อยากถามเรื่ององค์ครับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย TonZ_39, 4 มกราคม 2008.

  1. TonZ_39

    TonZ_39 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2008
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +17
    ก่อนอื่นก็สวัสดีทุกๆคนก่อนนะครับ ผมสมาชิกใหม่ของเว็บนี้นะครับ ชื่อว่าต้นนะครับ อายุ 18 เอง ครับผม

    คือว่า ตอนแรกๆเลย ผมก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้เท่าไหร่นะครับ เพราะบ้านผม

    เขาเลี้ยงมาให้เชื่อเรื่อง เหตุและผล ซะส่วนใหญ่

    แต่มาตอนนี้ ผมก็มีบ้างละครับ ที่เชื่อ เพราะที่ผมเชื่อจริงๆ คือเรื่องเวรกรรม แล้วก็เรื่องกายทิพย์

    คือว่า ผมมามีแฟนอยู่คนหนึ่งนะครับ เขาอายุเท่าผมเนี้ยละ เขามีป้าอยู่คนหนึ่ง

    แฟนผมบอกว่า ป้าเขาคนนี้น่ะ มีองค์นะครับ และป้าเขาจะเข้าวัดเข้าวา ไป

    ปฎิบัติธรรมอยู่บ่อยๆนะครับ รู้สึกว่าจะเป็นที่วัดเขานะครับ ป้าเขาจะเคยเห็น

    เทพ เห็น เทวดา พญานาค มาบ้างครับ และก็จะมีบ้างที่ได้ยินเสียงคนมาเตือน

    เรื่องที่บ้าน ด้วย และป้าเขายังเคยบอกอีก ว่า สวรรค์ นรก น่ะ มีจริงครับ สวรรค์

    จะเป็นแบบว่า มีบ้าน เป็นหลังๆ มีรั้ว อยู่กันแบบ มีความสุข ส่วนนรก ก็เป็นแบบ

    ที่พวกเราเคยรู้กันมา นั้นละครับ ผมอยากทราบว่าเรื่องพวกนี้มีจริงใช่ไหมครับ

    แล้วอีกอย่าง คนเราเกิดมา ทุกคนมีองค์ หรือเปล่าครับ ถ้าไม่ทุกคน คนที่ไม่มี

    องค์จะฝึกเรื่องสมาธิ และได้รับรู้เรื่องพวกนี้ได้ไหมครับ ช่วยตอบผมด้วยนะครับ

    ขอบคุณครับผม
     
  2. PLE-55

    PLE-55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2007
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +124
    รอฟังด้วย....
     
  3. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,572
    ค่าพลัง:
    +4,560
    องค์ ถ้าในความหมายคนทรงเจ้าเข้าผี น่าจะเป็นเจตภูติ
    เจตภูติคือ"จิต"ของคนๆนั้น(จิตที่ไปมาตามกฏแห่งกรรมในขันธ์5)
    บางทีเจตภูตินี้อาจออกไปหลอกตนเอง หรือ หลอกคนอื่นๆได้ เหมือนเห็นผี แต่ไม่ใช่ เป็นแค่เจตภูติของคนๆนั้น
    ลัทธิวูดูที่ถอดกายทิพย์นั้นไม่ใช่ ที่แท้เพียงแค่สามารถส่งเจตภูติ ออกจากร่างได้เท่านั้น
    เจตภูติกับกายทิพย์ ดูๆแล้วน่าจะเป็นประเภทเดียวกัน แต่เรียกคนละชื่อ
    คือเจตภูติเป็นสมบัติของมนุษย์ที่ควบคุมไม่ได้ ไม่รู้วิธี
    แต่กายทิพย์เป็นสมบัติของผู้ปฏิบัติธรรม ที่ควบคุมได้ รู้วิธี
    ดังนั้นผู้คนที่ยังหลงงมงายในเรื่องนี้ มักตกเป็นเหยื่อของผู้หลอกลวงเสมอ
    ทุกคนล้วนมีองค์คือเจตภูติด้วยกันทุกคน อย่าไปหลงงมงาย เป็นของธรรมดาธรรมชาติของมนุษย์เราเอง
     
