทำผลกำไรได้เลย” วารัน โกเซน (Varun Gosain )ผู้ก่อตั้งร่วมบริษัทคอนสเตลเลชัน แคปปิตอล แมเนจเมนต์ แอลแอลซี (Constellation Capital Management LLC ) ที่อยู่ในการซื้อขายตราสารอาร์เจนตินานับตั้งแต่ปี 2001 ในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ในครั้งนั้นตราสารรัฐบาลอาร์เจนตินาถูกซื้อขายในราคาที่ต่ำมากแค่ 18 เซนต์ต่อราคาเต็ม 1ดอลลาร์ ในช่วงหลังจากเกิดวิกฤตแล้ว

ในวันพุธ(18)ตราสารอาร์เจนตินาที่ครบอายุในปี 2033 ได้เพิ่มขึ้นถึง 75 เซนต์ต่อ 1ดอลลาร์ จากราคา71.5 เซนต์ก่อนหน้านี้ อ้างอิงจากข้อมูลของเทรดเดอร์ โดยตราสารพวกนั้นให้ผลตอบแทนราว 11.9% จากก่อนหน้านี้ 12.6% ในเช้าวันพุธ(18) เป็นเพราะผลตอบแทนของตราสารอยู่ในทิศทางตรงข้ามกับราคาที่อีเลียต แมนเนจเมนต์ และออเรอุส แคปิตอลถืออยู่ในมือมูลเต็มจำนวนที่ 100 เซนต์ต่อ 1 ดอลลาร์รวมถึงดอกเบี้ยทวีคูณที่ค้างจ่ายมานานหลายปี

บริษัทเฮดจ์ฟันด์ยักษ์ใหญ่ทั้งสองแห่งนั้นโดดเด่นอยู่ในโลกของการลงทุนซื้อขายหนี้เน่าช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลก เพราะบริษัททั้งสองแห่งนี้สามารถที่จะลากประเทศที่ล้มละลายทางการเงินและไม่ยอมชำระตราสารหนี้ขึ้นสู่ศาลได้

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มีบริษัทลงทุนหลักทรัพย์ในโลกนี้น้อยมากที่จะกล้าเสี่ยงเช่นสองบริษัทนี้ และทำให้เปิดโอกาสให้ทั้งอีเลียตและออเรอุสสามารถช้อนซื้อตราสารรัฐบาลประเทศที่ประสบวิกฤตเศรษฐกิจในราคาถูกที่เหมือนได้เปล่า ซึ่งการซื้อประเภทนี้ต้องใช้ระยะเวลาในการรอรับผลตอบแทนคืน และส่วนมากไม่สามารถที่จะขอรับได้เต็มมูลค่าตราสาร

อีเลียตแมเนจเมนต์นั้นอยู่ภายใต้การบริหารของพอล ซิงเกอร์ (Paul Singer) โดยทางบริษัทเริ่มซื้อตราสารอาร์เจนตินาในปี 2004 ที่คาดว่าต้องทำเงินให้กับทางบริษัทมากกว่านี้ โดยอาร์เจนตินาได้หว่านล้อมให้ผู้ถือตราสาร76% ในปี 2005 เพื่อแลกกับตราสารหนี้ฉบับใหม่ที่มีมูลค่าน้อยกว่าครึ่งที่ผู้ถือเคยครอบครองอยู่แต่เดิม โดยผู้ถือตราสารมูลค่า 18พันล้านดอลลาร์ ที่รวมถึงอีเลียตปฎิเสธที่จะทำตาม และทางบริษัทเริ่มฟ้องร้องอาร์เจตินาเพื่อบังคับให้จ่ายหนี้เต็มวงจำนวน

แกรมาซีเข้าสู่ตลาดในปี 2007 ซึ่งบริษัทนี้เป็นของโรเบิร์ต คูนิซแบร์ก (Robert Koenigsberge) ที่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลประชานิยมของเคิร์ชเนอร์ และได้ช่วยจัดการในการแลกเปลี่ยนตราสารหนี้ที่เดิมมีมูลค่า 10 พันล้านดอลลาร์เป็นตราสารหนี้ใหม่มูลค่าราว 3 พันล้านดอลลาร์แทน และเป็นอีกครั้งที่อีเลียตได้ถือตราสารไว้เฉกเช่นเดียวกับออเรอุสที่เริ่มซื้อตราสารหนี้อาร์เจนตินาในปี 2007

มาร์ค โบรดสกี (Mark Brodsky) ผู้ก่อตั้งออเรอุสทำงานให้กับอีเลียตนาน 9ปีก่อนที่จะแยกตัวออกมาเปิดบริษัทเองในปี 2005 และปี 2011 โบรดสกีที่เป็นอดีตมือกฏหมายได้ต่อสู้ทางคดีกับรัฐบาลไอริชจากตราสารผิดนัดชำระหนี้ (defaulted bond) ที่เขาถือไว้ในมือจากการซื้อธนาคาร Allied Irish Banks PLC ของไอร์แลนด์ ที่ถือเป็น 1ใน4ยักษ์ใหญ่ของธนาคารพาณิชย์ที่นั่น และได้ถูกรัฐบาลไอร์แลนด์เปลี่ยนให้กลายเป็นธนาคารของรัฐและปรับโครงสร้าง ออเรอุสได้ยอมตกลงหลังจากการใต่สวนผ่านไป 2 สัปดาห์ และไม่ปรากฎชัดว่าทางออเรอุสสามารถทำกำไรได้หรือไม่

คำพิพากษาในวันจันทร์(16)ถือเป็ยชัยชนะของทั้งซิงเกอร์และโบรดสกี แต่พวกเขายังจิบแชมเปญจ์ไม่ได้จนกว่าอาร์เจนตินาจะได้ตกลงจ่ายคืนหนี้ให้ครบตามสัญญา แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดเผยตบท้าย

 

ต้องขออภัยท่านสุกิจSukit ด้วยนะคะ

ในคลิปยูทูบนั้น ไม่ใช่ประเทศญี่ปุ่นทำหนังออกมานะคะ
ฉากที่เห็น มาจากในหนังเรื่อง "แฮอุนแด มหาวินาศมนุษยชาติ" หนังจากเกาหลีคะ ลองหามาชมกันได้คะ หนังสนุกมากและให้ข้อคิดหลายอย่างมากค่ะ

 

ไม่ควรประมาท

ดูลิงค์นี้แล้วอะไรๆ ก็อาจจะเกิดขึ้นได้

https://www.youtube.com/watch?v=wTlTRvayn_w

 

In & Outside World



super-17
หนูกลายพันธุ์ ในประเทศอังกฤษ จาก17 หมู่บ้าน ยาวขนาด 60 ซม ทนทานต่อยาพิษ อัตราการเพิ่มขึ้น 2:1 ปลายปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 80,000,000-160.000.000 ตัว
(สัตว์ ก็ต้องปรับตัวปรับสภาพ ตามสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป)

 

เป็นเรื่อง! รัสเซียจับมือจีน ประกาศ “เลิกใช้เงินดอลลาร์” ซื้อขายพลังงาน “ปูติน” ชี้ โลกหันหลังให้ US เพราะทำตัวกร่าง โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 มิถุนายน 2557 08:21 น.



*ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซีย

เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์- “กาซปรอม” ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของรัสเซียประกาศยกเลิกการใช้ “เงินดอลลาร์สหรัฐฯ” ในการซื้อ-ขายพลังงานกับบริษัทของจีน เตรียมจับมือรัฐบาลปักกิ่งใช้เงินสกุล “รูเบิล” และ “เงินหยวน” แทนในตลาดพลังงาน ด้าน “วลาดิมีร์ ปูติน” ผู้นำรัสเซียระบุ ทั่วโลกกำลังหันหลังให้อเมริกา เพราะ “ทำตัวกร่าง”





รายงานข่าวล่าสุดจากกรุงมอสโกของรัสเซียยืนยันว่า บริษัท “กาโซวายา โปรมีชเลนนอสต์” หรือชื่อย่อที่รู้จักกันทั่วไปว่า “กาซปรอม” ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของรัสเซีย ซึ่งครองตำแหน่งผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของโลก ประกาศในคืนวันพฤหัสบดี (26) ยกเลิกการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในทางบัญชีอย่างสิ้นเชิง โดยจะเริ่ม "นำร่อง" ใช้วิธีการนี้กับกรณีที่มีการติดต่อซื้อขายด้านพลังงานกับรัฐบาลจีนหรือบริษัทเอกชนของจีนก่อน โดยเตรียมหันมาใช้เงินรูเบิลของรัสเซีย และเงินหยวนของจีน เป็นสื่อกลางในการซื้อขายก๊าซธรรมชาติอย่างเต็มตัว

อังเดร ครูกลอฟ ประธานบริหารฝ่ายการเงินของกาซปรอมออกมาแถลงที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทในกรุงมอสโก โดยระบุว่า การตัดสินใจเลิกใช้เงินดอลลาร์ในการซื้อขายก๊าซธรรมชาติครั้งนี้ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วจากผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งต่างเชื่อมั่นว่า “การยุติบทบาทของเงินดอลลาร์ในตลาดพลังงาน” จะไม่ส่งผลกระทบทางลบใดๆต่อทั้งบริษัท รวมถึงรัฐบาลรัสเซียและจีน โดยคาดว่า การหันมาใช้เงินรูเบิลและเงินหยวนแทนนั้น จะสามารถเริ่มดำเนินการได้อย่างเต็มรูปแบบภายใน 1 ปี หรืออย่างช้าไม่เกิน 2 ปี

ด้านวิกตอร์ ซุบคอฟ ประธานใหญ่ของกาซปรอมออกมาประกาศว่า การยกเลิกใช้เงินดอลลาร์อเมริกันในการซื้อขายด้านพลังงานถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดนับตั้งแต่ที่กาซปรอมก่อตั้งกิจการเมื่อปี 1989 และคาดหวังว่า จะมีการหันไปใช้เงินตราสกุลอื่นๆ เป็นสื่อกลางในตลาดพลังงานโลกมากขึ้นในอนาคต

“นี่คือข่าวที่น่ายินดีที่สุดนับตั้งแต่ที่กาซปรอมเปิดตัวสู่ตลาดพลังงานโลกเมื่อปี 1989 ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า การลดบทบาทของเงินดอลลาร์ ถือเป็นเรื่องที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ และในอนาคต บทบาทของเงินตราสกุลอื่นในตลาดพลังงานมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น” วิกตอร์ ซุบคอฟ ประธานใหญ่ของกาซปรอมกล่าวต่อผู้สื่อข่าว

ขณะที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เวลานี้สถานะและความน่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริกาในเวทีโลกกำลัง “เสื่อมถอย” ลงอย่างมาก และการเสื่อมถอยที่ว่านี้ เป็นผลพวงโดยตรงจากการที่รัฐบาลอเมริกัน “ทำตัวกร่าง” และมีพฤติกรรมแทรกแซงประเทศต่างๆทั่วโลกเพียงเพื่อ “ปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง” พร้อมย้ำว่า การตัดสินใจของกาซปรอมในการเลิกใช้เงินดอลลาร์เป็นสื่อกลางทางบัญชีครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของ “บทเรียนล้ำค่า” อีกหลายบทเรียนที่สหรัฐฯกำลังจะได้รับ และเป็นสัญญาณเตือนว่า ทั่วโลกกำลัง “หันหลังให้อเมริกา”

ก่อนหน้านี้รัสเซียและจีนเพิ่งบรรลุข้อตกลงประวัติศาสตร์ที่มีการลงนามเมื่อ 21 พฤษภาคม โดยตามข้อตกลงดังกล่าวระบุว่า สาธารณรัฐประชาชนจีน ดินแดนที่ได้ชื่อว่ามีขนาดของเศรษฐกิจ “ใหญ่ที่สุดในเอเชีย” และยังเป็นชาติที่มีการ “บริโภคพลังงาน” มากเป็นลำดับต้นๆของโลก ตกลงสั่งซื้อก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียในวงเงินมหาศาลคิดเป็นเงินไทยราว “12.95 ล้านล้านบาท”

โดยที่ข้อตกลงดังกล่าวนี้ ครอบคลุมการส่งมอบก๊าซธรรมชาติจากแดนหมีขาวสู่แดนมังกรนานถึง 30 ปีเต็ม และกาซปรอมจะทำหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดส่งก๊าซธรรมชาติให้กับทางไชน่า เนชันแนล ปิโตรเลียม (CNPC) ที่อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลจีนในปริมาณ “38,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี”


*วิกตอร์ ซุบคอฟ ประธานใหญ่ของกาซปรอม

http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9570000072332 — กับ Phongmanus Chanthiwong


รายงานสถานการณ์รอบโลก/นอกโลก



"โลกที่เรารู้จัก" อาจมาถึงจุดสิ้นสุดในวันที่ 14-16 กรกฎาคม, 2014...
"BRICS ความร่วมมือที่เกิดขึ้นใหม่ของกลุ่มนานาชาติ ใกล้ที่จะจะเปิดตัวธนาคารกลางแห่งใหม่"

กับความพยายามในการสร้างระบบธนาคารใหม่ที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับ FED สร้างกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือธนาคารโลก?
เขาจะสร้างมันด้วย BRICS

David Wilcock เขียนไว้ว่า...
"เมื่อธนาคาร BRICS เปิดตัวพร้อมอย่างเต็มที่เมื่อไหร่ ... ขั้นตอนถัดไปที่จะเกิดขึ้นจะนำไปสู่การจับกุมครั้งใหญ่ เขาเชื่อว่าฝ่ายมืดที่มีอิทธิพลรู้เรื่องนี้ดี และนี่คือเหตุผลที่เราจะมองเห็นความบ้าคลั่ง การดิ้นรนเคลื่อนไหวจนนาทีสุดท้าย ที่จะพยายามที่จะเปลี่ยนเกม ... "
ธนาคารที่เกิดขึ้นใหม่นี้จะเป็นสัญลักษณ์ที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจการเงินทั่วโลก ที่ครอบงำเศรษฐกิจโลกมาอย่างยาวโดยสหรัฐอเมริกาและยุโรปผ่านกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลก ...

ผู้นำของบราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีนและแอฟริกาใต้ คาดว่าจะลงนามในสนธิสัญญาที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการของธนาคารใหม่ เมื่อพวกเขาเตรียมพบกันในการประชุมสุดยอด BRICS ในบราซิล ในวันที่ 15 กรกฏาคมนี้.....

