พระนเรศวรมหาราช (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย กุศโลบาย, 1 พฤษภาคม 2014.

  1. กุศโลบาย

    กุศโลบาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    323
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,608
    พระนเรศวรมหาราช (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)



    [​IMG]



    [​IMG]



    วันนี้ วันที่ 9 พฤษภาคม 2533


    วันนี้ ก็จะคุยกับบรรดา ท่านพุทธบริษัท


    เรื่อง ซ้อม อตีตังสญาณ ที่ป่าศรีประจันต์ ตามเดิม


    ขณะอยู่ที่ ป่าศรีประจันต์ รู้สึกว่า มีความสุขมาก


    เพราะว่า ในสถานที่นี้ ลุงวิ ก็มาสร้างภูเขาให้ สร้างถ้ำให้


    มีสนามเดิน มีสนามหญ้า มีสวนดอกไม้ มีต้นไม้ใหญ่พุ่มไสว


    มีเตียงนอน นุ่มนิ่ม เตียงเป็นหิน แต่ว่า นุ่มนิ่ม


    ภายในถ้ำ ก็มี ธารน้ำไหล อากาศก็สบาย มีความสุข


    ที่นี่ มีความสุข กว่าที่ ป่าศรีประจันต์ ด้านตะวันออกมาก


    ฝั่งทิศตะวันออก อยู่กับ โคนต้นไม้ แต่ก็มี ความสุข




    แต่ว่า ป่าเวลานั้น บรรดาท่านทั้งหลาย หากว่าท่านทั้งหลาย


    มีอายุประมาณสัก 60 ปีเศษ ๆ ขึ้นไป ก็จะเข้าใจถึง ป่า ในเวลานั้น


    ถ้ามีอายุ น้อยกว่านั้น จะมีความเข้าใจยาก


    ทั้งนี้ก็เพราะว่า เวลานั้น มีป่ามาก ประเทศไทย มีที่ว่าง


    คนไทย ยังน้อย คนไทย มีประมาณ 10 ล้านเศษ ๆ


    เครื่องจักร เครื่องกล ทำลายป่า ยังไม่มี


    ต้นไม้ ต้องใช้เลื่อย เลื่อยบ้าง ใช้ขวานฟันบ้าง กว่าจะตัด ออกสักต้น ก็แสนยาก


    ดินแดน ที่ทำมาหากิน ก็หาง่าย


    ถ้าใคร ต้องการป่า ที่ไหน จะทำไร่ไถนา


    ก็ไปตัดต้นไม้ ตรงโน้นไว้ต้นหนึ่ง มุมนี้ไว้ต้นหนึ่ง แสดงว่า ที่ตรงนี้ เป็นที่ของฉัน


    หลังจากนั้น ก็ไปขอ ใบเหยียบย่ำ จากเจ้าหน้าที่


    แล้วก็มาค่อย ๆ ถางป่า ป่ามีมาก ความเย็นก็สูง


    อากาศตอนเย็น ๆ ประมาณสัก 3 โมงเย็น ก็เริ่มเย็นมากแล้ว


    4 โมงเย็น น้ำค้างตก 5 โมงเย็น ถ้านั่งข้างนอก จีวรเปียก


    ป่ามันหนาว และ ก็มีความเย็นสูงมาก



    [​IMG]




    แค่ป่าใกล้ ๆ เป็นป่า สำหรับ ฝึกธุดงค์ ชั้นอุกฤษฏ์ ที่ หลวงพ่อปาน ท่านให้ปฏิบัติ


    ก็ยังมี ความอุดมสมบูรณ์ ด้วย เสือสาง นางไม้ เก้ง ละมั่ง กระต่าย


    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุนัขจิ้งจอก และ หมาป่า ก็ยังมี


    ที่หายากเข้ามานิด ก็คือ ช้าง ช้าง มีเหมือนกัน แต่นาน ๆ จะพบสักทีหนึ่ง


    เป็นอันว่า การอยู่ฝั่ง ทิศตะวันออก ของ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี




    ก็อยู่แบบชนิดที่ เรียกว่า คนอยู่ป่าใหม่ ๆ


    เวลาตื่นขึ้นเช้า กลดที่บังน้ำค้าง ก็เปียกโชก น้ำไหลโกร๊ก ดีไม่ดี ก็ขึ้นลง ข้างล่าง


    ทีนี้พอ ลุงวิ ท่านพามา มาอยู่ที่ ถ้ำชั่วคราว


    ขอเรียก ตามท่าน อยู่ที่ ถ้ำ และ เขาชั่วคราว


    (มันจะเป็นชั่วคราว หรือเปล่า ก็ไม่ทราบ)






    ที่นี่ มีความสุข


    สถานที่เดิน ก็มีเงื้อมเขา ชะโงกมาเป็นหลังคา น้ำค้างตกลงมา ก็ไม่ถูก


    มีลานสำหรับเดินเล่น มีลานหญ้า มีต้นไม้สวย ๆ มีดอกไม้สวย ๆ




    และ ก็ไม่ต้องบำรุง ไม่ต้องรดน้ำ ไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด สวยจริง ๆ


    กลางคืน เสียงจักจั่น เรไรร้อง เสียงไพเราะ


    นาน ๆ จะได้ยินเสียง เสือร้อง สักครั้งหนึ่ง


    เสือร้อง กลางคืน เสียงครืด ๆ ๆ ไม่ใช่ปี๊บ ๆ ๆ


    ก็มีความสุข อยู่กันอย่างสบาย




    แต่การอยู่ธุดงค์ ต้องระมัดระวัง นั่นก็คือว่า การที่จะต้อง อดข้าวกิน


    จะต้องระวัง ทางด้าน จิตใจ ไม่ให้ นิวรณ์ กวนใจ


    ขึ้นชื่อว่า นิวรณ์ บรรดาท่านพุทธบริษัท มันต้องกวน ตลอดเวลา


    คำว่า นิวรณ์ เดี๋ยวท่าน จะไม่ทราบ ว่าอะไร


    บางท่าน ไม่ทราบ คำว่า นิวรณ์ เป็นภาษาบาลี ตามพระไตรปิฏก


    ท่านแปลว่า เป็นกิเลสหยาบ ที่ทำปัญญา ให้ถอยหลัง


    นั่นก็หมายความว่า


    คนใด ถ้า นิวรณ์ รบกวนใจ ประจำใจ อยู่เวลานั้น เป็น คนไร้ปัญญา




    นิวรณ์ 5 ประการ ก็คือ


    1. ความรักในระหว่างเพศ


    ขอเจาะเอาสั้น ๆ คือ รักรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ


    ก็ขอบอกสั้น ๆ ว่า ความรักระหว่างเพศ รักแก้วถ้วยโถโอชาม สร้อยถนิมพิมพา


    ก็รักแค่นั้นแหละ ความรุ่มร้อน มันมีน้อย


    ถ้าเกิดรักคนสวย ขึ้นมานี่ ความเร่าร้อน มันมีมาก


    เลยถือใช้คำนี้ เป็นคำสำคัญ และก็


    2. อารมณ์ไม่พอใจ จะต้องมีอารมณ์แช่มชื่น อยู่เสมอ


    3. ความง่วง ในขณะที่ปฏิบัติความดี


    4. อารมณ์ฟุ้งซ่าน นอกรีตนอกรอย สร้างวิมานในอากาศ


    5. สงสัยในความดี ของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ กฏของกรรม




