ลักษณะของคู่แท้คู่บารมี (Soul Mate)

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ธรรมวิวัฒน์, 31 พฤษภาคม 2014.

  1. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,407
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,420
    ขอมอบเพลงนี้ ให้แก่เหล่านางแก้ว ทั้งหลาย

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=t2wsnVDulr8"]http://www.youtube.com/watch?v=t2wsnVDulr8[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2014
  2. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,407
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,420
    ตัวผมไม่ได้มโนไรหรอกนะครับ ดังนั้นคงจะแนะนำอะไรไม่ได้หรอกครับ

    ต้องขอโทษด้วยนะครับ
     
  3. ร้อนแรง

    ร้อนแรง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    212
    ค่าพลัง:
    +716
    ผมนับว่าโชคดีที่ได้พบภรรยาคนนี้ครับ จะขาดไปในข้อที่ 2และข้อที่ 8 ครับ นอกจากนั้นครบ
     
  4. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    นี่ก็ดีอย่างมากแล้วครับ 2กับ 8 ยาขนานเดียวกัน พรหมวิหารสี่

    อาจจะเป็นยาขม ก็ค่อยๆแบ่งเป็นผงผสมชาเขียวผลมกลิ่นมะลิ ให้วันละเล็กละน้อยสักวันก็ได้ครบสิบครับ

    เพียงแต่อย่าทำยาหกให้เห็น การผสมอย่าให้มีสี และกลิ่นของยา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 มิถุนายน 2014
  5. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ผมก็ยังหิ้วกระเป๋าไปโรงเรียน ยังไม่ขึ้น ป1.เลย ซ้ำอนุบาลสองอยู่นี่แหละ ยังเสียวๆอยู่ว่าผู้ปกครองจะเรียกไปชี้แจง
     
  6. ตาวะติงสา

    ตาวะติงสา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +5
    ทั้ง 10 ประการนี้ เราพบแล้ว แต่มีกรรมพลัดพรากทำให้ต้องจากกันอย่างไม่มีวันกลับ เราก็ สงสัยทำต้องนานกับคนๆนี้ พอได้อ่านกระทู้นี้เลยทำให้มั่นใจและแน่ใจ 100 เปอเซนต์ ว่า คุ่บารมีของเราจริง ตั้งแต่รู้จักกันมา กับคนๆนี้ มีแต่สิ่งดีๆ มีแต่เส้นทางสีขาว โกรธเคืองก็ไม่มี เข้ากันได้ จนน่าอัศจรรย์ ยิ่งเมื่อพบกันครั้งแรก ยิ่งใช่ อย่างที่ข้อ1 กล่าวไว้ แต่โดยรวมเกิดขึ้นทุกข้อจริงๆ
     
  7. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    ข้อ 4 ที่ว่าไม่หึงหวงนั้นเป็นอย่างไรเหรอคะ

    ไม่หึง เพราะรักกันมาก เชื่อใจกันมาก มั่นใจว่าต่างคนต่างไม่มีใครเลยไม่หึงหวง

    หรือ...

    ไม่หึง เพราะ ไม่ยึดติด มีเมตตาต่อกันมาก เป็นห่วงความสุขของอีกฝ่าย
    มากกว่าของตัวเอง เป็นรักที่ไร้เงื่อนไข ไร้ข้อผูกมัด

    เป็นแบบไหนคะ?
     
  8. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    เพลงเพราะจังเลยค่ะ ฟังแล้วละเมอเพ้อพกไปไกลเลยเชียว ....อิ อิ
     
  9. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    นางแก้วจะเป็นนางแก้วที่แท้จริง และเป็นเนื้อคู่ที่แท้จริง เมื่อเราเป็นสามีที่ดีครับ ผมเชื่ออย่างนั้น
    เท่าที่อ่านมารู้สึกเหมือนกับว่า เราจะเอาอย่างโง้นอย่างงี้ อย่างเดียวเลย ไม่มีใครบอกว่าจะให้อะไรนางแก้วบ้างเลย
     
  10. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252

    สำหรับผม ผมทำตามที่พ่อสอนแบบนี้ครับ
    ตามหลักคิหิปฏิบัติของฆราวาสผู้ครองเรือน

    เรื่องทิศทั้งหกในหัวข้อสาม ปัจฉิมทิส ทิศเบื้องหลัง ได้แก่ สามีภรรยา
    สามีพึงบำรุงภรรยา ดังนี้


    ๑. ยกย่องนับถือให้เกียติ์ว่าเป็นภรรยาสมฐานะ
    ๒. ไม่ดูถูกดูหมิ่น เหยียดหยาม
    ๓. มอบความเป็นใหญ่ในบ้านให้
    ๔. ไม่นอกใจ
    ๕. หาเครื่องประดับ เสื้อผ้าอาภร มาให้เป็นของขวัญ ตามวาระ ตามโอกาส


    คนอื่นเป็นอย่างไรอันนี้ไม่รู้ แต่สำหรับผมหากจะขออะไรจากใครผมต้องให้เขาก่อน ตามหลักผู้ไหว้ ก็ได้รับการไหว้ตอบ หากจะให้เขายิ้มให้เรา ผมก็ยิ้มแย้มแจ่มใสให้เขาก่อน หากต้องการความปารถนาดีจากใคร ผมก็ต้องปรารถนาดีกับเขาก่อน

    สำหรับนางแก้วในดวงใจ อันเป็นที่รักยิ่ง ผมก็ต้องการปารถนาให้เขาซื่อสัตย์จงรักภักษ์ดี ถวายชีวิตกับผมอย่างไร ผมเองก็ต้องมีความรักซื่อสัตย์จงรักภักษ์ดี ถวายชีวิตใให้เขาก่อนเช่นกัน เรื่องการเสี่ยงแลกด้วยชีวิตให้เขานี้ แก้วทุกแก้วของผมได้ประจักแก่ใจของเขาทุกคน

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 มิถุนายน 2014
  11. tOR™

    tOR™ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +328
    ลองได้มีคนมากกว่า 1 คน โอกาสเกิดความวุ่นวายย่อมมีได้เสมอ ไม่ว่าจะความสัมพันธ์แบบไหนก็ตาม
     
  12. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    เรื่องการไม่หึงหวงประสาอารมณ์ชาวบ้าน ที่จะเอามาวัดกับยอดนารีนางแก้วนั้น เดี๋ยวผมจะให้แก้วเล็ก จอมกระบี่น้องเล็กมาอธิบายด้วยตัวเขาเอง แบบไม่ต้องถึงมือระดับต่อไปจนถึง ระดับรองเบอร์หนึ่ง หรือถึงมือแม่ใหญ่ หากใครผ่านด่านเพลงกระบี่ของแก้วเล็ก กว่าจะไปดวลเดี่ยวกับแก้วใหญ่เพื่อขอดูเพลงดาบ มันจะมีอีกนับสิบด่านกว่าจะไปดวลกับรองอันดับหนึ่ง แล้วค่อยเจอกับแก้วใหญ่

    วันนี้เข้าห้องพระไปแล้วทั้งสองแก้ว วันหลังจะให้เขาอธิบายให้ฟังครับ
     
  13. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    หากว่าพูดแค่ความวุ่นวายไม่ว่าจะ 1 หรือมากว่าหนึ่งมีความวุ่นวายมีทั้งสองอย่าง
    ก่อนที่จะมีสองสามสี่....มันเริ่มที่หนึ่งก่อนเสมอ เรื่องหลายๆเรื่องบางที่มากกว่า1 กับ Balance ได้ดีกว่า
     
  14. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743

    สาธุ น่าสนใจมากๆค่ะพี่ ขอล้างหูรอฟังอีกหนึ่งคนนะคะ ^__^
     
  15. tOR™

    tOR™ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +328
    อย่าแปลกใจข้อที่ว่า หึงหวงกันเลยครับ ถ้าจะมีบ้างก็ไม่แปลก ยกเว้นแต่กลั้นใจหรือทำใจ แต่ถ้าธรรดา ฉันไม่รู้สึกไรเลย คนมันไม่รักกันแล้วมั้งครับ
     
  16. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    เกิดเจ็บตาย ว่ายเวียน ในกองทุกข์
    สำราญสุข ผูกด้วยรัก สมัครสมาน
    วนเวียนรัก วนเวียนพราก มายาวนาน
    บ่มพระญาณ ให้แก่กล้า บารมี

    ข้าพเจ้า นางพิมพา ยโสธรา
    เวียนเกิดมา คู่เบื้องบาท พระชินสีห์
    สี่อสงไขย อีกแสนกัปล์ ถ้นบารมี
    สละชีวี เลือดเนื้อ เพื่อจอมไธย

    มาบัดนี้ จบแจ้ง ได้เห็นจริง
    ถ้วนทุกสิ่ง ล้วนแต่ถือ เอามิได้
    หมดภพชาติ ตายเกิด ทุกข์ท่วมใจ
    สละไว้ แล้วด้วย ทศบารมี

    ...............................................
    ...............................................
    “ดูกร เจ้าพิมพา อันตัวเจ้านี้มีคุณแก่เราตถาคตมาแต่กาลก่อนเราจักได้สำเร็จแก่พระบวรสัมโพธิญาณก็เพราะเจ้าเป็นสำคัญ เราทั้งสองเคยร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาโทษผิดที่เจ้ามีต่อเราตถาคตในแต่ปางก่อน วันนี้เราขอยกโทษให้แก่เจ้าจนหมดสิ้น อนึ่งโทษานุโทษอันใดที่เราได้ล่วงเกินเจ้าในชาติที่ผ่านมา ตลอดจนถึงชาติปัจจุบัน ขอเจ้ายกโทษให้แก่เราตถาคตเสียให้สิ้น แล้วจงดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานอันเป็นเอกัตคตาบรมสุขไปก่อนเถิดนะ เจ้าพิมพา”

