ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 30 มิถุนายน 2010.

  1. ฅนล้านนา

    ฅนล้านนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +1,000
    นี่มันเที่ยงแล้วนะครับ เอ่อ.ผมว่ามันน่าจะเป็นเวลาช่วงพระอาทิตย์ขึ้นจะเหมาะสมกว่า อิๆ:p
     
  2. ฅนล้านนา

    ฅนล้านนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +1,000
    ถ้าถามผม ผมก็จะตอบท่านเทพฯว่า ผมทำได้แล้วล่ะครับ
    ปล.ตะก่อนผมทำข้อ2ไม่ได้ แต่หลังจากการก้าวกระโดดฯ ผมก็สามารถชนะใจตัวเองได้ อิๆ:p:p:p
     
  3. (อโศก)

    (อโศก) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +445
    นึกว่าคนกระทู้นี้เขาจะวิวัฒนาการไปกันถึงไหนแล้วซะอีก
     
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ก่อนที่จะโพสต์ข้อความของท่าน Hilarion
    ขออนุญาตโพสต์ข้อความต่อไปนี้ก่อนนะครับ
    เพราะแปลไว้แล้ว และเห็นว่าสำคัญสำหรับช่วงเวลานี้ซะด้วย

    .........................................
     
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจากพระเยซูคริสต์ เรื่อง ปีแห่งการส่องสว่างอย่างเจิดจ้า
    (A Year of Intense Illumination)

    ผู้รับสาส์น: Natalie Glasson
    วันที่: 16 เมษายน 2014

    ที่มา: Sacred School of Om Na | Channeled Meditations and Channelled Wisdom | Natalie Glasson

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    ตอนที่ 1:


    สวัสดีเหล่าจิตวิญญาณที่อยู่บนโลกอันเป็นที่รักและรักอย่างสุดซึ้งทั้งหลาย
    เราขอนำความรัก,ความจริง,และจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของเรา
    มามอบให้แก่พวกคุณ เพื่อที่จะบอกพวกคุณอย่างเปิดเผย
    ในฐานะที่เราเป็นพี่น้องทางจิตวิญญาณผู้ที่รักและปราถนาดีต่อพวกคุณ

    เราคือพระเยซู และเราก็มาที่นี่เพื่อที่จะพูดกับพวกคุณ
    เกี่ยวกับเรื่องของปีแห่งการส่องสว่างอย่างเจิดจ้า
    ที่กำลังเข้ามาสู่โลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณ
    และกาลเวลาในปัจจุบันของพวกคุณอยู่ในขณะนี้

    แต่ในขณะที่เรากำลังเปิดหัวใจของตัวเราเองออกมา เพื่อแบ่งปันทั้งหมดที่เราเป็น
    และเพื่อที่จะแบ่งปันภูมิปัญญาที่มาจากพระผู้สร้างให้แก่พวกคุณ
    ในช่วงเวลาอันแสนศักดิ์สิทธิ์ของโลกอยู่นี้ เราก็อยากจะขอร้องให้พวกคุณ
    จงเปิดจักระหัวใจของตัวคุณเองออกมาให้กับเราด้วยเช่นเดียวกัน
    เพื่อที่เราจะได้สามารถถ่ายทอดสิ่งที่จำเป็นจะต้องมอบให้แก่คุณ
    และกระตุ้นสิ่งที่อยู่ภายในตัวคุณได้อย่างราบรื่นและด้วยความรัก

    ขอพวกเราจงติดต่อสื่อสารกันด้วยจักระหัวใจที่เปิดกว้างเถิด
    เพื่อที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราแบ่งปันให้
    และทุกๆประสบการณ์ที่พวกคุณจะได้รับ
    เป็นไปอย่างมีอิสระภาพและอย่างแผ่ขยาย

    เราคือรูปธรรมชีวิตแห่งการส่องสว่างรูปธรรมหนึ่ง
    และเราก็ได้มาเดินอยู่บนโลกใบนี้อย่างสว่างเจิดจ้า
    ด้วยแสงสว่าง และในแสงสว่างของพระผู้สร้างแล้ว
    และในตอนนี้ พวกคุณก็ได้มาถึงจุดเดียวกันนี้แล้วเช่นกัน
    อย่างราบรื่น และด้วยความยินยอมจากจิตวิญญาณของพวกคุณเอง

    เพราะว่าพวกคุณกำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ในฐานะของรูปธรรมชีวิตแห่งแสงสว่าง
    ที่มีแสงสว่างเจิดจ้าแล้ว เพราะว่า “แก่นแท้ของตัวตนของพวกคุณคือ แสงสว่าง”
    ซึ่งพวกคุณสามารถที่จะส่องสว่างมันออกมาได้อย่างง่ายดาย
    ด้วยพลังและความเข้มข้นของการส่องสว่างอันรุ่งโรจน์

    จงยินยอมให้เรื่องนี้กลายเป็น “ความจริง” สำหรับตัวพวกคุณเองเถิด
    จงยินยอมให้มันเป็นสิ่งที่พวกคุณ “รู้” อยู่ลึกๆภายในใจของตัวเองเถิด
    จงยินยอมให้มันเป็น “ความเข้าใจ” และเป็น “โลกแห่งความเป็นจริง” ของพวกคุณเองเถิด

    การเป็นรูปธรรมชีวิตแห่งการส่องสว่างนั้น ก็คือการจดจำให้ได้ว่า
    ที่พวกคุณได้มาอยู่บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ และในเวลานี้นั้น
    ก็เพื่อที่จะมาแผ่กระจาย, ขยายความเข้มข้น, แบ่งปัน
    และ ส่องแสงสว่างอันบริสุทธิ์ของพระผู้สร้าง (the Creator) ออกมา
    ในทุกๆขณะจิตของพวกคุณเอง ซึ่งมันก็จะไปช่วยให้วิวัฒนาการทางด้าน
    การ “รู้มาจากภายใน” (inner knowingness) ของพวกคุณเอง
    และการยอมรับเอาภูมิปัญญาอันมหาศาลที่อยู่ภายในตัวตนของพวกคุณเอง
    เจริญงอกงามขึ้นมาได้ด้วย และในขณะเดียวกัน มันก็ยังจะช่วยให้พวกคุณ
    ได้ทำหน้าที่เป็นผู้ตรึงแสงสว่าง และเป็นผู้กระตุ้นแสงสว่างบนดาวเคราะห์โลกดวงนี้อีกด้วย

    รูปธรรมชีวิตที่ส่องสว่างแล้ว จะยินยอมให้แสงสว่างแห่งพระผู้สร้าง
    ทำงานผ่านทุกๆเหลี่ยมมุมของตัวตนของพวกคุณเอง
    ซึ่งนี่อาจจะมาในรูปแบบของการบำบัดรักษาตัวเอง
    หรือเป็นแค่ความรู้สึกว่า ถูกพัดพาไปข้างหน้าพร้อมกับกระแสคลื่นแห่งแสงสว่างอันล้ำลึก
    ที่กำลังหลั่งไหลผ่านตัวพวกคุณไปอยู่ และที่กำลังหลั่งไหลออกมาจากตัวพวกคุณอยู่ก็ได้

    และพวกคุณก็อาจจะอยากกล่าวถ้อยคำอธิษฐานนี้ก็ได้:

    “ฉันคือรูปธรรมชีวิตแห่งแสงสว่างที่สว่างไสวเจิดจ้า,
    ฉันคือแสงสว่างที่สว่างไสวเจิดจ้า ของจิตวิญญาณของตัวฉันเอง
    ของกลุ่มของจิตวิญญาณของฉันเอง และของพระผู้สร้าง
    ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นพระผู้สร้าง จะถูกส่องสว่างผ่านออกไปจากตัวฉัน
    และผ่านจิตวิญญาณทุกๆดวงที่ฉันมีการเชื่อมต่ออยู่ด้วย”

    .............................
     
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจากพระเยซูคริสต์ เรื่อง ปีแห่งการส่องสว่างอย่างเจิดจ้า
    (A Year of Intense Illumination)

    ผู้รับสาส์น: Natalie Glasson
    วันที่: 16 เมษายน 2014

    ที่มา: Sacred School of Om Na | Channeled Meditations and Channelled Wisdom | Natalie Glasson



    ตอนที่ 2:

    ช่วงเวลาแห่งพลังงานและการเปลี่ยนรูปแบบ
    ที่พวกคุณเรียกกันว่าปี 2014 นี้
    จะนำพาแสงสว่างปริมาณมหาศาล
    มาสู่โลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณ
    ซึ่งแสงสว่างที่ว่านี้ กำลังหลั่งไหลออกมาจากพระผู้สร้าง
    และกำลังถูกกระตุ้นให้ออกมาจากตัวของพวกคุณ
    และกำลังหลั่งไหลผ่านตัวของพวกคุณอยู่
    ซึ่งความเข้มข้นของแสงสว่างนี้ จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
    และจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆไปจนถึงปี 2015

    เพราะว่าช่วงเวลาแห่งการส่องสว่างที่เข้มข้นมากที่สุด
    จะเริ่มต้นขึ้นในเดือนเมษายน 2014
    และก็จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆเป็นเวลาราวๆ 1 ปี

    แสงสว่างปริมาณมหาศาลที่กำลังหลั่งไหลออกมาจากพระผู้สร้างอยู่นี้
    และที่กำลังถูกกระตุ้นให้ออกมาจากภายในตัวของพวกคุณเองอยู่นี้
    มันจะไปทำหน้าที่ “ขยายความแรงให้แรงยิ่งขึ้น”
    เพราะว่าเมื่อใดก็ตาม ที่จิตวิญญาณทั้งหลายที่อยู่บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้
    จดจ่อลงไปที่ “ภายในตัวตนของพวกเขาเอง” ด้วยความรัก
    เพื่อที่จะเนรมิตภาพสะท้อนของความรักอันนั้น
    ให้ปรากฎออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงของพวกเขาเองแล้ว
    แสงสว่างที่เข้มข้นอันนี้ ก็จะไปขยายความแรงของความรักของพวกเขา
    ให้แรงเพิ่มขึ้นไปอีก

    ดังนั้น แม้เพียงความคิด, ความรู้สึก, การกระทำ
    หรือภาพสะท้อนของความรักใดๆที่เล็กน้อยกระจ้อยร่อยแค่ไหนก็ตาม
    ก็จะถูกขยายความแรงให้แรงมากขึ้นไปอีก
    จนสามารถทำให้ความรักถูกสถาปนาขึ้นบนโลกใบนี้
    และถูกปลูกฝังลงไปในทุกสรรพชีวิตบนดาวเคราะห์โลกดวงนี้
    ได้อย่างทรงพลังอำนาจและอย่างลึกซึ้ง

    มันถึงเวลาอีกช่วงหนึ่งแล้ว ที่จิตวิญญาณทั้งหลายที่อยู่ในร่างกายเนื้อ
    จะต้องเลือกความรักจริงๆซะที เพื่อที่จะได้สังเกตการณ์ดูอานุภาพแห่งความรัก
    และเพื่อที่จะได้มีประสบการณ์กับอานุภาพแห่งความรักด้วยตัวเอง
    ว่าความรัก มันเป็นผู้บำบัดรักษา และเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสรรพชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้
    และรวมถึงทุกสรรพชีวิตที่อยู่ในระนาบทิพย์ภายในทั้งหลายได้อย่างไร


    เครือข่ายแห่งความรักจะถูกสร้างขึ้นมาบนโลกใบนี้
    พร้อมๆกับการปลุกให้ตื่นขึ้น และการจุดชนวนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
    ของเส้นสายพลังงานเก่าๆ และโครงข่ายพลังงานเก่าๆ
    ที่อยู่ภายในร่างกายของพระแม่ธรณีผู้นี้
    เพื่อที่จะห่อหุ้มเอาสายธารแห่งความรักเหล่านี้เอาไว้

    แสงสว่างปริมาณมหาศาลนี้ จะไปทำหน้าที่เป็น
    “แหล่งกำเนิดแห่งการสรรสร้างและการเนรมิตของความรัก”
    (source of creation and manifestation for love)
    ในขณะเดียวกันก็จะนำพาเอาภูมิปัญญาใหม่อันศักดิ์สิทธิ์
    ของความปรองดอง, ความสามัคคี และความจริง จากจักระหัวใจของพระผู้สร้าง
    ให้เข้าไปสู่ความสั่นสะเทือนของความรักด้วย

    เครือข่ายพลังงานใหม่ๆ และจุดพลังงานใหม่ๆจำนวนมากมาย
    ที่อยู่ภายในร่างกายเนื้อและกายแห่งพลังงานทั้งหลายของพวกคุณ
    และรวมถึงจักระต่างๆของพวกคุณด้วย ก็จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วย
    เพื่อมาค้ำจุน, มาแบกรับ และมาเก็บรักษา “ความรัก” ที่จะเกิดขึ้นมานี้เอาไว้
    เพื่อที่จะทำให้ความรักถูกสร้างขึ้นมาได้ และถูกมีประสบการณ์ได้โดยทุกผู้ทุกนาม

    ความสั่นสะเทือนและคลื่นแห่งแสงสว่างที่เข้มข้นรุนแรง
    ที่กำลังไหลบ่าเข้ามาสู่ดาวเคราะห์โลกของพวกคุณอยู่ในขณะนี้
    และที่กำลังถูกกระตุ้นขึ้นมาจากภายในตัวตนของพวกคุณอยู่ในขณะนี้
    จะไปช่วยให้ “กายแห่งแสงสว่าง” (Light body) ของพวกคุณ
    ถูกขยายให้มีพลังมากเพิ่มขึ้นอีกด้วย เพื่อที่จะเตรียมความพร้อมให้กับพวกคุณ
    สำหรับการเข้าไปสู่มิติใหม่ๆในจักรวาลของพระผู้สร้างต่อไป