    รวมความว่า ทั้ง 5 อย่างนี้ จะต้องไม่ให้เป็นเจ้าหัวใจ


    มันมีได้ แต่ทว่า มันก็ต้องมี ไม่ใช่ ไม่มี


    แต่มัน มีขึ้น เดี๋ยวเดียว ต้องรีบตกลงไป


    ถ้า กามฉันทะ เกิดขึ้น ก็ใช้ ภายคตานุสสติ กับ อสุภกรรมฐาน เข้าหักล้าง


    ถ้า ความโกรธ ความพยาบาท เกิดขึ้น ใช้ พรหมวิหาร 4 เข้าหักล้าง


    ถ้า ความง่วง เกิดขึ้น เอา น้ำล้างหน้า หักล้าง


    ถ้า ความฟุ้งซ่าน เกิดขึ้น จับ อานาปานสติ หักล้าง


    ถ้า ความสงสัย เกิดขึ้น ใช้ ปัญญา ใคร่ครวญ ความเป็นจริง ถึง


    ความมี ความเกิดขึ้น ในเบื้องต้น


    ความแก่ ความเก่า ในท่ามกลาง


    การเปลี่ยนแปลง ในท่ามกลาง การแตกสลาย ในที่สุด


    ค่อย ๆ ทำมันไปตามนี้ เบา ๆ ไม่ต้องเรียนมาก




    เวลาที่เข้าป่า เพิ่งได้ นักธรรมตรี กำลังจะเรียน นักธรรมโท


    และ เวลาว่าง ก็อ่านแบบ นักธรรมโท ไปด้วย หนังสือ อธิบายด้วย


    ถ้าหากว่า ไม่เข้าใจ ตอนไหน ก็ขีด ๆ เส้นใต้ ไว้ถาม พระท่าน ต่อไป


    พระท่าน อธิบายเข้าใจง่าย ๆ ไม่ยาก เหมือนครูสอน




    ต่อมาวันหนึ่ง ก็มานั่งหารือกันว่า บรรดาพวกเราทั้งหลาย ก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่


    ขณะที่เราฝึกอยู่ที่ ป่าช้าวัดบางนมโค


    ตอนนั้น หลวงพ่อปาน สั่งอะไรไว้เป็นสำคัญ


    ก็คือ อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีต ที่ผ่านมาแล้ว


    อย่างที่ ป่าช้าวัดบางนมโค มีอะไรบ้าง ต้องเขียน แต่ละสมัย


    ไปรายงานให้ หลวงพ่อปาน ทราบ


    เวลาที่ เราไปเที่ยว วัดบางปลาหมอ


    ก็กลับมาเขียนรายงาน ให้ทราบ ว่าในอดีต มีอะไรบ้าง


    ไปเที่ยว วัดหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ก็ต้องรายงาน ให้ทราบ


    ไปเที่ยว วัดสามกอ ก็ต้องรายงาน ให้ทราบ อย่างนี้เป็นต้น




    ทีนี้ก่อนจะมา หลวงพ่อปาน สั่งว่า


    เธอจะไปที่ไหนก็ตาม ไปพักที่ไหนก็ตาม ต้องรู้อดีตของที่นั่น


    แต่ทว่า ความสำคัญ ที่พวกเรารู้


    บางที หลวงพ่อปาน ก็ขีด ๆ ว่า ถูก


    บางที ก็บอกว่า ถูก แต่ไม่ครบถ้วน


    บางที ก็บอกว่า ถูก แต่ว่าผิดสมัย


    สมัยที่น่าจะรู้มากกว่านี้ ทำไมจึงไม่รู้ ก็รวมความว่า เรารู้ไม่จริง




    ความรู้จริง ต้องอาศัยตามที่ อาจารย์ทอง บอก


    อาจารย์ทอง บอกว่า การรู้ด้วยกำลังของ ฌาน 4


    ยังมี อุปาทาน กินมาก ถ้าจะรู้จริง ๆ ไม่พลาด


    ต้องอาศัยถาม องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเอง คือ ถามพระพุทธเจ้าเอง