  4. table

    table เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +730
    จาประสบการณ์ที่ผ่านมาตลอดนะครับ

    คำว่าองค์ คือญาณ ของเทพ ที่ส่งมาบังคับ หรือประทับในร่างของคน เพื่อใช้ร่างเป็นสื่อในการพูดคุย ได้ ก็เพราะ พวกมนุษย์ส่วนใหญ่ ไม่สามารถเห็นเทวดา หรือผี ได้ ไม่สามารถฟังหรือพูดได้ กับคนตาย หรือเทพ เทวดา ( ก็คือคนที่ทำความดีและตายจากโลกมนุษย์ ) ได้ ดังนั้น ต้องมีสื่อในการพูดคุย และจะใช้
    ร่างมนุษย์ ไม่ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะเทพบางองค์พูดภาษาไทยไม่ได้ แต่เมื่อเข้าร่างมนุษย์คนไทย ก็พูดได้ เพราะต้องใช้จิตร่างด้วยในการประสานพลังในการพูดคุย แต่ก็มีบางครั้งที่พูดภาษาอื่น เรียกว่าภาษาเทพ
    เรื่ององค์ มีทั้งจริง และไม่จริง ที่จริง ก็เยอะ ที่ไม่จริง ก็มีบ้าง ที่เป็นผี สัมภเวษี ก็มีเหมือนกัน ที่เป็นเทพลงมาสร้างบารมี ก็มี ลงมาช่วยรักษาพระพุทธศาสนา สั่งสอนให้มนุษย์ทำความดี ให้เห็นว่าสวรรค นรก มีจริง ก็เยอะมาก
    เพราะในพระไตรปิฏกเขียนไว้ด้วยว่า ช่วง พุทธกาลแรกนั้น อุบาสกอุบาสิกาสมณะชีทั้งหลาย จะเป็นผู้รักษาค้ำจุนพระพุทธศาสนาไว้ ส่วนช่วงกลาง จะเป็นหน้าที่ของเทพยดาทั้งหลาย ช่วงท้าย เป็นหน้าที่ของคนธรรพ์ ครุด และนาค ซึ่งเป็นช่วงที่พุทธศาสนาในโลกมนุษย์ถดถอย

    มนุษย์ทุกคนมีองค์หมด คือเทวดาที่คุ้มครองตนเอง เช่น ผีปู่ย่าตาตาย บรรพบุรุษ หรือเทพยดาต่าง ๆ ที่เคยมีกรรมซึ่งกันและกันในอดีตชาติ เช่นเคยเป็นลูกหลาน หรือลูกศิษท์กันมา ดังนั้น ท่านจะมาช่วยเหลือ และนำทางในการปฏิบัติทำความดี หรือดึงให้สูงขึ้นนั้นเอง แต่ว่า จะมีบางคนที่มีองค์ แบบโดดเด่นพิเศษ เนื่องจากเทพเจ้าบางพวก มีฤทธิมาก และมีบทบาทสำคัญในโลกมนุษย์ จึงมีการประทับทรงเช่น พระแม่อุมาเทวี หรือพระศิวะ พระพิคเนส
    เป็นต้น
    สิ่งทั้วปวง ล้วนแต่เป็น อจินไตย รู้ได้ดัวยตนเอง แต่จะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะ เรื่อหลายเรื่องเกินกว่าจะพิสูทธ์ทางวิทยาศาสตร์ได้ แต่เรื่องผีเข้า หรือผีหลอกนั้น เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง และทั้วไป แต่ทำไมเรื่องเทวดาเข้าบ้างจึงไม่เป็นที่ยอมรับกันบ้างหรือ


    ผมเองก็มี แต่ไม่ได้ใช้ร่างในการสื่อ ช่วยคนทั่ว ๆไป แต่เป็นสิ่งที่รู้เฉพาะตน
    ซึ่งทุกครั้งที่มีเรื่องเดือดร้อนเกินแก้ ก็จะขอให้ท่านช่วย และก็ได้ผลเกือบทุกครั้งทีเดียว
     
