พระโพธิสัตว์ พระผู้ทรงเป็นดั่งพลังของแผ่นดิน

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย 5314786, 3 พฤษภาคม 2014.

  1. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    “การมีเสรีภาพนั้นเป็นของดีอย่างยิ่ง แต่เมื่อจะใช้ จำเป็นต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง
    และความรับผิดชอบมิให้ล่วงละเมิดเสรีภาพของผู้อื่น ที่เขามีอยู่เท่าเทียมกัน

    ทั้งมิให้กระทบกระเทือนถึงสวัสดิภาพและความเป็นปกติสุขของส่วนรวมด้วย
    มิฉะนั้น จะทำให้มีความยุ่งยากจะทำสังคมและชาติประเทศต้องแตกสลายจนสิ้นเชิง”


    พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    แถลงการณ์ สภาการวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (สวชพ.)
    เรื่อง “การใช้เสรีภาพเพื่อความปรองดองสมานฉันท์”
    เนื่องในวันนักข่าว ๕ มีนาคม ๒๕๒๐
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1248248998.jpg
      1248248998.jpg
      ขนาดไฟล์:
      21.3 KB
      เปิดดู:
      9,153
  2. Tonytt

    Tonytt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +232
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญครับ สาธุ
     
  3. Earth n Water

    Earth n Water เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    930
    ค่าพลัง:
    +2,047
    ขอเป็นกำลังใจถวายในหลวง
    ขอองค์พระรัตนตรัยคุ้มครองในหลวงและชาติไทย

    เรารักในหลวงด้วยความกตัญญูรู้คุณ

    ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

    เรารักในหลวงเป็นที่สุด








    ====================================


     
  4. Earth n Water

    Earth n Water เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    930
    ค่าพลัง:
    +2,047


    ในหลวงเราเป็นตัวอย่างที่ดียิ่ง
    เป็นทั้งพ่อที่ดียิ่งของคนไทยทั้งชาติ เป็นลูกที่แสดงความกตัญญูต่อ
    พระบิดา พระมารดาและบรรพบุรุษของพระองค์เองรวมถึง
    องค์พระรัตนตรัย ครูบาอาจารย์ในพระพุทธศาสนา วัดวาอาราม
    ผืนแผ่นดินไทย ชาติไทย
    พระองค์มีความกตัญญูอันสูงยิ่ง ทุกความคิด ทุกวาจา
    และทุกการกระทำของพระองค์ล้วนแล้วแต่เป็น
    คุณงามความดี เป็นการก่อความสุข ความสงบ
    และความเจริญรุ่งเรือง เพื่อชาติ ศาสนา และคนไทยทั้งชาติ

    จะหาพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงสละความสุขส่วนพระองค์
    ยอมตรากตรำทำงานหนักเพื่อปวงชนเป็นเวลานานกว่า
    60 ปีนี้คงไม่มีเช่นในหลวงไทยของเรานี้เป็นแน่

    ในหลวงเราดีถึงเพียงนี้แล้ว เราจะไ่ม่เห็นความดีของท่านและ
    ไม่เทิดทูลท่านได้อย่างไร ?
    หากเราไม่เห็นความดีล้วนๆเหล่านี้ของในหลวงแล้ว
    จะมีอะไรดีในใจเรา-ตัวเราอยู่หรือ ?

    ขอเทิดทูนในหลวงด้วยหัวใจทั้งดวงของคนไทยคนนี้จวบจนชีวิตจะดับ

    เรารักในหลวงเป็นที่สุด

    ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน


     
  5. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG][​IMG]

    ครั้งหนึ่ง เมื่อหม่อมราชวงค์ คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถาม
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระกระแสตอบว่า

    "ความจริงมันก็น่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้น คือบ้าน คือเมือง คือความสุขของคนไทย ทั่วประเทศ..."
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2015
  6. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    “เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน
    เปรียบเสมือนเสาเข็มที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือนตัวอาคารไว้นั่นเอง

    สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็มและลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้ำไป”

    พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    จากวารสารชัยพัฒนาประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๔๒
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    การทรงงานของพระองค์ ย้อนหลังกลับไปลำดับภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินไปยังท้องถิ่นกันดารห่างไกลความเจริญ

    เฉพาะอย่างยิ่งเสด็จฯ เข้าไปลึก ไกลกว่าที่ไปสัมผัสในปัจจุบัน ภาพเสด็จพระราชดำเนินทรงลุยป่า
    ลุยน้ำ รถพระที่นั่งติดหล่ม ตกหลุมโคลน ทรงปีนเขา ทรงกรำแดดกรำฝน หลับตาย้อนไปเมื่อห้าสิบ
    หกสิบปี ภาพดังกล่าวเราคนไทยได้เห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน

    และยิ่งในช่วงเวลานั้นความเจริญไม่ได้พัฒนามาอย่างวันนี้ จึงมีความลำบากยากเข็ญที่จะไปยัง
    ท้องถิ่น หรือจากท้องถิ่นหนึ่งจะไปที่อื่นๆ ยากลำบากทั้งไปและกลับ อาจถึงขนาดว่าเลือดตาแทบกระเด็น

    แต่คนไทยทั้งประเทศก็ประจักษ์ว่าล้นเกล้าล้นกระหม่อมทั้งสองพระองค์
    ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ก็เสด็จฯ ไป ไม่เห็นว่าจะทรงย่อท้อ เสด็จฯ ไปครั้งแล้วครั้งเล่า