    ที่นี้สมัยที่อยู่ ฝั่งทิศตะวันออก ของแม่น้ำศรีประจันต์ ใกล้อำเภอผักไห่


    เราไม่มีเวลาจะทำ กลางวันก็แย่ กลางคืนก็เครียดจากความหนาว


    เวลานี้ เรามีความสุขสบายแล้ว ในเรื่องการรู้เรื่องราวสถานที่ต่าง ๆ


    ก็ไม่จำเป็น ต้องนั่งตรงนั้น ทั้งทั่วประเทศ หรือทั่วโลก


    เราอยากจะรู้ อะไร ที่ไหน เราก็สามารถ รู้ได้


    แต่ว่าพวกเรา จะรู้กันอย่างไร เอามาสอบ กันดีไหม




    ต่างคน ต่างใช้ อตีตังสญาณ แล้วมาสอบกัน


    เพื่อนทั้ง 2 ก็ค้าน


    ท่านลิงขาว บอกว่า ทำอย่างนั้นได้ แต่ว่า อุปาทาน มันจะกินมาก


    ยิ่งเรามี ความสนใจมาก อุปาทาน ก็กินมาก


    และ อีกประการที่ 2 เราไม่มี เครื่องสอบสวน เอากันอย่างนี้ดีกว่า


    ทางที่ดี ถามตรง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


    จะเป็นการรบกวนท่าน เกินไปไหม


    ความจริง เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ ไม่น่าจะกวน พระพุทธเจ้า


    ท่านอีกองค์หนึ่ง ท่านลิงเล็ก ก็บอกว่า เป็นความจริง เรื่องอย่างนี้ ไม่น่าจะกวน




    ก็คิดว่า อย่างน้อยที่สุด ท่านเจ้าของที่ คือ ภุมเทวดา ท่านต้องรู้


    ภุมเทวดา ไม่ใช่ว่า จะมีขอบเขต และ มีร่างกายเป็นทิพย์ มีใจเป็นทิพย์


    มีอารมณ์เป็นทิพย์ มีตาเป็นทิพย์ มีหูเป็นทิพย์ ทิพย์ทั้งหมด


    ถ้าหากว่า ภุมเทวดา ท่านบอกว่า ความรู้ท่านแคบไป เราเอาแค่ ท่านรู้


    หลังจากนั้น ก็ถาม รุกขเทวดา รุกขนางฟ้า


    ถ้ารุกขเทวดา รุกขนางฟ้า ท่านบอก เราแคบเกินไป


    เราก็ถาม อากาสเทวดา ต่อไปดีไหม


    ทุกองค์ ก็เห็นพร้อมใจกันบอก ดี




    ทีนี้ เราจะรู้ อะไรก่อน


    เพื่อนก็บอกว่า เวลานี้ เรามาอยู่ใกล้ ดอนเจดีย์


    ดอนเจดีย์ เป็นสถานที่ ไม่ทราบว่า ประวัติศาสตร์ เขาเขียนกันว่าอย่างไร


    จริง ๆ แล้ว มีความเข้าใจว่า ฝังศพพระมหาอุปราช เขาว่าอย่างนั้น


    ทีนี้เราก็ ไม่แน่ใจว่า คนเขียน เขาจะเขียนถูก หรือ เขียนผิด


    หรือเราจะรู้ถูกรู้ผิด เราก็ไม่ทราบ เราจะถามใคร


    ทั้ง 2 องค์ ก็นิ่ง




    เมื่อนิ่งแล้ว ก็เสียงดัง คล้าย ๆ หินโยนตึ๊ก ข้างหลัง เหลียวไปดู


    เห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง แต่งตัวสวย เขาใช้ชุดทรงสีขาว นุ่งผ้าพื้น