  5. eddy1965

    eddy1965 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +475
    คนไม่มีก็จะบอกงมงาย แต่สำหรับคนที่ปฏิบัติได้ในสิ่งนี้ ย่อมเป็นอานิสงค์ที่มีเทพประจำกายคุ้มครองได้จิตสัมผัสกับพระองค์ท่าน พระอริยะเจ้าส่วนใหญ่มีพระญาณหรือพระณานซึ่งเป็นตัวรู้อันเป็นคุณวิเศษด้วยเพราะสิ่งนี้ทั้งนั้น ส่วนฆารวาธผู้ปฏิบัติดีด้วยทาน ศีล ภาวนา พระองค์ท่านย่อมนำพาไปสิ่งที่ดี ดีกว่าผู้ทรงภูมิด้วยปัญญาคงแก่เรียน แต่ไม่สามารถปฏิบัติรู้แจ้งแล้วไซร้ ก็ย่อมไม่มีจิตสัมผัสกับสิ่งนี้ เพราะมั่วแต่คิดปรุงแต่ง คนที่มีองค์หรือเทพประจำกายจากการปฏิบัติดี ก็ไปหาว่าเขาเป็นร่างทรงเจ้าเข้าผี แล้วพระอริยะเจ้าที่เขามีสิ่งเหล่านี้ละ เขาเรียกว่าอะไรละ สิ่งสำคัญหากมีแล้วก็อย่าไปหลงว่าตนเป็นผู้วิเศษก็แล้วกันนับว่าประเสริฐยิ่ง
     
  6. ดั่งจันทรา

    ดั่งจันทรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +693
    อนุโมทนาสำหรับความรู้ครับ ถ้าสนใจเรื่องการถอดจิต การมีกายทิพย์หรืออภินิหารก็ศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนหลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้ครับ ไม่ผิดหวัง ทำเองรู้เองเห็นเองครับ









    เชิญบูชาวัตถุพลังแสงทิพย์
    http://palungjit.org/showthread.php?t=105421
    เชิญร่วมสร้างองค์สมเด็จพระวิสุทธิพุทธรังษีบรมธรรมบิดา
    http://palungjit.org/showthread.php?t=105420
    อัตตนา โจทยัตตานัง
    จงกล่าวโทษโจษความผิดตนเองเสมอ
     
  7. neung48

    neung48 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +457
    เห็นก็สักแต่ว่าเห็น รู้ก็สักแต่ว่ารู้ สรรพสิ่งไม่เที่ยง มีแล้วก็ผ่านไปไม่มีอะไรแน่นอน แม้นเทพก็เฉกเช่นเดียวกัน
     
  8. Nongmaika

    Nongmaika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    373
    ค่าพลัง:
    +394
    คุณ ดั่งจันทรา รูปนารายทรงครุฑ สวยจังคะ
     
  9. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    6,719
    ค่าพลัง:
    +38,360
    ตอนแรกๆเลย ผมก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้เท่าไหร่นะครับ เพราะบ้านผม

    เขาเลี้ยงมาให้เชื่อเรื่อง เหตุและผล ซะส่วนใหญ่

    ..................................................

    พุทธศาสนาสอนให้รู้เรื่องเหตุและผลอยู่แล้ว และสามารถพิสูจน์ได้ด้วยการปฏิบัติ ทุกคนสามารถทำได้ถ้ามีความตั้งใจจริง ลองศึกษาดูนะ
     
  10. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ทุกคนมีองค์ค่ะ ส่วนใหญ่เป็นบรรพบุรุษ หรือญาติ หรืออาจารย์ที่เราเคยนับถือในอดีตชาติ ก็จะมาช่วยดูแลเราเหมือนกันค่ะ

    แต่บางคนก็ได้เจอในชาติปัจจุบัน จะว่าเป็นผีเป็นวิญญาณก็แล้วแต่ แต่เรียกว่ามีดวงเกื้อหนุนกันมา แต่เขายังไม่ไปเกิดก็มี ฉะนั้นคนนี้ก็จะมีทั้งองค์ในและองค์ที่เพิ่งจะมารวมอยู่ด้วย