    จนกล่าวได้ว่าไม่มีพื้นที่ใดที่ราษฎรประสบทุกข์ยากเดือดร้อนอันเกิดจากความยากจน
    จะไม่เคยเสด็จฯไปด้วยเพราะทรงตั้งพระราชปณิธานที่จะทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุข
    พัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรให้มีความสุขแบบพออยู่พอกินไม่อดอยาก
    แร้นแค้น มีความสุขอย่างยั่งยืน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • K12061452-0.jpg
      K12061452-0.jpg
      ขนาดไฟล์:
      80.7 KB
      เปิดดู:
      11,011
    • A8957495-51.jpg
      A8957495-51.jpg
      ขนาดไฟล์:
      160.4 KB
      เปิดดู:
      7,804
    • 58255321525.jpg
      58255321525.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.7 KB
      เปิดดู:
      12,696
  8. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เคยรับสั่งว่า

    “ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกวันนี้ที่ท่านเดินไม่ได้คล่อง เพราะทรงขับรถเข้าไปในที่
    ทุรกันดารและไม่มีถนนเป็นเวลานานมากๆ เลยทำให้กระดูกสันหลังของพระองค์มีปัญหา"


    คณะแพทย์เคยกราบบังคมทูลให้ทรงงดพระราชกรณียกิจ
    แต่ทรงตรัสตอบว่า "งานพระองค์ไม่มีวันหยุดจะให้ทำอย่างไร"

    พระองค์จะทรงเฮลิคอปเตอร์เฉพาะที่ทรงมีพระวินิจฉัยว่าจำเป็นเท่านั้น
    เพราะการที่ทรงขับรถเองจะทำให้มองเห็นสภาพพื้นที่จริงและจอดแวะตรวจพื้นที่ได้ง่ายกว่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. Earth n Water

    Earth n Water เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    930
    ค่าพลัง:
    +2,047



    ถ้าคนเราไม่รักกันจริงๆ คงไม่มีใครที่จะสามารถมีกำลังใจจะตรากตรำทำงานหนัก
    ออกกลางแจ้งแดดร้อนกล้า เดินเป็นระยะทางไกลๆให้ถึงเป้าหมายแม้
    ต้องทนหิวอดข้าวก็ยอม ไปทุกที่ในถิ่นทุรกันดาร บุกป่าฝ่าดง ลุยน้ำ
    อดหลับอดนอน อดการพักผ่อนเพื่อทำงานให้ผู้อื่นด้วย
    การเสียสละความสุขส่วนตัวปีแล้วปีเล่า เป็นเวลาถึงกว่า 60 ปี
    เช่นนี้ได้

    ขอขอบคุณที่นำภาพที่หาดูได้ยากของในหลวงมาแสดงให้ได้ชมกัน
    ทำให้เห็นถึงความลำบากอันยิ่งยวดในการเดินทางในถิ่นทุรกันดาร
    ของในหลวงเราเพื่อไปทรงงานเพื่อประชาชนชาวไทยของท่านอย่าง
    ไม่ท้อถอยถึงแม้จะทรงเหนื่อยเพียงใด ลำบากขนาดไหน
    พระองค์ก็ทรงทนตรากตรำทำงานมานานกว่า 60 ปีโดย
    ไม่บ่นเลยแม้แต่น้อย

    ดิฉันภูมิใจเป็นที่สุดที่ชาติไทยมี ยอดคน ยอดกษัตริย์เช่นในหลวงของเรา
    ภูมิใจที่ได้เกิดมาอยู่ในสมัยเดียวกันกับของในหลวงที่
    พระองค์เป็นพระเจ้าอยู่หัวของชาวไทยและของแผ่นดินไทยที่
    ทรงเต็มเปี่ยมด้วยเมตตาและคุณธรรม
    อีกทั้งทรงมีปัญญาและความสามารถและขันติอันสูงยิ่ง

    ดีใจที่ได้มีโอกาสชื่นชมพระบารมีของพระองค์
    ได้ชื่นชมผลงานนับเป็นพันๆ หมื่นๆ แสนๆชิ้นของ
    พระองค์ที่ทรงทำไว้จนชาติไทยเจริญรุ่งเรืองมาได้จนถึงทุกวันนี้

    ดีใจที่ชาติไทยมีองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถที่เป็นคู่บารมีของในหลวง
    และได้ทรงงานช่วยชาติไทยและชาวไทยมาอย่างเป็นที่น่าปลาบปลื้มยิ่งนัก
    หากชาติไทยไม่มีทั้งสองพระองค์ที่ทรงพัฒนาประเทศมานานเป็นเวลา
    หลายสิบปีเช่นนี้ ชาติไทยก็จะไม่ได้รับความเจริญอย่างเช่นที่เราเห็นกันอยู่ใน
    ป้จจุบันนี้ได้


    หากไม่มีพระองค์ทั้งสองช่วยกันให้กำลังใจคนไทยและ
    พัฒนาชาติไทยมาเป็นเวลาหลายสิบปี ชาติไทยก็จะไม่ได้ดีจนถึงวันนี้
    สิ่งนี้จึงเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงแก่คนไทยทั่วทั้งประเทศ

    ดิฉันกับเพื่อนมักจะกล่าวชื่นชมในหลวงของเราเสมอๆ
    เห็นภาพในหลวงทีไร ก็อดดีใจไม่ได้ทุกครั้ง เพราะความตื้นตันใจใน
    ความรักและเมตตาของพระองค์ที่ทรงงานหนักเพื่อคนไทยทั้งประเทศแบบ
    ไม่ห่วงสุขภาพส่วนพระองค์จนสุขภาพของพระองค์ถดถอยลง
    แต่พระองค์ก็ยังคงทรงงานหนักแบบไม่ลดละ
    จะหาใครที่มีความรักอันยิ่งใหญ่และภักดีต่อคนไทยทั้งชาติเช่น
    ในหลวงเรานั้นอีก คงไม่มีเป็นแน่
    ดิฉันและเพื่อนๆต่างระลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของในหลวงมากเป็น
    ล้นพ้น จะหากษัตริย์อื่นใดในโลกปัจจุบันที่เหมือนในหลวงเรานั้นไม่มีค่ะ