หลังฟุตบอลโลกจบการแข่งขัน...
จะมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้นที่บราซิลอีกเรื่องนึงครับ
แต่ต่างมิติก็บอกว่า กองทุน BRICS ยังไม่ใช่ปรากฎการณ์ของระบบการเงินโลกที่แท้จริง...ยังจะมีความเปลื่ยนแปลงที่มั่นคง โปร่งใส ยุติธรรมและยั่งยืนกว่า ให้เราได้เห็นกันอีกนะครับ....

The “World as we Know It” comes to an end, July 14-16, 2014. Part 1/2… “BRICS emerging nations close to launching bank” | Kauilapele's Blog

http://www.abs-cbnnews.com/business/05/30/14/brics-emerging-nations-close-launching-bank

ที่มา https://www.facebook.com/photo.php?fbid=796718807018700&set=gm.1506985456179839&type=1&theater

 

รายงานสถานการณ์รอบโลก/นอกโลก ได้แชร์ลิงก์



น่าประหลาดใจเมื่อเห็นเด็กอายุ 7 ขวบ ปั้นมุนษย์หิมะในปลายเดือนมิถุนายน(ช่วงฤดูร้อน) ที่เมือง Mörrum ทางภาคใต้ของของสวีเดน โดยทางด้านหน่วยงานกรมอุตุนิยมวิทยา SMHI ของสวีเดนรายงานว่า ในช่วงวันที่ 26-27 ที่ผ่านมา สภาพอากาศทางภาคใต้ของสวีเดนมีอากาศอบอุ่นสลับหนาว จนมีพายุลูกเห็บ และพร้อมหิมะตกลงมาอย่างหนัก ซึ่งไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน

น่าประหลาดใจเมื่อเห็นมุนษย์หิมะ ในปลายเดือนมิถุนายน(ช่วงฤดูร้อน) | สถานการณ์ภัยพิบัติ

 

รายงานสถานการณ์รอบโลก/นอกโลก ได้แชร์ลิงก์

อุตุนิยมวิทยาโลก(WMO) ย้ำปรากฏการณ์ เอล นิโญ เกิดแน่ปลายปี 57 เตือนรบ.ระวัง วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557



อุตุนิยมวิทยาโลก(WMO) ย้ำปรากฏการณ์ เอล นิโญ เกิดแน่ปลายปี 57 เตือนรบ.ระวัง ภัยแล้ง-ไฟป่า ผลผลิตการเกษตรตกต่ำในอินเดีย อินโดฯและออสเตรเลีย

โดยทาง WMO ได้เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (26 มิย.) ว่ามีโอกาสเป็นไปได้ถึง 80% ที่จะเกิดปรากฏการณ์ เอล นิโญ ในช่วงเดือนตุลาคมปีนี้ - พฤษภาคมปีหน้า และ เป็นไปได้ถึง 60% ที่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้จะเริ่มเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนสิงหาคม โดยคาดการณ์ว่าความรุนแรงสุดๆ จะเกิดขึ้นในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายน 2557 - เดือนมกราคม 2558 และจะเข้าสู่ภาวะปกติกลางปีหน้า 2558


ปรากฏการณ์เอล นิโญ ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกบริเวณเส้นศูนย์สูตรอุ่นขึ้นและลมสินค้าเกิดการเปลี่ยนทิศจะทำให้เกิดฝนตกหนัก และภาวะแห้งแล้งในหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยปรากฏการณ์นี้มีวงรอบการเกิดในช่วงทุก 2-7 ปี ครั้งล่าสุดที่โลกเผชิญกับปรากฏการณ์เอล นิโญ คือระหว่างเดือนมิถุนายน 2552-พฤษภาคม 2553

ระหว่างการเกิดปรากฏการณ์เอล นิโญ เกษตรกรในหลายประเทศจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จากภาวะแห้งแล้งรุนแรง หรือฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมพื้นที่การเกษตร

ดับเบิลยูเอ็มโอ ประเมินว่าเอล นิโญจะทำให้ประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย และ ออสเตรเลีย มีภาวะแห้งแล้งรุนแรงขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะผลผลิตการเกษตรลดลง และ เพิ่มโอกาสที่จะเกิดไฟป่าขึ้นในพื้นที่ของประเทศ ขณะที่ประเทศในบริเวณตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก และ ทวีปอเมริกาใต้จะเผชิญกับภาวะฝนตกหนักมากขึ้น ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมและดินถล่ม

มีสัญญาณเตือนการเกิดเอล นิโญ ในพื้นที่เสี่ยงต่อผลกระทบของปรากฏการณ์นี้ เช่นการเข้าสู่ฤดูมรสุมของอินเดีย ล่าช้าออกไปนานถึง 5 วัน และมีฝนตกน้อยกว่าปกติในช่วงฤดูฝน ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลถึงปริมาณผลผลิตทางการเกษตรในอินเดียว่ามีแนวโน้มลดลง ทำให้ราคาอาหารปรับเพิ่มสูงขึ้น

ในอินโดนีเซียเริ่มมีความกังวลกันว่าสภาพอากาศแห้งอาจก่อให้เกิดไฟป่ารุนแรงขึ้น แม้จุดเริ่มต้นของไฟป่าจะมาจากการที่เกษตรกรเผาป่าเพื่อปรับใช้เป็นพื้นที่เกษตร ที่ผ่านมาไฟป่าในพื้นที่ทางตะวันตกของเกาะสุมาตราในอินโดนีเซียนั้นทำให้เกิดกระแสหมอกควันเข้าปกคลุมบรรยากาศของประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของพลเมืองในประเทสเพื่อนบ้าน ทั้งยังลุกลามกลายเป็นประเด็นร้อนทางการทูตระหว่างอินโดนีเซียกับเพื่อนบ้าน

นายไมเคิล จาเราด์ ผู้อำนวยการดับเบิลยูเอ็มโอ ระบุด้วยว่าภาวะโลกร้อนทำให้ความรุนแรงของปรากฏการณ์เอล นิโญ และ ลา นีญา ที่เป็นปรากฏการณ์คู่แฝดที่จะเกิดสลับกันไปนั้น มีความรุนแรงขึ้น และ ดับเบิลยูเอ็มโอ ได้ส่งคำเตือนให้รัฐบาลประเทศต่างๆ เพิ่มความระมัดระวังต่อผลจากปรากฏการณ์เอล นีโญที่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นในปลายปีนี้แล้ว

ที่มา คมชัดลึก



- See more at: อุตุนิยมวิทยาโลก(WMO) ย้ำปรากฏการณ์ เอล นิโญ เกิดแน่ปลายปี 57 เตือนรบ.ระวัง | สถานการณ์ภัยพิบั

 

ชั่ว!!! กลุ่มติดวุธไอซิส ISIS ข่มขืนสตรีมุสลิมอิรักในเมืองโมซูล + คลิป
วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2014 เวลา 08:46 น. อีเมล พิมพ์ PDF



สำนักข่าว IMM :วานนี้ 26/6/57 สำนักข่าว “อัลอันบาอฺ” alanba.com - arabic news Resources and Information. This website is for sale! สื่อดังของคูเวต ได้เผยแพร่ข่าวสะเทือนขวัญการให้สัมภาษณ์ของเด็กสาวชาวอิรักในเมืองโมซูล ที่ตกเป็นเหยื่อการข่มขืนกระทำชำเราอย่างป่าเถื่อนของกลุ่มติดอาวุธไอซิส ISIS , ISIL ภายใต้ชื่อเรื่อง “เด็กสาวชาวอิรักเล่าเรื่องราวความเจ็บปวดของที่ถูกข่มขืนโดยกลุ่มไอซิส”

