70. ...ภูทับเบิก ไปเลยกันมั๊ย...

๗๐

ภูทับเบิก ไปเลยกันมั๊ย



​

นั่งเปิดบล็อกของคนอื่น ดูรีวิวเที่ยวไปเรื่อยๆ ว่าที่ไหนน่าสนใจบ้าง แต่สร้อยฟ้ามาลาก็มีธงอยู่ในใจแล้วว่าจะไปเที่ยวที่ไหน search ข้อมูลดูเส้นทาง ดูสิ่งที่น่าสนใจระหว่างทาง ดูว่าที่ๆ จะไปมีอะไรดีๆ ให้เที่ยวบ้าง ตรงไหนเป็นจุดเด่น ที่ตั้งไว้ก็จะไปภูทับเบิก ไปดูไร่กะหล่ำปลี ไปสูดอากาศ กะไว้ว่า จะไป ๓ วัน ๒ คืน คือวันแรกจะไปนอนที่เขาค้อ เที่ยวเขาค้อ วันที่สองไปนอนภูทับเบิกแล้วเที่ยวที่ภูทับเบิก และก็กลับบ้าน แต่หลังจากนั่งหาข้อมูลไปเรื่อยๆ ก็ไปสะดุดกับบล็อกท่องเที่ยวของคนหนึ่งเข้า เขาบอกว่าขับรถออกจากกรุงเทพขึ้นภูทับเบิก นอน ๑ คืน วันรุ่งขึ้นก็ไปเที่ยวต่อที่ จังหวัดเลย ไปเที่ยวภูเรือ แล้วก็ไปเชียงคาน นอนเชียงคาน วันรุ่งขึ้นก็ไปเที่ยวต่อที่ภูกระดึงแต่ไม่ได้ขึ้นไปถึง ซำ ต่างๆ นะ แล้วตรงดิ่งกลับกรุงเทพฯ มาถึงไม่เกิน ๒ ทุ่ม....จริงเหรอ จริงหรือนี่??? สามารถเที่ยวได้เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็น่าสนใจนะ ลองไปบ้างดีกว่า แต่ขอตัดภูกระดึงออกไป ไปถึงแค่เชียงคานก็พอ แต่เชียงคานก็สุดประเทศไทยนะเออ.....


การไปสูดอากาศครั้งนี้มีแผนว่าจะไปนอนกางเต็นท์ที่ภูทับเบิกก่อน ซื้อเต็นท์มาขนาด ๖ คนนอนยังไม่เคยได้ใช้เลย ครั้งนี้ชวนคุณพ่อคุณแม่และแมงปอแก้วไปด้วย ทีแรกไม่ยอมไป ก็เลยบังคับเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าให้ซะเลย ที่ไม่ยอมไปเพราะกลัวจะหนาวด้วยว่าเป็นเดือนมกราคมอากาศยังเย็นอยู่ แล้วก็เตรียมเสื้อหนาว เสื้อไหมพรม หมวกไหมพรม ลองจอน ๒ ชุดที่ไปเที่ยวเกาหลีมาก็เอาไปด้วยไว้ให้พ่อกับแม่ใส่ ส่วนตัวเองก็คิดว่าไม่น่าจะหนาวขนาดนั้นแค่เสื้อคลุมตัวเดียวก็พอ... ครั้นฉุดขึ้นรถได้ จากที่ไม่ยอมไป ไม่ยอมไป กลับกลายเป็นตื่นเต้นได้ไปเที่ยวนอนกางเต็นท์....แต่ว่ากว่าจะออกรถก็ ๑๐ โมงกว่าไปแล้ว....แง๊วววว จะถึงภูทับเบิกกี่โมงเนี่ยะ....