    และก็ด้วยอาศัย และ โดยผ่านทางกายแห่งแสงสว่างของพวกคุณนี้เอง
    ที่พวกคุณจะสามารถยกระดับขึ้นไปสู่ระดับความสั่นสะเทือนแห่งแสงสว่าง
    ที่สูงขึ้นกว่าเดิมได้ เพื่อเข้าถึงสัจธรรมที่อยู่ภายในของพวกคุณเอง

    และถึงแม้ว่าจิตวิญญาณทั้งหลายจะยังคงอยู่ภายในร่างกายเนื้ออยู่ก็ตาม
    แต่กระบวนการเปลี่ยนรูปแบบก็ยังคงกำลังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
    ซึ่งเป็นกระบวนการที่กายแห่งแสงสว่างและกายเนื้อของพวกคุณ
    กำลังผสานรวมเข้าด้วยกันอยู่ ซึ่งก็เป็นนัยยะว่า
    ความแบ่งแยกและความหนาแน่นทึบตันของดาวเคราะห์โลก
    กำลังเปลี่ยนไปอยู่ในระดับจิตสำนึกที่สูงส่งกว่า
    ของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระผู้สร้างอยู่

    ซึ่งทั้งหมดนี้มันจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยการทุ่มเทเอาใจใส่
    และการตระหนักรู้อย่างมีสติสัมปชัญญะของพวกคุณ
    ว่า..กายแห่งแสงสว่างและกายเนื้อของพวกคุณ
    กำลังผสานรวมเข้าด้วยกันอยู่
    เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับพวกคุณ
    สำหรับการแผ่ส่ง และ ส่องแสงสว่างแห่งพระผู้สร้าง
    ปริมาณที่มากกว่าเดิม ออกมาสู่ดาวเคราะห์โลกดวงนี้

    กายแห่งแสงสว่างของพวกคุณ มีภูมิปัญญาของจิตวิญญาณของพวกคุณบรรจุอยู่มากมาย,
    และมีข้อมูลข่าวสาร และมีกำหนดการณ์แห่งการกระตุ้นครั้งสำคัญๆ
    เพื่อการเลื่อนระดับขึ้นของพวกคุณเอง บรรจุอยู่ในนั้นด้วย
    และนอกจากนี้ยังมีความทรงจำที่เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของพวกคุณเอง
    และความทรงจำที่เกี่ยวกับระนาบทิพย์ภายในทั้งหลายบรรจุอยู่ในนั้นอีกด้วย

    และด้วยการผสานรวมเข้าด้วยกันของกายแห่งแสงสว่างและกายเนื้อนี้
    ก็จะไปทำให้เกิดการส่องสว่างขึ้น และเกิดการรู้แจ้งขึ้นอย่างมากมาย
    ในหลายๆระดับของตัวตนของพวกคุณ

    แล้วกระแสพลังงานแห่งแสงสว่างที่เข้มข้นนี้
    ก็จะไปกระตุ้นให้กายแห่งแสงสว่างของพวกคุณ
    ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นไปอีกอย่างมาก
    จนมีขนาดเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า หรือมากกว่านั้น
    จากขนาดเดิมของมัน

    และเมื่อกายแห่งแสงสว่างขยายตัวเพิ่มมากขึ้นแล้ว
    มันก็จะช่วยให้พวกคุณสามารถเข้าถึง และ รองรับเอา
    แสงสว่างปริมาณมากขึ้นไปอีกเอาไว้ได้

    แล้วผลที่ตามมาก็คือ มันก็จะไปขยายความแรง
    ของการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆทั้งหมด จำนวนมากมาย
    ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในจุดต่างๆและในระดับต่างๆ
    ของตัวตนของพวกคุณอยู่นี้ ให้แรงขึ้นไปอีก

    กายแห่งแสงสว่างของพวกคุณ จะทำหน้าที่เป็นรากฐาน
    และเป็นแรงบันดาลใจให้แก่พวกคุณ เพื่อนำทางพวกคุณทั้งตัวตน
    ให้สามารถเข้าไปสู่กระบวนการเลื่อนระดับขึ้น
    และเข้าไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับพระผู้สร้างได้อย่างมั่นคง

    กายแห่งแสงสว่างของพวกคุณจะสร้างขอบเขตของการขยายความแรงขึ้นมา
    เพื่อที่จะทำให้พลังงานแห่งความรัก และการยกระดับขึ้นทั้งหลาย
    ถูกเร่งความเร็วให้เข้าไปสู่ประสบการณ์และโลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพเร็วขึ้นกว่าเดิม

    .....................

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2014
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจากพระเยซูคริสต์ เรื่อง ปีแห่งการส่องสว่างอย่างเจิดจ้า
    (A Year of Intense Illumination)

    ผู้รับสาส์น: Natalie Glasson
    วันที่: 16 เมษายน 2014

    ที่มา: Sacred School of Om Na | Channeled Meditations and Channelled Wisdom | Natalie Glasson


    ตอนที่ 3:

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    ดังนั้น ในช่วงเวลาที่พิเศษและศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดนี้
    พวกเราจึงอยากจะขอแนะนำให้พวกคุณ
    จงจดจ่ออยู่กับการรับเอาแสงสว่างปริมาณมหาศาลจากพระผู้สร้างนี้
    และจงเปิดใจรับเอาแสงสว่างปริมาณมหาศาล
    ที่กำลังหลั่งไหลออกมาจากตัวของพวกคุณเองด้วย
    เพื่อที่จะทำให้ตัวพวกคุณเองมีพลังอำนาจขึ้นมาด้วยแสงสว่าง
    และเพื่อที่จะขยายความเป็นจริงของพวกคุณด้วยแสงสว่างด้วย

    และถึงแม้ว่ากระบวนการนี้มันจะเป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไปก็ตาม
    แต่มันก็อาจจะต้องมีการปรับตัวอยู่บ้างในบางเวลา
    โดยเฉพาะการปรับตัวภายในร่างกายเนื้อของพวกคุณเอง
    เพราะว่าร่างกายเนื้อของพวกคุณ จะต้องการการบำบัดรักษา
    และการบำรุงที่มากขึ้นกว่าเดิม


    ดังนั้น มันจึงจะเป็นประโยชน์อย่างมาก ที่จะช่วยเพ่งสมาธิให้เห็นว่า
    ตัวพวกคุณเองคือรูปธรรมชีวิตที่มีแสงสว่างเจิดจ้ารูปธรรมหนึ่ง


    เพราะว่ามันไม่เพียงแต่จะช่วยให้พวกคุณ
    สามารถรับเอาแสงสว่างจากพระผู้สร้างเข้ามาได้มากขึ้นเท่านั้น
    แต่มันยังจะช่วยให้พวกคุณสามารถส่งผ่าน
    และโคจรแสงสว่างไปทั่วทั้งระบบร่างกายของพวกคุณเองได้
    จนแผ่ขยายออกไปไปสู่ภายนอกรอบๆตัวพวกคุณ

    เมื่อใดที่พวกคุณจินตนาการว่า และรู้สึกว่า และยอมรับว่า
    ตัวเองคือรูปธรรมชีวิตแห่งแสงสว่างแล้ว
    ไม่เพียงแต่พวกคุณจะกำลังสร้างแสงสว่าง
    และ ตรึงพลังงานแห่งแสงสว่างเข้ามาไว้ในทุกๆสถานการณ์
    และทุกๆประสบการณ์ของพวกคุณเองเท่านั้น
    แต่พวกคุณยังกำลังเริ่มต้น หายใจ, กิน, เดิน, นอน อย่างแสงสว่างอีกด้วย

    และทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายในตัวพวกคุณ และที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณ
    จะถูกฟอกให้บริสุทธิ์ขึ้น และจะถูกยกระดับความสั่นสะเทือนให้สูงขึ้น

    ด้วยการจดจ่ออยู่กับความรักที่อยู่ภายในตัวตนของพวกคุณเอง
    พวกคุณก็จะเริ่มได้ประสบกับผลลัพธ์ของการบูรณาการเข้าด้วยกัน
    ระหว่างความรักและแสงสว่างอย่างเต็มรูปแบบ
    และจะเริ่มได้ประสบกับอานุภาพแห่งความรักและแสงสว่าง
    อย่างเต็มรูปแบบอีกด้วย

    แล้วทุกๆความคิดของพวกคุณ ก็จะกลายเป็นความคิดที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
    ซึ่งก็จะถูกขยายความแรงให้แรงขึ้นโดยแสงสว่างอีกที
    แล้วทุกๆระดับของความเป็นตัวตนของพวกคุณ
    ก็จะดำรงอยู่อย่างสอดคล้องกับจิตสำนึกของพระผู้สร้าง

    มันถึงเวลาแล้วที่จะมองให้เห็นว่าตัวเองคือแสงสว่าง
    เพราะว่านี่คือความเป็นจริงของพวกคุณ !
    และเมื่อพวกคุณมองเห็นตัวเองว่าเป็นแสงสว่างแล้ว
    พวกคุณก็จะสลัดเปลือกแห่งมายาการทิ้งไปได้
    แล้วพวกคุณก็จะสร้างการจดจ่อที่ลึกลงไปกว่านั้นได้อีก
    ลึกลงไปจนถึงสัจธรรมที่อยู่ภายในตัวของพวกคุณเอง !

    “ฉันคือรูปธรรมชีวิตแห่งความรัก ที่มีแสงสว่าง สว่างไสวเจิดจ้า
    ฉันคือความรักและแสงสว่างที่อยู่ในรูปกายเนื้อนี้”

    นี่คือคำอธิษฐานที่ทรงพลังอย่างมากบทหนึ่ง
    ที่พวกคุณสามารถจะพูดออกมาดังๆก็ได้ หรือจะพูดอยู่ในใจก็ได้
    ในขณะที่จดจ่อสมาธิอยู่ที่จักระที่ 6 หรือตาที่ 3 ของตัวเอง
    และจดจ่อสมาธิอยู่กับจักระหัวใจของตัวเอง
    เพื่อย้ำเตือนให้ตัวเองระลึกนึกถึงแสงสว่างปริมาณมหาศาล
    ที่อยู่ภายในตัวของพวกคุณเอง

    ทุกๆลมหายใจออก ขอให้พวกคุณจินตนาการว่า
    แสงสว่างของพวกคุณกำลังแผ่กระจายออกมาสู่ภายนอก
    กว้างและไกลจนเหลือประมาณ พร้อมๆกับระลึกรู้อยู่ด้วยว่า
    แก่นแท้ที่อยู่ลึกที่สุดของพวกคุณคือ "ความรัก"

    จงมองให้เห็นว่าตัวเองคือรูปธรรมชีวิตแห่งแสงสว่าง
    และจงรู้ไว้ด้วยว่าแสงสว่างปริมาณมหาศาลนี้ของพวกคุณเอง
    กำลังไปขยายพลังงานแห่งความรักซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของพวกคุณอยู่

    พวกคุณสามารถที่จะจินตนาการว่า มีแสงสว่างที่สว่างไสวเรืองรอง
    กำลังไหลทะลุผ่านผิวหนังและทุกๆส่วนของร่างกายของพวกคุณไปอยู่ก็ได้
    นี่ก็เป็นวิธีการฝึกที่ทรงพลังอย่างมากอีกวิธีหนึ่ง
    ที่พวกคุณสามารถทำได้ทุกๆวัน ซึ่งมันก็จะไปช่วยกระตุ้นให้
    กายแห่งแสงสว่างของพวกคุณ ขยายตัวมากขึ้น
    และผสานรวมเข้ากับร่างกายเนื้อ และผสานรวมเข้ากับ
    ทุกๆแง่มุมของความเป็นตัวตนของพวกคุณได้มากขึ้นอีกด้วย
    แล้วมันก็จะทำให้พวกคุณสามารถดำรงอยู่บนโลกใบนี้
    ในฐานะของสัจธรรมแห่งพระผู้สร้างได้

    มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องส่องแสงสว่าง
    และด้วยการผสานรวมเข้าด้วยกันของความรักและแสงสว่างนี้
    การดาวน์โหลดเอาจิตสำนึกใหม่แห่งพระผู้เป็นเจ้าอันบริสุทธิ์
    (the new Christ Consciousness) ก็จะสามารถอุบัติขึ้นได้

    ด้วยความรักอันเป็นนิรันดร์

    Master Jesus

    ………………………….
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2014
  8. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เวปพลังจิตเป็นอะไรอีกแล้วเนี่ย
    โพสต์รูปภาพตามปกติไม่ได้เลย
    ต้องไปดึงลิงค์มาจากที่อื่นถึงจะได้
    แล้วภาพ avatar ของหลายคนก็หายไปด้วย

    .................................
     