สำนักข่าว “อัลอันบาอฺ” alanba.com - arabic news Resources and Information. This website is for sale! รายงานว่า วานนี้ 26/6/57 ได้ตีเผยแพร่ข่าวสะเทือนขวัญ การให้สัมภาษณ์ของเด็กสาวชาวอิรักในเมืองโมซูล ที่ตกเป็นเหยื่อการข่มขืนกระทำชำเราอย่างป่าเถื่อนของกลุ่มติดอาวุธไอซิส ISIS , ISIL ภายใต้ชื่อเรื่อง “เด็กสาวชาวอิรักเล่าเรื่องราวความเจ็บปวดของการถูกข่มขืนโดยกลุ่มไอซิส”

สำนักข่าว “อัลอันบาอฺ” รายงานว่า “เด็กสาวชาวอิรักส่วนหนึ่งในเมืองโมซูล ได้ออกมากล่าวหากลุ่มติดอาวุธไอซิส ISIS ว่าได้กระทำการข่มขืนกระทำชำเราพวกเธอในเมืองโมซูล” ซึ่งในรายงานดังกล่าวได้มีสองพี่น้องสาวชาวอิรักในเมืองโมซูลได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “เธอและสองสาวถูกข่มขืนโดยกลุ่มติดอาวุธไอซิส ISIS พร้อมๆ กันหลายรอบในคืนเดียว”

ISIS047

สถานทีโทรทัศน์อัลอะรอกียะฮ์ ได้เผยแพร่คลิปวีดีโอให้สัมภาษณ์ของสองพี่น้องสาวชาวอิรักที่ตกเป็นเหยื่อความชั่วอันป่าเถื่อนของกลุ่มติดอาวุธ ISIS โดยหนึ่งจากสองพี่น้องกล่าวว่า “พวกกลุ่มติดอาวุธไอซิส ISIS ได้บุกเข้ามาในบ้านของเรา หน้าตาของพวกเขาดุจดังปีศาจร้ายพร้อมอาวุธสงครามในมือ พวกเขาพูดเหมือนคนเมาไม่มีสติ และใช้ภาษาที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนสำหรับเธอ หนึ่งจากบรรดาพวกเขาได้ใช้อาวุธทุปอย่างแรงมาที่ตัวของฉัน และที่ใบหน้าของน้องสาวของฉัน สิ่งที่ฉันจำได้ตอนนั้นคือ ฉันล้มลงหมดสติไป และตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงเพื่อนบ้านตะโกนดังขึ้นอย่างสะลึมสะลือ ในสภาพที่ไร้เรี่ยวแรง และเห็นชายคนหนึ่งกำลังลูบไล้ผมของเธออยู่”

เด็กสาวชาวอิรักในเมืองโมซูลอีกคนได้กล่าวว่า “ในหมู่พวกเขา (กลุ่มติดอาวุธไอซิส ISIS) ได้พูดคุยกันโดยใช้ภาษาอาหรับที่มีสำเนียงของชาวอาหรับแถบอ่าวเปอร์เซีย (ไม่ใช่ชาวอิรัก) และบางคนในหมู่พวกเขาใช้ภาษาที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน (ไม่ใช่ภาษาอาหรับ)”

เธอได้เล่าต่อไปอีกว่า “ฉันได้พยายามต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดจากการล่วงละเมิด การกระทำชำเราจากเงื้อมมือของพวกเขาอย่างสุดฤทธิ์ ทว่าพวกเขาได้ใช้อาวุธที่อยู่ในมือของพวกเขาตีมาที่ศีรษะของฉัน และฉันมีสติอีกครั้งฉันก็พบว่าทั่วร่างการของฉันเต็มไปคราบเลือดและสิ่งสกปรกที่พวกเขาได้ปล่อยทิ้งไว้”

เด็กสาวชาวอิรักในเมืองโมซูลคนนี้ได้เปิดเผยอีกว่า “เธอถูกกลุ่มติดอาวุธไอซิส ISIS ISIL ข่มขืนพร้อมๆ กันถึงสองคนในเวลาเดียวกัน”


คลิ๊ก....ชมคลิปวีดีโอสัมภาษณ์ในเว็บไซต์ยูทูป

- See more at: ชั่ว!!! กลุ่มติดวุธไอซิส ISIS ข่มขืนสตรีมุสลิมอิรักในเมืองโมซูล + คลิป
ชั่ว!!! กลุ่มติดวุธไอซิส ISIS ข่มขืนสตรีมุสลิมอิรักในเมืองโมซูล + คลิป

ชั่ว!!! กลุ่มติดวุธไอซิส ISIS ข่มขืนสตรีมุสลิมอิรักในเมืองโมซูล + คลิป

 

นักวิจัย สกว.แจงข้อเท็จจริงควรทราบ ก่อนวิตก “สึนามิ” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 มิถุนายน 2557 00:23 น.



นักวิจัย สกว.ย้ำชัดสึนามิยังไม่เกิดในไทย แต่เตือนอย่าประมาทและเตรียมพร้อมรับมือ แจงข้อเท็จจริงควรทราบ สึนามิจะเกิดขึ้นได้เมื่อเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ 7-8 ริกเตอร์ขึ้นไป หรืออุกกาบาตชนโลกหรือเกิดพื้นดินถล่มลงในมหาสมุทร

รศ. ดร.จันทร์จรัส เรี่ยวเดชะ รองผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ด้านการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ เป็นประธานแถลงข่าว เรื่อง “สึนามิเมืองไทยรอบสอง ความเป็นไปได้หรือข่าวลือ” ณ ห้องประชุม สกว. เมื่อ 25 มิ.ย.57 ซึ่งจัดขึ้นเพื่อนำเสนอการวิเคราะห์เหตุการณ์คลื่นลมแรงทั้งจากฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย จากเครือข่ายนักวิชาการของ สกว. ที่จะชี้แจงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงคลายข้อวิตกกังวลว่าจะเกิดสึนามิในประเทศไทยอีกครั้งหรือไม่ ด้วยองค์ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับพิบัติภัยธรรมชาติของนักวิจัยจาก สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตลอดจนเป็นเวทีรับฟังแลกเปลี่ยนกับสื่อมวลชน เพื่อร่วมกันหาทางออกในการรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติ

รศ.ดร.อมร พิมานมาศ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร อธิบายว่า ปรากฏการณ์คลื่นลมแรงที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นผลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้โดยมีแหล่งกำเนิดจากมหาสมุทรอินเดียที่นำมวลอากาศชื้นมาสู่ประเทศไทย ทำให้มีเมฆมากและฝนตกชุกทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งตามบริเวณชายฝั่งทะเลและเทือกเขาด้านรับลมจะมีฝนมากกว่าบริเวณอื่นตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคมก็จะอ่อนกำลังลงและมีลมหนาวพัดจากจีนเข้ามาแทนที่