    หมอดูบางท่าน เช่น หมอดูนิด กิจจา หมอดูทางญาณชื่อดัง ก็ได้องค็พระฤษีมาช่วยดูแลในปัจจุบันเหมือนกัน เรียกได้ว่ามีทั้งองค์ที่อยู่ดูแลเดิมตั้งแต่เกิด กับที่ได้พบเมื่อมีอายุพอสมควร จนได้มาเป็นหมอดูนั่นเองค่ะ
     
  11. paintkiller

    paintkiller เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +946

    ครับผมเป็นเช่นนั้นแลใช่แล้วครับ
     
  12. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    กรณีที่ว่า พระอริยะเจ้า มีญาณ มีฌาณ แล้ว เหมารวมเรียกว่า มีองค์ เพื่อให้
    สอดคล้องกับกระทู้ คงเป็นการกล่าวที่ไม่สมเหตุสมผล

    เพราะ ญาณ ก็ดี ฌาณ ก็ดี คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยตน เนื่องด้วยวิบากแห่ง
    ตน และเนื่องด้วยวาสนาของตน จึง ไม่น่าจะเกี่ยวกับ องค์ ในความหมายกระทู้นี้
    เพราะ องค์ ที่พูดถึง คือ สิ่งภายนอก อะไรก็ไม่รู้ เจ้ากรรมนายเวร หรือ เร่ร่อน ก็ไม่รู้

    มาดูกันว่า องค์ เข้ามาได้อย่างไร

    สำหรับนักจิตานุสติปัฏฐาน ที่ดูจิตเป็นหลักมากกว่ากาย เมื่อปฏิบัติได้ระดับหนึ่ง
    จะเริ่มสัมผัสกับ สิ่งข้างนอก สิ่งข้างนอกอาจมาจากคนใกล้ชิด จากหมา จากแมว
    นอกจากนี้ ก็มาจาก สัมภเวสี มาจาก เทวดา มาจาก พรหม ก็ย่อมเป็นฐานะที่เป็นไปได้
    แต่เมื่อไหร่ ที่ส่งจิต ไปจับสิ่งข้างนอก และอาจเปิดเข้ามาให้เป็นตน ก็จะวิบัติ อาจผิดข้อวินัย
    การปฏิบัติจะผิดเพี้ยนไม่ตรงทาง ไม่ตรงต่องานที่ต้องทำให้แจ้ง พระที่เป็นอาจารย์ทางจิต
    ท่านเน้นย้ำกับลูกศิษย์ว่า อย่าส่งจิตออกนอก

    ดังนั้น ถ้าเอาคำเตือนนี้มาพิจารณา แทนการเข้าไปเห็นเอง เป็นข้อระวัง เป็นหนทางไม่ประมาท

    ย่อมต้องเข้าใจว่า การมี องค์ ไม่ใช่สิ่งที่พาไปสู่ มรรค สู่ ผล แต่เป็นการหลงทาง

    * * * * * *
    วิธีการมี องค์

    แน่นอน คือ การทำให้จิตเราต่ำ เพื่อให้จิตข้างนอกไหลเข้าสู่จิตตน

    ถ้าเผอิญ ความต่ำของจิต แค่ต่ำกว่า พรหม ก็ย่อมมีจิตพรหมที่ไหลเข้ามา ( แต่ธรรมชาติจิตพรหม ย่อมไม่ไหล )

    ถ้าเผอิญ ความต่ำของจิต เป็นการต่ำกว่าพรหมลงไปอีก ก็ย่อมมีจิตเทวดา ไหลเข้ามา ( เทวดามีทั้งสัมมาทิฏฐิ และ มิจฉาทิฏฐิ )

    ถ้าเผอิญ ความต่ำของจิต เป็นการต่ำกว่า ศาลเพียงตา ก็ย่อมมีภูมิเทวดา ไหลเข้ามา แต่ภูมิจิตที่ระดับพื้นดินนั้นมี สัมภเวสีด้วย หมา แมวด้วย คนก็ด้วย ล้วนแต่ไม่อาจยืนยันได้ถึงสัมมาทิฏฐิของจิตเหล่านั้น