    แล้วพระองค์ทรงตรัสโอวาทแก่เหล่าภิกษุเพื่อรำลึกถึงพระนางเป็นครั้งสุดท้าย

    “ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ตลอดเวลาอันยาวนานของการบำเพ็ญบารมีสะสมความดีเพื่อตรัสรู้ พระนางพิมพายโสธราเถรีซึ่งเป็นคู่รักเพื่อนชีวิต ในอดีตชาติได้เสียสละทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือ การสั่งสมบารมีของเรา เธอยอมสละแม้กระทั่งความสุขความสบายส่วนตน จนกระทั่งเราได้มาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาตินี้ อันเป็นชาติสุดท้ายของเราทั้งสอง อันเป็นประโยชน์ที่จะได้เผยแผ่สัจธรรมสู่มวลมนุษย์ เพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง จักมีใครที่สร้างคุณอยู่เบื้องหลังการบรรลุธรรมเทียบเท่ากับเธอเช่นนั้นแล้วไม่มีอีกแล้ว”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ไม่หึงหวงเลยมันก็ไม่ใช่วิสัยผู้หญิง มันต้องมีแน่ ตอนเริ่มต้น ตอนรักกันแรกๆ ที่ทุกคนยังเป็นวัยแรกรุ่น ยังไม่มีการรู้อารมณ์การครองคู่ แค่ผู้ใหญ่สั่งสอนอยู่ห่างๆ แค่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร อารมณ์ความรู้สึกในช่วงครองคู่ไม่มีใครถ่ายทอดอารมณ์ให้ใครได้

    อย่างคำสอนอุปมาของสมเด็จพระพุทธาจารย์โต ว่าผลของรสพระธรรมนั้นเป็นอย่างไร สมเด็จท่านอุปมาว่า มีพี่น้องสองสาว คนพี่แต่งงานแล้ว น้องสาวยังไม่แต่งงาน ก็เห็นที่สาวมีความสุขสดชื่น ระรื่นอย่างกับต้นไม้ดอกไม้ได้รับน้ำฝน มีความสุขมาก น้องสาวอยากรู้บ้าง พี่สาวก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ก็ได้แต่บอกว่าหากว่าน้องมีสามีเมื่อไรก็จะรู้รสเอง

    ต่อมาเมื่อน้องสาวแต่งงานใหม่ๆก็มีอาการเดียวกับพี่สาวคือมีความสุขสดชื่นสดใส
    พี่สาวก็ถามว่าเป็นไงรสชาดการมีสามี น้องสาวก็ตอบไม่ได้ ก็ได้แต่พากันหัวเราะคิกคักประสาคนที่รู้รส

    นี่มันเป็นเรื่องอารมณ์ความรู้สึกจะรู้ได้เมื่อเราเข้าถึง พูดแบบวิชาการธัมมะหน่อยก็คือการเสวยอารมณ์

    ทีนี้คนเราเมื่อต่างคนต่างเริ่มมีอายุมากขึ้น ภาระต่างๆมากขึ้น ประสพการณ์จริงมันสั่งสอน เรียกว่าธรรมชาติมันสั่งสอน จนมีความรู้ ความเข้าใจมากขึ้น อารมณ์ความหึงหวงประสาแรกรุ่นประสพการณ์น้อยมันก็พัฒนาเป็นประสพการณ์มาก อารมณ์ใจมันก็มีการยับยั้งชั่งใจตามเหตุตามผลของมัน

    คนระดับนางแก้วคู่บารพระโพธิญาณผ่านการอบรมบ่มนิสัยมานับชาติ นับภพไม่ได้ แบบคนเคยอ่านหนังสือได้แล้ว ไปอยู่ในป่า ในทะเลทรายจะกี่ปีก็ตามอ่านได้ตอนเด็กจนคล่อง แล้วไม่เห็นหนังสืออีกเลยจนแก่เฒ่า เจอตัวหนังสือภาษาเดิมเมื่อไรสกิดนิดเดียวก็อ่านได้ อารมณ์ใจของนางแก้วที่อ่านหนังสือออกแล้ว ไม่จำเป็นต้องสอนกันนาน เห็นหนังอ่านได้เลยทันที

    การที่จะเอาอารมณ์ใจของเด็กวัยรุน ไปวัดกับอารมณ์ใจของคนแก่มันวัดกันไม่ได้

    อารมณ์วัยรุ่นมันขึ้นได้ง่าย แล้วไม่ค่อยติดอะไร มันก็พรุ่งทะยานของมันไปประสามัน

    อารมณ์ใจของคนแก่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมันขึ้น มันก็ติดโน่นติดนี่อะไรต่อมิอะไรจนตกผลึก แบบว่าการที่เราจะเผาเหล็กกล้าจากของแข็งเป็นแท่ง ให้จนเป็นของเหลว จากของเหลวละลายให้กลายเป็นไอ ระเหยไปในอากาศได้นี่ ระยะเวลากรรมวิธี

    มันต่างกันมากอย่างเทียบไม่ได้กับการต้มน้ำให้ร้อน ให้เดือด จนกลายเป็นไอน้ำ

    เรื่องการหึงหวงนั้นเป็นธรรมดาแต่เป็นตอนเริ่มต้น อย่างพระแม่เจ้าพิมพาราชเทวี สมัยเสวยพระชาติเป็นนกกระจาบ องค์สมเด็จท่านเป็นพระยานกกระจากท่านก็บินไปหาอาหารเพื่อมาให้ลูกเมีย ท่านไปเจอเกศรดอกดอกบัว แล้วก็จะนำกลับไปที่รัง ท่านก็มัวเพลินอยู่ในดอกบัวจนหมดเวลาดอกบัวเมื่อถึงเวลาเย็นค่ำก็หุบดอก ขังนกกระจาบอยู่ในนั้น ท่านก็ร้อนรนเป็นห่วงลูกเมียข้างหลังแต่ออกไม่ได้ จนรุ่งเช้า

    เมื่อดอกบัวบานตอนเช้าก็รีบบินกลับรังทันที ท่านก็ถูกท่านแม่นกกระจาบต่อว่าต่อขานด้วยอารมณ์ความน้อยใจ แล้วก็ลงมือตุ้มตั้ปซะด้วยรักนี่แหละ แถมยังจะไม่ยอมพบยอมพูดด้วยอีกเลย

    จากจุดนี้ ไปจนถึงจุดที่พระแม่แก้วพิมพาราชเทวียอมพูดด้วย จนยอมมีพระสนมอีกแปดหมื่นสี่พันสมัยเป็นเจ้าจักรพรรดิ์ แม้จนชาติอวสานสมัยเป็นพระเจ้าแม่เจ้าพิมพาชาติสุดท้ายนี้ ก็มีพระสนมกำนัลนางอีกแปดหมื่นสี่พัน กว่าจะถึงจุดนี้ต้องใช้เวลานานเท่าไร
     
  18. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    โมทนาสาธุอย่างยิ่งครับ หากคุณความดีไม่ถึงระดับนี้ จะเรียกว่านางแก้วได้อย่างไร
     
  19. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ลองมาดูกำลังใจของพระแม่เจ้ามัลลิกาเทวีศรีระจิตร สุดยอดพระนางแก้วของพระเดชพระคุณหลวงพ่อในอดีต

    พระสูตรก่อนนอน
    พระนางมัลลิกา
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็มาฟังพระสูตรก่อนนอนไม่ใช่พระสูตรก่อนหลับ แต่วันนี้ สำนวนอาจจะดีขึ้นกว่าสองวันที่แล้วมา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะไม่ได้เอาหนังสือมากาง มาเล่านิทานกับตามความรู้ที่จำมาได้ อันนี้สะดวกกว่าฟังดีกว่า ไม่อย่างนั้นมัน

    หยอกแหยกๆ เหลือเกิน จะทิ้งหนังสือก็ไม่ได้เรื่องราวของท่านละเอียด เดี่ยวจะขัดถ้อยความ สำหรับในตอนนี้การฟังคราวนี้นะทุกคืน? ขณะที่ฟังทุกคนอยู่ตามสบาย หลับก็ได้ ตื่นก็ได้ นั่งก็ได้ นอนก็ได้ ตามปกติฟังเล่นเพลินๆ ถือว่ากำลังใจอยู่ในธรรม ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องราวของพระสูตรก็เป็นธรรมะ เป็นส่วนที่เราคิดตาม ด้านกุศล ถ้าอารมณ์ของท่านเป็นกุศล ทุกคนถ้าตายแล้วเมื่อไหร่ขณะหลับ

    มันไปสวรรค์ทันที ถ้าฟังไปๆ แล้วเคลิ้มหลับตามกระแสเสียง หรือว่าขณะที่หลับจิตเริ่มเป็นฌานก็ตัดหลับ จิตของท่านจะทรงฌานระดับนั้นตลอดเวลาจะตื่น คุณประโยชน์ใหญ่มาก ถ้าตายเวลาหลับถ้าจิตขณะนั้น ทรงฌานอะไรไปตามผลของฌานนั้น


    ในช่วงนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่องราวของ พระเจ้าปเสนทิโกศล กับ พระนางมัลลิกา รวมความว่าผมก็ยังไม่ถอนตัวออกจาก เมืองพาราณสี ยังนั่งจ๋องเล่าเรื่องความ เป็นมาของ เมืองพาราณสี ต่อไป ถ้าเสร็จหน้านี้นะ หน้าหลังอาจจะใช่หรือมใช่ยังไม่แน่ เรื่องราวของพระนางมัลลิกา นี่มีมาก ใน เมืองพาราณสี นี่มีเรื่องน่าคุยกันเยอะ


    เนื้อความมีอยู่ว่า พระนางมัลลิกา นี่ปกติเป็นสุภาพสัตรีที่มีความดีเลิศหนึ่งการเมตตากรุณาดีมาก สันโดษก็ดีมาก พระเจ้าปเสนทิโกศล ถ้าพูดถึงคนธรรมดา ภรรยาหลวงจะหนักใจขนาดไหน ก็ดูบรรดาเจ้าหญิงทั้งหลาย ที่ไปนั่งถวายงานกับพระเป็นอันว่านั่งอยู่ใกล้ๆ ปฏิบัติพระหมายความว่าสองคนต่อหนึ่งองค์สองคนแบ่งงานกัน บดของหอมคนหนึ่ง ถวายงานพัดคนหนึ่ง รวมแล้วพระ 500 องค์ ก็เจ้าหญิง 1,000 คน อันนี้เจ้าหญิงภายใน ใหญ่จริงๆ เจ้าหญิงรองลงมาก็ทำงานอื่นๆ รวมความเวลานั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ไข่ตามภาคพื้น เรียกว่าไข่มาตรฐาน ก็ประมาณ 1,000 ผล แล้วก็ยังไข่เรี่ยราดอีกตั้งเยอะ