ส่วนแผ่นดินไหวขนาด 9.2 ริกเตอร์ที่ทำให้เกิดสึนามิในปี 2547 นั้น เกิดขึ้นตามแนวมุดตัวระหว่างแผ่นมหาสมุทรอินเดียมุดใต้แผ่นพื้นทวีปพม่า แล้วปลดปล่อยพลังงานเท่ากับระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา 2.3 หมื่นลูก ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากเนื่องจากไม่มีระบบเตือนภัย ทั้งนี้ แนวรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกจะเกิดแผ่นดินไหวได้มากมายทั้งแนวด้านตะวันตกและตะวันออกของประเทศไทย ซึ่งมีผลต่อชายฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทยตามลำดับ

“แต่คำถามของสังคมว่าจะมีโอกาสเกิดสึนามิรอบสองหรือไม่นั้น ตามหลักแนวมุดตัวของแผ่นเปลือกโลกที่ชายฝั่งตะวันตกบริเวณเกาะสุมาตรา มีการมุดตัวด้วยอัตรา 67 มิลลิเมตรต่อปี และเป็นแนวที่ยาว ทำให้พลังงานจำนวนมหาศาลถูกปลดปล่อยไปและอาจกระตุ้นให้เกิดแรงสั่นสะเทือนยังจุดอื่นได้ จึงยังนับว่ามีความเสี่ยงอยู่” รศ.ดร.อมรกล่าว

การเกิดซ้ำของแผ่นดินไหวขนาด 8.5 ริกเตอร์ตามแนวมุดตัวสุมาตรนี้ จะเกิดได้ทุก 300 ปี แต่ รศ.ดร.อมร ย้ำว่ามีค่าความไม่แน่นอนสูง ซึ่งนักวิจัยกำลังวิเคราะห์กันอยู่แต่ไม่ง่ายที่จะบอกได้ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหนและเวลาใดบ้าง โดย 6 จังหวัดที่มีความเสี่ยง ได้แก่ พังงากระบี่ ระนอง ภูเก็ต ตรัง ระนอง สตูล และหมู่เกาะในทะเลอันดามัน ส่วนชายฝั่งทะเลอ่าวไทย แนวมุดตัวที่ใกล้ที่สุดคือ แนวร่องมะนิลา แต่ก็อยู่ไกลมากและใช้เวลาเดินทางนานนับสิบชั่วโมงกว่าจะมาถึงอ่าวไทย เราจึงสามารถเตือนภัยได้ทัน อีกทั้งความสูงคลื่นจะลดลงตามระยะเวลาที่เคลื่อนที่ผ่านมา จึงไม่น่ากังวลแต่อย่างใด

“ข้อเท็จจริงที่ควรทราบ คือ สึนามิจะเกิดขึ้นได้เมื่อเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ 7-8 ริกเตอร์ขึ้นไป หรืออุกกาบาตชนโลกหรือเกิดพื้นดินถล่มลงในมหาสมุทร แต่แผ่นดินไหวบนบกเช่น ที่ อ.พาน จ.เชียงราย ไม่ทำให้เกิดสึนามิได้ และแผ่นดินไหวที่จะทำให้เกิดคลื่นสึนามิได้นั้นต้องเกิดจากการมุดตัวของแผ่นเปลือกโลกในแนวดิ่ง จึงยอมรับว่าฝั่งอันดามันมีความเสี่ยงและไม่ควรประมาท ต้องเฝ้าระวัง ขณะที่ชายฝังอ่าวไทยมีความเสี่ยงจากสึนามิน้อยมาก แต่เสี่ยงจากพายุหมุนเขตร้อนที่อาจเปลี่ยนเป็นพายุโซนร้อนหรือไต้ฝุ่นได้มากกว่า โดยเฉพาะไต้ฝุ่น ซึ่งมีคาบการเกิดซ้ำ50 ปี” อาจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธรระบุ

รศ.ดร.อมรกล่าวว่า คลื่นสึนามิเกิดจากแผ่นดินไหว หากไม่มีระบบแจ้งเตือนสึนามิ อาจเกิดความเสียหายมาก โดยมีข้อสังเกตคือ ชายฝั่งทะเลจะแห้งและน้ำลดลง สำหรับมาตรการลดผลกระทบที่ควรดำเนินการ คือ การติดตั้งระบบเตือนภัยสึนามิรวมถึงมีแผนที่หลบภัย รวมถึงต้องมีมาตรการซักซ้อมอพยพด้วย ส่วนมาตรการด้านอาคารและที่หลบภัยแนวดิ่งหรือแนวตั้ง ทำได้ 3 รูปแบบ คือ การปรับปรุงอาคารที่มี่อยู่ให้เป็นสถานที่หลบภัย การก่อสร้างอาคารหลบภัยแบบชั่วคราว หรือแบบถาวร

“ตัวอย่างมาตรการด้านอาคารที่เหมาะสมแต่ละพื้นที่ เช่น ชายหาดป่าตอง ภูเก็ต กำหนดให้มีอาคารในพื้นที่ที่แข็งแรงเป็นอาคารหลบภัย ส่วนพื้นที่ชุมชนรีสอร์ทเฉพาะแห่ง เช่น เขาหลัก จ.พังงา ควรสร้างแบบชั่วคราว ขณะที่บางพื้นที่เป็นชุมชนประมงขนาดใหญ่ เช่น บ้านน้ำเค็ม ควรสร้างแบบถาวร ทั้งนี้ไม่ควรสร้างห้องใต้ดินเพราะจะเป็นอุปสรรคต่อการเตือนภัย และต้องใช้วัสดุคุณภาพดี” รศ.ดร.อมรกล่าวทิ้งท้าย

ด้าน ดร.ธีรพันธ์ อรธรรมรัตน์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวทำความเข้าใจต่อภัยแผ่นดินไหวและสึนามิที่ถูกต้องว่า ภัยแผ่นดินไหวยังเป็นภัยธรรมชาติประเภทเดียวที่ไม่สามารถทำนายได้ว่าจะเกิดขึ้นได้ ตามหลักมาตรฐานระดับสากลนั้นไม่ต้องการที่จะทำนายแผ่นดินไหว เพราะแม้จะทำนายได้ก็ไม่สามารถย้ายบ้าน และสถานที่สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ได้ ดังนั้น ความพยายามที่จะลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้จึงสำคัญที่สุด

“ไม่ควรหลงเชื่อข่าวลือในการทำนายแผ่นดินไหวเพราะจะทำให้เกิดความตื่นตระหนก และจำเป็นต้องมีสถานีตรวจวัดแผ่นดินไหวโดยความร่วมมือของทุกประเทศไทยในโลก ซึ่งสามารถบอกได้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวที่จุดใดได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมายังไม่มีสถานีใดตรวจวัดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในทะเลอันดามัน ศูนย์เฝ้าระวังทั่วโลกยังไม่มีคำเตือนและหน่วยงานราชการยังไม่แจ้งเตือน ข่าวที่แพร่ออกมาว่าจะเกิดจึงเป็นเพียงข่าวลือ ทั้งนี้ หากมีสึนามิจะมีการประกาศเตือนแผ่นดินไหวใหญ่ทั่วโลกและแจ้งเตือนถึงระยะเวลาที่คลื่นจะเข้าฝั่งภายในเวลา 30 นาที” ดร.ธีรพันธ์กล่าว

จากประวัติการเกิดสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย ทำให้เหตุการณ์น้ำท่วมและคลื่นลมทะเลที่สูงผิดปกติเนื่องจากพายุ อาจถูกเข้าใจผิดและบันทึกเป็นสึนามิได้ ซึ่ง ดร.ธีรพันธ์กล่าว ย้ำข้อเท็จจริงว่า การเกิดสึนามิในมหาสมุทรอินเดียที่เกิดโดยรอยมุดตัวของแผ่นเปลือกโลกด้านทะเลอันดามันค่อนข้างจะมีพลัง และก่อให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ได้ แต่รอยมุดตัวของนี้อยู่ห่างจากไทยประมาณ 500-600 กม. ดังนั้น ระบบเตือนภัยที่มีอยู่จึงสามารถแจ้งเตือนได้ล่วงหน้าอย่างน้อยประมาณ 1-3 ชม.