    แต่ทั้งหมด ยังไม่มีจิตไหนเลย ที่มั่นใจได้ว่าจะพาสอนสั่งเราเข้าสู่นิพพานได้ พรหม เทวดา มนุษย์ หมา แมว สัมภเวสี เปรตานัง

    จิต ของ สงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเล่า ท่านก็ไม่ส่งออกนอกโดยไม่จำเป็น

    * * * * * *

    โอกาส มี องค์ แล้ว ได้รับ ธรรม อันบริสุทธิ นั้นยากยิ่ง
    แต่ ทุกข์ที่อันตราย มีมากกว่าเหลือประมาณนัก !

    * * * * * *

    การมี องค์ จะไม่ใช่สิ่งเลวร้าย ตราบใดที่ผุ้มีองค์ รู้จักยกจิตตนให้สูงขึ้น
    แต่เมื่อยกไปยกไป ก็จะเห็นว่า จะไม่มีอะไรไหลเข้ามา
    เมื่อนั้น ก็ไม่มีองค์ ซึ่ง ก็ไม่ต่างกับคน ที่ไม่เคยมีองค์ ( ไม่เคยหลงทาง )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2008
  13. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 border=0><TBODY><TR><TD width="50%" background=144/images/left.jpg rowSpan=2>[​IMG]</TD><TD width=1 bgColor=#333333 rowSpan=100>[​IMG]</TD><TD colSpan=3><TABLE id=table2 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>




    :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มกราคม 2008
  14. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    คุณเล่าปัง พูดได้ถูกใจ อ่านไปยิ้มไปด้วย ถูกต้องมีเหตุมีผล เมื่อก่อนเราเคยเกือบหลงทาง แต่โชคดีที่ไม่เป็นแบบนั้น มีคนเคยเตือนเราว่า เมื่อเรายึดติด ก็จะทำให้เรา ติดอยู่แบบนั้น แต่เมื่อปล่อยวาง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด มันจะเกิดความว่างเปล่า ไม่ต้องสนใจในสิ่งที่เกิดและเข้ามา ก็จะหายไปเองในที่สุด งง..ป่าว (เปรียบเทียบกับตัวเรานะนี่)
     
  15. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    งงสิ

    แต่ไม่ผิดหรอก

    เพราะ ธรรม ที่ผุด หรือ ธรรม ใดที่คุณเข้าใจ
    ย่อมมาจากตัวคุณเอง มีอยู่เอง เห็นเอง
    ไม่ใช่เพราะข้อความจากเรา เพราะของที่คุณ
    มี มันคว่ำอยู่(คือมีอยู่ในตน) ก็เท่านั้น

    เหตุนี้ บัณฑิต ที่หมั่น สดับ ย่อมเห็น
    และ ผู้ไม่เคยสดับสัทธรรมของพระพุทธองค์ผู้ชี้
    ก็ย่อมเผลอมองข้าม เพราะอวิชชาบังตา

    ผมนั้นแค่นักจำอวด
     
  16. TonZ_39

    TonZ_39 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2008
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +17
    ขออนุโมทนา ทุกท่านที่ให้ความรู้แก่ผมด้วยนะครับ

    แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี T_T
     
  17. eddy1965

    eddy1965 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +475
    คนเราก็แปลกนะ รู้ไม่จริงและไม่มีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ ก็ยกภูมิปัญญาธรรมว่ารู้แจ้ง แค่เปรียบเปรยลักรู้ลักจำเขามา เห็นแล้วก็อนาถใจ เที่ยวมายกยอปอปั้นกันเอง เก่งจริงก็ไปเขียนหนังสือธรรมะขายไป จะได้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน

    ร่างทรง คนมีองค์ องค์แฝง กับปาฏิหาริย์
    เมื่อพูดถึงคำว่าร่างทรง คนหลายคนคงนึกถึงภาพคนยืนตัวสั่น พูดจาทำนายทายทัก พูดกันด้วยภาษาแปลกแปลก บ้างก็เปิดเป็นสำนักกัน บ้างเก็บเงินหรือบอกหวยกัน ทำสิ่งที่ลึกลับมีพิธีกรรมแปลกๆซึ่งมักมีทั้งทรงจริง และของปลอมหลอกกัน เพื่อหาผลประโยชน์จากการหลอกให้หลงเชื่องมงายโดยขาดสติปัญญา เรื่องของสวรรค์ นรก เรื่องแปลกๆ เรื่องเหลือเชื่อ อันที่เราสามารถพินิจเห็นอยู่บ่อยๆตามสื่อรายการต่างๆ ในโลกแห่งวิทยาศาสตร์อันทันสมัย โลกแห่งการแข่งขันทางเศรษฐกิจกันอย่างดุเดือดรุนแรงวุ่นวายจนเราไม่เคยใส่ใจคำว่าคนมีองค์ ไม่เคยคิดแม้แต่ว่ามันจะจริงหรือไม่คิดเพียงว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ควรไปใส่ใจให้เสียเวลา เป็นเรื่องเหลวไหล แท้จริงมันเป็นเรื่องใกล้ตัวเราที่สุด จนแทบจะพูดได้เลยว่าเป็นเรื่องของเราเองทีเดียว แต่น้อยคนที่จะสนใจเรื่องเหล่านี้ว่าแท้จริงคือสิ่งใดเกิดขึ้นได้อย่าง เหตุผลใดทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ เรื่องใดเป็นเรื่องจริง เรื่องใดเป็นของปลอม หาได้แต่โทษโชคชะตา หรือไปโทษตัวเองว่า ถ้าเราไม่ทำเช่นนั้นก็คงจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้

    เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องลี้ลับยากที่จะพิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ มันเป็นเรื่องปัจจัตตังคือรู้และพิสูจน์ได้เฉพาะตน จะว่าไปแล้วคนทุกคนล้วนมีบุญเก่ากรรมเก่าติดตัวมาตั้งแต่เราเกิด ตั้งแต่ปฏิสนธิ มันเป็นเครื่องกำหนดกฏแห่งกรรมของทุกชีวิตที่เกิดมาในโลก ในแง่สิ่งเหนือสามัญวิสัย คนที่มีความซับซ้อนของภพชาติยิ่งมาก ย่อมเคยมีปฏิสัมพันธ์กับคน สัตว์ สิ่งมีชีวิต จิตวิญญาณ ตลอดจนสิ่งศักย์สิทธิ์มามากด้วยเราคงเคยไปก่อกรรมกับใครต่อใครไว้ทั้งดีและชั่วก็มาก ชาตินี้เรามาเกิด แต่คนที่เกี่ยวข้องกับเราบางคนในอดีตชาติ บางดวงจิตอาจมาเกิดร่วมชาติกับเราเพื่อมาชดใช้กรรมซึ่งกันและกันในชาตินี้ ซึ่งเราไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง บางคนยังไม่ได้พบกัน แต่บางคนก็อาจยังไม่ได้มาเกิดอาจยังเป็นเทวดาในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นฟ้า หรือในนรก หรือติดอยู่ในภพภูมิใดตามสัญญากรรม หรือบางคนสามารถพัฒนาจิตหนีเราไปเกิดเป็นพรหม เป็นมหาพรหม มหาเทพไปแล้ว ท่านก็ถือว่าท่านมีกรรมสัมพันธ์กับเรา จึงมีสิทธิที่จะมากำกับชีวิต ช่วยเหลือ ต่ออายุ ให้โอกาสเราหากเราเข้าถึงพระพุทธศาสนา คนเราหลายๆคน เรียกว่ามากมายนักที่มีสัญญากรรมกับเทพที่เกี่ยวข้องกับตนทั้งกรรมเก่าเกี่ยวเก่า กรรมใหม่เกี่ยวใหม่ตามบุคคลาธิษฐาน ท่านจึงคอยมากำกับชีวิตเราตามพื้นฐานของกฏแห่งกรรม แต่ก็ให้โอกาสเราทำกิจกรรมตามที่เคยสัญญากันไว้ก่อนมาเกิด หากใครทำได้ครบ ก็จะส่งบุญเก่าให้บุญเก่าของเราแสดงผลออกมาเป็นรางวัลชีวิต หากถึงเวลาที่กำหนดแล้วทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำเพราะส่วนใหญ่ไม่มีตัวรู้ หลงในเทคโนโลยี แสง สี เสียงสมัยใหม่ จนลืมสัญญากรรม ท่านก็จะอุเบกขาวางเฉยปล่อยให้กรรมเล่นงานเราตามกฏแห่งกรรม

