อนาคตังสญาณของหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง โดย พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป เมื่อประมาณปี พ.ศ.2512 ในวันหนึ่งหลังจากที่หลวงพ่อ ฉันอาหารเพลในแพริมแม่น้ำของวัดท่าซุงเสร็จ ก็ชวน ข้าพเจ้าและผู้ติดตามเคลื่อนย้ายจากแพไปกุฏิ ระหว่าง... ทางหลวงพ่อได้หยุดยืนใต้ร่มไทรต้นหนึ่งริมแม่น้ำ แล้วพูดบอกข้าพเจ้าว่า “ณ ที่แห่งนี้บริเวณนี้ต่อไปในอนาคตอันใกล้จะมีลูกหลาน และญาติสนิทมิตรสหายของฉันในอดีต จะกี่ภพกี่ชาติ มาแล้วก็ตามที่มาเกิดทันฉันในชาติปัจจุบัน จะพากันมา ชุมนุม ณ ที่แห่งนี้เป็นหมื่นๆ แสนๆ คน” ข้าพเจ้าในขณะนั้น ได้ฟังหลวงพ่อพูดแล้วก็ให้นึกสงสาร หลวงพ่อสุดหัวใจและรำพึงอยู่ในใจว่า “โถ! จะมีใครมา เป็นหมื่นเป็นแสนคน ทุกวันนี้ก็ดูเหมือนจะมีแต่ผู้คนในชุด ของข้าพเจ้าเท่านั้นเอง” และข้าพเจ้าก็เชื่ออย่างเหลือเกินว่า หากผู้ใดเป็นข้าพเจ้า ในขณะนั้นก็คงต้องคิดเช่นเดียวกับข้าพเจ้า เพราะรอบกาย ที่ยืนอยู่ไม่ว่าจะเหลียวไปทางด้านใด ก็เห็นแต่ความรกร้าง ว่างเปล่า และสิ่งปรักหักพังทั้งสิ้น ถาวรวัตถุอันเป็นหลักของวัด อาทิเช่นโบสถ์,วิหารก็ชำรุด ทรุดโทรมไปหมดไม่มีแม้แต่หลังคา,ศาลา 1 หลังก็ตั้งอยู่ บนเสาที่โย้เย้มีสภาพเอียงกระเท่เร่พร้อมที่จะล้มพังเมื่อไร ก็ได้ ส่วนหอไตรเล็กๆ อีก 1 หลัง ก็มีแต่โครงส่วนเมรุโบราณ ที่เผาศพด้วยฟืนนั่น ก็มีแต่คราบตระไคร่น้ำจับดำไปหมด คงมีแต่กุฏิเจ้าอาวาสเก่าๆ 1 หลัง กุฏิเล็กๆของหลวงพ่อ อีก 1 หลังและแพริมฝั่งแม่น้ำเท่านั้นที่พอใช้การได้บ้าง ทั้งหมดที่กล่าวนี้ก็คือวัดท่าซุงในขณะนั้นจริงๆ ส่วนฝั่งวัด ตรงข้ามถนนที่เป็นโบสถ์ใหม่ หรือศาลานวราชก็ดี,ศาลา 2 ไร่ 4 ไร่ หรืออาคารอื่นใดก็ดีหามีไม่คงมีแต่ป่าไผ่ดงดิบ ตลอดแนว สรุปความว่าวัดท่าซุงในตอนที่หลวงพ่อพูด กับข้าพเจ้านั้น อยู่ในสภาพของวัดร้างจริงๆ หลวงพ่อเห็นอาการอันเงียบสงบและแววตาของข้าพเจ้า ก็คงจะทราบว่าในใจข้าพเจ้านึกคิดอย่างไร ท่านก็ได้เมตตา พูดต่อไปว่า “ฉันนั้นได้เคยปรารถนาพุทธภูมิไว้ แต่หากดำรงเจตนาเดิม ก็จะต้องมาเกิดอีก 7 ชาติ จึงจะได้พบและอุปการะลูกหลาน, ญาติมิตรที่เคยเกี่ยวข้องผูกพันกับฉันมาแต่ในอดีตชาติ ได้ทั้งหมด ซึ่งนับเป็นภาระที่หนักมาก และฉันก็เบื่อหน่าย โลกมนุษย์นี้เต็มทน จึงได้ลาพุทธภูมิและได้เอาชาตินี้ เป็นชาติสุดท้ายของฉัน ดังนั้นภาระในชาตินี้ของฉันจึงมีมากเพราะจะต้องอยู่ช่วย ลูกหลาน ญาติมิตร ที่เคยเกิดร่วมภพร่วมชาติกับฉันมา ในอดีตชาติ และมาเกิดทันฉันในชาตินี้ทั้งหมด ให้พ้น จากอบายภูมิด้วย หากผู้ใดมีบุญบารมีก็จะไปถึงพระนิพพาน หากผู้ใดบุญบารมียังน้อยก็จะพยายามให้สร้างบุญกุศลเพื่อ ไปพักในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไว้ก่อนเมื่อพระศรีอาริย์มาตรัสรู้ ก็จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในสมัยของพระศรีอาริย์พอดี ด้วยวิธีนี้จะช่วยให้เขาเหล่านั้นพ้นจากอบายภูมิไปได้ แต่กุศลผลบุญหลักที่จะช่วยให้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็คือ การถวายสังฆทานและการสร้างวิหารทานนั่นเอง ดังนั้น ต่อไปในอนาคตที่นี่จะมีการก่อสร้างวิหารทานมาก บริเวณวัดท่าซุงในขณะนี้จะไม่พอ จะต้องขยายวัด ไปทางดงไผ่ฝั่งตรงข้ามวัดท่าซุงด้วย” ในขณะนั้น แม้หลวงพ่อจะได้เมตตาบอกข้าพเจ้า โดยละเอียดแล้ว เช่นไรก็ตาม ข้าพเจ้าหาได้เข้าใจไม่ ด้วยไร้ปัญญา คงคิดอยู่แต่ในใจว่าคนจะมาเป็นหมื่น เป็นแสนคนได้อย่างไร? และการก่อสร้างที่จะต้องขยาย ไปถึงดงไผ่ฝั่งตรงข้ามยิงไม่น่าจะเป็นไปได้ใหญ่ เพราะเอาแต่บูรณะโบสถ์,วิหาร,ศาลา,หอไตร และกุฏิเดิม ในวัดเก่า ที่มีอยู่ก็ใช้เงินมากมหาศาลอยู่แล้ว จะทำได้อย่างไร “แต่ท่านผู้อ่านทั้งหลายในปัจจุบันนี้ที่วัดท่าซุงก็เป็นไปตาม ที่หลวงพ่อบอกข้าพเจ้าไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2512 แล้วทุกประการ ในพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร และพิธีตางๆ ผู้คนก็พากันไปเป็นหมื่นเป็นแสนจริงๆ และการก่อสร้าง วิหารทานก็ได้กระทำกันเกินกว่าที่ข้าพเจ้าวาดภาพ เอาไว้เสียอีก และดูเหมือนจะไม่มีการจบสิ้นด้วย ดังนั้น หากข้าพเจ้าจะคิดวาหลวงพ่อระลึกชาติ ในกาลก่อนได้(ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ)รู้ที่มา ของคนและสัตว์ที่มาเกิดว่ามาจากที่ใด (จุตูปปาตญาณ)และรู้เหตุการณ์ต่อไปในอนาคต ของคน,สัตว์,สิ่งของ และสถานที่ได้(อนาคตังสญาณ) ก็คงไม่มีผู้ใดว่าใช่ไหมครับ”
สาธุ สาธุ สาธุ กราบหลวงพ่อด้วยเศียรเกล้า ผมว่า น้อยคนนักในประเทศนี้ ไม่เคยไปกราบ องค์ท่าน หรือสังขารขององค์ท่าน และคนที่ไปแล้ว ก็จะน้อยนักที่จะไปเพียงครั้งเดียว