    ก็รวมความว่าท่านเองก็คงจะต้องมีเมียมาก ถ้ามีเมียน้อยมีลูกมากไม่ได้ เมื่อดูกำลังใจของ พระนางมัลลิกาเทวี ถ้าผู้หญิงทั้งหลายโดนเข้าแบบนี้ก็จะหนักใจ แต่ท่านเฉย มีกำลังใจหนักแน่น กลับมีความรักมีความเมตตาปรานีในภรรยาที่มาข้างหลังและลูกหญิงทุกคนลูกชายทุกคน จะเป็นลูกของใครก็ตาม ถือว่าเป็นลูกของท่านเพราะท่านเป็นเมียหลวงใหญ่ นี่กำลังใจอย่างนี้หาได้ยาก จะถามว่าคนที่ชื่อ มัลลิกา ไปหามาจากไหนไม่มีล่ะ ชาวบ้านเขาอาจจะชื่อกันเหมือนกันแต่หายาก คนที่เป็นพระราชินีกับพระราชาต้องไปหาคนชื่อ มัลลิกา มันหาไม่ได้ มัลลิกาเทวี เป็นชื่อโดยตำแหน่ง แต่ชื่อจริงๆ อย่างท่านผู้รู้ท่านบอกว่าควรจะเรียกว่า ศรีระจิตร ท่านผู้นี้หนักแน่นมาทุกชาติ กำลังใจหนักแน่นยากที่จะหาได้และจริยามีความน่ารักเป็นกันเอง การล่วงเกินนิดหน่อย คำหยาบคำหนึ่งไม่เคยพูด อาการทางกายที่ทำให้สะเทือนใจพระราชสวามีไม่เคยทำ ไม่เคยเลยในชีวิตอาการหยาบต่างๆ ไม่เคยมี แม้แต่คนอื่นก็เช่นเดียวกัน จะกล่าววาจาที่สะเทือนใจคนอื่นไม่เคยกล่าว จะแสดงอาการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เป็นที่สะเทือนใจของบุคคลอื่นก็ไม่เคยทำ เป็นคนมีเหตุมีผล ทำทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผล


    แต่ทว่าบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนจงจำพุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้า ตรัสว่า จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา ก่อนจะตายถ้าจิตเศร้าหมองก็ไปสู่อบายภูมิได้ สู่ทุคติ ก็คืออบายภูมิ จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา ก่อนจะตายถ้ามีอารมณ์ใจผ่องในก็ไปสู่สวรรค์ คือสุคติได้ ? เรื่องราวของ พระนางมัลลิกา เป็นหญิงที่ไม่เคยสร้างความสะเทือนใจแก่พระราชสวามี ความจริงน่าคิดนะ พระราชสวามีมีเมียตั้ง 100 เศษนะ เกิน 100 อาจจะ 200 ก็ได้คือว่าเป็นล่ำเป็นสันนี่เกิน 100 ที่เรี่ยราดต่างหาก มันน่าจะเจ็บช้ำน้ำใจในหน้าที่ของตน เพราะในหน้าที่ของตนเป็นภรรยา ฉันเป็นเมียก็ต้องเป็นเมีย นี่คนอื่นมาแย่งตำแหน่ง แต่พระนางไม่เคยทำ และขึ้นชื่อจริยาไม่เรียบร้อยไม่เคย เป็นคนละเอียดมาก ดีมาก นิ่มนวลมาก


    ต่อมาวันหนึ่งเวลากลางคืนดับไฟแล้ว ท่านปวดปัสสาวะ พูดภาษาชาวบ้านก็ลุกจะไปห้องปัสสาวะ เป็นการบังเอิญอย่างยิ่ง เท้าข้างขวาไปสะดุดเท้าพระราชสวามีเข้า ขอเรียกเท้าก็แล้วกัน ชาวบ้านฟังง่ายๆ พระบาทพระสองสลึงมันยากจะเรียกพระบาทพระสองสลึงพระหกสลึงมันหนักใจ เรียกเท้าดีกว่า ไปสะดุดเข้าเท่านั้นแหละ เสียพระทัยมาก คิดว่ากรรมชั่วอย่างนี้ไม่เคยมีสำหรับเรา เราไม่น่าจะเป็นคนพลั้งเผลอ มีความชั่วขนาดนี้ ก็ทรงพระกรรแสงคือร้องไห้เสียใจสะอึกสะอื้นนอนไม่หลับ พระเจ้าปเสนทิโกศล เห็นพระชายาสะอึกสะอื้นแบบนั้นก็สงสัยถามว่าน้องหญิงเสียใจอะไร พระนางมัลลิกา ก็ทูลให้ทราบว่า หม่อมฉันเลวมาก ขอประทานอภัย

    พระราชา พระราชาบอกพี่ให้อภัยทุกอย่าง ความจริงที่น้องทำไม่มีเจตนาเสีย ไม่มีอะไรเป็นความผิด ความว่าที่ว่าเป็นคนหยาบคนเสียก็ไม่มีให้เลิกการเสียใจ เมื่อพระราชาทรงปลอบ พระเจ้าปเสนทิโกศล ปลอบ ต่อหน้าท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ว่ากำลังใจมันข้อง คิดว่าเราเกิดมาไม่น่าจะสร้างความเลวอย่างนี้ ไอ้ตัวนี้แหละฝังใจตลอดเวลาและกาลต่อมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกำลังประทับอยู่ใน พระเชตวัน นั่นเอง พระนางมัลลิกา ก็ทรงสิ้นพระชนม์ แต่ความจริงไม่ใช่คราวเดียวกับให้ อสทิสทาน อยู่หลายปี และเมื่อมาอีกหลายปีที่คิดว่าพระนางมีพระชนม์มายุสั้น ก็ไม่สั้นนัก คือไม่ใช่สั้นจู๋อายุ 20 ปี 30 ปลายปีตาย

    ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก พระนางเวลานั้นก็มีพระชนมายุก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ก็เกือบ 50 เห็นจะโดยประมาณได้ ประมาณ50 ปี แต่ว่าในเมื่อพระนางสิ้นพระชนม์พระราชาท่านก็ต้องหนุ่มของท่านเรื่อยๆ ไป เมียตายก็มีเมียใหม่ได้ เมียอยู่ก็ยังมีเมียใหม่ได้ ทำไมเมียตายจะมีเมียไม่ได้ เป็นเรื่องธรรมดาๆทีนี้ก็เล่าลืมเนื่องต่อกันไป เป็นอันว่าก่อนจะตายจิตของพระนางหวนเข้ามานึกถึงเราเลวที่เอาเท้าไปสะดุดเท้าของพระราชสวามี พระราชสวามีก็ควรจะเคารพอย่างยิ่งบิดา เอาเท้าไปกระทบเท้าของพระราชสวามีก็เหมือนกับเอาเท้าไปกระทบเท้าของพระราชบิดาหรือพ่อนี่เอง กำลังใจก็เศร้าหมอง แต่ว่าความดีของพระนางมีมาก พอจิตออกจากร่างบรรดาท่านพุทธบริษัท ร่างกายของนางก็เป็นนางฟ้าสมบูรณ์แบบแพรวพราวระยับเนื้อเป็นแก้ว สวยสดงดงามแสงสว่างมีเป็นกรณีพิเศษ ถ้าจะเทียบเป็นนางฟ้าก็เป็นนางฟ้าอันดับหนึ่งของสวรรค์ชั้น ดาวดึงสเทวโลก

    แต่ทว่าการออกจากร่างแทนที่จะเดินไปสวรรค์ อาศัยความเศร้าหมองของจิตนิดหนึ่งที่ความจริงไม่เป็นความผิด แต่ตั้งใจให้มันผิดไปเองคิดว่ามันผิดไปเองที่ไปสะดุดเท้าของพระราชสวามี ใจเศร้าหมองว่าเราทำชั่วเราเลวตัวนี้นิดเดียวกรรมจิตตัวนี้นิดหนึ่งที่ข้องอยู่มีความเศร้าหมองหน่อยหนึ่งพานางลงไปถึงนรก ไปขุมไหนก็จำไม่ได้ ไม่ได้ตามไปซะด้วย เอาเท้าข้างขวาที่สะดุดเท้าพระราชสวามีไปแหย่ลงนรกให้ไฟไหม้อยู่ 7 วันมนุษย์ แต่ว่าร่างกายของพระนางทั้งหมดแต่งตัวเป็นนางฟ้าสมบูรณ์แบบในระหว่างนั้นที่ พระนางมัลลิกาเทวี เธอสิ้นพระชนม์ พระเจ้าปเสนทิโกศล ทำฌานปนกิจเสร็จตั้งใจจะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระนางมัลลิกาเทวี มเหสีคนสำคัญเธอจริยาเป็นเลิศการทำให้หมองใจนิดหนึ่งไม่มีตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา บุญบารมีก็สร้างมากหนักกว่าใครทั้งหมด การให้ อสทิสทาน ไม่มีใครสามารถจะทำได้แต่เธอทำได้ อยากจะถามองค์สมเด็จพระจอมไตรว่าเวลานี้น่ะ พระนางมัลลิกา พระมเหสีไปอยู่ที่ไหน เป็นอันว่าสมเด็จพระจอมไตรคือพระพุทธเจ้าทรงทราบวาระทางจิต องค์พระธรรมสามิสรทรงทราบว่าถ้าตรัสตรงๆ ออกไปว่าเวลานี้ พระนางมัลลิกาเทวี ไปอยู่เมืองนรก