    ชาติไทยนับว่าโชคดีมากๆที่มีพระมหากษัตริย์ที่ดีเยี่ยมปกครองชาติ
    นับตั้งแต่สมัยในอดีตจนถึงปัจจุบันนี้
    ถือเป็นบุญของชาติไทยและคนไทยทุกคน

    ขอให้คุณพระรัตนตรัย คุณพระแก้วมรกต คุณพระอรหันต์ทุกๆรูป
    พระสยามเทวาธิราชทุกท่าน
    ท่านท้าวเวสสุวรรณและดวงพระวิณญาณของ
    พระมหากษัตริย์ไทยในอดีตทุกๆพระองค์
    รวมถึงเหล่าเทพเทวาทั้งหลายทั้วทั้งประเทศไทยและจักรวาล
    ได้โปรดทรงให้ความคุ้มครองในหลวงและพระราชินี
    ให้พ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง พ้นจากศัตรูหมู่มารทั้งปวง
    และขอให้พระองค์ทั้งสองจงทรงมีพระวรกายแข็งแรง

    เรารักและเทอดทูนในหลวงและพระราชินีในความดี
    และบุญคุณเหนือเกล้าของพระองค์ทั้งสองอย่างสุดหัวใจ

    ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน





    ------------------------------------------------------


     
  10. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    ปลาร้องไห้

    ตั้งแต่พระองค์เสด็จเยี่ยมประชาชนในเขตพื้​นที่พัฒนาพรุแฆแฆ จ.ปัตตานี มีราชฎรชื่อ นายอูเซ็ง เฝ้ารับเสด็จอยู่ด้วย เมื่อพระองค์เสด็จผ่านจุดที่นายอูเซ็งรอรั​บเสด็จอยู่นั้น นายอูเซ็งได้ถวายภาพถ่าย 1 ชุด เป็นภาพถ่ายของปลากะพง ที่เลี้ยงในชังบริเวณแม่น้ำกอตอ ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำสายบุรีแม่น้ำทั้งสอ​ ง จะไหลลงทะเลบริเวณ ปากน้ำสายบุรี จุดที่เลี้ยงปลากะพงอยู่ใกล้กับปากน้ำ ปลาที่เลี้ยงในกระชังเกือบทั้งหมด ตายลอยแพเป็นพันเป็นหมื่นตัว สาเหตุที่ปลาตายเนื่องจากการปล่อยน้ำเปรี้​ยวจากพรูพาเจาะ ไหลผ่านคลองไม้แก่นและคลองกอตอ ผ่านจุดที่เลี้ยงปลากะพงในกระชัง ก่อนจะไหลออกทะเล ทำให้ปลากะพงที่เลี้ยงในกระชังขาดอ๊อกซีเจ​นตายจำนวนมาก รวมทั้งปลาของนายอูเซ็งด้วย

    นายอูเซ็ง จึงได้บันทึกภาพเหตุการณ์ที่ปลาตายถวายฎีก​าต่อพระองค์ท่านเพื่อให้ทรงช่วยเหลือแก้ไข​
    ขณะที่กำลังกราบทูลพระองค์ท่านถึงสาเหตุที​่ปลาตายอยู่นั้น นายอูเซ็งร้องไห้ไปด้วย (ร้องไห้เสียงดังเหมือนเด็ก)
    ด้วยพระอารมณ์ขันของพระองค์ท่าน ได้ตรัสด้วยประโยคสั้นๆ ว่า

    " ปลาร้องไห้ จะต้องหาทางแก้ไข "

    ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ท่านและได้ยิน​ประโยคที่ท่านตรัส ต่างก็หัวเราะด้วยอารมณ์ขัน

    ต่อจากนั้นพระองค์ได้เปิดแผนที่เพื่อทอดพร​ะเนตรแม่น้ำกอตอซึ่งเป็นจุดที่เลี้ยงปลากะ​พงมาก
    และเส้นทางที่ปล่อยน้ำเปรี้ยวจากพรุบ​าเจาะ ลงสู่แม่น้ำสายนี้
    ทรงศึกษาหาวิธีการที่จะป้องกันมิให้ปล่อยน้ำเปรี้ยวจากพรุบา​เจาะลงสู่แม่น้ำสายนี้อีก และได้ทรงมอบหมาย
    ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบวางแผนป้องกันระยะ​ยาว ด้วยพระบารมีและพระมหากรุณาธิคุณ
    ของพระองค์ท่านทำให้หมู่บ้านปาตาคีมออยู่ร​่มเย็นเป็นสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
    ปลาจะไม่มีวันร้องให้อีกต่อไปแล้ว

    ที่มา : คุณธีรพจน์ หะยีอาแว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2014
  11. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    ดอกไม้แห่งหัวใจ


    คุณยายตุ้ม จันทนิตย์ หญิงชราวัย 102 ปี (เกิดเมื่อปีพทุธศักราช 2396) บ้านธาตุน้อย
    ตำบลพระกลางทุ่งอำเภอธาตุพนม ห่างจากจุดที่ทางราชการกำหนดให้เป็นจุดรับเสด็จ
    ประมาณ 700 เมตร ก็ไม่ต่างจากครอบครัวอื่นๆ

    ที่ลูกหลานได้นำ "คุณยายตุ้ม จันทนิตย์" ไปรอรับเสด็จด้วย โดยตามคำบอกเล่าของ
    นางเพ็ง จันทนิตย์ (ลูกสะใภ้) และนางหอม แสงพระธาตุ (น้องสาวของนางเพ็ง)
    ได้ความว่า ลูกหลายได้นำคุณยายตุ้มไปรอบรับเสด็จตั้งแต่เช้าโดยนางหอมฯเป็นผู้จัด

    "ดอกบัวสีชมพู" ให้แ่ก่คุณยายจำนวน 3 ดอก เพื่อนำขึ้นจบบูชาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    และพาออกไปรอเฝ้ารับเสด็จที่แถวหน้าสุดเพื่อให้ได้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมากที่สุดเท่าที่จะมากได้