“เหตุการณ์ในปี 2547 นั้นไม่เกิดขึ้นบ่อยเพราะต้องใช้เวลานานในการสะสมพลังงานเนื่องจากแผ่นเปลือกโลกใช้เวลาดันเข้าหากัน แต่สิ่งที่น่าเป็นกังวลมากกว่าคือ การเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่อาจมีผลต่อกรุงเทพฯ ซึ่งในบริเวณภาคตะวันตกของพม่าเคยเกิดแผ่นดินไหวใหญ่มากกว่า 8.5 ริกเตอร์ และมีรอบการเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ขนาด 8.0 ริกเตอร์ อย่างไรก็ตามแม้จะเกิดขึ้นจริงแต่ระบบเตือนภัยของไทยก็สามารถแจ้งเตือนได้ก่อนคลื่นเข้ามา ดังนั้นการเตรียมความพร้อมภัยแผ่นดินไหวและสึนามิโดยการสร้างอาคารให้แข็งแรงจึงเป็นการเตรียมพร้อมที่ดีที่สุด” ดร.ธีรพันธ์กล่าว

ด้าน ผศ.ดร.อาณัติ เรืองรัศมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า แนวมุดตัวที่มีผลต่อไทยคือ ฝั่งตะวันตกของฟิลิปปินส์ที่เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่อันเป็นผลจากการมุดตัวของเปลือกโลก ไทยอยู่ห่างหลายพัน กม. แต่ก็ได้ทำการศึกษาภาพจำลองสึนามิโดยอาศัยข้อมูลที่จำเป็น คือ แผนที่ภูมิประเทศใต้ท้องทะเล ศึกษาจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวที่ฟิลิปปินส์ วิเคราะห์หาการเปลี่ยนแปลงของผิวโลกและผิวน้ำ โดยมีระยะเวลาในการเดินทางเข้าหาชายฝั่งจากรอยเลื่อนมะนิลาถึงอ่าวไทยหลายสิบชั่วโมงและคลื่นจะลดระดับความสูงลง ดังนั้นจึงมีเวลาเพียงพอที่จะเตือนภัย

ส่วนเราจะอยู่กับภัยสึนามิได้อย่างไรนั้น ผศ.ดร.อาณัติ กล่าวว่า จากการจำลองสึนามิและการเตือนภัยสึนามิของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และระบบของภูมิภาค พบว่าความจำเป็นที่ต้องมีการจำลองสึนามิจะช่วยตอบคำถามว่าบ้านเรือนของประชาชนจะได้รับผลกระทบหรือไม่ หากเกิดเหตุการณ์จะอพยพไปที่ใด สึนามิจะมาถึงตอนไหนและมีเวลาอพยพนานเท่าใด โดยใช้กระบวนการทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์จำลองการยกตัวของเปลือกโลกและผิวน้ำ ซึ่งขั้นตอนการจำลองสึนามิ คือ ข้อมูลความลึกของทะเล ประเมินขนาดแผ่นดินไหว ความลึก ตำแหน่ง คำนวณการเปลี่ยนแปลงของผิวโลก ทำการจำลองสึนามิ นำเสนอผล ได้แก่ เวลาที่มาถึงและความสูง

“จากการวิเคราะห์ของนักวิจัยทุกท่านสรุปได้ว่าการเดินทางของคลื่นฝั่งอ่าวไทยใช้เวลาเดินทางนานนับสิบชั่วโมง และความสูงคลื่นจะลดไปในระดับที่เล็กน้อยมาก ดังนั้นจึงหมดความกังวลได้ในระดับหนึ่ง แต่ต้องมีการเตรียมความพร้อมและระมัดระวังกันมากขึ้น โดยความเสี่ยงของการเกิดสึนามิจะอยู่ที่ฝั่งอันดามันมากกว่า เพราะอยู่ใกล้เคียงแนวมุดตัวของเปลือกโลกสิ่งที่ควรกังวลคือพายุหมุนเขตร้อนมากกว่า เพราะสึนามิใช้เวลาสะสมพลังงานนานมาก แต่อาจกระตุ้นให้เกิดแนวอื่นได้ จึงตองเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง” รศ. ดร.อมร กล่าวสรุป

 

นักวิทยาศาสตร์ USGS กล่าวว่าอลาสก้า, นิวซีแลนด์ไหวอาจจะมีการเชื่อมโยง
USGS Scientist Says Alaska, New Zealand Quakes Might Be Linked

SAN FRANCISCO (KCBS) - ด้วยแผ่นดินไหวขนาดใหญ่โจมตีอลาสก้าและชายฝั่งนิวซีแลนด์ในวันจันทร์ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ที่สำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐก ล่าวว่าเขาชั่งน้ำหนักความเป็นไปได้ว่าทั้งสองอาจจะมีการเชื่อมต่อ
(SAN FRANCISCO (KCBS) — With massive quakes striking off the Alaskan and New Zealand coast Monday, a scientist with the U.S. Geological Survey said he is weighing the possibilities that the two might be connected.)

David Oppenheimer ของ USGS ได้บอก KCBS ว่ามีหลายครั้งต่อปีเมื่อเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่หลายครั้งได้ตัดผ่านโลกปรากฎขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน
(David Oppenheimer of the USGS told KCBS that there are several times a year when large earthquakes across the world occur within minutes of each other.)

ในวันจันทร์ แผ่นดินไหว ขนาด 6.9 ได้สั่นสะเทือนนอกชายฝั่งของนิวซีแลนด์ในช่วงหลังเที่ยง ตามเวลาแปซิฟิก และได้เกิดแผ่นดินหว ขนาด 7.9 ณ เกาะ Aleutian ในเวลาก่อน 02:00 p.m ตามเวลาแปซิฟิก Oppenheimer บอกว่ามันเป็นไปได้ที่แผ่นดินไหวนิวซีแลนด์เรียกแผ่นดินไหวอลาสก้า (On Monday, a magnitude 6.9 quake occurred off the coast of New Zealand shortly after noon Pacific Time. A magnitude 7.9 quake struck off the Aleutian Islands struck shortly before 2 p.m. Pacific.Oppenheimer said it is possible the New Zealand quake triggered the Alaska quake.)

"ระยะเวลาของมันเป็นเช่นที่เราเรียกว่าคลื่นพื้นผิว คลื่นที่เดินทางรอบเส้นรอบวงของโลกมาถึงในเวลาที่เกิดแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นที่ Oppenheimer กล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์USGS จะต้องศึกษาเพิ่มเติม ซึ่งมีความจำเป็น (“The timing of it is such that we call the surface waves, the waves that travel around the circumference of the earth, arrived about the time the earthquake occurred, Oppenheimer said. The USGS scientist said more study would be needed.)