  9. ฅนล้านนา

    ฅนล้านนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +1,000
    ที่บ้านผมเป็นแบบนี้ตั้งกะเมื่อวานตอนเย็นๆอ่ะคับ:'(

    ปล..คนอื่นเป็นแบบไหนผมไม่ทราบ แต่ส่วนตัวผมเองมั่นใจว่าผมกำลังได้รับความช่วยเหลือ และดูแลจากบางอย่างที่ผมมองไม่เห็น แต่รู้สึกได้ตลอดเวลา อยู่นะครับ

    ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ความคิดของผมเปลี่ยนไปจากเดิมมากๆๆๆๆทีเดียว ความเชื่อทำให้เกิดศรัทธาอาจมีส่วน แต่สำหรับผมต้องเกิดปรากฎการณ์ซ้ำๆ เดิมๆที่บังคับให้ผมต้องเชื่ออย่างปฎิเสธไม่ได้ก่อน ผมจึงจะมีศรัทธา มันไม่มีอะไรบังเอิญหรอกครับ โลกนี้ไม่มีบังเอิญอยู่แล้ว

    ทุกวันนี้ผมมีความสุขครับบ(เพราะเริ่มมีปัญญาเป็นของตัวเอง ฮ่าๆ) ยิ่งมีเวลาได้เข้ามาพลังจิตยิ่งสุขใหญ่ อิๆ ในนี้เหมือนบ้านที่2ของผม มีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆที่คล้ายผม ผมชอบครับ คุยเรื่องเดียวกันซึ่งผมหาไม่ได้เลยจากสังคมชาวโลก(ส่วนใหญ่พวกเขาใส่หน้ากากคุยกัน55555)

    ใครที่ยังคิดว่าคนอื่นแบบนั้น แบบนี้ โน้น นั่น นี่ อยู่ล่ะก็ เลิกเถอะครับ ไม่มีใครดีกว่าใคร ไม่มีใครวิเศษกว่าใคร ทุกชีวิตก็แค่มีบทละครเป็นของตัวเองให้ทำการแสดงกันอยู่ทุกวัน อย่าตำหนิใคร อย่าอคติกับใคร เห็นอะไรก็รัก เห็นอะไรก็ยิ้มม โลกนี้น่าอยู่จริงๆเลยนะครับ:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2014
  10. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ลองมาฟังบุคคลสำคัญระดับโลกเค้าพูดถึงเรื่องเหล่านี้กันหน่อยนะครับ ^^

    [​IMG]


    Pope Francis “We Are Not Alone in the Universe”

    สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ได้เอ่ยถ้อยคำที่สำคัญแต่เรียบง่าย
    ซึ่งได้สร้างความประหลาดใจในหมู่ผู้ที่ศรัทธาในปัจจุบัน โดยท่านเปิดเผยให้พวกเราฟังว่า...

    "พี่น้องที่รัก ผมอยากจะบอกทุกท่านว่า เราไม่ได้อยู่โดดเดียวในจักรวาลหรอกนะ
    ปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์ได้มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น จนใกล้จะถึงเวลาแล้ว ทีเร็วๆนี้...
    เราจะได้รู้จักกับพี่ชายและน้องสาวหน้าใหม่ของเรา
    ผู้ซึ่งเราจะแลกเปลี่ยนสัญญาณแห่งความสงบสุขร่วมกัน
    ซึ่งในวันนั้นจะมีแต่ความน่าอัศจรรย์ใจ
    โปรดจำไว้ว่าพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียว และท่านกำลังเฝ้ามองพวกเราทุกคน... "


    Ascension Earth is Back! ~ Fresh content posted throughout the day! : Pope Francis “We Are Not Alone in the Universe”

    --------------------------------------------------------------------------

    [​IMG]

    บิล คลืนตัน : เขาไม่รู้สึกแปลกใจเลย หากจะมีมนุษย์ต่างดาวมาเยือนในวันหนึ่งข้างหน้า...

    CNN on Jimmy Kimmel’s late-night talk show (เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว)
    กับคำถาม : เราอยู่อย่างโดดเดี่ยวในจักรวาลนี้หรือไม่?

    " ในช่วงสองปีที่ผ่านมา มีมากกว่า 20 ดวงดาวที่อยู่นอกระบบสุริยะของเรา
    ที่ได้รับการระบุว่ามีความหนาแน่นพอจะสามารถที่จะสนับสนุนรูปแบบของชีวิตบางอย่างได้
    และผมไม่รู้สึกแปลกใจเลย หากจะมีมนุษย์ต่างดาวมาเยือนในวันหนึ่งข้างหน้า
    ประธานธิบดีคนที่ 42 กล่าวว่า "เขาอยากจะเห็น E.T. มากกว่าที่จะเห็นพวก Alien จากหนังไซไฟ " Independence Day"
    ซึ่งเขาอาจจะมีการหักมุมในภายหลังก็ได้..."

    "มันอาจจะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้โลกที่แบ่งแยกนี้เข้ามาร่วมกันได้อย่างน่าประหลาดใจ
    ถ้าพวกเขาอยู่ที่นั่นล่ะก็ พวกเราจะรู้สึกได้ว่า ความแตกต่างทั้งหมดในหมู่ผู้คนบนโลกนี้
    มันจะกลายเป็นเพียงเรื่องเล็กๆไปเลย ถ้าเรารู้สึกว่าถูกคุกคามโดยผู้บุกรุกจากอวกาศ " คลินตันกล่าว...

    "มีหนังไซไฟที่ยอดเยี่ยมเรืองนึง ที่กล่าวถึงมนุษย์ต่างดาวที่ถูกซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน ใน Area 51
    มันเป็นครั้งแรกที่ผมส่งคนไปค้นดูในบันทึกของ Area 51
    เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีมนุษย์ต่างดาวอยู่ที่นั่น" คลินตันกล่าวต่อไปว่า
    " มีเทคโนโลยีของเราจำนวนมากที่ถูกขโมยไป ซึ่งส่วนใหญ่ทำขึ้นที่นั่น และเรารู้แล้วว่าขณะนี้ไม่มีมนุษย์ต่างดาวอยู่ที่นั่น...

    และไม่ต้องห่วง หากผมได้พบมนุษย์ต่างดาวหรืออะไรที่นั่นล่ะก็ ผมจะบอกกับพวกคุณทันที" คลินตันกล่าว...

    Bill Clinton ‘wouldn’t be surprised’ by an alien visit – CNN Political Ticker - CNN.com Blogs


    ------------------------------------------------------------------

    [​IMG][​IMG]

    ET บุกโลกได้เกิดขึ้นแล้ว และรัฐบาลไม่ต้องการให้เรารู้
    Laura Magdalene Eisenhower (หลานสาวไอเซนฮาวน์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ)

    "โลกที่รัก...."
    มันเป็นเรื่องยากสำหรับมนุษย์ที่จะยอมรับ แต่โปรดยอมรับเถอะ...เพื่อให้เราสามารถเดินหน้าต่อไปได้...
    โลกของเราได้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมจาก ET ฝ่ายมืดมานานนับเป็นพันๆปี...
    และขณะนี้พวกเราอยู่ในกระบวนการปกป้องโดยฝ่ายที่ดีจากข้างนอกอวกาศนั่น...
    ซึ่งพวกเขาจะนำเราไปสูการตื่นรู้ของจิตวิญญาณ...พวกเขาค่อยๆปรากฎตัวขึ้นเมื่อกว่า 70 ปีมาแล้ว
    แต่ในความเป็นจริงพวกเขาไม่เคยทิ้งเราไว้ตามลำพัง...ไม่มีอะไรในจักรวาลที่ถูกทอดทิ้งให้โดดเดียว "

    ระบบสุริยะของเรากำลังจะเคลื่อนที่ผ่านเข็มขัดโฟตอน .(PHOTON BELT)
    ที่จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของชีวิตทั้งหมดในภาพรวมด้วยการเพิ่มขึ้นของพลังงานคลื่นแสง

    ทุกอย่างที่คุณเคยรู้จะถูกเขียนใหม่ ความเป็นจริงจะถูกเปลี่ยนแปลงในเร็วๆนี้
    เหมือนวิธีที่คุณเปลี่ยนช่องทีวี...เข็มขัดโฟตอนจะทำให้คุณปะทุราวกับข้าวโพดคั่ว
    ด้วยเหตุการณ์ที่มีจุดประสงค์ ...มันจะเป็นเสมือนสปริงบอร์ดในการเลื่อนระดับ (ASCENSION)
    ที่มนุษยชาติจะค่อยๆเปลี่ยนโครงสร้างจากคาร์บอนเบสไปเป็นคริสตัลเบส
    มันถูกเร่งโดยเข็มขัดโฟตอน ซึ่งเป็นเหมือนกับวงดนตรีของรังสีแกมมาขนาดใหญ่
    ระบบสุริยะของเราได้ผ่านเหตุการณ์นี้มาแล้วถึงสองครั้งในทุกๆ 26000 ปี
    มนุษยชาติในขณะนี้ ได้ถูกแบ่งแยกออกเป็นสองพวก คือกลุ่ม 3D และกลุ่ม 5D

    พวกคุณกำลังจะย้ายเข้าสู่ PHOTON BELT ตามกำหนดเวลา
    และรัฐบาลจะบอกถึงความน่าขำขันให้กับพวกคุณเกี่ยวกับ " หลุมโอโซน " และเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับมะเร็งผิวหนัง
    และหากคุณต้องการที่จะรู้ว่าใครเป็นผู้จัดการกองคาราวานนับล้านของยานอวกาศที่มาเยือนแผ่นดินนี้ล่ะก็...
    ให้ไปค้นหาคำว่า Ashtar , Hatonn หรือ Sananda..

    ลอร่า ไอเซนฮาว กล่าวว่า " เรากำลังจะรวมกับ T้he One ที่อยู่ในฟากฝั่งของเรา
    "....เธอบอกว่ารัฐบาลสหรัฐฯของเรา กำลังเริ่มแสดงท่าทีหันมาทำงานกับกลุ่ม Pleiadians มากกว่าที่จะทำงานร่วมกับพวก Greys....
    เธอบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องมนุษย์ต่างดาวบุกโลก..แต่มันกำลังเกิดขึ้นแล้ว...ฉะนั้นอย่าหลงกล เพราะว่าเรากำลังนั่งอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญมาก...! "

    ลอร่า ไอเซนฮาว
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=OdfIuTm2VuM"]Laura Magdalene Eisenhower: ET invasion has already occurred and governments do not want us to know - YouTube[/ame]


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2014
  11. nununo

    nununo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +1,096
    ประโยคนี้โดนใจผมมากครับ ขอบคุณครับที่คุณ คนล้านนา สามารถอธิบายออกมาได้ตรงพอดีเป๊ะ เพราะเหตการณ์ประหลาดๆหรือน่าอัศจรรย์ต่างๆที่เกิดกับตัวเองซ้ำๆ จนเราไม่สามารถปฏิเสธมันได้ จนรู้ว่ามันไม่ใช่เหตุบังเอิญนี้แล่ะครับ คือสิ่งที่ทำให้แยกผมออกจากความเป็นตัวตนที่ผมเคยเป็นไปตามกรรมของผมแต่ก่อน

    เพราะมันทำให้ผมรู้แล้วว่า มันมีอะไรมากกว่านั้น, มันเหมือนเราเป็นตัวละครตัวนึงอยู่ในเกมส์โลกมนุษย์อะครับ ที่มีสิ่งที่มีพลังอำนาจมากกว่าเรากำลังควบคุมอยู่ ช่วยชี้ทางและคุ้มครองอยู่ จนบางครั้งก็พาเราไปอยู่ในสภาวะนิ่งๆ เพื่อรออะไรซักอย่าง หรือทำอะไรซักอย่าง จนทำให้เราหลุดออกจากสังคมโลกแบบเก่าของเราไปเลย ซึ่งช่วงแรกๆผมทรมานมาก โดดเดี่ยว คิดลบ จิตตก แย่ที่สุดในชีวิต ทุกวันนี้ก็ยังไม่หายแต่เหมือนมันไม่มีให้ลบไปมากกว่านี้แล้ว มันเลยมีแต่จะกลับมา กลับมา สู่จุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเสมอ

    ซึ่งทำให้ทุกวันนี้ เวลาที่เจอคนที่ไม่เข้าใจในสิ่งที่เราเชื่อ ซึ่งเราพยายามจะบอก, ผมจะไม่ไปอธิบายอะไรมากขึ้นไปอีกแล้วล่ะครับ, เพราะผมคิดว่า ครั้งหนึ่งผมก็เป็นเช่นนั้นมาก่อน ลองนึกย้อนไปตอนที่เรายังไม่เจอปรากฎการณ์กับตัวเองซ้ำๆนั้น ผมคนนั้นกับคนนี้มันแทบเป็นคนละคนกันเลย, เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เชื่อ เค้าก็มีสิทธิ์ที่จำเป็นต้องคิดไปแบบนั้นจริงๆ, และเมื่อถึงเวลาที่เค้าเจอปรากฏการณ์ซ้ำๆกับตัวเอง, เค้าจะเข้าใจเอง.. (ข้อความต่างมิติก็แนะนำว่าให้บอกแบบเป็นนัยๆครับ คืออย่าไปอธิบายแบบช่วยเหลือเค้ามากเกินไป ให้บอกใบ้ๆไป แล้วเค้าอาจจะคิดได้เมื่อเค้าเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เค้าฉุกคิดขึ้นมาได้เอง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการยึดมั่นถือมั่นที่น้อยลงของเค้าด้วยครับ)

    ส่วนถ้ามีใครหรือสิ่งใดหรือการทดลองใดๆ มาจัดฉากให้ผมเจอเหตุการณ์ซ้ำๆแบบนี้ ผมก็คงต้องยอมเป็นหนูทดลองไป (แต่ผมก็หวังว่ามันคือเรื่องของจักรวาล เป็นแผนงานเพื่อไปรองรับกับจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ Turning Point) เพราะถ้าจะให้ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ หรือคิดไปเอง หรือฝันไป มันก็ไม่ใช่อยู่ดี ผมขอยืนยัน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2014
  12. หนุ่มยาดอง

    หนุ่มยาดอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +680
    :p:p:p:p:p:p.:p:p:p:p:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2014
  13. ฅนล้านนา

    ฅนล้านนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +1,000
    ...เฝ้ารอเมื่อวันนั้นมาถึง วันที่ได้รับการปลดปล่อย
    เห็นชื่อ"หนุ่มยาดอง"แล้วเปรี้ยวปาก:boo:
     