    เป็นที่ชาวไทยคุ้นตา ประทับใจในหัวใจเป็นที่สุด และตามที่ท่านเจ้าคุณพระราชธีราจารย์
    เจ้าคณะจังหวัดนครพนม/เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ให้ความรู้
    “ ดอกบัวในใจยังคงบานไม่มีโรยรา ”บนเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินทางสามแยกชยางกูร- เรณูนคร
    ตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม

    เมื่อบ่ายวันที่ 13 พฤศจิกายน 2498 เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
    และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรภาคอีสานเป็นครั้งแรก

    คุณยายไปรอรับเสด็จพร้อมดอกบัวสายสีชมพู จำนวนสามดอก ตั้งแต่เช้าจนบ่าย แสงแดด
    แผดเผาจนดอกบัวสายในมือเหี่ยวโรย แต่หัวใจความจงรักภักดีของหญิงชรา ยังคงเบิกบาน


    เมื่อในหลวงเสด็จมาถึง ตรงมาที่คุณยายได้ยกดอกบัวสายโรยราสามดอกนั้นขึ้นจนเหนือศีรษะ
    แสดงความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้ง

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงโน้มพระองค์ลงมาจนพระพักตร์
    เกือบชิดกับศีรษะของคุณยาย ทรงแย้มพระสรวลอย่างอ่อนโยน
    พระหัตถ์แตะมือกร้านคล้ำของเกษตรกรชาวภาคอีสานอย่างนุ่มนวล


    ไม่มีใครรู้ว่าทรงกระซิบคำใดกับคุณยาย แต่แน่นอนว่า คุณยายไม่มีวันลืมเช่นเดียวกับที่ในหลวง
    ไม่ทรงลืมราษฎรคนสำคัญที่ทรงพบริมถนนวันนั้นหลังจากที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ
    แล้ว ทางสำนักพระราชวัง ได้ส่งภาพรับเสด็จของคุณยายตุ้ม พร้อมพระบรมรูปหล่อด้วยปูนพาสเตอร์
    ผ่านมาทางอำเภอธาตุพนม ให้คุณยายตุ้มไว้เป็นที่ระลึกพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้นี้
    อาจมีส่วนชุบชูชีวิตให้คุณยายอายุยืนยาวขึ้นอีกด้วย ความสุขต่อมาอีก 3 ปี เต็ม ๆ

    โดยคุณยายตุ้ม จันทนิตย์ ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. 2501
    หลังจากนั้นลูกหลานได้สร้างธาตุเจดีย์บรรจุอัฐิคุณยายตุ้ม จันทนิตย์ ไว้ ณ หน้าบ้านเลขที่ 22 หมู่ที่ 11
    ตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ในบริเวณพื้นที่ 2 งาน
    โดยยกผืนดินดังกล่าวให้เป็นที่สาธารณประโยชน์ สมบัติของแผ่นดิน
    ภาพที่คุณยายตุ้ม จันทนิตย์ ทูลเกล้าฯถวายดอกบัวสามดอก ถ่ายโดยหัวหน้าช่างภาพส่วนพระองค์ อาณัติ บุนนาค ได้บันทึกภาพวินาทีสำคัญที่ถูกเรียกว่า ภาพดอกไม้แห่งหัวใจ
    ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ภาพหนึ่งของประเทศไทย
    และเป็นภาพที่ใช้แทนคำพูดได้มากกว่าหนึ่งล้านคำ
     
  12. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    " ฉันทนได้ "

    ในเดือนหนึ่งของปี 2528 พระทนต์องค์หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หักเฉียดโพรงประสาทฟัน
    พระทนต์องค์นั้นต้องการการถวายการรักษาเร่งด่วน แต่ขณะนั้นกรุงเทพฯ ก็กำลังประสบปัญหาอุทกภัย
    ต้องการการบรรเทาทุกข์เร่งด่วนเช่นกันเมื่อทันตแพทย์เข้ามาถวายการรักษา
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งถามว่า
    "จะใช้เวลานานเท่าใด "

    ทันตแพทย์กราบบังคมทูลว่า อาจต้องใช้เวลา 1 - 2 ชม.

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า
    "ขอรอไว้ก่อนนะ ฉันทนได้ วันนี้ขอไปดูราษฏรและช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมก่อน "
     
  13. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    สมเด็จพระเทพฯ กำลังทรงดึงตัวทากที่กัดพระเจ้าอยู่หัว เต็มทั่วพระบาท
    หลังจากขบวนเคลื่อนไปไม่นาน ทรงตรัสมาทางวิทยุว่า
    "หยุดขบวนสักประเดี๋ยว ขอหยุดจับ ตัวยึกยือก่อน"

    ปรากฏว่ามีอยู่ตัวหนึ่งติดพระศอ ทรงปลิดออก ทรงปล่อยตัวทากลงข้างทาง
    ทรงตรัสแบบอารมณ์ขันว่า "โถ..เขามาขอทาน ขอเลือดไปถึงสองซีซี ให้เขาไปเถอะ"
     
  14. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    พระโพธิสัตว์นี่ พระอรหันต์ไม่ยอมนั่งหน้านะ
    ถ้ารู้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์จริงๆ ถ้าอารมณ์เข้มปั๊บพระอรหันต์ไม่นั่งหน้า


    แม้พวกนั้นบวชหนึ่งวัน พระอรหันต์บวช ๑๐๐ วัน เขาไม่นั่งหน้าพระโพธิสัตว์ เขารู้ค่า

    คนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ต้องปฏิบัติเลยอรหันต์
    พระสาวกปกติบำเพ็ญบารมี ๑ อสงไขยกับแสนกัปเท่านั้น พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ ๔ อสงไขยกับแสนกัป
    ถ้าจิตของเขาถึงปรมัตถบารมี เขาเลยอสงไขยสองอสงไขยมาแล้วต้องเป็นอสงไขยที่ ๔
    จึงจะเป็นปรมัตถบารมี