ขับรถไปเรื่อยๆ ไม่ได้ใช้ความเร็วมาก ไม่เกิน ๑๑๐ กลัวมีจดหมายมาเรียกเก็บตังก์ ๕๐๐ บาทอีก เปิด GPS ดูทาง เตือนความเร็วไปด้วย เพราะถ้าขับเกิน ๑๐๐ GPS ก็จะเตือน มาถึงแถวๆ วังน้อย อยุธยาก็เที่ยงกว่า...แวะเติมพลังให้กับรถก่อนจะยิงยาวไปเพชรบูรณ์ ระหว่างทางก็แวะปั๊มบ้างเพื่อพักขาและเข้าห้องน้ำกับซื้อขนม...ดูแผนที่ ก็ไม่เห็นจะไกล ถ้าเทียบกับขึ้นสายเหนือก็น่าจะราวๆ ไปพิษณุโลก แต่ทำไม ขับยังไงก็ไม่ถึงเขาค้อ เพชรบูรณ์สักที....

ที่จริงเมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว(ปี ๒๕๕๖) ก็เคยมาเที่ยวเขาค้อนะ ตอนนั้นไม่ได้ขับรถเอง พอดีได้เทียบเชิญจากคุณหญิงที่รู้จักกันเชิญไปกินเลี้ยงงานวันเกิดท่านผู้ใหญ่ที่เพชรบูรณ์ตอนค่ำ แต่ก่อนไปงานก็ขึ้นไปเที่ยวบนเขาค้อก่อน แต่ครั้งนั้นไม่ได้ทำกระทู้เรื่องเล่า เพราะสร้อยฟ้ามาลาขี้เกียจเล่าเรื่องเที่ยวเขาค้อ ตอนนั้นไปเที่ยวที่ฐานอิทธิ พิพิธภัณฑ์อาวุธ, เจดีย์พระบรมธาตุเขาค้อ แต่พระตำหนักเขาค้อไม่ได้ขึ้นไป พลขับ ขับรถไม่เก่ง เป็นรถตู้ ขับขึ้นเขาเบรกไหม้ ใช้ engine break ไม่เป็น นั่งเกร็งไปเลย ตอนเย็นงานเลี้ยงเพิ่งเคยเห็นเหล่านายพล แม่ทัพมณฑลทหารบก รีแล็คหลุดโลก อ่ะหน่ะ เล่นหัวกับทหารเกณฑ์ที่มาช่วยงานอย่างสนุกสนาน วันนั้นคุณหญิงจะเปิดรีสอร์ทให้พัก แต่คณะของเราเกรงใจจึงดอดกลับกรุงเทพฯ ในคืนนั้นเลย แผนที่คณะของเราวางไว้ว่าจะเที่ยวภูทับเบิกในคราวนั้นก็เป็นอันพับไป....

สร้อยฟ้ามาลาขับรถผ่านรีสอร์ทที่มางานเลี้ยงวันเกิดเมื่อปีที่แล้วถึงตรงจุดนี้เวลาประมาณเกือบบ่ายสามโมงครึ่ง เริ่มหมดแรงเพราะข้าวกลางวันยังไม่ได้กินกันเลย ทำไมถึงไม่จอดแวะกินหล่ะ ก็พอเจอป้ายร้านอาหารจะจอดๆ ก็ปิดร้าน ปิดร้าน จึงขับมาเรื่อยๆ จนถึงทางขึ้นเขาค้อ ก็เลี้ยวขึ้นไปประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงที่แรกที่พวกเราจะมาเที่ยว

​

 

​

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ​

สถานที่อันเป็นธรรมภูมิที่งดงาม ซึ่งเรียกว่าผาซ่อนแก้วนี้ มีธรรมชาติเป็นภูเขาที่สูงใหญ่ ซ้อนกันเป็นทิวเขาเรียงรายโอบรอบบริเวณศาลาปฏิบัติธรรม และบนยอดเขาสูงตระหง่านนั้น มีถ้ำอยู่บนปลายยอดเขา ซึ่งมีชาวบ้านทางแดงหลายคน ได้เห็นลูกแก้วลอยเหนือฟากฟ้า และลับหายเข้าไปในถ้ำบนยอดผา ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา และต่างถือว่าเป็นสถานที่มงคล มีความศักดิ์สิทธิ์และเรียกตาม ๆ กันว่า “ผาซ่อนแก้ว” และพุทธสถานที่มาตั้งในจุดที่โอบล้อมด้วยทิวเขาดังกล่าว จึงเรียกว่า “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” เพื่อเป็นนิมิตมงคลแก่ชาวบ้านทางแดง และผู้มาปฏิบัติธรรมสืบไป