    เอาเท้าไปแหย่ไฟเล่นโก้ๆ แค่ตาตุ่ม 7 วันมนุษย์ ถ้าตรัสเพียงเท่านี้ พระเจ้าปเสนทิโกศล จึงไม่ยอมทำบุญต่อไป จะไม่สร้างความดีต่อไปเพราะความดีที่พระองค์ทำนั้นมันไปเท่ากับ พระนางมัลลิกา พระนางมัลลิกา ดีขนาดนี้ยังลงนรก ก็พระราชาสั่งคนติดตะรางบ้าง สั่งประหารชีวิตบ้าง สั่งเนรเทศบ้าง ลงโทษคนนั้น ยื้อแย่งคนนี้รบทัพกับเมืองโน้นดีกับเมืองนี้ ยังสร้างกรรมที่เป็นอกุศลมาก คนที่มีความดีอย่างนั้นถ้าต้องลำบากต้องตกนรก คนอย่างเรามันก็พ้นไม่ได้ เราก็สร้างมันแต่ความชั่วมันเรื่อยไปดีกว่า ทำยังไงก็ต้องตกนรก ?พระพุทธเจ้าทรงทราบว่ากำลังใจของ พระเจ้าปเสนทิโกศล น่ะเป็นรูปนี้ตั้งใจแบบไหน แล้วบุกไม่ถอยหลัง จึงได้ทรงยับยั้งกำลังใจของ พระเจ้าปเสนทิโกศล

    เวลาที่ พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จไปเฝ้าจะถามเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าก็ทรงบันดาลให้ท่านลืมเรื่องนี้เสียทุกวัน ไปถึงก็ลืม ตอนเย็นก็กลับ กลับมาถึงพระราชนิเวศน์ใกล้บรรทมนึกขึ้นมาได้ว่าตายจริง เมื่อตอนกลางวันจะไปถามเรื่องราวของพระนางมัลลิกา เมียที่ตายว่าไปอยู่ที่ไหน ลืมถามพระพุทธเจ้าพรุ่งนี้ถามใหม่ ไปอีก พระพุทธเจ้าก็ทรงบันดาลให้ลืมอีกถึง 7 วัน เมื่อถึงวันที่ 8 เป็นวันที่ พระนางมัลลิกาเทวี พ้นโทษ ลอยจากนรกขึ้นไปสู่ สวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เสวยทิพย์สมบัติ

    อันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทต้องระมัดระวังให้มากเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง การที่เราทำความดีแสนดีต้องรักษากำลังใจให้มันดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กำลังใจของเรานี้ต้องทรงพรหมวิหาร 5 ไว้เป็นปกติ ทรงศีลเป็นปกติ และก็ทรงยับยั้งกำลังใจอย่าหวั่นไหวในโลกธรรม ให้ทรงพรหมวิหาร 4 ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม โลกธรรมคือได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศเสื่อมยศ นินทาสรรเสริญ สุขทุกข์อะไรมันจะมายังไงก็ถือว่าช่างมันๆ ๆ ไว้เสมอ ถ้าหวั่นไหวไปตามมัน คนนั้นเขานินทาเรา คนนี้เขาสรรเสริญเรา ตัวนี้แหละจะพาลงนรก

    อารมณ์ใจที่จะทรงกำลังใจไม่หวั่นไหวในโลกธรรม 8 รายการก็ต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ หนึ่ง เมตตา ความรัก สอง กรุณา ความสงสาร สองรายการนี้ทำให้ศีลบริบูรณ์ การให้ทานก็ให้ปกติ ชุ่มชื่น ศีลก็บริสุทธิ์ สมาธิก็ทรงตัวและปัญญาก็แจ่มใส กำลังใจไม่หวั่นไหวในโลกธรรม เพราะมี มุทิตา ใครได้ดีพลอยยินดีด้วย อุเบกขา วางเฉยจากอารมณ์ที่เราไม่ชอบใจ ใครเขาว่ายังไงมายังไงก็ช่าง วางเฉยตัวนี้แหละทำให้ปลอดภัย ท่านทั้งหลายจงระวังไว้ อย่าถือว่าเราทำความดีมากแล้วอันนี้ไม่ควร ถ้าจะวัดกันจริงๆ แล้ว ความดีของพวกเราเท่า พระนางมัลลิกาเทวี หรือเปล่า แล้วอาศัยกำลังใจเท่าท่านไหม ท่านตั้งแต่เกิดมาไม่สร้างความสะเทือนใจให้ใครเลย เราทำได้ไหม ไม่ได้แน่ ขอยืนยันทุกคนที่ฟังทำไม่ได้แน่และก็มีจิตอ่อนโยนเมตตาปรานี่ไม่หึงไม่หวงใคร ตัวนี้หนัก ทำกันได้ยากแต่พระนางทำได้ ทานก็หนัก และเผลอนิดเดียวจิตใจไปห่วงว่าเท้าเตะเท้าพระสามีหน่อย ลงนรก แล้วพวกเราล่ะ พวกเราถ้ายิ่งไปกว่านั้นท่านบรรดาท่านพุทธบริษัทถ้าเผลอมันจะลงนรกยิ่งไปกว่านั้น ?ก็รวมความว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกันทุกคนรักษาความดีของเราไว้ด้วย
    อำนาจของพรหมวิหาร 4 อย่าลืมนะ ตั้งใจว่าเราจะไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้ง 8

    หลังจากนั้นเมื่อพระราชาไปเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทูลถามพระองค์ในวันที่ 8 องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเวลานี้ พระนางมัลลิกาเทวี อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก อันนี้จะหาว่าเป็นการหลอกลวงกันก็ไม่ได้บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นการสร้างกำลังใจให้แก่ พระเจ้าปเสนทิโกศล ?เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคน ที่นำเรื่องมาเล่าสู่กันฟังก็เพราะว่าเรื่องมันติดต่อกัน แต่ความจริง พระธรรมบท มันอยู่กันคนละตอน แต่เรื่องมันสืบเนื่องกัน ก็มาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นคติแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ทุกคนจะได้ไม่ไประมาทคิดว่าเราดีแล้วเราเลิศแล้วเราประเสริฐแล้ว อย่าคิดอย่างนั้น ถ้าคิดอย่างนั้นเสียหายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่เป็นพระสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค ต้องระมัดระวังให้มาก อย่าเป็นพระประเภทที่เรียกว่าเกาะกินคือเกาะกินอย่างประเภทอะไรล่ะ อย่างประเภทเห็บกินสุนัขหรือว่าหมัดกินสุนัขแต่ความจริงมันอาศัยตัวสุนัขอยู่ แต่มันก็ทำลายสุนัขกินเลือดเนื้อตลอดวันจนร่างกายสุนัขโทรมไปและมันก็จะต้องตายด้วย ข้อนี้ฉันใด บรรดาเหล่าพระภิกษุสามเณรทั้งหลาย ซึ่งเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่าทำตัวอย่างกับเห็นหรือหมัดที่ตามโบราณ เขาบอกอย่าทำตัวเป็นกาฝาก แต่ความจริงกาฝากมันไม่ได้สร้างความสะเทือนแก่ต้นไม้มากนัก และต้นไม้ก็ปราศจากความรู้สึก แต่มันก็เฉาก็ตายได้ กว่าจะเฉาจะตายก็นานมาก ทุกข์

    ทรมานก็น้อย แต่ว่าเห็นหรือเจ้าหมัดที่มันกินสุนัขนี่มันหนักมาก มันอาศัยร่างกายของสุนัข อยู่มันก็กินเลือดกินเนื้อเขาทำลายเขา ในที่สุดเขาตายมันก็ต้องตาย มันไม่รู้จะกินอะไรหาที่ไหน ไม่ได้มันก็ตายต่อไป และดีไม่ดีของเขารังเกียจขึ้นมาเขาก็ล่อเสียให้ตายพวกเราเหล่าพุทธบริษัทก็เช่นเดียวกัน พระทั้งหลายที่จะมีชีวิตอยู่ได้อาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลานี้เรากินบุญของพระพุทธเจ้าท่านอยู่ คำว่าบุญคือความดี พระพุทธเจ้าท่านดี อาศัยความดีของพระพุทธเจ้าเลี้ยงพวกเรา ผ้านุ่งทุกผืน ผ้าห่มทุกผืน อาหารทุกเม็ด ข้าวทุกเม็ด สถานที่ที่อยู่ทั้งหมด อาศัยความดีของพระพุทธเจ้า ญาติโยมพุทธบริษัทที่มีความเคารพในพระพุทธเจ้ามาจัดสรร สร้างให้ สร้างให้ ที่อยู่ก็สร้างให้กระแสไฟฟ้าก็สร้างให้ยารักษาโรคก็ให้ ของกินของใช้ให้ทุกวัน บางทีการเลี้ยงพระที่บ้านท่านกินยังไม่ดีเท่าถวายพระ ของอะไรที่ว่าดีเอามาถวายพระ ไอ้ที่เหลือเศษ เอาไว้บริโภคเองอันนี้มีเยอะ ของดีๆ ที่ท่านถวาย บางทีที่บ้านท่านไม่มี ท่านคัดของดีมาถวายพระ และพระก็ต้องตีตามของตามอาหาร ถ้าพระไม่ดีตามนั้นพระไปไหนล่ะ เอรกปัตตนาคราช ทำให้ตะไคร้น้ำให้ขาดนิดเดียวเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน พระกบิลภิกขุ ดื้อด้านไม่ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ทรงพระ

    ไตรปิฏก เรียน พระไตรปิฎกแล้วไม่ปฏิบัติตามดื้อด้านออกนอกลู่นอกทาง ประกาศว่าตน เป็นศาสดาใหม่ นรกไม่มีสวรรค์ไม่มี ความหมายไม่มีแก่การลง พระปาติโมกข์ ดัดแปลงคำสนอของตัวแทรกแซงพระพุทธเจ้า ตายแล้วไปอเวจีมหานรก