    พระโพธิสัตว์เหมือนพวกเรียนวิชาครู เรียนมาเพื่อเป็นครู จะต้องเข้มแข็ง

    :พุทธภูมิและพระโพธิสัตว์ โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A8012015-19.jpg
      A8012015-19.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.9 KB
      เปิดดู:
      6,121
  15. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    คนไม่มีความสุจริต คนไม่มีความมั่นคง ชอบแต่มักง่าย ไม่มีวันจะสร้างสรรค์ประโยชน์ส่วนรวมที่สำคัญอันใดได้ ผู้ที่มีความสุจริตและความมุ่งมั่นเท่านั้น จึงจะทำงานสำคัญยิ่งใหญ่ที่เป็นคุณประโยชน์แท้จริงได้สำเร็จ

    พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 12 กรกฎาคม 2522
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 5.jpg
      5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79 KB
      เปิดดู:
      4,845
  16. เสมาธรรม

    เสมาธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +36
  17. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ชัวป๊าด ไม่ต้องสงสัย
     
  18. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    “...การสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียวต้องใช้เวลาต้องใช้ความเพียร
    ต้องใช้ความอดทนเสียสละ แต่สำคัญที่สุดคือความอดทน คือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม

    สิ่งที่ดีงามนั้นทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผลไม่ดัง คือดูมันครึทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่าการทำดีไม่ครึ ต้องมีความอดทน เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอนในความอดทนในความอดทนของตน
    ในความเพียรของตน ต้องถือว่าวันนี้เราทำยังไม่ได้ผล อย่าไปท้อบอกว่า

    วันนี้เราทำแล้วก็ไม่ได้ผล พรุ่งนี้เราจะต้องทำอีก วันนี้เราทำ
    พรุ่งนี้เราก็ทำ อาทิตย์หน้าเราก็ทำ เดือนหน้าเราก็ทำ...”


    พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒๗ ตุลาคม ๒๕๑๖
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • profile.jpg
      profile.jpg
      ขนาดไฟล์:
      67.5 KB
      เปิดดู:
      5,121
  19. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญในด้านการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องข้าว

    โดยทรงมีพระราชประสงค์ที่จะลดภาระของเกษตรกร และทรงสนับสนุนให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้ มีอาหารสมบูรณ์ มีรายได้และความเป็นอยู่ ตลอดจนมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งๆ ขึ้นไป

    ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ ในวันนี้ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่เปรียบมิได้ ผมขอเชิญพระราชดำริและพระราชกรณียกิจด้านการเกษตรกรรมในเรื่องข้าว ซึ่งเป็นอาหารหลักของปวงชนชาวไทย ให้ทุกท่านได้เรียนรู้และตระหนักถึงคุณค่าของข้าวและผลผลิตทางเกษตรกรรมอื่นๆ ในประเทศไทยที่มีอย่างอุดมสมบูรณ์ ให้ประชาชนชาวไทยสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุขตลอดมา

    [​IMG]

    โดยได้รับความสนับสนุนด้านข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) ดังนี้ครับ

    พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าพระทัยในความทุกข์ยากของชาวนา ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ที่ได้พระราชทานไว้เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๐๔ ความตอนหนึ่งว่า

    “…ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ศึกษาและทดลองทำนาบ้าง และทราบดีว่า การทำนานั้นมีความยากลำบากเป็นอุปสรรคอยู่มิใช่น้อย จำเป็นต้องอาศัยพันธุ์ข้าวที่ดี และต้องใช้วิชาการต่างๆ ด้วย จึงจะได้ผลเป็นล่ำเป็นสัน อีกประการหนึ่ง ที่นานั้นเมื่อสิ้นฤดูกาลทำนาแล้วควรปลูกพืชอื่นๆ บ้าง เพราะจะเพิ่มรายได้ให้อีกไม่น้อย ทั้งจะช่วยให้ ดินร่วน ช่วยเพิ่มปุ๋ยกากพืช ทำให้ลักษณะเนื้อดินดีขึ้น เหมาะสำหรับจะทำนาในฤดูต่อไป…”

    พระราชดำรัสนี้สะท้อนให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นถึงความสำคัญของการทำนา ปลูกข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของคนไทยและทรงให้ความสำคัญกับเพิ่มรายได้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวนาและเกษตรกร ให้มีความพร้อมที่จะช่วยหล่อเลี้ยงและดูแลคนไทยให้มีชีวิตอย่างอุดมสมบูรณ์ พออยู่พอกินโดยทั่วกัน

    ทั้งนี้ จากการศึกษาประวัติศาสตร์พบว่า พระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่โบราณกาลจนถึงยุคปัจจุบัน สมัยรัตนโกสินทร์ทรงให้ความสำคัญกับการทำนาและการเพาะปลูกมาก

    [​IMG]

    โดยในปี ๒๕๐๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูพระราชพิธี
    พืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญขึ้น ทำให้เกิดผลดีต่อการบำรุงขวัญและจิตใจของประชาชน
    ตลอดจนนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่พืชพันธุ์ธัญญาหาร รวมทั้งทำให้ชาวต่างประเทศ
    ได้เห็นประเพณีอันดีงามของสังคมไทยด้วย

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยทำการศึกษาทดลองเกี่ยวกับการปลูกข้าว
    มาตั้งแต่ปี ๒๕๐๔ และตั้งแต่ปี ๒๕๐๕ เป็นต้นมา

    [​IMG]

    โดยได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเมล็ดพันธุ์ข้าวส่วนหนึ่งที่เก็บเกี่ยวจากแปลงนาสาธิตจากโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิตไปใช้ในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และ ณ มณฑลพระราชพิธีท้องสนามหลวงด้วย