  14. nununo

    nununo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +1,096
    ที่มา : https://www.facebook.com/photo.php?...219113749313.162578.7069924313&type=1&theater

    [​IMG]

    ในช่วงคืนวันที่ 23 เมษายน 2014
    พลเมืองบนโลกจะมีโอกาสได้เห็น
    ฝนดาวตกที่หาดูยากที่สุด
    เป็นคืนที่คุณสามารถที่จะเห็น
    ฝนดาวตกหลายพันดวงจนถึงวันที่ 24 เมษยน 2014
    แต่จะเห็นชัดที่่สุดคืนวันที่ 23 เมษายน 2014
    มีการคาดการณ์ว่าในหนึ่งชั่วโมงจะเห็นประมาณ 20 ดวง
    ซึ่งอาจมีบางช่วงเวลาที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันถึง 100 ดวงต่อชั่วโมง

    ผู้แปล : ไม่รู้บ้านเราจะเห็นมั้ยหนอ ลองดูก็ดีนะครับ เค้าว่าหาดูยากด้วย
     
  15. kasarus

    kasarus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +114
    ไม่รู้ว่าจะสายไปเสียแล้วหรือยังนะครับ
    แต่เท่าที่อ่านดูในคลิป ดูเหมือนจะบอกว่า

    ตอนยกมือขึ้น ให้ออกเสียงว่า "อี" (iiii , ee-ee)
    ตอนเอามือลง ให้ออกเสียงว่า "เออา" (eeeaaa)

    ประมาณนั้น มากกว่านะครับ
     
  16. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เฮ้อ..นึกว่าเวปพลังจิตจะมีอันเป็นไปซะแล้ว
    กระบวนการเลื่อนระดับขึ้นยังดำเนินไปได้ไม่ถึงไหนเลย
    เพิ่งเริ่มย่างเข้าสู่ปีที่สองของกระบวนการนี้เท่านั้นเอง
    (ไม่นับรวมกระบวนการเตรียมความพร้อมก่อนหน้านี้
    ที่กินเวลายาวนานเกือบ 100 ปีหนะนะครับ)

    ผมอยากจะขอแรง และ ขอความสมัครใจจากท่านใดก็ได้
    ที่พอจะมีเวลาว่างทำสิ่งนี้ได้ ให้ช่วยทำให้หน่อยหนะครับ

    งานที่ว่านี้ก็คือ คัดลอก "บทความแปล" จากกระทู้ข้อความจากต่างมิติทั้งหลาย
    และรวมถึงจากกระทู้นี้ด้วย ที่มีความยาวหลายร้อยหน้ากระดาษนี่แหละ
    มาใส่ไว้ในไฟล์ Words ให้หน่อย และอย่าลืมแปะลิงค์ที่มาของข้อความนั้นๆ
    เอาไว้ใน file นั้นๆด้วยนะครับ เพื่อที่พวกเราจะได้สะดวกในการกลับไปสืบค้น
    หรือแก้ไขตรงที่มาของข้อความนั้นๆได้เลย

    คือผมมีไอเดียว่า อยากจะคัดลอกข้อความเหล่านี้สำรองเอาไว้สักหน่อย
    เพราะว่าเผื่อเวปพลังจิตมีอันเป็นไปแบบร้ายแรงจริงๆเข้าสักวันหนึ่งข้างหน้า
    พวกเราก็ยังจะคงมีข้อมูลสำรองเก็บเอาไว้เผยแพร่ได้อีกอยู่หนะครับ

    ให้ทำเป็นข้อความละไฟล์ไปเลยนะครับ จะได้หาง่ายหน่อย

    แล้วก็..ถ้ามันเป็นข้อความจากสมาชิกในทีมแปลท่านอื่นแปลไว้
    ผมก็อยากจะขอให้ท่านใส่ชื่อคนแปลเอาไว้ให้ด้วยหนะครับ

    และก็ อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่า อยากให้ใส่ลิงค์ที่มาของกระทู้
    และรวมถึงหน้านั้นๆของกระทู้ไปด้วยเลย
    เพื่อสะดวกในการกลับไปแก้ไขในภายภาคหน้าหนะนะครับ
    เพราะว่ามันยังมีข้อบกพร่องอยู่มากมาย ในข้อความเหล่านั้น
    ที่ผมเองก็จะกลับไปแก้ไขอยู่เหมือนกัน

    เช่น ภาพไม่ขึ้นบ้าง ลิงค์ที่เกี่ยวข้องกับกระทู้นั้นๆ ที่เคยโยงเอาไว้
    ก็ใช้ไม่ได้บ้าง เป็นต้น

    แต่ที่สำคัญมากที่สุด และที่ผมหนักใจมากที่สุดก็คือ
    ในสมัยแรกๆที่ตัวผมเอง และ พวกเราเริ่มต้นแปลข้อความพวกนี้กัน
    ข้อมูล และความรู้ เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ของเรายังมีน้อยมากๆ
    จนทำให้ทั้งผมเอง และ พวกเราหลายคน แปลกันไม่ค่อยถูกต้องนักก็มี

    ดังนั้น ถ้ามีโอกาส ผมก็เลยอยากจะกลับไปแก้ไขให้มันถูกต้องมากขึ้นอยู่เหมือนกัน
    แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเอาปัญญาที่ไหนไปทำเหมือนกันหละครับ
    เพราะว่ามันเยอะเหลือเกิน..ฮิฮิ..ได้แต่คิดว่าอยากจะทำเฉยๆ

    นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องการขัดเกลาสำนวนแปลให้มันอ่านแล้วสละสลวย
    ไม่สะดุดเลยนะครับ เพราะว่าเวลาพวกเราแปลเสร็จแล้ว
    ส่วนใหญ่พวกเราก็จะอ่านทบทวนคร่าวๆกัน ตอนที่กำลังโพสต์นั่นแหละ
    และดังนั้น ความสละสลวยของมัน จึงมีไม่มากนัก

    ก็เอาเป็นว่า..ตอนนี้..ผมขออาสาสมัครช่วยผม copy ข้อมูล
    เก็บสำรองไว้ก่อนก็แล้วกันนะครับ แล้วจะทำอะไรต่อไป ก็ค่อยว่ากันทีหลัง

    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าด้วยนะครับ และหากใครยินดีช่วยในเรื่องนี้
    ก็ขอให้มาลงชื่อให้เพื่อนๆทราบเอาไว้หน่อยก็ดีนะครับ
    และอาจจะช่วยกันหลายๆคนก็ได้นะครับ
    เพราะว่างานมันมีเยอะมากพอ ที่จะแบ่งกันทำได้หลายๆคนแน่ๆหละครับ

    ปล.วิธีการค้นหากระทู้ที่ผมเคยโพสต์เอาไว้ ก็คือ

    1. ค้นหาใน tag คำว่า chayutt ที่อยู่ส่วนล่างของกระทู้นี้
    หรือกระทู้ไหนก็ตามที่ผมโพสต์ไว้
    หรือแม้แต่ในหน้าเพจของห้องวิทยาศาสตร์ทางจิตเองก็ตาม
    ก็จะมีคำว่า chayutt ถูก tag เอาไว้แล้วเช่นกัน

    ซึ่งใน tag นี้ ผมได้ทำไว้สำหรับเชื่อมต่อกระทู้ข้อความจากต่างมิติทั้งหมด
    ที่ผมเป็นคนแปลเอง และ ที่ท่านอื่นๆเป็นคนแปลเอาไว้ด้วย
    และยังรวมถึงบทความด้านผลงานวิจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องด้วยนะครับ

    2. ค้นหาในกระทู้ทั้งหมดที่ผม และ สมาชิกทีมแปลคนอื่นๆโพสต์เอาไว้
    ซึ่งวิธีนี้ค่อนข้างจะหายากกว่าวิธีแรกหนะนะครับ

    ..................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2014
  17. nununo

    nununo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +1,096
    โพสที่ผมแปลให้ต่างๆนั้น ไม่ต้องใส่ชื่อไอดีผมนะครับ, ผมยกให้พี่ชยุตซึ่งเป็น จขกท ไปเลยนะครับ, เพราะ nununo มันไม่ใช่ชื่อของผมอยู่แล้ว มันเป็นแค่ไอดีที่ใช้ในเวปนี้เท่านั้นครับ.

    ส่วนถ้าเวปนี้เกิดขัดข้องทางเทคนิคใดๆก็แล้วแต่, ผมคิดว่าสิ่งสำคัญคือ เฟสบุ๊คของคุณชยุตนั่นแล่ะครับ ที่ทุกคนที่ติดตามกระทู้นี้ต้องรู้, จะได้ไปติดตามข่าวสารต่อไป.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2014
  18. chevasit

    chevasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +424
    เมื่อวาน ไปร้านหนังสือ Se-ed เห็นมีหนังสือเรื่อง กุญแจสู่มิติที่ 5 วางขายด้วย และในนั้นอ้าง งานคุณชยุต ในเว็บนี้ด้วย ไม่ทราบว่าคุณชยุต รู้เรื่องด้วยไหมครับ
    https://www.se-ed.com/product/Secre...tm_source=มิติที่+5&utm_medium=name&utm_term=[1]_9786162102899&utm_campaign=WebSearch
     
  19. atitarn2009

    atitarn2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +262
    โปรดใช้ใจในการอ่าน ^____^
    จะดีหรือไม่ดีอย่างใจ ขึ้นอยู่กับจิตของแต่ละท่านค่ะ
    _heart+love_


    การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    ณ เขากะลา นครสวรรค์ วันที่ 10 ตุลาคม 2541

    (ตอนที่ 1)
    .............

    (ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) เปล่งพระสุรเสียง(เสียงหัวเราะ) อันเป็นสัญญาลักษณ์ของท่านก่อนที่จะกล่าวให้โอวาท ..... สาวกใหม่ ไม่ต้องตกใจนะ พระญาณของข้าพเจ้าจะต้องลงมาในสัญญลักษณ์นี้ทุกครั้งไป ใครที่เคยได้ฟังบันทึกในพระญาณของข้าพเจ้านะ ถ้าไม่ใช่สัญญลักษณ์นี้ ไม่ใช่ของจริง สมาชิกใหม่มีหลายคนนะ

    (จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน) มีสมาชิกมาจากฝรั่งเศส จะมาพบท่าน ?


    (ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) ไหนล่ะ ... มาซิ เจ้าไม่ใช่ใครอื่นไกลหรอกนะ เป็นผู้ที่มีบารมีในการอธิฐานจิตลงมา ยังไงซะก็ต้องมาเจอกัน พรรคพวกเก่า เจ้าเพิ่งมาสัมผัสที่นี่ อาจจะยังไม่รู้ในสิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้ทำกันมาแต่ดั้งเดิม

    สำหรับข้าพเจ้า ได้เคยกล่าวในกาลก่อนแล้ว แต่ใน ณ ที่นี้ ก็จะกล่าวอีกครั้งหนึ่งว่า ข้าพเจ้า " ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต " ข้าพเจ้าได้นำพระญาณ และนำวัตถุที่พวกเจ้าเรียกกันว่า "ยานอวกาศ" นั้น ข้าพเจ้า อนุญาตให้สมาชิกของข้าพเจ้าซึ่งเป็นกองทัพ ในโลกของเจ้าเรียกว่าทหาร หรือเป็นราชองครักษ์ของข้าพเจ้า เปิดให้ดูด้วยตาเนื้อของพวกเจ้า จำนวนหนึ่ง แต่ที่พวกเจ้าได้รับรู้ว่า ข้าพเจ้าได้นำกองบัญชาการ ซึ่งผู้ที่ได้พูดเมื่อสักครู่นี้ ข้าพเจ้าก็เล็งเห็นในวาระจิตว่าจะเป็นผู้เผยแพร่ข่าวสารให้มีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือ ก็ให้เขาสามารถบันทึกภาพกองบัญชาการของข้าพเจ้า ครั้งที่พวกเจ้าได้เห็นกัน ดังบันทึกในภาพของมนุษย์โลกที่เจ้าเรียกกันว่า วี.ดี.โอ. นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ข้าพเจ้า ซึ่งเป็นทหารองครักษ์ของข้าพเจ้า

    ทำไมต้องนำกองบัญชาการลงมาในโลกมนุษย์ด้วย เพราะโลกมนุษย์ของเจ้าในภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น นอกจากภัยจากธรรมชาติ ยังมีภัยจากน้ำมือมนุษย์ นั่นก็คือ มนุษย์พวกเดียวกับเจ้านี่เอง การที่พวกเจ้าได้รับรู้จากคำทำนายในศาสตร์ต่าง ๆ ในศาสนาต่าง ๆ นั้น สงครามโลกซึ่งข้าพเจ้าได้เคยกล่าวไว้ในกาลก่อนนั้น แต่ทั้งนี้พวกเจ้ายังมีความขัดข้องใจกันว่า มันจะสามารถแก้ไขได้หรือไม่ ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างให้ฟัง เปรียบเทียบให้ฟังกับมนุษย์โลกของเจ้า
    สมมุตินะ อันนี้เป็นการเปรียบเทียบ ในโลกมนุษย์ของเจ้ามีการสอบ เปรียบเสมือนบุญบารมี แต่ในยุคนี้คนส่วนใหญ่ ถ้าเทียบบารมีแล้วมันจะสอบตกในจำนวนมาก มันไม่มีบารมี มีแต่แรงกรรม ที่ทำกรรมชั่วกันในส่วนมาก ถ้าจะวัดกันก็คือ "สอบตก"