    ฉะนั้นขอบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย ศีลเป็นเรื่องใหญ่ ทรงตัวให้ดีอย่างเลวที่สุดเราจะต้องทรงกระพี้เปลือกความดีในพระพุทธศาสนาไว้ นั่นคือหนึ่งศีลบริสุทธ์ สองระงับนิวรณ์ สามทรงพรหมวิหาร 4 แต่ว่าท่านทรงเท่านี้นะท่านดีไม่เท่าฆราวาส เวลานี้ฆราวาสเขาทรงกรรมฐาน มีฌานสมาบัติ มีญาณกันเป็นพิเศษเยอะแยะ ถ้าเราทรงแค่นี้เราก็เลวกว่าเขา ไม่ควรกินของของเขา ไม่ควรใช้ของของเขา ไม่ควรอยู่อาศัยในสถานที่ที่ เขาสร้างให้ อย่างเลวที่สุดต้องทำ ปุพเพนิวาสนานุสสติญาณ ให้คล่อง และก็ ทิพจักขุญาณ และ จุตูปปาตญาณ ให้คล่อง ถ้าคล่องแค่นี้ก็ยังมีควรเอาของชาวบ้านเขาอีก เพราะท่านยังไม่พ้นนรกทางที่ดีเอาสังโยชน์ 3 เข้ามาเป็นเครื่องยึด ญาติโยมพุทธบริษัทก็เหมือนกันสังโยชน์ 3 นี่ไม่ใช่แต่พระ เณร เพราะเป็นตัวกันอบายภูมิอย่างชัดเจน เราจะตกนรกไม่เป็น เป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน ไม่เป็นต่อไป ตัดอบายภูมิกันเลย สังโยชน์ 3 มีอะไรบ้าง มันก็เป็นของไม่ยาก คือหนึ่งมีความรู้สึกว่าชีวิตนี้จะต้องตาย แต่เราก็ไม่ประมาทในชีวิต ไม่คิดว่าความตายจะอยู่นาน อีกนานถึงจะตาย ต้องคิดว่าความตายอาจจะมีวันนี้อยู่เสมอ ระวังตัวไว้ วิธีระวังตัวไม่ไปอบายภูมิ ก็ยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ยอมรับนับถือด้วยปัญญา อย่าสักแต่ว่าสัญญา จำแต่นับถือพระพุทธเจ้าๆๆ พระธรรม พระสงฆ์สักแต่ว่าปากน่ะ ลงนรกนับไม่ถ้วน และการยอมรับนับถือ

    พระพุทธเจ้า มองให้ชัดๆ ก็ดูกันที่ศีล ศีลเฉพาะประเภท ฆราวาสศีล 5 เณรศีล 10 พระศีล 117 และมีธรรมะด้วย ถ้าท่านผู้ใดมีศีล
    ครบถ้วน บุคคลนั้นเคารพพระพุทธเจ้า พระรรม พระอริยสงฆ์ ถ้าศีลยังบกพร่องก็สักว่าเคารพแต่ปาก เป็นเหยื่อของอบายภูมิ มีนรก
    เป็นต้น ? ?ฉะนั้นขอบรรดาท่านพุทธบริษัทศาสนิกชนและเพื่อนภิกษุสามเณร อันดับแรกคิดไว้เสมอ มรณานุสสติกรรมฐาน คือ
    คิดถึงความตายว่ามันจะตาย กันอบายภูมิด้วยเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีศีลบริสุทธิ์ จิตคิดไว้เสมอว่าตายเมื่อไหร่
    ความดีที่ทำทุกอย่างเราไม่หวังผลตอบแทน เราทำเพื่อพระนิพพาน ถ้าตายเมื่อไหร่ ความที่ที่ทำทุกอย่างเราไม่หวังผล
    ตอบแทน เราทำเพื่อพระนิพพาน ถ้าตายเมื่อไหร่จุดที่เราต้องการคือ พระนิพพานแห่งเดียว หลังจากนั้นก็ตีตลบกลับพยายามตัดโลภะ
    ด้วย การให้ทาน หรือ จาคานุสสติกรรมฐาน ตัดความโกรธด้วยการ ทรงพรหมวิหาร 4
    ตัดความหลง ด้วยอารมณ์ ใจของเรานี้ ไม่พอใจในมนุษย์โลก เทวโลกและพรหมโลก ไม่ติดในร่างกายของเรา ไม่ติดในร่างกายของ
    คนอื่นไม่ติดในร่างกายของสัตว์ และไม่ติดในวัตถุธาตุต่างๆ มุ่งพระนิพพานอย่างเดียว
    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท สัญญาณบอกหมดเวลาผ่านไปแล้ว ขอยุติลงแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสมหวัง ความบรรลุมรรคผล
    ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติแล้ว จงมีแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี

    คนที่ปรารถนาจะลงประกวดนางแก้ว ลองวัดกำลังใจ กับแม่ใหญ่มัลลิกาเทวีศรีระจิตร ดูนะครับ

    แก้วใหญ่ของผม ผมกราบขอมาจากแม่ใหญ่สุพรรณวดีศรีโสภาค กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านปู่่ท่านย่า ขอในตอนกลางคืน เช้าท่านก็ส่งมาให้เลยเหมือนกัน เพราะตอนนั้นตัดสินใจเด็ดขาด หากว่ายังมีวิสัยเป็นฆราวาสผู้ครองเรือน และต้องทำหน้าที่ทำงานพุทธภูมิ มันต้องมีแม่บ้านเป็นกองกำลังสนับสนุน ก่อนหน้านั้นก็มีมาแล้ว และก็มาก อยู่บ้านเดียวกันสามคนก็มี สองคนก็มี แต่ช่วงก่อนนั้น อกุศลกรรมมันก็เอาหนัก ก็ขนาดบ้านแตกสาแหรกขาด แตกกระสานซ่านกระเซ็นกันไป จากกรรมที่ไปตีบ้านเมืองเขาแล้วก็ยึดเอามาครอบครอง ถึงกับต้องไปบวชทิ้งทุกอย่างไว้ชั่วคราว อกุศลกรรมมันย่ำยีเอาอย่างหนัก แบบหมดทางสู้ ลูกหลานพระเดชพระคุณหลวงพ่อแทบทุกคนเจอกันหนัก ในช่วงนั้นที่บวชเป็นพระแล้วไม่สึกอีกเลยก็หลายองค์ ช่วงที่แชร์แม่ชะม้อย แชร์แม่นกแก้ว แชร์เสมาฟ้าครามนคร ร่วงกันนั่นแหละ ผมเองมีบริษัทจัดหางานของตัวเองและในเครืออีกหลายแห่งก็ร่วงแบบ กรุงศรีอยุธยาแตก แบบค่ายบางระจันแตก มันสู้แต่สู้ไม่ไหว หมดทางสู้อย่างสมัยเชียงแสนที่ขอมดำมันถล่มย่ำยีเอา

    เมื่อบวชอยู่สามปีข้างๆหลวงพ่อนี่แหละ ก็มีเหตุ มีคนไปตามให้สึก ไม่สึกก็ไม่ได้มันเป็นเรื่องฉะเพาะตัวที่ต้องสะสาง

    สะสางเรื่องเก่าๆเสร็จ ครองเรือนอยู่ก็มีเหตุให้ต้องสละเรือนอีก สละครั้งนี้ จึงมาตัดสินใจเด็ดขาด วัดกันเลย บุญทานกองการกุศลทั้งปวง และการปรารถนาพระโพธิญาณ ว่าตัวเองนี่มันปรารถนาจริง ของจริงหรือเปล่า ไอ้ปรารถนานี่จริง แล้ววิสัยนี่มันจริงหรือปล่าววะ หรือสักแต่ว่าอยากได้ อยากเป็นเพราะกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมบรรดาลให้เป็นไป

    ต้องขยายหน่อยหนึ่ง กิเลสคือความเศร้าหมองสกปรกของจิต ที่มันเป็นฝ้าเป็นสิ่งปกคลุมไม่ให้มองเห็นสิ่งๆต่างๆตามความเป็นจริง ตามหลักอริยสัจ ตามหลักไตรลักษหรือเปล่า

    ตัณหา ความทะยานอยาก ทะเยอทะยาน เกินพอดี เกินตัว เกินฐานะ เกินวิสัยกำลัง ของตัวเอง ประเภทเรียกว่าไม่เจียมตัว โบราณ บอกว่าไม่ส่องกระโหลกชะโงกดูเงาหัวตัวเองหรือเปล่า

    อุปาทาน การยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งที่รู้มา ได้ฟังมา สิ่งที่เห็นมา แล้วเรามายึดถือมั่นจะเป็นแบบนั้น จะได้แบบนี้ ต้องเป็น ต้องได้ตามนั้น ตามนี้หรือเปล่า อันนี้สำรวจใจ สำรวจลักษณะนิสัยของตัวเอง และสิ่งแวดล้อม ผลที่พึงมีพึงได้ มันมีผลจริง มันมีอยู่จริง หรือว่าฝันละเมอเพ้อพกไปเอง อันนี้คิดหนัก

    อกุศลกรรมบรรดาล ให้คิดให้ฝันไป หรือเปล่า ให้หลงเข้าใจผิดว่าตัวเองเป็นนักเรียนพุทธภูมิกับเขา ทั้งๆที่ตัวเองแค่วิสัยสาวก หากเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะได้ทำหน้าที่ทำใจให้มันถูก หากวิสัยเป็นครูจะได้ตั้งใจเรียนวิชาครู ก็จะได้ทำการบ้าน เตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ในการสอน เพื่อจะได้เอาไปสอน

    หากมีวิสัยสาวกก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเรียนในวิขาครู ตั้งใจเรียน แล้วประพฤติตัวเพื่อเป็นนักเรียนที่ดีจะได้รีบจบๆ ให้มันหมดเรื่องหมดราว