    ในปี ๒๕๐๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมวิชาการเกษตรนำพันธุ์ข้าวต่างๆ มาปลูกทดลองในสวนจิตรลดาและปีแรกได้ทรงขับควายเหล็ก ทรงหว่านข้าวและเกี่ยวข้าวด้วยพระองค์เอง โดยทรงเข้าพระทัยถึงความทุกข์ยากลำบากของชาวนา

    และในปีต่อๆ มาก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระยาแรกนาทำพิธีหว่านข้าวลงที่แปลงงานทดลองสวนจิตรลดาต่อจากพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ณ ท้องสนามหลวงด้วย

    [​IMG]

    ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
    ให้ศึกษาพัฒนาและปรับปรุงเครื่องสีข้าวขนาดเล็กพระราชทานให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันใช้ประโยชน์ในชนบทอีกหลายแห่ง เพื่อช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่า และนำวัสดุเหลือใช้จาก “โรงสี” มาก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

    โดยในปี ๒๕๒๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงบดแกลบขึ้นในบริเวณใกล้เคียงกับโรงสีข้าวตัวอย่างสวนจิตรลดา
    เพื่ออัดแกลบเป็นเชื้อเพลิงแท่งสำหรับใช้แทนถ่าน และทรงให้ทดลองนำแกลบที่อัดแล้วไปเผาเป็นถ่านด้วย



    ดังพระราชดำรัสที่ได้พระราชทานไว้เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐ ความตอนหนึ่งว่า

    “…เมื่อตั้งโรงสี ปลูกข้าวเองบ้างและไปซื้อข้าวจากเกษตรกรบ้าง นำมาสีและขาย
    ในราคาที่เหมาะสมเป็นในรูปสหกรณ์ที่ทำที่สวนจิตรลดาเพราะว่าข้าวที่ปลูกในสวนจิตรลดา
    เอาไปทำพิธีแรกนาขวัญ


    ข้าวที่โรงสีนี้เป็น ข้าวที่ไปซื้อจากเกษตรกรโดยตรง โดยให้ราคาที่เหมาะสม
    เกษตรกรก็มีความสุข เพราะขายข้าวในราคาที่เหมาะสม และผู้บริโภคก็ซื้อได้ในราคาถูก
    เพราะว่าไม่ต้องมีการขนส่งมากเกินไป ไม่ต้องมีคนกลางมากเกินไป ตกลงทั้งผู้ผลิตทั้งผู้บริโภคก็มีความสุข…”


    เมื่อปี ๒๕๑๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริเรื่องการก่อตั้งธนาคารข้าว เพื่อให้ชาวนาสามารถพึ่งตนเองได้ และมีข้าวที่เพียงพอกับการบริโภคในครัวเรือน ขณะที่ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรชาวไทยภูเขา ในอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ และได้พระราชทานข้าวเปลือกจำนวนหนึ่งแก่ผู้ใหญ่บ้านหลายแห่ง เพื่อเป็นทุนสำหรับริเริ่มกิจการธนาคารข้าว รวมทั้งได้พระราชทานหลักการและแนวทางในการดำเนินธนาคารข้าวไว้อย่างละเอียด

    ซึ่งในภายหลัง ราษฎรได้เรียนรู้แนวพระราชดำรินั้นและนำมาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ ปรับปรุงให้เหมาะสมกับแต่ละท้องที่

    ดังพระราชดำรัสที่แสดงให้เห็นถึงพระราชประสงค์ของการจัดตั้งธนาคารข้าว ให้เป็นช่องทางของทางการเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้พระราชทานไว้ในปี ๒๕๑๙ ความตอนหนึ่งว่า

    “…ให้มีคณะกรรมการควบคุมที่คัดเลือกจากราษฎรในหมู่บ้านเป็นผู้เก็บรักษาพิจารณาจำนวนข้าวที่จะให้ยืม และรับข้าวคืน ตลอดจนจัดทำบัญชีทำการของธนาคารข้าว ราษฎรที่ต้องการข้าวไปใช้บริโภคในยามจำเป็นให้ลงบัญชียืมข้าวไปใช้จำนวนหนึ่ง เมื่อสามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้แล้ว ก็นำมาคืนธนาคาร พร้อมด้วยดอกเบี้ยจำนวนเล็กน้อยตามแต่ตกลงกัน ซึ่งข้าวที่เป็นดอกเบี้ยดังกล่าวก็จะเก็บรวมไว้ในธนาคารและถือเป็นสมบัติของส่วนรวม…”


    ผลจากการจัดตั้งธนาคารข้าว ซึ่งนอกจากจะเป็นแหล่งอาหารสำรองของหมู่บ้านโดยตรงแล้ว ยังช่วยสร้างรากฐานการพัฒนา เสริมสร้างความสามัคคีในชุมชน ตลอดจนเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ และแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของชุมชน นำมาซึ่งความร่วมมือร่วมใจของสมาชิกในชุมชนและพัฒนาภาวะผู้นำให้เกิดขึ้นในชุมชนด้วย

    [​IMG]

    นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราโชบายสนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มกัน จัดตั้งเป็น หมู่บ้านสหกรณ์การเกษตร เพื่อเป็นการสร้างอำนาจต่อรอง โดยเฉพาะในเรื่องการซื้อขายข้าวด้วย

    ดังพระราชดำรัสที่ได้พระราชทานไว้เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๑๔ ความตอนหนึ่งว่า

    “…ถ้าจะแก้ปัญหานี้ ก็จะต้องแก้จุดนี้ต้องแก้ด้วยการรวมกลุ่มเป็นกลุ่มผู้บริโภคเหมือนกัน แล้วก็ไปติดต่อกับกลุ่มผู้ผลิต โดยที่ไปตกลงกันและอาจจะต้องตั้งหรือไปตกลงกับโรงสีให้แน่ จะได้ไม่ต้องผ่านมือหลายมือ
    ถ้าทุกคนที่บริโภคข้าวตั้งตัวเป็นกลุ่มแล้ว ก็ไปซื้อข้าวเปลือกแล้วก็ไปพยายามสีเองหรือให้ผู้แทนของตัวสี ก็ผ่านมือเพียงที่ผู้ผลิตผู้ที่สีและผู้ที่บริโภคก็แก้ปัญหา (คนกลาง) อันนี้ลงไป…”

    ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระเมตตาต่อพสกนิกรชาวไทย โดยเฉพาะเกษตรกร ชาวนา ซึ่งเป็นอาชีพที่สำคัญของประเทศ เสมอมา ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่เปรียบมิได้

    ผมขอเชิญชวนให้สังคมไทยได้ร่วมศึกษา เรียนรู้แนวพระราชดำริและพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ ให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งและถ่องแท้ เพื่อเป็นแนวทางและนำมาซึ่งทางออกของปัญหาที่สังคมไทยเผชิญอยู่ร่วมกันในขณะนี้ครับ.