    คนเหล่านี้จึงมีคลื่นพลังส่งมาจากโลกเหนือสามัญวิสัย แฝงมามาก ส่งมาดลใจ ลองใจเราอยู่ตลอดเวลา คงมีทั้งเจ้ากรรมนายเวร เจ้าบุญนายคุณ และเมื่อถึงกาลที่เหมาะสมเทพท่านจะมาใช้ร่างเราเพื่อให้เราสร้างบารมีคือท่านมาโปรดมนุษย์ ให้เข้าถึงธรรม มาจรรโลงพระพุทธศาสนา มารักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ มาสอนเราโดยส่งญาณอันเป็นรังสีมาสู่ตัวเรา เข้าสู่ระบบสมอง สู่ระบบประสาทจนเกิดแสดงเป็นอาการต่างๆให้เป็นร่างทรง ที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป เพื่อที่เราจะได้สร้างบารมีสามารถฟันฝ่าวิบากกรรมไปได้ คนบางคนที่เขาเรียกว่ามีสัมผัสที่ ๖ ล่วงรู้หรือเห็นชาติภพของตนมาก่อน ชอบเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนที่มีชะตาชีวิตรุนแรงประเภทขึ้นสูงก็สูงไปเลย พอลงต่ำก็ต่ำไปเลย คนบางคนมีความสามารถทางโลกโดดเด่นมาก บ้างก็มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นในชีวิต บ้างก็มีตำแหน่งในสังคม คนพวกนี้ส่วนใหญ่เกิดจากทางในส่งผลเป็นปัจจัยทั้งสิ้น เรียกว่าคนมีองค์ การที่คนเก่ง ด้วยหน้าที่การงาน มีฐานะตำแหน่งเป็นที่ยอมรับนับถือในสังคม หากคนเหล่านี้จะต้องมาตัวสั่น หรือมาเปิดสำนักคงยากที่คนเหล่านั้นจะยอมรับได้ แต่แท้จริงการพัฒนาร่างทรงต่างหากที่สำคัญ เพราะเมื่อเริ่มแรกเราจะตัวสั่น พูดจาภาษาเทพเร็วๆ ฟังไม่ออก เป็นเพราะเรายังมีตัวรู้ในองค์ญาณ ที่ยังไม่สัมพันธ์กับองค์ฌาน ละเอียดไม่เท่ากับรังสีที่ส่งลงมา เทพท่านส่งมา สิบคำรับได้แค่คำเดียวจึงเกิดเป็นอาการตัวสั่น พูดจาฟังไม่รู้เรื่องที่เรามักเรียกกันว่าพูดภาษาเทพ แท้จริงหากพัฒนาจิตให้ละเอียดจนสามารถรับคลื่นรังสีที่ส่งมาได้ครบถ้วน การพูดก็คือการพูดภาษาปกติมนุษย์นั่นเอง การตัวสั่นยังเป็นเรื่องของอิทธิฤทธิ์ เทวฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เราจึงยังไม่สามารควบคุมอาการได้ ซึ่งอิทธิฤทธิ์ เทวฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้นพระพุทธเจ้าทรงยอม รับแต่ทรงรังเกียจ เพราะส่วนใหญ่ง่ายในการนำไปใช้ผิดวิธี ผู้พบเห็นมักศรัทธาด้วยฤทธ์ไม่ใช่เข้าใจด้วยปัญญา