ในขณะที่ยังคงอยู่ภายใต้การตรวจสอบออพกล่าวว่าแผ่นดินไหวอลาสก้าจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ถ้าแผ่นดินไหวนิวซีแลนด์ไม่ได้เกิดขึ้น (While that remains under investigation, Oppenheimer said the Alaska quake would have happened soon if the New Zealand quake did not occur.)

"ยังคงมีความเครียดจากแผ่นดินไหวขนาด 7.9 คือ" เขากล่าวว่า (“There is just so much stress relieved within an earthquake of magnitude 7.9,” he said.)

เกาะ Aleutian เป็นพื้นที่ยังคงมีการเกิดแผ่นดินไหว ตั้งแต่ปี 1906 แผ่นดินไหวห้าครั้ง ขนาด 7.7 หรือสูงกว่า ด้เกิดขึ้น ภายใน 250 ไมล์ของศูนย์กลางของการสั่นสะเทือน เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
The Aleutian Islands are a seismically active area. Since 1906, five earthquakes of magnitude 7.7 or higher have taken place within 250 miles of the epicenter of Monday’s quake.

http://tinyurl.com/n7vv5hw

 

WHOเตือนอีโบลาในแอฟริกาตต.อาจระบาดสู่ชาติอื่น เร้าจัดการโดยด่วน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 มิถุนายน 2557 02:58 น.



รอยเตอร์ - องค์การอนามัยโลกเตือนเมื่อวันพฤหัสบดี(26) การแพร่ระบาดของอีโบลาที่เริ่มจากในกินี แล้วลุกลามสู่วิกฤตข้ามพรมแดนในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก อาจแผ่ลามขยายวงกว้างสู่ประเทศอื่นๆอีก พร้อมเรียกร้องดำเนินการอย่างสุดกำลังเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสมรณะชนิดนี้

แม้มีความพยายามจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับชาติและเหล่าองค์กรความช่วยเหลือระหว่างประเทศ ในความพยายามระงับการแพร่ระบาดของอีโบลา แต่ข้อมูลขององค์การอนามัยโลกพบว่ามีผู้ติดเชื้อแล้ว 635 คนในกินี เซียร์ราลีโอน และไลบีเรีย ในนั้นเสียชีวิตแล้ว 399 ราย นับตั้งแต่มันเริ่มต้นระบาดในดือนกุมภาพันธ์

วิกฤตครั้งนี้กลายเป็นการแพร่ระบาดที่คร่าชีวิตผู้คนมาที่สุดนับตั้งแต่ไวรัสอีโบลาปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกในแอฟริกากลางเมื่อปี 1976 และเวลานี้จำนวนผู้ติดเชื้อก็สูงขึ้นเรื่อยๆ

"ตอนนี้มันไม่ใช่การแพร่ระบาดเฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่งแล้ว แต่มันกลายเป็นวิกฤตระดับอนุภูมิภาคที่จำเป็นต้องมีการลงมืออย่างจริงจังจากรัฐบาลและภาคส่วนต่างๆ" หลุยส์ แซมโบ ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก(WHO)ภูมิภาคแอฟริการะบุในถ้อยแถลง "WHO มีความกังวลใหญ่หลวงต่อการที่มันกำลังแพร่เชื้อข้ามพรมแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่นเดียวกับความเป็นไปได้ที่มันอาจแผ่ลามสู่ระดับนานาชาติเพิ่มเติม"

ในแนวทางจัดการกับวิกฤต องค์การอนามัยโลกบอกว่าจะเรียกประชุมฉุกเฉินเหล่ารัฐมนตรีสาธารณสุขจาก 11 ชาติที่กรุงอักกรา ประเทศกานาในวันที่ 2 และ 3 กรกฎาคม เพื่อริเริ่มแผนตอบสนองระหว่างประเทศที่กว้างขวางและครอบคลุม

อีโบลา เป็นไวรัสเขตร้อนที่สามารถคร่าชีวิตผู้ติดเชื้อได้ภายในเวลาไม่กี่วัน โดยมันจะทำให้ผู้ติดเชื้อเป็นไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย อาเจียน ท้องร่วง และในบางกรณีอาจทำให้อวัยวะล้มเหลวและเลือดไหลไม่หยุด ขณะที่ปัจจุบันยังไม่มียารักษาหรือวัคซีนป้องกัน

การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสอีโบลา ซึ่งร้อยละ 90 ของกรณีที่พบทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ความตาย กลายเป็นภาระหนักอึ้งสำหรับองค์กรบรรเทาทุกข์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ทั้งยังสร้างความหวาดกลัวต่อชาวบ้านในชุมชนที่มีผู้ติดเชื้อ

"มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องพยายามตอบสนองอย่างเข้มข้น ทั้งส่งเสริมความร่วมมือข้ามพรมแดนและแบ่งปันข้อมูลเกี่่ยวกับผู้ต้องสงสัยติดเชื้อหรือสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ และเกณฑ์ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของชุมชน" แซมโบระบุ "นี่คือหนทางเดียวที่จะจัดการโรคระบาดนี้อย่างได้ผล"

องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF)บอกเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ว่า ด้วยที่ขาดความรู้ความเข้าใจ ผู้คนก็ยังคงไปช่วยเตรียมศพและร่วมพิธีฝังศพเหยื่อ ซึ่งทำให้พวกเขาอ่อนแอต่อการติดเชื้อไวรัสมรณะนี้ที่สามารถติดต่อผ่านของเหลวในร่างกาย ไม่เว้นแม้กระทั่ง “เหงื่อ” ซึ่งหมายความว่า เพียงแค่สัมผัสร่างกายผู้ป่วยก็ทำให้ติดเชื้อได้

WHO

 

เกาหลีเหนือยิงขีปณาวุธ 3 ลูกตกลงไปในน่านน้ำญี่ปุ่น โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 มิถุนายน 2557 20:03 น.



เอเอฟพี - เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธระยะสั้นจำนวน 3 ลูก ไปตกลงในทะเลญี่ปุ่นวันนี้ (26 มิ.ย.) ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นการแสดงศักยภาพทางการทหาร ก่อนที่ประธานาธิบดีจีน "สี จินผิง" จะเดินทางไปเยือนเกาหลีใต้

กระทรวงกลาโหมของเกาหลีใต้ระบุว่า ขีปณาวุธเหล่านั้นถูกยิงออกจากเมืองท่าวอนซาน ที่มีท่าเรือและฐานทัพเรือของเกาหลีเหนือ อยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ขีปณาวุธทั้ง 3 ลูกบินไปไกลกว่า 190 กิโลเมตรแล้วตกลงทะเลที่เป็นเขตน่านน้ำของญี่ปุ่น

โฆษกของกระทรวงบอกกับนักข่าวเอเอฟพีว่า กำลังตรวจสอบดูให้แน่ชัดว่าขีปณาวุธที่ถูกยิงออกมาเหล่านั้นเป็นชนิดใด อาจเป็นอาวุธนำวิถีหรืออาจเป็นแค่จรวดธรรมดา ยังไม่ชัดเจนว่าเกาหลีเหนือทำการทดลองอาวุธชนิดใหม่หรือยิงขีปณาวุธเหล่านั้นออกมาเพราะมีเจตนาที่จะยั่วยุ ตอนนี้กองกำลังของเกาหลีใต้จึงได้เพิ่มมาตรการระวังภัยในบริเวณชายฝั่ง