    ขอบคุณที่มา:สำนักข่าวเจ้าพระยา : ข่าว, ข่าวการเมือง, ข่าวเศรษฐกิจ, ข่าวสังคม, ข่าวความมั่นคง ข่าวต่างปร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2014
  20. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    ทฤษฎี "แกล้งดิน" อันเนื่องมาจากพระราชดำริ

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ ฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในเขตจังหวัดนราธิวาสในปี พ.ศ. 2524 ทรงพบว่าหลังจากมีการชักน้ำออกจากพื้นที่พรุเพื่อจะได้มีพื้นที่
    ใช้ทำการเกษตรและเป็นการบรรเทาอุทกภัยนั้น
    ปรากฎว่าดินในพื้นที่พรุแปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด ทำให้เพาะปลูกไม่ได้ผล

    จึงมีพระราชดำริให้ส่วนราชการต่าง ๆ พิจารณาหาแนวทางในการปรับปรุงพื้นที่พรุที่มีน้ำแช่ขังตลอดปีให้เกิดประโยชน์ในทางการเกษตรมากที่สุดและให้คำนึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ด้วย การแปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด
    เนื่องจากดินมีลักษณะเป็นเศษอินทรีย์วัตถุหรือซากพืชเน่าเปื่อยอยู่ข้างบนและมีระดับความลึก 1-2 เมตร เป็นดินเลนสีเทาปนน้ำเงิน ซึ่งมีสารประกอบกำมะถัน ที่เรียกว่า สารประกอบไพไรท์ (pyrite : FeS2) อยู่มาก ดังนั้น เมื่อดินแห้ง สารไพไรท์จะทำปฏิกิริยากับอากาศปลดปล่อยกรดกำมะถันออกมา ทำให้ดินแปรสภาพเป็นดินกรดจัดหรือเปรี้ยวจัด ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่อง มาจากพระราชดำริ
    จึงได้ดำเนินการสนองพระราชดำริโครงการ "แกล้งดิน"

    เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดของดิน
    เริ่มจากวิธีการ "แกล้งดินให้เปรี้ยว"
    ด้วยการทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกันไป เพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของดิน ซึ่งจะไป
    กระตุ้นให้สารไพไรท์ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ปลดปล่อยกรดกำมะถันออกมา ทำให้ดินเป็นกรดจัดจนถึงขั้น "แกล้งดินให้เปรี้ยวสุดขีด" จนกระทั่งถึงจุดที่พืช
    ไม่สามารถเจริญงอกงามได้ จากนั้นจึงหาวิธีการปรับปรุงดินดังกล่าวให้สามารถปลูกพืชได้ วิธีการแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวจัดตามแนวพระราชดำริ มีดังนี้

    1. ควบคุมระดับน้ำใต้ดิน เพื่อป้องกันการเกิดกรดกำมะถัน จึงต้องควบคุมน้ำใต้ดินให้อยู่เหนือชั้นดินเลนที่มีสารไพไรท์อยู่ เพื่อมิให้สารไพไรท์ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนหรือถูกออกซิไดซ์

    2.การปรับปรุงดิน มี 3 วิธีการ ตามสภาพของดินและความเหมาะสม คือ

    ใช้น้ำชะล้างความเป็นกรด เมื่อล้างดินเปรี้ยวให้คลายลงแล้วดินจะมีค่า pH เพิ่มขึ้นอีกทั้งสารละลายเหล็กและอลูมินั่มที่เป็นพิษเจือจางลงจนทำให้พืชสามารถเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะถ้าหากใช้ปุ๋ยไนโตรเจนและฟอสเฟตก็สามารถให้ผลผลิตได้
    การใช้ปูนผสมคลุกเคล้ากับหน้าดิน เช่น ปูนมาร์ล ปูนฝุ่นซึ่งปริมาณของปูนที่ใช้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของความเป็นกรดของดิน
    การใช้ปูนควบคู่ไปกับการใช้น้ำชะล้างและควบคุมระดับน้ำใต้ดิน เป็นวิธีการที่สมบูรณ์ที่สุดและใช้ได้ผลมากในพื้นที่ซึ่งดินเป็นกรดจัดรุนแรง และถูกปล่อยทิ้งเป็นเวลานาน

    3. การปรับสภาพพื้นที่ มีอยู่ 2 วิธี คือ

    การปรับระดับผิวหน้าดิน ด้วยวิธีการ คือ
    ปรับระดับผิวหน้าดินให้มีความลาดเอียง เพื่อให้น้ำไหลไปสู่คลองระบายน้ำ
    ตกแต่งแปลงนาและคันนาใหม่ เพื่อให้เก็บกักน้ำและระบายน้ำออกไปได้
    การยกร่องปลูกพืช สำหรับพืชไร่ พืชผัก ไม้ผล หรือไม้ยืนต้นที่ให้ผลตอบแทนสูง ถ้าให้ได้ผลต้องมีแหล่งน้ำชลประทานเพื่อขังและถ่ายเทน้ำได้เมื่อน้ำในร่องเป็นกรดจัด การยกร่องปลูกพืชยืนต้นหรือไม้ผล ต้องคำนึงถึงการเกิดน้ำท่วมในพื้นที่นั้น หากมีโอกาสเสี่ยงสูงก็ไม่ควรทำ หรืออาจยกร่องแบบเตี้ย ๆ พืชที่ปลูกเปลี่ยนเป็นพืชล้มลุกหรือพืชผัก และควรปลูกเป็นพืชหมุนเวียนกับข้าวได้