    หากเราฝึกฝนพัฒนาจิต พัฒนาทักษะ พัฒนาตัวรู้จนละเอียดใกล้เคียงกับรังสีเทพที่ส่งมาหาเรา เราก็จะเริ่มควบคุมตัวเองได้ จะแสดงอาการที่ปรกติมากขึ้นที่เรียกว่าอิทธิฤทธิ์ หรือเทวฤทธิ์อยู่ในขั้น ฤทธานุภาพ และเทวานุภาพ หรือสูงขึ้นจนทายใจคนได้อย่างอัศจรรย์เรียกว่า อาเทศนาปาฏิหาริย์ ซึ่งขั้นนี้พระองค์ก็ยังคงทรงรังเกียจ จนกระทั่งสามารถพัฒนาจิตสู่ขั้นมาตรฐาน คือขั้นจิตตานุภาพ นั่นคือเป็นองค์แฝงไม่พบอาการผิดปกติให้เห็นได้แต่อย่างใด แต่ขณะที่พูดสามารถปล่อยให้ญาณหรือรังสีเทพผ่าน แสดงออกมาหรือพูดออกมาในลักษณะที่ผู้อื่นคิดว่าเป็นการแสดงออกของตัวเราเอง โดยไม่มีใครทราบนอกจากตัวเรา สามารถอธิบายธรรมให้เข้าใจโดยใช้หลักธรรมให้เห็นเด่นชัดด้วยปัญญา มีความสมดุลอย่างสูงในองค์ฌาน และองค์ญาณ คนกลุ่มนี้ชีวิตจะยิ่งโดดเด่นยิ่งขึ้นโดยปาฏิหาริย์ เรียกว่าเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือคำสอนมีผลจริงเป็นมหัศจรรย์ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงสนับสนุนถือว่าดีเยี่ยมเป็นประเสริฐ ทั้งนี้คนที่พบกับวิบากกรรมก็สามารถที่จะดีขึ้นจนสามารถหลุดพ้นจากวิบากกรรมได้ หากเราสามารถทำตามสัญญากรรมข้ออื่นๆได้ครบ การพัฒนาร่างทรงสู่ญาณแฝง และสามารถถ่ายทอดธรรมได้อย่างมหัศจรรย์ จึงถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำสังคมก้าวไกล มองดูเป็นปกติธรรมดาธรรมชาติ และสังคมยอมรับกันได้ในปัจจุบัน

    แหล่งอ้างอิง http://sahadhamma.sahapatibati.org/2...post_5429.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2008
  18. TriKun

    TriKun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +2,346
    เป็นคำกล่าวที่ดีมากๆครับ
    ของอย่างนี้เป็นปัจจัตตังจริงๆครับ
    แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่เราทั้งหมดครับ ว่าจะยึดมั่นถือมั่นมากน้อยเพียงใด
    เรายึดมั่นในพระรัตนตรัยเป็นสิ่งที่สูงสุดก็พอครับ
    ส่วนทวยเทพท่านจะมาบำเพ็ญบารมีกับเราก็แล้วแต่บุพกรรมครับ
    ผมก็ไม่เคยปฏิเสธท่านเลย เพียงแต่ผมจะตกลงกับท่านว่า
    หากจะใช้ร่างผมมาช่วยเหลือมนุษย์หรือมาบำเพ็ญบารมีนั้น
    ท่านเองก็จะต้องเคารพนับถือพระรัตนตรัยเป็นสิ่งที่สูงสุดเช่นเดียวกัน
    ท่านก็ตกลงนะครับ
     
  19. X-MANengi

    X-MANengi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +40
    แล้วในกระทู้นี้ใครมีองค์บ้างล่ะครับ ^_^
     
  20. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ยกมือ...ผมก็มีองค์นะครับ ดูเหมือนจะเรียกว่า องค์ชาต ไม่รู้ว่าเป็นเทพหรือเป็นมารชั้นไหน ใครรู้ช่วยบอกด้วย...
     

แชร์หน้านี้

Loading...