    ใส่รองเท้าเชิงงอน ใส่เสื้อเรียบ ๆ มีเครื่องผูกหัวน่ะ ผูกผมนิดหน่อย เป็นผู้ชาย


    เดินมาแล้ว ก็ยกมือไหว้ ถามว่า ท่านคุยกัน เรื่องอะไรครับ


    ก็ถามว่า คุณมาจากไหน


    ท่านก็ตอบตรงไปตรงมาว่า ผมเป็นภุมเทวดา ที่นี่ครับ


    ท่านวิ (ลุงวิ) สั่งผมไว้ว่า ท่านมีธุระอะไร ถ้าไม่เกินวิสัยของผม ให้ผมบอก


    ถ้าเกินวิสัยของผม ให้ถาม รุกขเทวดาต่อ


    ถ้ารุกขเทวดา ตอบไม่ได้ ถาม อากาสเทวดา ชั้นจาตุมหาราช


    ถ้าเกินวิสัย จากท่านนั้น ก็ให้ถามตรง ท่านวิเลย สำหรับ ท่านวิ อะไร ๆ ก็รู้หมด




    เลยถามว่า ท่านเป็นภุมเทวดา อยู่ที่นี่นานไหม


    ท่านบอกว่า ถ้าจะนับ อายุมนุษย์ ก็ประมาณ 300 ปีเศษแล้ว


    ก็ถามว่า ถ้านับ อายุเทวดา จะเท่าไร


    ท่านบอกว่า ใช้ 50 หารสิครับ 50 ปี ของมนุษย์ เป็น 1 วัน ของผม


    300 ปี นี่มันกี่วัน 6 วัน เท่านั้นเอง


    ก็ถาม ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่มีเวลาหลับเวลานอน


    ท่านบอก เทวดา ไม่มีความจำเป็นต้องนอน


    คำว่า เหนื่อยของเทวดา ไม่มี เพราะ เทวดาไม่มีขันธ์ 5




    เลยถาม ท่านว่า ถ้าอย่างนั้นที่ ดอนเจดีย์ นี่


    อยากจะทราบว่า เขาฝังศพ พระมหาอุปราช ใช่ไหม


    ท่านบอกว่า ไม่มีใครเขาเอา ข้าศึก มาบูชา หรอกครับ


    (แหม..ท่านตอบน่ารัก)




    พระมหาอุปราช กษัตริย์ของพม่า เวลานั้น


    เป็นศัตรู กับ คนไทย ยกทัพมาย่ำยี ไทย


    อาศัย พระนเรศวร กับ พระเอกาทศรถ


    ท่านเป็น พระมหากษัตริย์ ที่มี บุญญาธิการมาก จึงเข้าชนช้างกัน


    ในที่สุด ก็ฟันพระมหาอุปราชตาย


    และ พระเอกาทศรถ ก็ฆ่านายทหารของเขา ตายพร้อมกัน


    ทีนี้ ศพคนเลว ๆ แบบนี้ ไม่มีใครบูชา


    ก็เลยถามว่า ถ้าอย่างนั้น เขาฝังอะไรไว้ล่ะ


    ท่านบอก เขาฝังเครื่องสาตราวุธ ที่มีอยู่บนหลังช้างทั้งหมด


    ก็ถามว่า ช้างไม่วิ่งหนีหรือ


    ท่านตอบ ช้างมันวิ่งหนีไม่ได้ เพราะ ควาญช้าง ก็ถูกฆ่าตายเช่นเดียวกัน




    จับช้างได้ จึงเอากูบช้างลงมา อาวุธทั้งหมดในนั้น มีครบ




    ถอดเครื่องกษัตริย์วางไว้ แล้วก็นำมาขุดหลุมฝังที่ตรงนี้ แล้วทำเจดีย์ครอบ




    ก่อนที่จะฝัง เขาทำพิธีกรรมเหยียบย่ำ กันอย่างหนัก




    เรียกว่า สาปให้พม่า ฉิบหายขายตนไปเลย




    เมื่อถามท่านต่อมาว่า การเหยียบย่ำ ใครเหยียบ


    ก็บอกว่า พราหมณ์ หรือ เจ้าพิธีกรรม เป็นคนเหยียบ


    ไม่ใช่ พระนเรศวร เป็นคนเหยียบ




    และตอนทำ พิธีกรรมเหยียบย่ำแล้ว เขาทำอ่างเก็บไว้


    เวลานี้ ของทั้งหลายเหล่านั้น ยังอยู่ดี


    เขาทำเป็นอ่าง เก็บดีเรียบร้อย ไม่มีสนิม และ ก็ปิดสนิท


    หลังจากนั้น ก็ทำเจดีย์ เมื่อทำเจดีย์เสร็จ ก็นิมนต์พระมาสวด


    พระมาทำพิธีกรรม พระแก่ที่เป็นหัวหน้าที่สุด เป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ


    เวลานั้นมีพระอรหันต์ มาร่วมจริง ๆ 6 องค์


    นอกจากนั้นก็เป็น พระอันดับต่ำลงมา พระทรงฌานโลกีย์


    แล้วก็ถามท่าน ต่อไปแล้ว อย่างไรต่อไป


    ท่านก็บอกว่า ถามเท่านี้ ตอบเท่านี้ แล้วจะเอาอย่างไรอีกล่ะ




    ก็ถามต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้น คำสาปของพระอรหันต์ จะมีผลขนาดไหน


    ท่านตอบว่า คำสาปของพระอรหันต์ ท่านลุงวิ บอกแล้ว


    บอกว่า ประเทศไทย ก็เป็น ประเทศไทย


    ไม่เป็น ประเทศราช ไม่เป็น ขี้ข้าของพม่า ต่อไป


    แต่พม่ายังจะมี การรุกรานประเทศไทย ต่อไปอีก


    ตาม กฎของกรรม ของคนไทย


    และ ก็เป็นกรรม ของทหารพม่า




    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ทหารพม่า เจ้านาย ยกทัพมา มันก็ต้องตายกัน


    พลัดลูก พลัดเมีย พลัดพ่อ พลัดแม่ ผู้หญิงเป็นหม้าย ไปตาม ๆ กัน


    ก็รวมความว่า สงคราม ไม่มีอะไรดี สงคราม มีแต่ความโหดร้าย


    แล้วต่อไป ประเทศไทย ก็ต้องย้ายไปที่ บางกอก คือ ฝั่งธนบุรี


    หลังจากนั้น จะต้องอยู่ฝั่ง กรุงเทพ คือ ฝั่งบางกอกใหญ่


    แล้วก็ถาม ท่านบอกว่า เวลานี้ ก็อยู่ที่กรุงเทพแล้ว




    ก็อยากจะทราบจริง ๆ เอากันจริง ๆ นะว่า


    พระนเรศวรมหาราช ทรงสวรรคต ขณะที่จะยกทัพไปตีพม่า


    กำลังใจของท่านเวลานั้น มีกำลังใจอย่างเดียว คือ ฆ่า หรือ จับ


    ยึดประเทศชาติให้ได้ ทำลายพม่าให้ได้ กำลังใจ เต็มอารมณ์ของความบาป


    อยากจะทราบว่า พระนเรศวร ตกนรก หรือเปล่า


    ท่านภุมเทวดา ท่านก็บอกว่า ไม่ตกนรก ครับ


    เลยถาม ท่านบอกว่า ขนาดที่บาป ยกทัพจะไปรบกันน่ะ


    มีแต่ อาวุธ ทั้งกำลังใจ ตั้งใจ จะห้ำหั่นกัน




    ท่านภุมเทวดา ท่านก็บอกว่า ความจริง การยกทัพไปรบ ก็มีอารมณ์ 2 อย่าง


    1. อยากจะห้ำหั่นข้าศึก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องการมากอย่างยิ่ง คือ ยึดพื้นที่


    และประการที่ 2 มีความต้องการ ให้บุคคลภายหลัง ในประเทศของเรา


    อยู่ร่มเย็นเป็นสุข ด้วยความเมตตาปรานี


    จะได้ไม่ถูก บรรดา พม่า ทั้งหลาย รบกวนต่อไป


    กำลังใจ เป็นทั้ง บุญ และ บาป




    และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักรบทุกคนที่ไปรบนั้น หรือเวลาอื่นก็ตาม