ประวัติความเป็นมา (คัดลอกมาจากทางเว็ปของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว)


วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ในนาม “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” ได้รับการอนุมัติจัดตั้งเป็นวัด ในมงคลนามว่า “วัดพระธาตุผาแก้ว” เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ จากคณะกรรมการมหาเถรสมาคม โดยมีพระครูปลัด ปารมี สุรยุทโธ เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” เมื่อ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เพื่อให้สอดคล้องกับบริเวณที่ตั้ง ซึ่งแต่เดิมชาวบ้านเรียกกันว่า “ผาซ่อนแก้ว”

​

 

​

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วตั้งอยู่ในชัยภูมิธรรม ณ บริเวณเนินเขาในหมู่บ้านทางแดง ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ โดย คุณภาวิณี และ คุณอุไร โชติกูล ได้มีจิตศรัทธาซื้อที่ดินถวายเริ่มแรกจำนวน ๒๕ ไร่ เพื่อก่อสร้างเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมแก่พระสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไป ปัจจุบันมีผู้ร่วมถวายปัจจัยซื้อที่ดินเพิ่มรวมทั้งสิ้นมีที่ดินรวม ๙๑ ไร่

​

 

​

พระครูปลัดปารมี สุรยุทโธ และ พระครูใบฎีกาอำนาจ โอภาโส สองครูบาอาจารย์คู่บุญคู่บารมี ร่วมกับคณะศิษยานุศิษย์และเหล่าผู้มีจิตศรัทธาจากทั่วประเทศได้ร่วมกันจัด สร้างเสนาสนะ กุฏิที่พักสงฆ์ อาคารปฏิบัติและบรรยายธรรม รวมถึงอาคารที่พักผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อรองรับคณะผู้มีจิตศรัทธาจากทุกแห่งหนที่ หลั่งไหลกันเข้ามาอบรมภาวนาในแนวสติปัฎฐานสี่ แห่งองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากันอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ปิติยินดียิ่งของครูบาอาจารย์กับเหล่าบรรดาศิษยานุศิษย์ที่ได้ร่วม แรงร่วมใจ สละทั้งแรงกาย แรงทรัพย์ พร้อมทั้งความวิริยะอุตสาหะ และ ความตั้งใจมั่นเพื่อให้วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วเป็นที่ปฏิบัติภาวนาสำหรับผู้มีจิตศรัทธาสืบต่อไป…



อ้างอิง http://www.phasornkaew.org/

​

 

ข้อมูลวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วได้มาเพียงแค่นี้

จะลงภาพวัดให้ดูไปพลางๆ ก่อนนะ










​

 

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว

​

 

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว

​

 

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว

​

 

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว

​

 

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว

​

 

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว

​

 

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว

​

 

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว

​

 

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว

​

 

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว

​

 

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว

​

 

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว

​

 

ทำบุญไหว้ที่ที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว แล้วก็กลับลงมาทางเดิม ระหว่างลงมีตลาดชาวเขาอยู่ด้านซ้ายมือ จึงแวะจอดหาของกิน ได้ข้าวผัดคนละกล่องซื้อไว้ไปกินบนภูทับเบิก แวะซื้อของตรงนี้ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จึงเดินทางกันต่อ มองนาฬิกาเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว รู้สึกกังวลว่าจะขึ้นภูทับเบิกมืดหรือเปล่า อีกใจก็คิดว่าไม่น่าจะมืดมาก มองดูแผนที่อยู่ไม่ไกลกันกับเขาค้อ

ตลาดชาวเขา​

​

​

 

​

 

ร้านขายอาหารตามสั่ง ที่ตลาดชาวเขา



​