ทั้งนี้ ประธานาธิบดี "สี จินผิง" ของจีนเตรียมที่จะเดินทางไปเยือนกรุงโซลในสัปดาห์หน้า ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ทศวรรษที่ผู้นำจีนไปเยือนเกาหลีใต้ก่อนที่จะเดินทางไปเยือนเกาหลีเหนือ ขณะที่ทางผู้นำเกาหลีเหนือ "คิม จอง อึน" ยังไม่เคยได้รับคำเชิญให้ไปเยือนจีนหลังจากก้าวเข้าสู่อำนาจ

ไม่ใช่เรื่องผิดปกติสำหรับเกาหลีเหนือในเรื่องของการทดลองอาวุธ บ่อยครั้งที่เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นแต่ทางเกาหลีใต้ไม่ได้เปิดเผย ถ้าย้อนไปในเดือนมีนาคม เกาหลีเหนือได้ยิงขีปณาวุธระยะสั้น "สกั๊ด" หลายลูกในช่วงเวลาเดียวกับที่มีการซ้อมรบร่วมกันระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐฯ

เกาหลีเหนือยังได้ทดลองยิงขีปณาวุธระยะกลางจำนวน 2 ลูก ที่บินไปไกลกว่า 650 กิโลเมตรจากชายหาดตะวันตก ทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้ที่รุนแรงจากทางสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ โดยทางเกาหลีใต้ประณามการกระทำครั้งนั้นว่าเป็นการยั่วยุแบบไม่ยั้งคิด แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่เรียกร้องให้สหประชาชาติเข้ามาแทรกแซง

 

Kaokala Fc

26 มิ.ย. “เชียงราย”เจอดินไหวอีก-แรง 4.6 ตามมาตราริกเตอร์ -บ.ทัวร์หัวใสจัดเที่ยว-ทำบุญวัดพัง



เชียงราย - เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่เชียงรายซ้ำอีก คราวนี้วัดได้ 4.6 ตามมาตราริกเตอร์ ทำชาวบ้านตกใจ-คนหนีจากตึกสูงบ้าง แต่แตกตื่นน้อยลง หลังซ้อมกันบ่อย ขณะที่บริษัททัวร์หัวใสจัดโปรแกรมเที่ยวทำบุญวัดพัง



วันนี้(26 มิ.ย.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดแผ่นดินไหว ความแรงตามมาตราวัดริกเตอร์กว่า 4.6 ตามมาตราริกเตอร์ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ อ.แม่ลาว ลึกลงไปใต้ดิน 9 กิโลเมตร ช่วงบ่ายที่ผ่านนั้น พบว่า ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ใกล้จุดศูนย์กลาง และอำเภอใกล้เคียง ต่างรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนในครั้งนี้อย่างชัดเจน

ทำให้ชาวบ้านต่างตกใจกันไปตาม ๆ และบางพื้นที่มีการวิ่งหนีจากอาคารสูง เช่น นักเรียนโรงเรียนวัดเหมืองง่าพิเศษวิทยา ต.สันติสุข อ.พาน ซึ่งมีอาคารเรียนสูง 3 ต่างวิ่งออกจากอาคารอย่างรวดเร็ว ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมแล้ว ความตื่นตระหนกจากเหตุแผ่นดินไหวมีน้อยลงมาก เนื่องจากหลายสถานที่ศึกษามีการฝึกซ้อมหนีภัยแผ่นดินไหวอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาร่วม 2 เดือนที่ผ่านมา ทำให้เมื่อเกิดเหตุการณ์ทุกคนสามารถปฏิบัติได้อย่างทันท่วงที และมีสติ

ด้านบริษัทเอกชนนำเที่ยวรายหนึ่งในย่านประตูสลี อ.เมือง จ.เชียงราย ได้ใช้โอกาสนี้ จัดโปรแกรมนำเที่ยว พาลูกทัวร์เที่ยวชม และร่วมทำบุญวัดที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวที่ผ่านมา โดยใช้รถตู้เดินทางไปตามเส้นทางจาก อ.เมืองไปทาง อ.พาน แวะตามจุดต่างๆ ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหว เช่น อุดมวารีย์ จากนั้นก็เดินทางมา วัดป่าลัน(วัดพระเอน) ต.ดงมะดะ อ.แม่ลาว มุ่งหน้าไปวัดแม่สรวยหลวง อ.แม่สรวย-เขื่อนแม่สรวย-พระธาตุคุ้มเวียงสรวย อ.แม่สรวย ก่อนจะกลับไปชมวัดร่องขุ่น ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง ซึ่งได้รับความเสียหายเช่นกัน และไปชมพระอาทิตย์ตกที่ไร่บุญรอด อ.เมือง ด้วย

 

สมชาย ใจดี ได้แชร์วิดีโอของ Solem Boar

จะคิดอะไรมากครับ ป่าต้นน้ำทางภาคเหนือที่ผมไปเห็นมากับตามันก็สภาพนี้ทั้งนั้น เชียงราย เชียงใหม่ น่าน แม่ฮ่องสอน ฝนตกหนักน้ำท่วม คนปลายน้ำอย่างภาคกลางก็ตัวใครตัวมันนะครับ

<div id="fb-root"></div> <script>(function(d, s, id) { var js, fjs = d.getElementsByTagName(s)[0]; if (d.getElementById(id)) return; js = d.createElement(s); js.id = id; js.src = "//connect.facebook.net/th_TH/all.js#xfbml=1"; fjs.parentNode.insertBefore(js, fjs); }(document, 'script', 'facebook-jssdk'));</script>
<div class="fb-post" data-href="https://www.facebook.com/photo.php?v=10202083219511827" data-width="466"><div class="fb-xfbml-parse-ignore"><a href="https://www.facebook.com/photo.php?v=10202083219511827">โพสต์</a> by <a href="https://www.facebook.com/e07nets">Solem Boar</a>.</div></div>


https://www.facebook.com/photo.php?v=10202083219511827
.........เห็นนะ ชัดมั้ย.. จังหวัดน่าน

เมื่อสังคมเรียกร้อง skyreport ทีมม้าเร็วจัดให้ ภาพเขาหัวโล้น จังหวัดน่าน สามารถขับรถข้ามภูเขากันได้เลย.. ช่วยกันแชร์ด้วยนะพี่น้องไม่งั้นเดียว น้ำท่วมบ้านอีก ผู้ใหญ่บ้านเมือง ข้าราชการ หายไปไหนกันหมด

 

รายงานสถานการณ์รอบโลก/นอกโลก ได้แชร์ลิงก์



เกิดน้ำท่วมหนักที่เมืองคูวาหตีในรัฐอัสสัมของประเทศอินเดีย ล่าสุดตาย 11 ศพ ด้วยอิทธิพลลมมรสุมรุนแรงส่งผลทำให้เกิดฝนตกหนัก 3 วันติดต่อกัน และมีน้ำท่วมฉับพลัน , ดินโคลนถล่มเพราะตัวเมืองเป็นเขาสูง ในช่วงระหว่าง 26-28 มิ.ย.57 ที่ผ่านมา ด้านสำนักงานอุตุนิยมวิทยาของอินเดียระบุว่า ฝนที่ตกหนักอันเนื่องจากลมมรสุมนี้ ซึ่งเริ่มนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.จะไปสิ้นสุดถึงเดือนก.ย.






เกิดน้ำท่วมหนักที่เมืองคูวาหตีในรัฐอัสสัมของประเทศอินเดีย ล่าสุดตาย 11 ศพ | สถานการณ์ภัย