    นี่เพราะคิดแบบนี้และตั้งใจเด็ดขาดวัดผลกันเลย คือหากเป็นฆราวาสผู้ครองเรือนก็ขอให้ได้คน ที่เคยเป็นคู่ครองกันมาในอดีต หรือเชื้อสายวัดท่าซุงเท่านั้น คือขอแก้วกันเลย ไม่ใช่ ไม่เอา จะบวชสถานเดียว ชีวิตฆราวาสเลิกกัน ก็คืนนั้นไหว้พระทำสมาธิกรรมฐานอธิฐานเสร็จตั้งอารมณ์ตามตำราหลวงพ่อ ในตอนเช้าแม่ใหญ่ก็ส่งมาให้เลยเหมือนกัน รายละเอียดเล่าไว้หลายครั้งแล้ว แล้วมีในวิริยาธิกะพิเศษบันทึก

    เรื่องนางแก้วเมื่อขอกับท่าน ท่านก็พระราชทานให้มาดูแลความประพฤติ เป็นผู้ปกครองผมอยู่เวลานี้ ท่านแถมแก้วเล็กมาให้อีกหนึ่งแก้วดูแลความประพฤติ อ้ายแก้วนี้ดูแลหลังโรงเรียนกันผมโดนเรียนออกทางประตูหลัง หรือปีนกำแพง ยิ่งข้างๆกำแพงแก้วนั้นน่ะดุมาก ขนาดปาดหลังมือสั่งสอนผมนั่นแหละสมัยไปหาเขาครั้งแรก ดีว่าไม่เอาเท้าเหยียบอก มือขยุ้มคอเสื้อแล้วค่อยๆบรรจงตบก่อน แล้วค่อยๆสั่งสอนทีหลัง ไอ้เราก็ไหว้ครูว่าคาถาเสร็จปั๊บแล้วจะอุ้มออกมาจากห้องมาโชว์ซะหน่อย พอถูกตัวปั๊ปซัดเปรี้ยงเข้าให้หน้านี้ชาไปครึ่งซีก แล้วก็หัวเราะคิกชอบใจ เปิดไฟฉายสว่างโร่ แล้วจุดกะเกียง เสียงดังยังไงก็ไม่มีใครตื่น บอกพี่เอ๋ย พี่สกดคนอื่นได้แต่ฉันนี่เป็นหลานอาจารย์พี่ คาถาพี่ฉันมีคาถาแก้ ฉันรู้แล้วเดี๋ยวพี่ก็จะเข้ามาอุ้มฉัน นอนรอให้อุ้มอยู่นี่ ถามว่าเมื่อรออยู่แล้วตบทำไม แก้วนี้บอกว่านี่ฉันรักพี่อยู่ก่อนนะจึงแค่ตบ หากเป็นคนอื่นทำกับฉันแบบนี้โดนเตะสั่งสอน จะไม่ตบยังไง พี่รักชอบพออยู่กับพี่สาวลูกพี่ลูกน้องฉันที่บ้านเหนือ แล้วพี่เข้าหาฉัน พี่ทำกับฉันอย่างนี้ทำไม ก็อ้อมแอ้มว่าการที่พี่เสี่ยงแข้งเพื่อนเข้ามาหาน้องสาวมันนี่คงไม่ได้มาหาจิ้งหรีดไปให้ควายกินหรอกนะ เมื่อตื่นแล้วนี่ถามว่าจะเอาไงต่อ จะให้กลับหรือว่านอนที่ในนี้ อ้ายนี่ลูกสาวเสือนักเลงเหมือนกัน บอกว่าแล้วแต่พี่ ในเมื่อพี่เข้ามาได้โดยไม่มีใครตื่นเข้าถึงตัวฉันได้ก็แล้วแต่พี่ ขออย่างเดียวพี่ห้ามทอดทิ้งฉัน ก็รับปากเขาไว้ตามนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 มิถุนายน 2014
  20. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ข้างบนนั้นเป็นตอนที่สอง ทีนี้มาดูตอนต้นของเรื่องนี้

    พระสูตรก่อนนิทรา

    <TABLE class="sites-layout-name-one-column sites-layout-hbox" cellSpacing=0 xmlns="http://www.w3.org/1999/xhtml"><TBODY><TR><TD class="sites-layout-tile sites-tile-name-content-1">อสทิสทาน

    ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายและบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรที่รัก สำหรับตอนนี้ก็เป็นตอนฟังพระสูตร ถือว่าเป็นการฟังพระสูตรก่อนหลับหรือว่าก่อนนิทราเห็นใครเขาเขียนว่าเป็นพระสูตรก่อนนิทรา หรือนิทราก่อนหลับ เนื้อความก็มีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อทรงประทับอยู่ที่พระเชตวัน ทรงปรารภ อสทิสทาน จึงได้ตรัสพระธรรมเทศนาว่า น เว กทริยา เทวโลกัง วชันติ เป็นต้น เนื้อความมีอยู่ว่าในเมืองพาราณสี ในตอนนี้ท่านบอกว่าพระราชากับบรรดาราษฎรมีการแข่งขันกันทำบุญ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ควรจะคิด เรื่องนี้ยาวหน่อย จะจบในเทปหน้าเดียวหรือไม่ก็ไม่ทราบ

    เนื้อความมีอยู่ว่า สมัยหนึ่งเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงจาริกไป คือเที่ยวไป มีภิกษุ 500 รูป เป็นบริวาร เสด็จเข้าไปถึงพระเชตวัน พระราชาเสด็จไปที่วิหาร คำว่าพระราชานี่หมายถึงพระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จไปที่วิหารที่พระเชตวัน และกราบทูลองค์สมเด็จพระภควันต์ ทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าว่าในวันรุ่งขึ้นจะทรงเตรียมอาคันตุกะทาน คือในวันรุ่งขึ้นท่านจะถวายทานแก่พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ ที่ว่า อาคันตุกะ หมายถึงผู้มา คือว่าพระผู้มาทั้งหมด พระองค์จะถวาย และจึงได้ตรัสเรียกชาวพระนครว่า จงดูทานของเรา เมืองนี้เขาแข่งขันกันทำความดี เขาไม่ได้แข่งขันกันโกง แข่งขันกันให้ ว่าท่านทั้งหลายจงดูทานของเรา ชาวพระนครมาเห็นทานของพระราชาแล้ว วันรุ่งขึ้นจึงได้นิมนต์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด เตรียมจะถวายทานบ้าง และส่งข่าวไปกราบทูลพระราชา คือพระเจ้าปเสนทิโกศล ขอพระองค์ผู้สมมติเทพจงมาทอดพระเนตรทาน ของข้าพระองค์ทั้งหลาย เขาก็พยายามจัดทานให้ยิ่งกว่าพระราชาที่ถวาย

    เมื่อพระราชาได้ทอดพระเนตรแล้ว ก็กราบทูลองค์สมเด็จพระประทีปแก้วอีกว่า ท่านอันยิ่งกว่าทานของเราที่ชนทั้งหลายเหล่านี้ทำแล้ว เราจะถวายทานอีกย่อมต้องถวายให้ยิ่งกว่า เราจะยอมแพ้ชาวบ้านไม่ได้ จึงทรงรับสั่งให้เตรียมทานเสร็จเรียบร้อยในวันรุ่งขึ้น แล้วก็บอกให้ชาวพระนครมาดูอีก

    ชาวพระนครมาดูแล้ว เห็นว่าท่านของพระราชายิ่งใหญ่กว่าของพวกตนมาก จึงมีการเตรียมตัวถวายทานกันอีก และก็กราบทูลให้พระราชาทรงทราบว่า วันพรุ่งนี้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะถวายทานในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอพระองค์จงเสด็จมาดูทานของข้าพระพุทธเจ้า อันว่าทานของชาวบ้านนี่เขารวมกันเต็มอัตรา และมีจิตใจเสมอใจกันเป็นคนดี ทานเขาก็มากกว่าพระราชา พระราชาองค์เดียวสู้เขาไม่ได้

    เป็นอันว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ท่านเป็นพระราชาที่ไม่ยอมแพ้คนในด้านทำความดี ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าท่านเองปรารถนาพุทธภูมิ ต้องการจะเป็นพระพุทธเจ้าในวันหน้า

    และขอบรรดาผู้ฟังทั้งหลายโปรดทราบว่าในเมืองพาราณสี นี่พระราชาทุกพระองค์มีนามว่า ปเสนทิโกศล เหมือนกันหมด และพระบรมราชินีก็มีนามว่าพระนางมัลลิกา เหมือนกันหมด ในเมื่อเหมือนกันอย่างนี้โดยชื่อ แต่ว่าจริยาก็ดี ความประพฤติก็ดี ความคิดเห็นก็ดี จะไม่เหมือนกัน ฉะนั้นถ้าหากว่าไปอ่านพบหรือฟังพบว่าเมืองพาราณสี มีพระเจ้าปเสนทิโกศล หรือว่าพระนางมัลลิกา ที่ประพฤติตัวไม่ดี ให้ทราบว่าเป็นองค์ไหนกันแน่ ไม่ใช่องค์นี้

    ก็เป็นอันว่าพระราชาไม่สามารถจะเอาชนะชาวบ้านได้ จึงคิดในใจว่าเราจะไม่ยอมแพ้ ต่อมามีวาระที่ 6 คือว่ากันไปว่ากันมาถึงวาระที่ 6 ชาวพระนครก็เพิ่มขึ้น 100 เท่า 1,000 เท่า พระราชาให้เท่าไหร่ฉันให้เท่านั้น เพิ่มเตรียมให้สู้ขึ้น ตระเตรียมทานโดยที่คิดว่าอะไรที่ไม่มีจะต้องไม่มีในทานอันนี้ ท่านคราวนี้ต้องมีทุกอย่าง เพราะเรามากด้วยกัน เราจะต้องเอาชนะพระราชาของเราให้ได้ ท่านเป็นพระราชาก็จริงแหละ แต่ว่ากำลังของท่านน้อยกว่าเรา เราชาวพระนครทั้งหมดช่วยกัน ก็ถือว่าไม่ใช่เฉพาะชาวพระนคร ชาวบ้านทั้งหมดช่วยกัน เขาป่าวประกาศ