    วิธีการปรับปรุงดินเปรี้ยวจัดเพื่อการเกษตร
    1. เพื่อใช้ปลูกข้าว

    เขตชลประทาน
    - ดินที่มีค่า pH น้อยกว่า 4.0 ใช้ปูนอัตรา 1.5 ตัน/ไร่
    - ดินที่มีค่า pH ระหว่าง 4.0-4.5 ใช้ในอัตรา 1 ตัน/ไร่
    เขตเกษตรน้ำฝน
    - ดินที่มีค่า pH น้อยกว่า 4.0 ใช้ปูนในอัตรา 2.5 ตัน/ไร่
    - ดินที่มีค่า pH ระหว่าง 4.0-4.5 ใช้ปูนอัตรา 1.5 ตัน/ไร่
    ขั้นตอนการปรับปรุงดินเปรี้ยว
    หลังจากหว่านปูนให้ทำการไถแปร และปล่อยน้ำให้แช่ขังในนาประมาณ 10 วัน จากนั้นระบายน้ำออกเพื่อชะล้างสารพิษ และขังน้ำใหม่เพื่อรอปักดำ

    2. เพื่อใช้ปลูกพืชล้มลุก

    การปลูกพืชผัก มีวิธีการ คือ
    ยกร่อง กว้าง 6-7 เมตร คูระบายน้ำกว้าง 1.5 เมตร และลึก 50 ซม.
    ไถพรวนดินและตากดินทิ้งไว้ 3-5 วัน
    ทำแปลงย่อยบนสันร่อง ยกแปลงให้สูง 25-30 ซม. กว้าง 1-2 เมตร เพื่อระบายน้ำบนสันร่องและเพื่อป้องกันไม่ให้แปลงย่อยแฉะ
    เมื่อรดน้ำหรือเมื่อมีฝนตก
    ใส่หินปูนฝุ่นหรือดินมาร์ล 2-3 ตัน/ไร่ คลุกเคล้าให้เข้ากับดิน ทิ้งไว้ 15 วัน
    ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยอินทรีย์ 5 ตัน/ไร่ ก่อนปลูก 1 วัน เพื่อปรับปรุงดิน
    การปลูกพืชไร่บางชนิด กระทำได้ 2 วิธี คือ
    แบบยกร่องสวนและแบบปลูกเป็นพืชครั้งที่ 2 หลังจากการทำนา
    การปลูกพืชไร่แบบยกร่องสวนมีวิธีเตรียมพื้นที่เช่นเดียว
    กับการปลูกพืชผัก
    การปลูกพืชไร่หลังฤดูทำนา ซึ่งอยู่ในช่วงปลายฤดูฝน
    การเตรียมพื้นที่ต้องยกแนวร่องให้สูงกว่าการปลูกบนพื้นที่ดอน 10-20 ซม. เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำแช่ขังถ้ามีฝนตกผิดฤดู ถ้าพื้นที่นั้นได้รับการปรับปรุงโดยการใช้ปูนมาแล้ว คาดว่าคงไม่จำเป็นต้องใช้ปูนอีก

    3. เพื่อปลูกไม้ผล



    สร้างคันดินกั้นน้ำล้อมรอบแปลงเพื่อป้องกันน้ำขัง และติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำออกตามต้องการ
    ยกร่องปลูกพืชตามวิธีการปรับปรุงพื้นที่ที่มีดินเปรี้ยวจัดเพื่อปลูกไม้ผล
    น้ำในคูระบายน้ำจะเป็นน้ำเปรี้ยว ต้องระบายออกเมื่อเปรี้ยวจัดและสูบน้ำจืดมาแทน ช่วงเวลาถ่ายน้ำ 3-4 เดือนต่อครั้ง
    ควบคุมระดับน้ำในคูระบายน้ำ ไม่ให้ต่ำกว่าชั้นดินเลนที่มีสารประกอบไพไรท์ เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาที่จะทำให้ดินมีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น
    ใส่ปูน อาจเป็นปูนขาว ปูนมาร์ล หรือหินปูนฝุ่น โดยหว่านทั่วทั้งร่องที่ปลูกอัตรา 1-2 ตัน/ไร่
    กำหนดระยะปลูกตามความเหมาะสมของแต่ละพืช
    ขุดหลุม กว้าง ยาว และลึก 50-100 ซม. แยกดินชั้นบนและดินชั้นล่าง ทิ้งไว้ 1-2 เดือน เพื่อฆ่าเชื้อโรค เอาส่วนที่เป็นหน้าดินผสมปุ๋ยคอก
    หรือปุ๋ยหมัก หรือบางส่วนของดินชั้นล่างแล้วกลบลงไปในหลุมให้เต็ม ใส่ปุ๋ยหมัก 1 กก./ต้น โดยผสมคลุกเคล้าให้เข้ากับปูนในอัตรา 15 กก./หลุม
    ดูแลปราบวัชพืช โรค แมลง และให้น้ำตามปกติ สำหรับการใช้ปุ๋ยบำรุงดินขึ้นกับความต้องการและชนิดของพืชที่จะปลูก

    ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงเศษเสี้ยวใน พระอัจฉริยะภาพของในหลวง ที่มุ่งหวังให้ปวงชนได้ อยู่ดีกินดี และมีความสุข
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 16.jpg
      16.jpg
      ขนาดไฟล์:
      118.2 KB
      เปิดดู:
      3,245

แชร์หน้านี้

Loading...