    ทีนี้ ในการ "สอบตก" ของพวกเจ้า ถ้ามนุษย์ในส่วนใหญ่ปล่อยให้สอบโดยสติปัญญาของมนุษย์เองนั้น มันก็สอบตกไปในส่วนมาก หรือพวกเจ้าเรียกว่า "สอบไม่ผ่าน" ถ้าเป็นชั้นของมนุษย์ก็ต้องเรียนซ้ำชั้นหรือไง

    แต่การที่เป็นเรื่องของ "ความเป็น ความตาย" เป็นเรื่องของ "บุญบารมี" เป็นเรื่องของ "กรรม" นั้น มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้น การที่ทวยเทพทั้งหลาย การที่พระญาณชั้นสูง ๆ ท่านเล็งเห็นว่า มนุษย์ถ้าปล่อยให้ช่วยเหลือกันเองแล้ว มันแทบจะช่วยตัวเองกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น การที่พระญาณทั้งหลายท่านได้ลงมาช่วยเหลือมนุษย์ มันก็เหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเจ้าได้มีการ "สอบซ่อม" เจ้าเข้าใจไหม

    ช่วงเวลานี้เป็นนาทีทอง ให้พวกเจ้าได้มีการสอบซ่อมในบุญบารมี เออ..เปรียบเทียบกันนะ อย่าเอาไปคิดกันจนเกินตัวนะ มันไม่ได้อย่างนั้นหรอก

    กับการที่ทวยเทพท่านมาบอก ได้มีการอนุโมทนาจากญาณของข้าพเจ้า และจากพระญาณของข้าพเจ้า เหมือนการเปิดปัญญาให้พวกเจ้าได้มีโอกาสรับรู้ ได้มีโอกาสกลับใจ ได้มีโอกาสกลับทั้งตัว กลับทั้งใจ ก่อนที่มหันตภัยครั้งใหญ่มันจะทำลายชีวิตมนุษย์ในส่วนใหญ่ไป

    เพราะฉะนั้น จะมีผู้เหลือรอดจากการสอบซ่อมในครั้งนี้ จากการเมตตาของพระพุทธองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า จากธรรมของพระพุทธองค์

    ในช่วงเวลานี้ เป็นเวลาที่ดี ที่พวกเจ้าจะนำปัญญามาไตร่ตรองในสถานที่นี้ว่า เขาทำอะไรกัน เรื่องราวมาแต่หนใด มันมีความน่าเชื่อถือได้หรือไม่ เพราะถ้าเจ้ามันเพลิดเพลินทางโลกกันแล้ว เพราะโอกาสในระยะเวลากันใกล้นี้แล้ว ก็จะไม่มีการที่จะสามารถกลับทั้งตัว กลับทั้งใจ เข้ามาสะสมบุญบารมี มันเหลือเวลาอีกน้อยแล้ว ในการที่ข้าพเจ้าได้เล็งพระญาณจากการที่พวกเจ้าสนทนากันนั้น เออ...บางคนข้องใจ ข้าพเจ้าก็จะตรัสในสถานที่นี้เลยว่า....สงครามโลกครั้งที่ 3 ที่พวกเจ้าเกรงกันนั้น มันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะถึงแม้ว่าจะมีการลงมาช่วยเหลือจากพระญาณของทวยเทพต่าง ๆ จำนวนมากมายนั้น ก็สามารถจะสกัดกั้น หรือช่วยได้กับผู้ที่มีบารมี ที่จะช่วยจากหนักให้เป็นเบา ดังที่องค์พระพิฆเณศร์ ได้รับสื่อพระญาณ และได้ทำตามสื่อพระญาณนั้น ถูกต้องที่สุด ท่านเป็นผู้เสียสละ สมบูรณ์ที่สุดในส่วนของท่าน

    แต่สำหรับ "กรรมดำ" หรือ "อกุศลกรรม" ที่รวมกันในส่วนมากนั้น มันเกินจะต้านทานอยู่ เพราะฉะนั้น การที่เทพทั้งหลายท่านได้ลงมาสร้างบารมี รวมทั้งมนุษย์ต่างดาวจากดวงดาราต่าง ๆ ที่ท่านได้ลงมาอนุโมทนา ไม่ใช่แต่เฉพาะข้าพเจ้า การที่ "ดาวอังคาร" ที่พวกเจ้าได้รับการบอกเล่า ซึ่งท่านได้ติดต่อสื่อสารกับผู้ที่มีบารมีท่านหนึ่งในโลกมนุษย์ของเจ้านั้น ซึ่งบัดนี้ ผู้ที่ยิ่งใหญ่แห่งดาวอังคาร ซึ่งเจ้าเรียกกันว่า "ชั้นยอด" นั้น ผู้ที่อยู่ยอดสุดนั้น ก็ได้มาพำนักอยู่ที่กองบัญชาการของข้าพเจ้าแล้ว

    เพราะฉะนั้น ณ สถานที่นี้ มันไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว พวกเจ้าได้มีโอกาสมา ณ สถานที่นี้ เป็นสถานที่รวมของบุญกุศล เป็นสถานที่รวมของพระญาณอันศักดิ์สิทธิ์ แต่พวกเจ้าจะสามารถรับในความศักดิ์สิทธิ์นั้น เป็นไปได้มากน้อยเท่าไร นั่นก็ขึ้นอยู่กับอินทรีย์ หรือกำลังบุญของพวกเจ้า จะสามารถเข้าใจได้ลึกซึงไหม ถึงสิ่งที่ทำไมพระญาณต่าง ๆ ทั้งทวยเทพ ทั้งมนุษย์ต่างดาว จึงได้มารวมกันอยู่ ณ ที่นี้ เขากำลังจะทำอะไรกัน เขามีจุดประสงค์อะไรกัน....

    ...................................



    การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    ณ เขากะลา นครสวรรค์ วันที่ 10 ตุลาคม 2541

    (ตอนที่ 2)
    ในปัจจุบันนี้ เจ้าอาจจะเห็นว่า มีบุคคลน้อยนักถ้าเที่ยบกับความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ แต่พวกเจ้าไม่ต้องหวั่นใจกันไปหรอกนะ เพราะต่อไปสถานที่นี้ จะเป็นแหล่งรวมของสรรพวิชาในศาสตร์สาขาต่าง ๆ จะเป็นแหล่งรวมของผู้มีบารมีที่ได้ไปศึกษาในศาสตร์สาขาต่าง ๆ จะต้องมารวมกัน

    เพราะว่าในภัยธรรมชาติ เภทภัยของสิ่งต่าง ๆ และจากบุญบารมีของพวกเขา จะบีบให้มารวมกัน ทำไมจึงต้องมารวมกันน่ะรึ....เพราะว่าโลกมนุษย์ต้องมีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีการแบ่งปันซึ่งกันและกัน มีการต้องการช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกันด้วยจิตใจของพวกเขาเอง เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ผู้จะมีความทุกข์นานาประการจากภัยธรรมชาติ และจากภัยทางสงครามโลก ซึ่งอาวุธนิวเคลียร์ของพวกเจ้า กัมมันตภาพรังสีต่าง ๆ ผิวหนังของพวกเจ้ามันรับกันไม่ได้หรอกนะ มันต้องมีการอนุโมทนาด้วยการปกป้องจากเทคโนโลยีของข้าพเจ้า ซึ่งเผยแผ่ไปในนามของ "ใยแก้ว" การสร้างใยแก้วก็คือ การสร้างรังสี การสร้างรัศมีในสถานที่ที่ปกป้องด้วยพระญาณที่มีอนุภาพมาก
    ข้าพเจ้า และมนุษย์ต่างดาวจากดวงดาราต่าง ๆ ที่มาอนุโมทนา ก็จะได้นำในเทคโนโลยีรวมกันสร้างที่พวกเจ้าเรียกว่า "ใยแก้ว" แต่พวกเจ้ามองกันไม่เห็นหรอกนะ เพราะมันไม่ใช่วัตถุ หรือว่าเป็นแก้ว อย่างที่พวกเจ้าคิดกัน มันจะเป็นสิ่งที่ปกป้องรังสีจากอาวุธนิวเคลียร์ หรือจากเทคโนโลยีของพวกเจ้า ซึ่งโง่เขลาเบาปัญญานำมาทำร้ายกันเอง

    เพราะฉะนั้น สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในอนาคตกาลอันใกล้นี้ พวกเจ้าซึ่งเป็นมนุษย์โลกเอ๋ย....อย่าประมาทกันอยู่เลย เจ้าลองมองดูรอบตัวเจ้า ตั้งแต่แนวนี้ไปจนรอบนะ จนสุดเขาเมืองลับแลที่บังอยู่ พวกข้าพเจ้าได้นำพระญาณ และได้นำยานอวกาศ ซึ่งเป็นวัตถุลงมาปกป้องพวกเจ้าโดยรอบนี้แล้ว แต่พวกเจ้าล่ะ... นำธรรมะไปปกป้องดวงจิตของพวกเจ้าแล้วหรือยัง

    เพราะฉะนั้น สิ่งตรงนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น เวลาอีกไม่นานแล้ว พวกเจ้าก็จะได้รับรู้ว่า ภัยพิบัติตามธรรมชาติในรอบประเทศของเจ้า และในประเทศของเจ้า แม่พระธรณีเคลื่อนไหว เพื่อเป็นการเตือนสำหรับผู้มีบารมีว่า ควรจะ ลด...ละ...เลิก กันได้แล้ว ชีวิตตัวเองก็จะเอากันไม่รอดอยู่แล้ว ยังจะประมาทหลงยึดในลาภยศ...สรรเสริญ...กันทำไม
    เจ้ายิ่งอายุมาก การยึดติดของพวกเจ้ายิ่งมากตามวัย ตามอายุ เพราะฉะนั้น ภัยพิบัติตามธรรมชาติ คนที่จะตายก็คือ คนที่อายุในวัยรุ่น และอายุในวัยปลาย เพราะอะไร... เพราะในวัยรุ่นนั้น ตั้งแต่เด็กจนถึงวัยรุ่น ยังไม่สามารถที่จะสร้างบุญ สะสมบุญกุศล ก็จะตายกันในส่วนมาก สำหรับวัยปลายนั้น ซึ่งมีทั้งทำกุศลกรรม และอกุศลกรรม และมีการยึดติดในพื้นที่ที่อยู่ ในการยึดติดความรู้ที่เจ้าสั่งสมกันมา เพราะฉะนั้นก็จะตายกันไปในส่วนใหญ่ ที่เหลือรอดก็จะเป็นบุคคลในช่วงกลาง ที่ได้เข้ามาปฏิบัติในธรรมะ มีการปรับปรุงดวงจิต มีการละการยึดติด ในการที่ได้รับการฟังธรรม ได้รับความรู้ใหม่ ๆ การยึดติดของเขานั้นยังน้อย เขาก็จะสามารถปรับปรุงดวงจิตของเขาได้ นั่นก็จะรอดกันในเปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่

    เพราะฉะนั้น พวกเจ้าที่อยู่ใน ณ สถานที่นี้ เป็นสถานที่ที่มีพระญาณมีบุญบารมีลงมาในส่วนมาก เจ้าก็ต้องเปิดใจ ใช้ปัญญาไตร่ตรองฟังดูในเหตุและผล ซึ่งธรรมะที่เขามาบอกนั้น มันจริงไหม? มันเพี้ยนไปไหม....ในพระพุทธศาสนา และเจ้าก็จงดูด้วยตาเนื้อของเจ้าในรอบ ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดมีในโลกของเจ้า ในวัตถุเทคโนโลยีของพวกเจ้า ประกอบกัน

    เพราะฉะนั้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ข้าพเจ้าได้รับความอนุเคราะห์จากพระญาณของเจ้าเมืองลับแล ซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่นี้ ในบริเวณนี้ เปิดโอษฐ์ให้ใช้ภาษามนุษย์ได้ เรียกว่าข้ามขั้นตอน ไม่ต้องไปเรียนรู้ใหม่


    ...............................


    การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    ณ เขากะลา นครสวรรค์ วันที่ 10 ตุลาคม 2541

    (ตอนที่ 3)

    .................