    พระราชาหรือพระเจ้าปเสนทิโกศล ไปทอดพระเนตรทานนั้นแล้ว ทรงดำริว่าถ้าเราจักไม่อาจทำทานให้ยิ่งกว่าของชาวพระนครทั้งหมดนี้ ให้สูงกว่าเขาชีวิตของเราจะอยู่เพื่ออะไร คนอย่างเราจะยอมแพ้ไม่ได้ ถ้าเราไม่สามารถชนะทานของชาวบ้านได้เราตายดีกว่า เมื่อคิดแบบนี้แล้วทำอย่างไร ก็คิดไม่ตก ตั้งใจว่าจะหาอะไรมาบ้าง ไปดูแล้วชาวบ้านแกมีทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าอะไรไม่มี ไม่มีในทานนั้น มีทุกอย่างครบถ้วน ในที่สุดก็หาอุบายไม่ได้ ทำอย่างไร ก็นอนบรรทม นอนดำริถึงอุบายที่จะต้องทำอยู่ นอนผึ่ง ตอนนอนก็รู้สึกว่าไม่ค่อยอยากจะกินข้าว กินปลา ใครมาพูดก็ไม่ค่อยอยากจะพูดด้วย นั่งคิดอย่างเดียวว่าเราจะเอาอะไรมาให้ทานดีหนอ ให้ยิ่งกว่า ชาวบ้าน เขาไม่ยอมแพ้เรา เราก็ยอมแพ้ไม่ได้ นี่ทุกคนต้องฟัง ถ้าทุกคนที่ฟังแล้วมาแข่งขันกันทำความดีอย่างนั้นจะมีประโยชน์มาก ขอตลุยเรื่องต่อ

    ตอนนั้นมาพระนางมัลลิกาก็เข้ามาเฝ้าท้าวเธอ พระนางมัลลิกาเทวี นี่ชื่ออย่างนี้มันเหมือนกัน จะต้องวงเล็บว่า พระนางมัลลิกาเทวี โดยตำแหน่งพระราชินี แต่ชื่อจริง ๆ ที่ยังไม่มาเป็นพระราชินีชื่อว่า ศรีระจิตร ศรีระจิตรนะ เข้าไปเฝ้าท้าวเธอแล้ว ทูลถามว่าข้าแต่มหาราชเจ้าเพราะเหตุไรพระองค์จึงเป็นผู้บรรทมคือนอนแบบนี้ และทำไมร่างกายของพระองค์นี้ดูเหมือนกับคนที่มีความเหนื่อยมาก นอนถอนใจ บรรทมถอนใจ ร่างกายก็ซูบซีด หน้าก็ซูบซีด ตาก็เหม่อลอย พระองค์ทรงคิดถึงเรื่องอะไรหรือพระเจ้าข้า หรือว่าจะไปเจอเทวีที่ดีกว่านี้อีก หม่อมฉันจะไปติดตามมาให้

    (นี่ตอนนี้คนที่สงสัยลองฟังแม่ใหญ่พูดนะครับ แล้ววัดกำลังใจ ว่ากำลังใจแบบนี้จะมีหรือไม่ที่จะหาเทวีที่ดีกว่านี้มาให้ พูดด้วยห่วงใย ไม่ใช่การพูดประชดประชัน)

    พระราชาก็ตรัสว่า พระเทวีนี่น้องหญิงเธอยังไม่เข้าใจนะ เวลานี้ฉันแพ้ชาวบ้านเขารู้ไหม ฉันให้ทานเท่าไหร่ ชาวบ้านก็รวมใจกันให้มากกว่านั้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า แล้วฉันจะเอาอะไรดีไปชนะชาวบ้านเขา เออน้องหญิง ทราบว่าน้องหญิงเป็นคนมีปัญญาดี มีความละเอียดรอบคอบและก็สุขุม มีความรู้จักประโยชน์และสิ่งที่ไม่ใช่ประโยชน์ จะมีอะไรช่วยฉันคิดได้บ้างไหม

    เวลานั้นพระนางมัลลิกาก็กราบทูลท้าวเธอว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์อย่าทรงคิดมากไปเลย เรื่องทาน ไม่ใช่ของหนัก พระราชาเป็นผู้ใหญ่ในแผ่นดิน ฉะนั้นชาวพระนครทั้งหลายจะให้แพ้น่ะไม่ได้ พระองค์เคยทอดพระเนตรหรือว่าเคยสดับแล้วที่ไหนหม่อมฉันจะจัดแจงทานแทนพระองค์ นั้นก็หมายความว่าเคยเห็นไหมที่พระราชายอมแพ้ชาวบ้าน พระราชานี่ความจริงไม่ใช่มีมานะหนัก แต่ต้องทำความดี ให้เหนือเพื่อเป็นการจูงใจคนให้มีความดีปฎิบัติความดีตาม ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเด็กย่อมเห็นว่า ผู้ใหญ่ทำดีก็อยากจะดีบ้าง ทำอย่างไรก็ชอบทำตามนั้น ฉะนั้นเมื่อพระราชาชอบให้ทานชาวบ้านก็ต้องให้ทาน

    พระนางจึงได้กราบทูลท้าวเธออย่างนี้ว่าความที่พระนางเป็นผู้ใคร่จะจัดแจงอสทิสมาน คือหมายความว่าตั้งใจไว้แล้วจะถวาย อสทิสทาน มานานแล้วแต่โอกาสมันยังไม่มี ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์จงรับสั่งให้เขาทำดังนี้คือ หนึ่งทำมณฑปสำหรับนั่งในวงเวียน คือทำวงเวียนแล้วก็ทำมณฑปสำหรับนั่งใช้ไม้เรียบ ๆ ที่ทำด้วยไม้สาละและใช้ไม้ขานาง ขานางเอาไว้ถ่างขาทำเป็นโต๊ะเพื่อบรรดาพระสงฆ์ 500 รูปนั่ง สำหรับพระที่เกิน 500 จะนั่งนอกวงเวียน ในวงเวียน 500 ทำตั่งทำโต๊ะนั่งสบาย ๆ และขอให้จงรับสั่งให้ทำเศวตฉัตร 500 คัน ช้างประมาณ 500 เชือก ช้าง จะถือเศวตรฉัตรทั้งหลายเหล่านั้นกั้นอยู่เบื้องหลังให้ภิกษุ 500 รูป งานมันใหญ่มาก และขอจงรับสั่ง ให้ทำเรือสำเร็จด้วยทองคำอันมีสีสุก คำว่าสำเร็จหมายความว่าสั่งทำเรือทองคำ ทองคำ แท้ ๆ ที่มีสีสุกสัก 8 ลำ หรือ 10 ลำ และก็เรือเหล่านั้นจะอยู่ท่ามกลางมณฑป และจะมีเจ้าหญิงองค์หนึ่ง ๆ จะนั่งบดของหอมอยู่ในระหว่างภิกษุ 2 รูป คือภิกษุพระ 2 องค์ มีเจ้าหญิง 1 องค์ นั้นบดของหอมถวาย และ เจ้าหญิงอีกองค์หนึ่งจะถือพัดถวายแก่พระภิกษุ 2 รูป พระ 500 นี่ก็เจ้าหญิง 500 เข้า ไปแล้ว เจ้าหญิงที่เหลือจะนำของหอมที่บดแล้วมาใส่ในเรือทองคำทุก ๆ ลำ และบรรดาเจ้าหญิงทั้งหลายเหล่านั้น เจ้าหญิงบางพวก จะถือดอกอุบลเขียวคือดอกบัวเขียวเคล้าของหอมที่ไส่ไว้ในเรือทองคำ จะให้ภิกษุรับเอากลิ่นอบ

    ที่ทำอย่างนี้นะจะเอาชนะชาวบ้าน เพราะว่าชาวบ้านเขาจะไม่มีเจ้าหญิงใช้ คือเจ้ามีเฉพาะกลุ่มเจ้า คำว่าเจ้า ชาวบ้านจะมีเจ้าหญิงไม่ได้ และอีกประการหนึ่งชาวบ้านก็ไม่มีเศวตฉัตร และชาวบ้านจะมีช้างก็ไม่มากเท่าช้างของพระราชา นี่ถือเอาชนะกันตอนนี้ และชาวบ้านจะแพ้ด้วยเหตุผลเหล่านี้พระเจ้าข้า ก็ได้กราบทูลต่อไปว่า ขอพระองค์จงรับสั่งให้ทำอยางนี้เถิด

    พระเจ้าปเสนทิโกศลฟังแล้วก็ดีใจหายเหนื่อยลุกผลุนผลันมาทันที ว่าดีแล้วน้องหญิง เรื่องอันงามเจ้าบอกพี่แล้ว จึงได้ทรงรับสั่งให้ทำกิจทั้งสิ้นโดยทำนองที่นางกราบทูลมาแล้ว ช้างเชือกหนึ่งยังไม่พอต่อภิกษุรูปหนึ่ง และหมายความว่าภิกษุแต่ละองค์ต้องใช้ช้างแต่ละเชือก แต่นับไปนับมาแล้ว ช้างมันไม่พอ ช้างไม่พอไม่ใช่อะไร ช้างน่ะมีมาก แต่ไม่พอ ฟังเหตุผลไปก่อน เป็นอันว่าช้างเชือกหนึ่งเฉพาะพระภิกษุรูปหนึ่ง 500 รูปน่ะไม่พอ จะทำอย่างไร

    พระนางมัลลิกาจึงได้กราบทูลถามว่าช้าง 500 เชือก เรามีไม่พอหรือมีไม่ถึง 500 เชือกหรือ พระนางทราบว่ามีมาก พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ตรัสว่ามี น้องหญิง ช้างที่ว่าไม่พอน่ะ มันเหลือแต่ช้างตัวดุร้ายน่ะซี ถ้าช้างทั้งหลายเหล่านั้นไปเห็นพระเข้าล่ะก็ มันจะทำร้ายพระ เพราะว่าช้างเห็นพระนี่ไม่เชื่องกับพระ ก็เหมือนกับควายที่ไม่เชื่องกับพระ ไล่ขวิดพระนั่นเอง เหมือนกับลมพาไล่พระ พระนางก็ได้กราบทูลให้ทรงทราบว่า ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันทราบที่เป็นที่ยืนถือฉัตรของลูกช้างซึ่งดุร้ายเชือกหนึ่ง หมายความว่ามีลูกช้างเชือกหนึ่งพร้อมที่จะถือฉัตรได้ ถึงแม้ว่ามัจะดุร้ายก็สามารถปราบได้ด้วยกำลังใจ

    พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ถามว่าเราจะเอาช้างมาอยู่ที่ตรงไหนล่ะ พระนางมัลลิกาก็กราบทูลว่า ยืนที่ใกล้ๆ พระผู้เป็นเจ้าชื่อว่า องคุลิมาน หมายความว่าลูกช้างตัวที่มันดุเอามายืนใกล้ ๆ องคุลิมาน ได้สู้กัน องคุลิมาน ไม่ใช่ก้อย แต่ว่าเวลานี้ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษทำอย่างนั้น คือว่า พระราชารับสั่งให้เอาช้างตัวนั้นมายืนใกล้ องคุลิมานถือฉัตร พอมาใกล้องคุลิมาน ก็อาศัยบารมีความดีของท่าน ลูกช้างก็สอดหางเข้าไปในระหว่างขา ได้ปรบหูทั้งสองหรือตั้งหูทั้งสองขึ้นหลับตายืนอยู่

    มหาชนแลดูช้างซึ่งทรงเศวตฉัตรเพื่อพระเถระหรือองคุลิมานนั้น จึงพากันคิดว่านี่เป็นอาการของช้างดุร้ายที่ว่าเห็นปานนี้ ท่านองคุลิมาน พระเถระย่อมทำได้ หมายความว่าปราบพยศของช้างได้

    พระราชาทรงถวายภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานด้วยอาหารอันปราณีตแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญสิ่งใดที่เป็นกัปปิยะ คือเป็นของสมควรหรือกัปปิยภัณฑ์ของที่สมควรที่ของใช้ในโรงทานนี้ทั้งหมด หม่อมฉันถวายทุกสิ่งทุกอย่างแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าคือถวายทั้งหมดของนะไม่ใช่คน สิ่งที่เป็นวัตถุทั้งหมด เรือทองคำก็ดีอะไรก็ดี เตียงตั่งก็ถวายหมด เป็นอันว่าพระราชา ทรงถวายเสร็จ ท่านกล่าวว่าในทานทั้งหลายเหล่านั้น ทรัพย์มีประมาณ 14 โกฎิ อันพระราชาทรงบริจาคในวันเดียวนั้นของ 4 อย่างก็คือ เศวตฉัตรหนึ่ง บรรลังก์สำหรับนั่งหนึ่ง เชิงบาตรหนึ่ง ตั่งสำหรับเช็ดเท้าหนึ่ง เป็นของที่หาค่าไม่ได้ เป็นของมีราคาสูง

    เมื่อพระศาสดาคือสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ารับทราบแล้ว ท่านกล่าวว่าใคร ๆ ผู้สามารถทำทานถึงปานนี้แล้วไม่มี ไม่สามารถจะทำได้ ถวายทานในพระพุทธเจ้าทั้งหลายในครั้งใหม่อีกไม่ได้ ทานประเภทนี้เขาถวายกันคราวเดียวเพราะเหตุว่า อสทิสทาน ประเภทนี้จะปรากฎแก่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนึ่งองค์ต่อหนึ่งครั้ง คือถวายกันครั้งเดียวของมันหนักปริมาณมันสูง และผู้ที่ถวายทานประเภทนี้ได้ก็เป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย ก็เรื่องราวมันก็มีมาก มันก็จบไม่ได้ จะลัดก็ลัดไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าต้องเอาหนังสือมากางแล้วก็เล่าสู่กันฟัง เรื่องของท่านมีความละเอียด

    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท วันนี้ก็หยุดกันแค่นี้นะสำหรับท้องเรื่อง เหลือเวลาอีก 5 นาที ก็มานั้งคิดกันว่าในเมืองพาราณสี น่ะ พระเจ้าปเสนทิโกศลความจริงก็เป็นสหายกันกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่กล่าวว่าเป็นพระสหายคือเป็นลูกกษัตริย์เหมือนกัน อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และก็มีศรัทธาในองค์สมเด็จพระพระภควันต์บรมศาสดามาก และในการทำทานคือพระโพธิสัตว์ไม่ยั้งในการทำทาน และแถมมีพระมเหสีคือ พระนางมัลลิกาเทวี อย่าลืมนะ มัลลิกาเทวี องค์นี้ชื่อเดิมของท่านชื่อ ศรีระจิตร เป็นผู้ที่ทรงทานมาก มีศรัทธามาก จริยาของท่านยังมีมากไปกว่านี้ แล้วก็จะคุยกันวันหน้า

    รวมความว่าทานที่ท่านให้อาศัยบุญบารมีเดิม คือว่าถอยหลังในชาติต่อ ๆ ไปก็ปรากฎว่าทั้งสองท่าน นี่ท่านผู้รู้ท่านบอกให้ฟัง ในธรรมบท อาจจะไม่บอกไว้ ท่านบอกว่าทั้งสองท่านนับแต่อดีต ตั้งแต่ปรารถนาพระโพธิญาณมาตั้งแต่เริ่มแรก ก็เป็นผู้หนักในทาน บางครั้งบางคราว ท่านเกิดในสภาวะของคนยากจน ผ้านุ่งก็เก่าแสนเก่า จะต้องประกอบอาชีพด้วยแรงงาน คือทำไร่ทำผัก ฐานะทางสมบัติก็ไม่ค่อยจะมีกิน ก็ปรากฎว่ามีคนยากจนเข็ญใจมาเมื่อไหร่ อาหารของท่านแม้จะเกือบไม่อิ่มก็พยายามแบ่งให้ แบ่งให้ไม่มาก ก็แบ่งให้น้อย ๆ พอที่ประทังชีวิตไปชั่วคราว นี่กำลังใจของท่านเป็นอยางนี้ในเรื่องในทาน โดยเฉพาะพระนางมัลลิกาเทวี ท่านผู้รู้ ผู้นั้นบอกให้ทราบว่า พระนางมัลลิกาเทวีนี่ถวายทานหนักเป็นพิเศษ ในอดีตที่ผ่านหรือว่าชาตินี้ก็ตาม จะเป็นคู่ปรับกับนางวิสาขามหาอุบาสิกา คือหนึ่งจริยาก็มีความนิ่มนวล สองการสละทานก็หนักมาก ในชาติก่อน ๆ มา อันนี้จะอ้างถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคไม่ได้นะ ท่านผู้รู้บอกว่าในชาติก่อนๆ ท่านชอบบูชาทาน บูชาธรรมด้วยเครื่องประดับ ในบางคราวซึ่งเกิดเป็นพระราชินีของพระมหากษัตริย์องค์ใดองค์หนึ่งในชาตินั้น ๆ มาฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระภควันต์คือสมเด็จพระพุทธเจ้าก็ดี ฟังเทศน์จากพระอรหันต์ก็ดี พอใจในธรรมะ ถอดเครื่องประดับที่มีราคาสูงที่ชาวบ้านไม่สามารถจะมี ถวายบูชาธรรมแล้วก็ตีราคาเป็นเงิน ตีราคาเป็นเงินให้มันสูงกว่าราคาปกติ แล้วก็ประกาศขาย เพราะพระใช้เครื่องประดับไม่ได้ ท่านทราบ เมื่อไม่มีใครซื้อท่านก็ซื้อเอง เอาเงินจำนวนนั้นบำรุงพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา

    เพราะอานิสงส์อย่างนี้ การให้ทานหนักมาในกาลก่อน ต่อมาสมัยเมื่อพบองค์สมเด็จพระชินวร พระราชสวามีในสมัยนั้นก็มาเกิดเป็นพระเจ้าปเสนทิโกศล พระนางศรีระจิตรก็มาเกิดเป็นพระนางมัลลิกาเทวี นี่ชื่อสำหรับพระราชินีนะ แต่ชื่อจริง ศรีระจิตร ท่านว่าอย่างนั้น ผิดถูกก็เป็นเรื่องของท่าน การถวายทานในครั้งนี้จึงเป็นของไม่หนัก เพราะสมัยนั้นมีมหาเศรษฐีมีเงินนับเป็น 80 โกฎิบ้าง 160 โกฎิบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นบ้าง คนที่มีมากหนักจริงคือ นางวิสาขามหาอุบาสิกา ในเมื่อชาวบ้านมีทรัพย์อย่างนั้นมาก พระราชาก็ต้องมีทรัพย์มากยิ่งขึ้น ฉะนั้นจึงทรงพระราชทานการบำเพ็ญกุศลได้ถึงวันละ 14 โกฎิ 14 โกฎินี่หมายความว่าแม้แต่พระนางมัลลิกาเทวี ก็มีสิทธิจะใช้ในเงินนี้ คือวันหนึ่ง ๆ พระราชาสามารถจับจ่ายใช้ถึงวันละ 14 โกฎิ และมีผู้สงสัยว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลสมัยนั้นมีลูกเท่าไหร่ ภรรยาไม่ใช่คนเดียว พระนางมัลลิกาเทวี เป็นภรรยาเอก เอกอัครมเหสี นอกจากนั้นจะมีเท่าไหรก็ดูลูก ลูกสังเกตตามเรื่องนี้ปาเข้าไป เลยกว่า 1,000 คน บ้างเป็นหลาน เป็นเหลนบ้าง และก็จริง ๆ แล้วคำว่า เจ้าหญิง ส่วนใหญ่จะเป็นลูกของกษัตริย์ แต่ว่าเป็นลูกของกษัตริย์ข้างเคียงคือน้อง ๆ รองลงไป ก็รวมความว่าพระราชาท่านมีทรัพย์ใหญ่ ฐานะก็ใหญ่ มีลูกก็มากตามฐานะ เรื่องราวในตอนนี้ยังไม่สรุปเรื่องธรรมะ

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า สัญญาณบอกหมดเวลาผ่านไปแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแต่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี เรื่องนี้นะจะต่อในวันพรุ่งนี้ต่อไป สวัสดี.










    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มิถุนายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...