    ทุกคน ตื่นขึ้นเช้า เป็น นักบุญ หมด


    พอเทวดา บอกอย่างนั้น ก็ตกใจว่า นักรบ เป็น นักบุญ หมด


    ถาม นักรบ เป็น นักบุญ อย่างไร


    ท่านก็ตอบว่า นักรบทุกคน ตื่นขึ้นมาแล้ว


    นึกถึง พระ อันดับแรก พระ ที่ห้อยอยู่ ที่คอ




    ความจริงนะ พระ จริง ๆ ไปรบ มากกว่า คนไปรบ




    คน 30 คน มี พระ เกิน 100 องค์ ที่ร่วมรบ




    เป็นอันว่า นักรบทุกคน เวลาตื่นขึ้นเช้า ไม่อยากตาย


    ปลุกพระ อาราธนาบารมีพระ ให้ช่วย


    คำว่า พระที่ห้อยคอ นี่หมายถึง พระพุทธเจ้า และ ก็หมายถึง พระสงฆ์ ผู้ทำพระ


    เขานึกถึง พระ ที่ห้อยคอแล้ว เขาก็ปลุก ด้วยคาถา ตามที่เขาเรียนมา


    เป็นการอาราธนาบารมี ขอความปลอดภัยของตัว




    เขาเป็น นักบุญ ทุกวัน


    ในเมื่อเขาเป็น นักบุญ อย่างนี้ ถ้าถูก ฆ่าตาย ในขณะที่จิตใจนึกถึง พระ


    แทนที่ เขาจะไปนรก เขาไปสวรรค์ทันที เพราะ ใจนึกถึง พระ


    (เอาเข้านั่น)




    และ พระนเรศวรมหาราช ก็เช่นเดียวกัน




    พระองค์ ไม่ได้นึกถึง พระ เฉพาะป้องกัน พระองค์เอง




    นึกถึง พระ ให้ป้องกัน ทหาร ในกองทัพ ทั้งหมด




    นึกว่า ขอให้ชนะข้าศึก เพื่อให้คนไทยทั้งหมด มีความสุข เมตตาสูงมาก


    ฉะนั้น พระนเรศวรมหาราช ท่านจึงไม่ลงนรก




    เมื่อฟังไปแล้ว ก็คิดว่า เอ๊ะ…นี่เราได้ความรู้จากเทวดา


    เราคิดกันมานานแล้วว่า ถ้า นักรบ ต้องตกนรก


    นี่ ไม่ใช่เสียแล้ว เทวดาพูด เราต้องเชื่อ


    ถ้าใครจะไม่เชื่อ ก็เชิญไปซักเทวดาที่ศรีประจันต์ ก็แล้วกัน ข้าง ๆ กับดอนเจดีย์




    เลยถามไปนิดว่า ขอต่ออีกหน่อย ได้ไหม ท่านถามว่า ต่ออะไร


    อยากจะถามว่า พระนเรศวรมหาราช ทรงสวรรคตแล้ว ไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน


    ท่านตอบทันทีเลยว่า นักรบ ไปอยู่ชั้นจาตุมหาราช เป็นนายของพวกผม


    ถามว่า เวลานี้ พระนเรศวรมหาราช อยู่ทิศไหน


    ท่านบอกว่า เวลานี้ พระนเรศวรมหาราช อยู่ทิศตะวันออกของประเทศไทย


    คำว่า ตะวันออก นี่หมายถึง ประเทศไหนหรือแหล่งไหน


    ท่านบอก ไม่ใช่




    เวลานี้ พระนเรศวรมหาราช เกิดเป็นคนแล้ว


    และอยู่ในประเทศ ด้านทิศตะวันออกของประเทศไทย


    จึงถามว่า ท่านบอกว่า


    พระนเรศวรมหาราช เป็นคนไทย หรือเป็นคนแขก หรือเป็นคนลาว หรือเป็นฝรั่ง


    ท่านบอกว่า เป็นคนไทย ที่เกิดในเมืองฝรั่ง




    และ ในกาลต่อไปข้างหน้า วาระเข้ามาถึง




    พระนเรศวรมหาราช จะเข้ามาครองประเทศไทย




    ในฐานะ เป็น พระมหากษัตริย์




    บรรดาท่านพุทธบริษัท อ่านเรื่องนี้แล้ว ทิ้งไว้ก่อนนะ


    อย่าเชื่อนะ อย่าไปเชื่อ


    ถ้าจะเชื่อ ก็ถามท่านผู้รู้จริง ๆ อันนี้เป็นการฟังจาก ภุมเทวดา




    ถามว่า เป็นกษัตริย์ จะเป็น กษัตริย์นักรบ ไหม




    ท่านบอกว่า ขึ้นชื่อว่า พระนเรศวร เกิดชาติไหน รบชาตินั้น




    แต่การรบตอนหลัง พระนเรศวร จะไม่มีเวลาพักผ่อน


    ตั้งแต่เริ่มต้น เป็นกษัตริย์ ก็จะรบเรื่อยไป จนกระทั่งยันวันตายเลย


    บอกว่า ถ้าอย่างนั้น คนไทยทั้งชาติ ไม่ต้องทำมาหากินกันละ ก็รบกัน อย่างเดียว


    ภุมเทวดา ท่านบอกว่า ไม่ใช่


    คนไทยทั้งชาติ ตั้งหน้าตั้งตา ทำมาหากิน


    แต่ พระนเรศวรมหาราช จะตั้งหน้าตั้งตารบ


    ถามว่า รบองค์เดียว หรือ


    ท่านบอกว่า มีคู่หูรบ




    ถามว่า รบกับอะไร รบกับใคร รบอย่างไร




    ท่านบอกว่า รบกับ ความยากจน ของ คนทั้งชาติ




    นั่นคือ พระนเรศวรมหาราช มีพระเมตตากรุณา กับคนไทยมามาก




    ในกาลก่อน ที่ต้องการรบ ก็เพราะว่า ต้องการให้ บรรดาประชาชน มีความสุข




    ถ้า พม่า รบกวนอย่างนั้น คนไทย จะมีความสุขไม่ได้ จะตั้งตัวไม่ได้


    ก็มี ความจำเป็น ต้องรบ




    เสี่ยงชีวิต แม้ต้อง ปีนค่าย




    เอาปาก คาบดาบ เอามือ ยึดค่าย เท้าปีนค่าย ก็เอา




    ขึ้นไปฟัน กับข้าศึก ถ้าพลาดพลั้ง มันก็ ต้องตาย




    เสียสละ ชีวิตของพระองค์ เพื่อ คนไทยทั้งชาติ ขนาดนี้




    และ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็น นิสัย


    ขึ้นชื่อว่า นิสัย นี่ละ ไม่ได้


    ดู พระสารีบุตร เคยเป็น ลิง เหมือนกัน นิสัยลิง ต้องโดด


    เมื่อถึงลำคลอง ลำราง พอจะข้ามได้ ก็ไม่ข้าม


    กระโดด จนกระทั่ง พระบวชใหม่ สงสัย


    องค์สมเด็จพระจอมไตร จึงบอกว่า


    กิเลส ละได้ แต่ นิสัย ละไม่ได้ ขนาดเป็น อัครสาวก




    ทีนี้สำหรับ พระนเรศวรมหาราช เป็นนักรบ เป็นนิสัย




    เกิดชาติไหน ก็ต้อง รบชาตินั้น




    ในเมื่อเกิดชาติตอนหลังขึ้นมา โอกาสที่จะรบอย่างนั้น มันไม่มี


    เพราะว่า มีแม่ทัพ มีนายกอง มีรัฐบาล ควบคุมงานการบริหาร


    รัฐบาล ควบคุม พระมหากษัตริย์ อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ




    ก็ต้องวางแผน รบกับความยากจน ของบรรดาประชาชนชาวไทย




    ถามท่านว่า อีกกี่ปี จะถึงวาระที่ พระนเรศวรมหาราช มาครองประเทศไทย


    ท่านบอกว่า หากว่าท่านอยู่ไปไม่ตาย


    ไม่นานนัก ท่านก็มาครองประเทศไทยแน่




    เวลาที่ถาม เป็นสมัยของ รัชกาลที่ 8

    แหล่งที่มาของข้อมูล

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 พฤษภาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...