    เพราะฉะนั้น ธรรมะเป็นสิ่งเดียวที่จะเป็นตัวคัดแยกอย่างโดดเด่น บุคคลใดเข้าถึงธรรมะมาก บุคคลนั้นก็จะเป็นอันดับต้น ๆ พวกเจ้าก็ต้องฝึกฝนธรรมะ เรียนรู้ธรรมะ ฝึกการทำสมาธิในการฟังธรรม ในการตัดกรรม ซึ่งได้มีการบอกกล่าวกันแล้วในพระญาณของทวยเทพ อันนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะอะไร เพราะบุญกุศลของพวกเจ้าจะสะสมได้ก็จากพระธรรมเท่านั้น ที่ท่านมาชี้บอก เจ้าจะไปสะสมจากเงินตรานั้น จะนำมาใช้ในการคัดเลือกของข้าพเจ้าไม่ได้

    เพราะฉะนั้น 60 บุคคล ต้องทนแรงเสียดทาน ของลาภยศ สรรเสริญ เสียดทานของแรงวิบัติในสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น วาระจิตของพวกเจ้า ปัญญาสำคัญอันดับ 1 บางคนจะให้ฝึกสมาธิใน 1 ปี จะให้เชี่ยวชาญมันเป็นไปไม่ได้ แต่ปัญญาที่เจ้าได้รับฟังธรรมนั้น เจ้าสามารถไตร่ตรองและคิดกันได้

    เพราะฉะนั้น สิ่งนี้เรียกว่าปัญญา ปัญญาเป็นเอก ซึ่งพระพุทธองค์ท่านได้ทรงสรรเสริญว่า ธรรมะทุก ๆ เหล่านั้น ปัญญานับว่าเป็นที่ 1 ขันตินับว่ารองลงมา เพราะฉะนั้น 60 บุคคล ในที่นี้มี 1 ใน 60 บุคคลเป็นจำนวนมากนะ แต่ปัญญาและขันติเจ้ามีไหม ธรรมะอันดับ 1 ขันติอันดับ 2 พวกเจ้าต้องไปฝึกฝนกันให้มากนะ สมาธิเป็นอันดับ 3 รองลงมา
    เพราะฉะนั้น พวกเจ้าไม่ต้องเสียใจนะ ที่ไม่มีสมาธิ ไม่มีตาทิพย์หูทิพย์ในปัจจุบันนี้ไม่เป็นไร ถ้าได้รับการฝึกฝนจากข้าพเจ้าแล้ว เจ้าจะสามารถรู้เห็นได้ในสิ่งที่มนุษย์โลกทั่วไป เขาไม่ได้รู้ได้เห็น
    เพราะอะไร ... เพราะหลังจากภัยพิบัติแล้ว มิติต่าง ๆ จะเปิด ศาสตร์ต่าง ๆ จะเปิด จะเหลือแต่เฉพาะผู้ที่มีบารมี เพราะฉะนั้น อภิสิทธิ์ต่าง ๆ มิติต่าง ๆ ความรู้ต่าง ๆ วิชาต่าง ๆ เหาะเหินเดินอากาศ เรียนรู้ใจคน เดินทะลุกำแพงอะไรน่ะ ไม่ต้องไปมองดูมนุษย์ต่างดาวเขาหรอก เจ้าก็ทำได้ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ ต้องคัดเลือกกันอย่างสุดยอด

    เพราะฉะนั้นในทุก ๆ คน ก็ให้ฝึกฝนกันในวาระจิตของตัวเอง ปัญญาอันดับหนึ่ง ขันติอันดับสอง สมาธิอันดับสาม ต้องเน้นปัญญากันก่อนนะ เข้าใจหรือยัง...?

    ..............................


    การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    ณ เขากะลา นครสวรรค์ วันที่ 10 ตุลาคม 2541
    (ตอนที่ 4)

    ...(คุณวิโรจน์) ท่านผู้สูงสุดครับ อยากจะถามว่าการพิจารณาคัดเลือกคนนี้จะยากไหมครับ เพราะว่าสมัยนี้ อย่างนักการเมือง นักธุรกิจ หากดูสีหน้าปากพูดอย่าง แต่ลับหลังก็เปลี่ยนแปลงเชื่อไม่ได้เลย บ้านเมืองก็แหลกราญลงไปทุกวัน พูดเก่งเหลือเกินในรัฐสภา อันนี้อยากถามผู้สูงสุดว่า ท่านจะคัดเลือกอย่างไร?
    (ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) ไม่ต้องห่วงข้าพเจ้าหรอกนะ ข้าพเจ้าไม่ได้ให้มาปราศรัยแข่งกัน ...เอ้า..100 คนมาเรียงปราศรัย ใครปราศรัยดี พูดดี ได้ไป ... ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะ เพราะฉะนั้นในวาระจิตของพวกเจ้า ดวงจิตในส่วนลึกของพวกเจ้า มันโกหกข้าพเจ้าไม่ได้

    เพราะฉะนั้น เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ก็อย่างพวกนักการเมืองละนะ ป่านนี้ อีก 3 ปีข้างหน้า ไปอยู่ขุมไหนก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีลาภยศ..สรรเสริญหน้าตากันในที่นี้ มันเป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น อีกไม่กี่ปี 1 ปี 2 ปี 3 ปี ถ้าพวกเขาดับชีวิตลงไป ก็จะหายสมมุติกันไปแล้ว ก็จะลงไปเจอของจริง นรกอเวจีมันมีจริง ๆ

    วันนี้เป็นวันดี เป็นวันที่มีผู้ที่มีบารมีในเปอร์เซ็นต์แล้ว เรียกว่า 80% เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าก็มีความยินดีที่จะให้ความกระจ่างกับพวกเจ้า

    แต่ขอให้อย่างที่พระภิกษุสงฆ์บอกไว้ " ธรรมะใด ๆ ก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ..." รับรู้ไปแล้วเอาไปนอน เอาไปฝัน เอาไปนึกคิดคำนึง มันไม่ได้ประโยชน์หรอกนะ รับรู้ไปแล้วต้องไปไตร่ตรอง ไปคิดกันให้มาก ทำกันเลย ดังที่องค์อัมรินทร์ท่านให้สาวกหลักนั่นน่ะ... ไม่ต้องรู้มาก แต่ให้ทำจริง ๆ นะ

    เพราะฉะนั้น ธรรมะในรายละเอียดที่พวกเจ้ารู้ มันเกินพอแล้ว ให้ทำจริงกันเสียทีเถอะนะ มีปัญหาอีกไหม? ในวาระจิตของพวกเจ้าที่ได้ถามมา หรือปัญหาไหนที่ข้าพเจ้าได้หลงลืมในการตอบไปบ้าง หรือไม่เคลียร์ในจิตใจของพวกเจ้า ให้ถามกันมาใหม่เลย

    ..............................


    การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    ณ เขากะลา นครสวรรค์ วันที่ 10 ตุลาคม 2541

    (ตอนที่ 5)

    ...

    (คุณวิโรจน์) ท่านผู้สูงสุดครับ... ตามที่ท่านบอกว่า 1 ใน 60 บุคคล ที่ได้รับเลือกไปนี้นับว่าเป็นการโชคดีมาก แต่ผมเองคิดว่า ใครที่ได้รับเลือกไปนี้มันคงจะไม่ใช่โชคดี แต่จะเป็นการเสียสละ ช่วยโลกและช่วยเพื่อนมนุษย์ชาติจริง ๆ มันคงไม่ใช่งานสนุก แต่ถ้าเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบด้วยกิเลส ว่าโชคดีได้ไปขึ้นบนจานบินของมนุษย์ต่างดาว มันคงไม่สำเร็จอะไร ก็คงมีบางคนคิดเล่น ๆ เหมือนกันนะ
    (ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) ที่เจ้าถามมานะ พวกเจ้าคิดว่าผู้ที่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์นั้น พวกเจ้าคิดว่าเขาโชคดี ฟลุ๊ค จึงได้บรรลุธรรมหรือ?..... หรือเป็นพระโสดาบัน โชคดีได้บรรลุธรรมหรือ? ไม่ใช่นะ นั่นเป็นสิ่งที่เป็นเหตุ เป็นผล เป็นปัจจัย

    บุคคลที่เข้ามาเป็น 60 บุคคลนั้น จะไม่มีใครฟลุ๊ค ไม่มีใครโชคดีไปเห็นยานต่างดาว จะไม่ใช่แบบนั้นนะ จะเป็นบุคคลที่ตั้งจิตอธิฐานลงมาตั้งแต่เขาอยู่บนเทวโลก และปวรณาตัวอธิฐานจิตลงมา เสี่ยงบารมีลงมาเพื่อที่จะช่วยเหลือมนุษย์ ในภพมนุษย์ที่จะเกิดภัยพิบัติในครั้งนี้ แต่การที่ข้าพเจ้าบอกว่าโชคดีนั้น เพราะมนุษย์ถ้าได้รับการฝึกฝน อบรมแล้วมาช่วยเพื่อนมนุษย์นั้น เป็นโอกาสดี เพราะว่าอะไร?
    สมมุติเจ้าไปเรียนรู้วิชาแพทย์ แพทย์ในเมืองของเจ้านะ แล้วก็ไปอยู่ในหมู่บ้าน ตรงไปอยู่ในหมู่บ้านที่มีบุคคล 5 บุคคล หมู่บ้านนั้นมีบุคคล 5 คน เจ้าก็ได้ไปใช้วิชาแพทย์ เรียนมาเป็น ด๊อกเตอร์ ก็ได้ใช้วิชาด๊อกเตอร์กับคน 5 คน
    แต่อีกคนหนึ่งเรียนวิชาแพทย์เหมือนกัน แต่ได้ไปอยู่ในหมู่บ้านที่ซึ่งมีบุคคล 1,000 คน หรือ10,000 คน เจ้าว่าใครโชคดี
    (ตอบ....10,000 คน)

    โชคดีเพราะอะไร?(ตอบ....เพราะช่วยเหลือได้หลายคน)

    แต่มันสบายไหม?(ตอบ....ไม่สบาย)
    ปางตายเลยละ.......
    เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงต้องเปิดโรงพยาบาล ให้เครื่องมือกับแพทย์คนนั้น ซึ่งไปช่วยเหลือคน10,000 คน
    พลังนั้น ที่ข้าพเจ้าจะต้องนำมาให้ อันนี้เป็นการเปรียบเปรยนะ ไม่ใช่ทุกคนจะลงมาเป็นหมอกันหมดนะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ

    แพทย์จบมาเหมือนกัน ก็เหมือนพวกเจ้าในปัจจุบันนี้ ผู้ที่สามารถจะสร้างบารมีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็มีในปัจจุบันนี้
    แต่ผู้ที่ได้รับการฝึกอบรม และช่วยเหลือมวลมนุษย์ซึ่งเขาแทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และมีจำนวนมากมายเหลือเกิน ที่จะให้พวกเจ้าลงไปช่วยเหลือนั้น

    โชคดีก็คือ พวกเจ้าน่ะจบเป็นแพทย์เหมือนในยุคนี้เหมือนกัน แต่ได้ไปปล่อยในหมู่บ้าน ซึ่งมีบุคคล 10,000 คน และมีแพทย์คือเจ้าคนเดียว เขาเจ็บป่วย เขาทุกข์ทรมาน เขาก็ต้องมาหาเรา ข้าพเจ้า เป็นผู้ซึ่งมาบำเพ็ญบารมีเหมือนกัน เพราะตามกฏของกรรม ข้าพเจ้าก็ต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานเหมือนกัน ไม่ใช่เป็นมนุษย์ต่างดาวแล้ว ลอยไป ลอยมา ไม่ต้องสร้างบารมี มันก็ทำไม่ได้
    ข้าพเจ้าก็จะสร้างบารมี โดยการที่จะสงเคราะห์แพทย์ เรียกว่าแพทย์ชนบทได้ไหม?....แพทย์ต้องรักษา 10,000 คน แพทย์ชนบทนะ โดยการให้หูฟัง โดยการให้เครื่องมือตรวจ โดยการให้เครื่องมือเช็ค นั่นเรียกว่า “พลัง”

    เพราะฉะนั้น นี่เรียกว่าการเปรียบเปรย

    ไม่ใช่ว่ามีพลังแล้ว เขาจะไม่ให้การบรรลุธรรมนะ การบรรลุธรรมนั้นต้องใช้ดวงจิตของแต่ละคนเพราะฉะนั้น ถ้าแพทย์ซึ่งลงไปอยู่ในหมู่บ้านซึ่งมี 10,000 คน เขามีเครื่องมือพร้อมจากการอนุเคราะห์ และมีดวงจิตของเขา แต่ถ้าเขาไม่ใช้เครื่องมือ และใช้ความสามารถของเขา เขาก็ไม่ได้โอกาส
    เพราะฉะนั้น ถ้าเขามีโอกาส และได้ใช้ความสามารถของเขา เขาก็สามารถบำเพ็ญบารมีได้มากมาย เรียกว่าโชคดีตรงนี้ ที่เรียกว่าโชคดีก็คือ ได้เหนื่อยแสนสาหัส ได้บารมี

    มันแสนสาหัสนะ ถ้าใครทนความสาหัสไม่ได้ ก็ไม่ได้เป็น 1 ใน 60 บุคคลเตรียมตัวเตรียมใจกันเถอะ เพราะว่าอะไร การที่พวกเจ้าจะไปช่วยเหลือบุคคลที่กระเซอะกระเซิง ภัยพิบัตินั้นมันต้องจากลูกจากหลาน จากภรรยาสามีไปตามกฏแห่งกรรม...ในหนึ่งครอบครัวมันจะเหลือกันไม่ครบทั้งครอบครัวหรอก ในส่วนมาก ฉะนั้นพวกเจ้า ต้องไปช่วยเหลือเขาทั้งทางร่างกายและจิตใจ
    เพราะฉะนั้น ศาสตร์ต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าจะอนุเคราะห์ให้พวกเจ้านั้น จะมีทั้งศาสตร์ทางเทคโนโลยีทั้งทางร่างกาย และจิตใจ นั่นคือ “ธรรม”ของพระพุทธองค์ ซึ่งจะเป็นธรรมโอสถมันจะต้องผสมผสานไปในทางที่จะกลมกลืนกัน ให้ช่วยเหลือได้ผลเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ... เข้าใจหรือยังล่ะ.


    ...........................


    การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    ณ เขากะลา นครสวรรค์ วันที่ 10 ตุลาคม 2541

    (ตอนที่ 6)

    .....(คุณพิศมัย) อยากถามว่า จะทำบุญแบบไหน หรือนั่งสมาธิ หรือถวายสังฆทานแบบไหน?ที่จะถวายพระองค์ท่าน
    (ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) ถวายข้าพเจ้าน่ะรึ? ก็ถวายปัญญาซิ เจ้าก็ปฏิบัติซิ สิ่งที่ข้าพเจ้าสอน สิ่งที่ข้าพเจ้าเตือน และโยงใยไปถึงธรรมะนั้น เจ้าปฏิบัติเลย ข้าพเจ้ารู้นะ ถ้าเจ้าปฏิบัติมาก ไตร่ตรองมาก เรียกว่า ถวายมาก และข้าพเจ้าจะไปรอนะ...เออ...ไม่ต้องมาเป็นของ เป็นวาระจิตของเจ้า ซึ่งจะปฏิบัติถวายข้าพเจ้า ดังนั้น ข้าพเจ้าจะรู้ใครถวายมาก ถวายน้อย นับมานะแต่ละคนน่ะ เดี๋ยวเล็งไปก่อนนะ กลับไปถวายมาก ถวายน้อย จะถวายข้าพเจ้านะ ถวายอย่างนี้ ต้องถวายด้วยปัญญาของพวกเจ้า ซึ่งจะต้องฟังธรรมสะสมบารมีให้มันมากขึ้น รวมทั้งการเตือนจากผู้มีบารมี ไม่ว่าจะเป็นบุคคลสามัญธรรมดา บุคคลซึ่งมีพระญาณของทวยเทพได้ผ่านพระญาณลงมาบอก หรือบุคคลที่มีพระญาณของมนุษย์ต่างดาว ได้ผ่านมาบอกนั้น เป็นสิ่งสำคัญทั้งนั้น

    เพราะฉะนั้น เจ้านะ ข้าเล็งไว้ก่อนนะ จะถวายข้าพเจ้าใช่ไหม? สร้างปัญญาถวายนะ

    (คุณวรวิทย์) ที่ท่านพูดถึงนี้ หมายถึงเวลานั่งสมาธิให้นึกถึงท่านใช่ไหม?

    (ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) ยังไม่เข้าใจอีกหรือ? ไม่ใช่อย่างนั้น ก็คือการที่เจ้าน่ะแหละไปไตร่ตรองเรียนรู้ในธรรมของพระพุทธองค์ แล้วก็จากการสร้างเสริมสติปัญญาของพวกเจ้า แล้วก็ปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะเสียดทานทางโลก เพื่อที่จะเข้ามาหาทางธรรมนั่นแหละ เรียกว่าถวายข้าพเจ้าแล้ว ไม่ต้องมานึกถึงข้าพเจ้าหรอก ข้าพเจ้ารู้เอง

    ธรรมชาติบอกว่า...มนุษย์นี้มีการเกิด ... ก็ต้องมีการแก่ เพราะฉะนั้น ถ้าใครแก่แล้วจะฝืนไม่ให้แก่ ก็ต้องมีความทุกข์ นั่นก็คือกฏธรรมชาติ เพราะฉะนั้น กฏธรรมชาติมีอยู่ทั่วแสนโกฏจักรวาล เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่การที่ใครจะเป็นผู้ที่มีญาณหยั่งรู้มาบอกกฏของธรรมชาติให้ละเอียดยิบนั้น มันไม่มีได้ทุกคน

    เจ้าลองคิดดูว่าใครที่จะรู้ลึก ศาสนาทุกศาสนา ก็เรียนรู้กฏธรรมชาติได้ แต่ใครจะรู้ได้ 100 % ใครจะรู้ 50 % ใครใครจะรู้ 20 % ใครจะรู้ 5 % ใครจะรู้ 1 % หรือ 0 % เพราะฉะนั้น พวกเจ้าต้องไตร่ตรองในบารมีของพระพุทธองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าท่านรอบรู้ "ใบไม้ในกำมือเดียว" ท่านนำมาสอน พวกเราก็ยังเรียนรู้กันไม่หมดแล้ว เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าเป็นสิ่งที่อยู่นอกกำมือท่าน แต่นำมาประกอบการที่พวกเจ้าจะเรียนรู้ธรรมะที่พระพุทธองค์ได้ทรงนำมาสอน

    เพราะฉะนั้น มนุษย์ต่างดาว จริง ๆ ในหลักธรรมะของพระพุทธองค์ที่สอนใน 84000 พระธรรมขันธ์ ท่านไม่เน้นให้มานับถือมนุษย์ต่างดาว หรือให้มาติดต่อมนุษย์ต่างดาวหรอกนะ แต่ในเวลาวิกฤติอย่างนี้ มนุษย์ต่างดาวก็ลงมาอนุโมทนา แต่นั่นก็เป็นในสิ่งหนึ่ง ซึ่งท่านพูดไว้ในพระไตรปิฎก

    เพราะฉะนั้น ท่านได้รอบรู้ไปในแสนโกฏจักรวาล ท่านรู้ท่านเห็น แต่สิ่งที่มีประโยชน์กับพวกเจ้า นั่นคือ "กฏแห่งกรรม"
    พระธรรมที่พวกเจ้าละเลยกันมาเป็นเวลานานหลายปีนั่นแหละ เอามาเถอะ นั่นคือสิ่งสุดยอดแล้ว
    เพราะฉะนั้น ทำไมท่านไม่ไปสอนวิชามนุษย์ต่างดาว ตั้งแต่ 2,500 ปี เพราะอะไร? เพราะตอนนั้นมันไม่มีประโยชน์ มันไม่มีประโยชน์กับดวงจิตของพวกเจ้า เรียนรู้เรื่องโลกของข้าพเจ้า แล้วพวกเจ้าก็ตายไปตกนรก มันมีประโยชน์ไหม?
    แต่เรียนรู้พระธรรม เรียนรู้กฏธรรมชาติ ตายไปแล้วได้เสวยสุขในทิพยสมบัติ หรือได้บรรลุมรรคผลนิพพาน อันไหนมีประโยชน์มากกว่ากัน เพราะฉะนั้น สิ่งที่พวกเจ้าได้รู้ว่า พระธรรมของข้าพเจ้าที่นำมานั้น ก็คือ..."กฏธรรมชาติ" นั่นคือกฏอันเดียวกัน

    เพราะฉะนั้น ธรรมของพระพุทธองค์ นั่นก็คือ "กฏของธรรมชาติ" ซึ่งท่านมีปัญญาหยั่งรู้มากกว่าข้าพเจ้ามากมายหลายร้อยหลายพันเท่านัก เพราะฉะนั้น เศษเสี้ยวที่ข้าพเจ้านำมาบอก ก็จะมีอยู่ในพระธรรมของพระพุทธองค์ทั้งนั้น...เข้าใจหรือยังล่ะ..

    ................................


    การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    ณ เขากะลา นครสวรรค์ วันที่ 10 ตุลาคม 2541

    (ตอนที่ 7)

    ...(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) ธรรมะในสำนักไหนก็ตาม ไม่ว่าจะสอนในสิ่งใด ๆ ก็ตาม ให้นำไปเทียบเคียงกับสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้ เรียกว่าธรรมะข้อไหนน่ะที่ให้เทียบเคียงว่า ธรรมะสิ่งใด เป็นไปในทางที่จะปล่อยวาง ในทางที่จะลด ในทางที่จะไม่สะสม หรือเป็นไปในทางที่จะไม่มักใหญ่ใฝ่สูง เป็นธรรมะที่ถูกต้อง เจ้าไปศึกษากันนะ

    เพราะฉะนั้น ในสำนักต่าง ๆ การฝึกสมาธิให้เห็นสิ่งต่าง ๆ เป็นอุบายนั้น ถ้าฝึกสมาธิเริ่มจากวิธีนี้ การที่เราจะบรรลุธรรมในขั้นลึก ๆ นั้น มันอดไม่ได้ที่มันอยากจะเห็น มันก็จะจินตนาการ ถ้ามันไม่ได้จริงมันก็จะจินตนาการไปก่อน เพราะว่าเขาฝึกมาในแนวแบบนั้น แล้วเจ้าคิดหรือ แทนที่จะบรรลุธรรมเพื่อที่จะลดละเลิกนั้น กับการจินตนาการสร้างเสริมเข้าไปนั้น มันสวนทางกัน เพราะฉะนั้น ศีลธรรมขั้นพื้นฐานของสมาธิวิธีนี้ได้ แต่ที่จะให้บรรลุธรรมลึกในการลดละเลิกนั้น มันเป็นไปได้ยากที่บุคคลจะไตร่ตรองด้วยปัญญาว่า สมาธิที่เราฝึกมานี้ เมื่อเห็นแล้วจะไม่ลำพองว่าเรามีความสามารถเหนือมนุษย์ ถ้าจิตไปจับตรงนั้นแป๊บเดียวเอง ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แล้วเจ้าจะเอายังไง ตรงนั้นเป็นสมาธิที่ฝึกในเป้าน่ะนะ แถบกลาง ๆ หรือแถบริม ๆ

    เพราะฉะนั้น ข้อดีข้อเสียแต่ละอย่างมันจะมี แม้แต่เชื้อโรค เชื้อโรคยังมีข้อดีข้อเสีย เชื้อโรคมีให้เป็นโรคกัน กับเชื้อโรคมีการทำให้มันแก้โรคกันได้ เพราะฉะนั้น สมาธินะ อย่างพวกหมอผีมันเพ่ง ๆ ๆ สมาธิน่ะนะ จิตมันหลุดมันได้ฌาณเลยนะ แต่ว่าฌาณของมันเอาไปทำในการคุมพวกผี เออ...มันก็เป็นไปได้นะ เพราะฉะนั้น สมาธิดำมันมี แต่ถ้าเราจะไม่ให้สมาธิของเราเข้าไปในข่ายสมาธิดำ เราก็เอาปัญญามาก่อนซิ นั่งสมาธิไปด้วยฟังธรรมไปด้วย เอาปัญญามาก่อน ถ้าปัญญาที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว ไม่มีทางที่จะเป็นสมาธิดำไปได้ ฟังธรรมประกอบปัญญา นั่งสมาธิประกอบฟังธรรม

    เพราะฉะนั้น สำนักต่าง ๆ นั้น เขาจะทำดี หรือไม่ดีในความคิดของเรานั้น เราก็ไปทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ตัวเราล่ะ เราทำดวงจิตของตัวเราได้นะ เจ้าไตร่ตรองด้วยปัญญาของดวงจิตของเจ้า ไตร่ตรองดูซิเราจะทำแบบนี้ดีไหม มันเป็นการลด ละ เลิก ไหม ต้องไตร่ตรองด้วยจิตของตัวเองจริง ๆ เพราะว่าเราจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบดวงจิตของเรานะ ถ้าเราพลั้งพลาดไปในการทำสมาธิ หรือในการฟังธรรม หรือในการปฏิบัติในสายใดก็แล้วแต่ แล้วมันเนิ่นช้าไป เราก็ต้องรับผิดชอบในดวงจิตของเรา เจ้าดูซิ...พระพุทธองค์ก็เป็นคนอย่างเรา ท่านปฏิบัติจนเป็นพระพุทธองค์แล้ว แล้วเราล่ะ

    เพราะฉะนั้น ท่านปฏิบัติถูกทางระยะเวลาเนิ่นนาน ดวงจิตเรากับดวงจิตท่านก็ระยะเวลาไม่แพ้กันนะ ไม่ใช่ท่านเกิดมาก่อนเรานะ เพราะฉะนั้น การสร้างบารมีปัญญามันอยู่ตรงนี้ ใครไปทางตรงใครไปทางอ้อม เจ้าไปในสมาธิ นึกหรือไปเห็นได้จริง แต่มันอาจจะเป็นทางอ้อมก็ได้ใช่ไหม ไปเห็นจนทั่วจักรวาลก่อนแล้วค่อยมาบรรลุธรรม แต่ว่าตอนนี้ มัน 80, 90ตายไปก่อน ไปเกิดในประเทศที่เขาฝึกสมาธิกันอีก 3 ชาติ แล้วค่อยมาเจอธรรมะ มันวนกันไปน่ะ แล้ววนกันมาสักเท่าไรแล้วเนี่ย...หา...

    ตอนนี้ทางตรงมาแล้ว ปัญญาในการที่ท่านสอนพวกเจ้าน่ะนะ อย่าละเลยกัน ข้าพเจ้าจะบอก เจอเพชรแล้วไม่หยิบน่ะนะ เขาเรียกว่า ลิงได้แก้ว ไม่อยากเป็นลิงกันใช่ไหม... หรือว่า ไก่ได้พลอย อยากเป็นไก่กันมั๊ย ตอนนี้ของจริงมาถึงแล้ว ธรรมะเนื้อหาตัวเน้น ๆ ไม่ต้องไปไตร่ตรองกันนานนะ ไตร่ตรองกันเป็น 10 ปี 20 ปี ไม่เอานะ มันจะตายกันก่อน ฟังแล้วปฏิบัติเลย ใครมีพ่อแม่ฟังธรรมแล้วตัดกรรม ฟังแล้วปฏิบัติเลยนะ เวลามันน้อยนะ

    ข้าพเจ้ามาบำเพ็ญบารมี ก็มีความยินดีที่พวกเจ้าได้ฟังธรรม ซึ่งข้าพเจ้าก็ต้องสั่งสมบารมีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการฝึกสมาธิ เออ...เจ้าฝึกไปกี่ปีล่ะจะได้เท่าข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าอยู่มานาน เกิดมานานเป็นหมื่น ๆ ปีแล้ว เพราะฉะนั้น ให้จิตนิ่งได้ ถ้าใช้เวลานาน แต่ปัญญาตรัสรู้ซิ มันไม่ได้ทุกคน เพราะฉะนั้นอินทรีย์แก่กล้าปัญญาตรัสรู้ ต้องใช้การไตร่ตรอง.

    ...................................


    การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    ณ เขากะลา นครสวรรค์ วันที่ 10 ตุลาคม 2541

    (ตอนที่ 8 )
    ..(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) เพราะว่าภพมนุษย์ของเจ้า มันสามารถมองเห็นคนที่มีความทุกข์กว่าเจ้า มีความสุขกว่าเจ้า คนรวยกว่าเจ้าคนจนกว่าเจ้า สัตว์เดรัจฉานหรือสิ่งที่มีความแตกต่างนั้น จะทำให้เกิดปัญญาโดยแท้จริง เพราะฉะนั้น ทำไมภพมนุษย์จึงเป็นภพที่สามารถบรรลุธรรมได้ ทั้งที่พวกเจ้าก็แทบจะเอาตัวไม่รอดแล้วเนี่ย.. ทำไมพวกเจ้าจึงเป็นภพที่สามารถบรรลุธรรมได้มากที่สุด สามารถสร้างบารมีได้มากที่สุด เพราะอะไร เพราะมันมีหนทางให้เกิดปัญญา

    เพราะฉะนั้นตัวของเจ้ามันก็ไม่ใช่ของเจ้า เอาปัญญาไปไตร่ตรอง แล้วลดละซะ มันก็จะได้บรรลุธรรมไปเอง....เออ..เพราะฉะนั้น ยิ่งมีความเจ็บปวด ยิ่งน่าสร้างบารมีน่ะ เพราะสร้างบารมีแล้วเจ็บปวด แต่อุตสาหะสร้างบารมี นี่จะเป็นบารมีเสียดทานไป แต่ถ้าเป็นเทวดาแล้ว สร้างบารมียังไงก็ไม่เหนื่อย ไม่หิว ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องบากบั่น ฝนตกก็ไม่เปียก ลมพัดมาก็ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไป สบาย เพราะฉะนั้น เทวดาสร้างบารมีแล้ว ก็ยังได้บารมีน้อยกว่าพวกเจ้า

    เพราะฉะนั้น พวกเจ้าฝนตกก็ยังมานั่งในศาลา ยังอดทนกันไป นี่คือการเสียดทานแรงบารมี ต้องมีการเสียดทาน ยิ่งใครเสียดทานมากก็ได้มาก ทำไมพระพุทธองค์ท่านบารมีมากขั้นดุสิตเทพ ลงไปแล้ว ก็ยังเสียดทาน เป็นมนุษย์ยังต้องไปลำบากลำบนอยู่ตั้ง 6 ปี เจ้าถึง 6ปีกันมั๊ยเนี่ย...อีกไม่นานมันก็จะวิบัติกันอยู่แล้ว ทน ๆ กันหน่อย..

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่พวกเจ้าเนิ่นช้าไป ทำไมต้นพุทธกาลเขาบรรลุธรรมกันง่าย ๆ ล่ะ เขาเจอของจริง แล้วเขาไม่รั้งรอ เพราะเขาไม่มีวิชาสอนที่มันผิด วิชาที่สอนกันในยุคเสื่อมมันสอนให้ยึดติดกันเยอะ สอนธรรมะแต่ให้ยึดติดวิชา มันทำไมถึงเป็นอย่างนั้น...

    ในยุคของสมัยก่อน เขาสอนธรรมะบอกต่อกันไป ไม่มีการเคลือบแคลง และก็บรรลุธรรมกันไปได้โดยเร็วไว เพราะอะไร เพราะเขาสั่งสมบุญของเขามาจนถึงที่สุด พวกเจ้ามาถึงกึ่งพุทธกาลแล้ว บุญไม่ใช่น้อย ๆ น่ะ มาถึงตรงนี้ได้น่ะ ไม่ใช่บุญเล็กบุญน้อย มากนะทำกันมาเยอะแล้ว เนิ่นช้ามาถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมยังไม่ได้บรรลุธรรม ชาตินี้ต้องบรรลุธรรมให้ได้นะ แต่จะบรรลุธรรมด้วยอะไร ตาทิพย์เหรอ..ไม่ใช่ ด้วยเหาะเหินได้เหรอ..ไม่ใช่ เจ้าไม่ต้องไปหัดหรอก เหาะเหินเดินอากาศน่ะ นก...น่ะนะ..มันไม่ต้องหัดเลย มันเกิดมาแม่มันสอนหน่อยเดียวมันก็บินได้ แต่อะไรที่มันด้อยกว่าเรา ทำไมมันถึงบินได้ และทำไมมันถึงเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะมันไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้น เจ้าดูซิ...เจ้าเป็นคนเดินดิน แต่เจ้ามีโอกาสที่จะมีปัญญาสูงสุดกว่าสัตว์เดรัจฉาน

    เพราะฉะนั้น เจ้าไม่ต้องไปเรียนวิชาเหาะเหินเดินอากาศ ตาทิพย์ หูทิพย์ หมาป่ามันมองเห็นกลางคืนดีกว่าเจ้ามันไม่ต้องมีกล้องส่องทางไกล เพราะฉะนั้นธรรมชาติมันสร้างสรรค์ทุก ๆ อย่าง แต่ธรรมชาติที่ดีที่สุดคือมนุษย์ เพราะมนุษย์มีอะไร เพราะมนุษย์มีปัญญาสามารถไตร่ตรอง อะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิด อย่าใช้ปัญญาตรงนี้ไปในทางที่ผิด เจ้าจะดิ่งนรก ถ้าไปในทางที่ถูก เจ้าจะหลุดพ้นจากโลกนะ .... โลกุตระธรรมนั้นคือสิ่งสุดยอด...

    แต่มันต้องใช้แรงเสียดทานเยอะ มันไม่ใช่ไปด้วยการยกยอปอปั้น มันต้องไปด้วยการโดนสาปแช่งบ้าง โดนคนว่าบ้าบ้าง ที่นี่จะต้องโดนคนว่าบ้ากันหมดทุกคน ยิ่งใครบารมีมาก ก็จะต้องโดนว่าบ้ามาก เพราะอะไร เพราะมนุษย์โลกมันไม่เข้าใจหรอก เพราะฉะนั้น ใครทนอยู่ได้ ก็แปลว่า...เราเห็นว่ามันจริง เราทนอยู่ได้ แปลว่าเราละการยึดติดในลาภยศ ชื่อเสียงของเราได้มาก เพราะฉะนั้นมันจะเป็นสิ่งที่บอกฟ้องอยู่แล้ว

    สำหรับเราสาวกของพระพุทธองค์ ศาสนาพุทธต้องใช้ปัญญานำ เพราะอะไร เพราะว่าพื้นฐานแต่ละบุคคล ข้าพเจ้าไม่พูดถึงที่อื่น พูดถึงแต่ในที่นี้ แต่ละคนที่เรียงรายกันมาอยู่เนี่ย จะบรรลุธรรมได้ต้องใช้ปัญญานำ..


    ..................................


    การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
    ณ เขากะลา นครสวรรค์ วันที่ 10 ตุลาคม 2541

    (ตอนที่ 9 จบ. )
    ...(คุณวิโรจน์) ท่านว่าในการนั่งสมาธิ ให้ไปในหนทางแห่งการใช้ปัญญา หมายความว่า ที่จะเรียกปัญญาก็เหมือนท่านบอกว่าเป็นปัจจัตตัง อย่างนี้ใช่ไหมครับ พอรู้แจ้งด้วยปัญญา ก็จะเห็นแจ้งหมด ก็เท่ากับเป็นตาทิพย์ อย่างนี้ใช่ไหมครับ.
    (ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) เออ...ตาทิพย์มันมีหลายอย่างนะ สมมุติเจ้าตาทิพย์ สมมุตินะ เจ้าตาทิพย์ มองจากที่นี่ มองเห็นยานอวกาศของข้าพเจ้า บึงบอระเพ็ดเต็มไปหมด กับการที่ใช้ปัญญา เขาเรียกว่ามีปัญญา ปัญญาญาณเนี่ย...ไม่เห็น มองไม่เห็นนะ แต่ว่ามีปัญญารู้ว่า ที่ท่านเหล่านี้มา มันมีความสำคัญแค่ไหน มันมีความลึกซึ้งแค่ไหน ใช้ปัญญามองลงไป ความเพียรพยายามของเทพทั้งหลาย ความสำคัญของญาณใหญ่ทั้งหลาย มองด้วยปัญญาของตัวเอง โดยไม่ต้องไปมองเห็นรูปร่างยาน รูปร่างภายนอก

    แต่การมองด้วยปัญญาแบบนี้ ข้าพเจ้าสรรเสริญมากกว่าการเพ่งแล้วเห็นยานอวกาศของข้าพเจ้าในสมาธิของพวกเจ้า การมองด้วยปัญญาของเราตอนนี้ เราก็มองได้ ไตร่ตรองไปเยอะ ๆ มองให้มันแยบคาย ให้ลึกซึ้ง ว่าท่านทั้งหลายที่มาในขณะนี้ ที่นี่จะสำคัญเพียงไร เทพทั้งหลายก็ลงมาจากเทวโลก มนุษย์ต่างดาวก็มาจากที่ไกล มาด้วยความยากลำบากเพียงไร

    ข้ารู้นะ ร่างพระพิฆเณศร์ (จ.ส.อ.เชิด) ในสมัยที่ท่านได้พูดมา ได้รับรู้น่ะว่าท่านนั่งสมาธิแบบนี้ นี่เป็นตัวอย่างได้ ท่านนั่งสมาธิไปนะ นั่งนิ่ง ๆ วิธีไหนของเจ้าก็แล้วแต่ ท่านนั่งพุทเข้า โธออก แล้วท่านก็ทำไงรู้มั๊ย....ท่านก็ไตร่ตรอง โอ...ร่างกายเรานี้หนอ มันไม่เที่ยง มันทรุดโทรมไป อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่านพิจารณาสังขาร เออ...มันไม่เที่ยงนะ นั่งแล้วมันก็เมื่อยได้ ในร่างกายเรามันก็มีสิ่งไม่สวยไม่งาม เพราะฉะนั้น นี่คือสิ่งที่ท่านทำดีแล้ว เทพทั้งหลายอนุโมทนา
    เพราะฉะนั้น พวกเราล่ะ ทำไมไม่ทำอย่างท่าน เห็นไม่เห็นไม่เป็นไร แต่พอจิตสงบ มาดูซิ...มาดูความเป็นจริงซิ ร่างกายของเรามันก็เท่านี้ พอ 30 แล้วร่างกายมันก็เหี่ยว พอ 40แล้วร่างกายมันก็เหี่ยวมากขึ้น 50 มันก็เหี่ยวมากขึ้น มันดึงกลับไม่ไหวแล้ว เพราะฉะนั้น มันก็เป็นไปตามหลักที่พระพุทธองค์ทรงสอนนะ ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่นนะ อีกหน่อยก็ต้องนึกถึงกันทุก ๆ คน แล้วทำไมล่ะ เวลาที่เหลือ เราไม่ทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับดวงจิตของเรานะ หน้าที่การงานของแต่ละคน แยกย่อยกันไปแต่ละอย่าง แต่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับดวงจิตของตัวเรา ทำได้ทุกวินาที ตอนนี้ก็ทำได้

    สิ่งสำคัญที่ท่านสอนก็คือ อย่าไปคิดร้ายใคร ไม่ว่าจะเป็นมิตร หรือศัตรู และอย่าไปพูดว่าร้ายใครนะ ไม่ว่าจะเป็นมิตร หรือศัตรู เสร็จแล้วก็อย่าไปทำร้ายใคร อันนี้ก็สำคัญนะ ไว้ป้องกันตัวเองนะ 3 อย่างนี้ เราทำดีได้มาก ได้น้อยเท่าไรไม่ว่า แต่อย่าไปคิดร้ายใคร อย่าไปทำร้าย อย่าไปว่าร้ายใครนะ เพราะฉะนั้น สิ่งที่คนอื่น ไม่ว่าจะเป็นมหาโจร ก็เป็นไปตามกรรมของเขา เราก็รู้ไปตามหลักกฏแห่งกรรมนะ อย่าไปว่าเขา อย่าไปซ้ำเติมเขา ถ้าช่วยเขาไม่ได้ก็ปลงสังเวชไปนะ

    อันนี้นะ ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นแก่นของพระพุทธศาสนานะ พระพุทธองค์น่ะ ท่านไม่คิดร้ายใคร ไม่ว่าร้ายใครนะ ท่านไม่ทำร้ายใครนะ พญามารมาแกล้งท่าน ท่านก็ไม่ว่าร้ายนะ ไม่คิดร้ายนะ เพราะฉะนั้น เราเป็นศิษย์พระพุทธองค์ ทำตามแบบนี้ ธรรมะ..ชนะ..อธรรม เสมอนะ แต่ใช้เวลาหน่อยนะเออ...วันนี้ได้ประโยชน์กันไปเยอะนะ แต่ใครจะคุ้มค่ามากก็คือคนที่เอาไปไตร่ตรอง ธรรมะนี่มันสำคัญยิ่งกว่าทองนะ
    ....สมควรแก่เวลา ทุกท่านในที่นี้ เดี๋ยวรับบารมีจากข้าพเจ้า .... เปิดใจรับบารมีจากข้าพเจ้าโดยพร้อมเพรียงกันด้วยเทอญ

    ...

    ตอน 9 (จบ).......
    จบการให้โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต วันที่ 10 ตุลาคม 2541
    ณ เขากะลา จังหวัดนครสวรรค์

    ....................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 เมษายน 2014
  20. ฅนล้านนา

    ฅนล้านนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +1,000
    แสดงว่าผมใจดีครับ เพราะอ่านไปก็ปิติไป ยิ้มไป อ่า เหมือนที่ใจเราเข้าใจจริงๆเชียว
    ปัญญา อันดับ1
    ขันติ อันดับ2
    และสมาธิรั้งท้าย
    ปล."ใครมีบารมีมาก ก็จะต้องโดนว่าบ้ามากกก":cool:
    .......................................................
    อยากให้เพื่อนรักของผม มาอ่านบ้างจังอ่ะคับ เพราะว่าเพื่อนผมเค้ามีหูทิพย์ กายทิพย์ (แต่ยังเหาะไม่ได้)บางที.เค้าอาจจะเข้าใจอะไรมากขึ้น:'(
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...