รักษาโรคด้วยตนเอง โดยใช้พลังแสง(โพสต์แรกนะคะ)

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย ติงติง, 6 ธันวาคม 2012.

  1. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    นอนตะแคงขวา ท่านอนที่ดีที่สุด

    น.พ.ชนินทร์ ลีวานันท์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือ การนอนหลับ มนุษย์ใช้เวลาเพื่อนอนหลับถึง 1 ใน 3 ของอายุขัย ขณะนอนหลับท่านอนเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลให้ผู้นอนหลับสนิทตลอดคืน และตื่นนอนด้วยความสดชื่น ไม่รู้สึกปวดเมื่อย

    ซึ่งโดยปกติคนทั่วไปคนเรานิยมนอนหงาย เพราะเป็นท่านอนมาตรฐาน การนอนหงายที่เหมาะสมนั้น ควรใช้หมอนต่ำและต้นคอควรอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว เพื่อไม่ให้ปวดคอ

    อย่างไรก็ตาม ท่านอนหงายไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอดและโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกระบังลมจะกดทับปอดทำให้หายใจไม่สะดวก ส่งผลทำให้การทำงานของหัวใจลำบากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้มีอาการปวดหลังการนอนหงายในท่าราบจะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้นด้วย

    สำหรับท่านอนที่ดีที่สุด เมื่อเทียบกับท่านอนอื่นๆ คือท่านอนตะแคงขวา เพราะจะช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก และอาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
    ส่วนท่านอนตะแคงซ้าย ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดหลังได้ แต่ควรกอดหมอนข้าง และพาดขาไว้เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้ายจากการนอนทับเป็นเวลานาน

    ท่านอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เกิดลมจุกเสียดบริเวณลิ้นปี่ เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมดในช่วงก่อนเข้านอนคั่งค้างในกระเพาะอาหาร

    ส่วนท่านอนคว่ำ เป็นท่าที่ทำให้หายใจติดขัด ทั้งยังทำให้ปวดต้นคอ เพราะต้องเงยหน้ามาทางด้านหลังหรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน

    ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำจึงควรใช้หมอนรองใต้ทรวงอก เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยต้นคอ

    ที่มา : นิตยสารหมอชาวบ้าน
    http://www.teenrama.com/around/f_old_around255.htm
     
  2. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ท่านอนที่ถูกต้อง

    การนอนหลับพักผ่อนนับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดต่อร่างกาย แต่บ่อยครั้งหลังตื่นนอนแล้วลุกขึ้นจากเตียง หลายคนมักรู้สึกปวดเมื่อยบริเวณคอและหลัง ท่านอนที่ไม่เหมาะสมอาจเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดอาการปวดหลังได้นะคะ วันนี้เราถึงของแนะนำท่านอนที่ถูกต้องเพื่อให้ทุกคนได้มีสุขภาพดีและนอนหลับได้อย่างสนิทและสบายที่สุดค่ะ

    - ท่านอนหงาย

    เป็นท่านอนมาตรฐานจะไม่เหมาะกับคนที่ป่วยเป็นโรคหัวใจและโรคปอด นั่นก็เพราะว่าเวลาที่เรานอนหงายกล้ามเนื้อกระบังลมที่คั่นระหว่างช่องอกและช่องท้องกดทับเนื้อปอดทำให้หายใจลำบาก ส่วนหัวใจก็ไม่สามารสูบฉีดเลือดออกจากหัวใจได้ทำให้หอบและหายใจติดขัดได้ แต่ถ้ายังอยากนอนท่านี้อยู่ก็ต้องนอนในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนให้ส่วนบนของร่างกายสูงขึ้นมาหน่อย โดยนอนหนุนหมอนที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไม่คดงอ กระจายน้ำหนักไปให้ทั่วตัว เคล็ดลับลดความเสี่ยงอาการปวดหลังอยู่ที่การนำหมอนใบพอเหมาะหรืออาจใช้ผ้า รองไว้ใต้เข่า ช่วยให้บั้นเอวไม่แอ่นขึ้น รวมทั้งควรออกกำลังกายเป็นประจำวันละ 10 – 15 นาที เพื่อช่วยบริหารกล้ามเนื้อหลังลดการเกร็งตัวและบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี

    - ท่านอนตะแคง
    นอกจากจะช่วยลดเสียงกรนที่เกิดจากลิ้นไก่ยาว โคนลิ้นหนา ต่อมทอนซิลโตมากหรือโพรงจมูกอุดตันได้แล้ว ท่านี้ยังเหมาะกับคนที่มีอาการปวดหลังด้วยค่ะ เพราะหากคนที่ปวดหลังไปนอนหงายราบเข้าละก็มีหวังปวดกันทั้งคืน แต่ถ้าชอบนอนตะแคงซ้ายละก็ควรกอดหมอนข้างและเอาขาพาดไว้ด้วยจะดีค่ะ เพราะข้อเสียของท่านี้ก็คือ ทำให้หัวใจซึ่งอยู่ด้านซ้ายทำงานลำบากขึ้นและอาหารที่ยังย่อยไม่หมดจะค้างอยู่ในกระเพาะอาหารทำให้เกิดลมจุกเสียดที่ลิ้นปี่ได้ หรือถ้าหนุนหมอนต่ำเกินไปจะทำให้ปวดต้นคอได้ แก้ไขโดยใช้หมอนสี่เหลี่ยมที่มีความสูงเท่าความกว้างของบ่าซ้ายหนุนนอน หรือใช้ “หมอนลักยิ้ม” หนุนนอน เนื่องจากมีเนื้อหมอนสองข้างสูง ทำให้ศรีษะและไหล่อยู่ในแนวเดียวกัน ส่วนคนที่ชอบนอนตะแคงขวานับว่าโชคดีมากค่ะเพราะเป็นท่านอนที่ดีที่สุดหัวใจก็ทำงานได้สะดวกและอาหารจากกระเพาะก็จะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดีแถมยังเป็นท่าที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้อีกด้วย

    - ท่านอนคว่ำ

    คนส่วนใหญ่จะใช้ท่านี้เวลานอนอ่านหนังสือ ข้อเสียของท่านี้คือจะทำให้ปวดต้นคอได้ค่ะ แต่ถ้าจำเป็นต้องนอนท่านี้จริง ๆ แนะนำว่าหาหมอนรองใต้ทรวงอกเพื่อให้ไม่เมื่อยและจะได้หายใจสะดวกขึ้นค่ะ

    ท่านอนที่ถูกต้องสำหรับคุณอาจจะช่วยให้บรรเทาอาการเจ็บป่วยและหายจากโรคที่เป็นอยู่ก็ได้นะคะ ฉะนั้นแล้วคุณลองปรับเปลี่ยนท่านอนตามที่เราแนะนำดูนะคะ

    ที่มา:ท่านอนที่ถูกต้อง |
     
  3. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    เหตุผลที่พนักงานลาออกจากงาน ผลการสำรวจปี 2014
    โดย ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
    ช่วงนี้เป็นช่วงที่อัตราการว่างงานของแรงงานในประเทศไทยอยู่ในช่วงที่ต่ำ จากผลการสำรวจล่าสุดเมื่อต้นปี 2014 ก็คือประมาณ 1% แสดงว่ามีคนว่างงานเพียง 1 คนจาก 100 คน ซึ่งเป็นผลทำให้องค์กรต่างๆ ที่ต้องการหาพนักงานเพิ่มเติมเพื่อเข้ามาเสริมทัพของตน ก็เริ่มหาได้ยากขึ้น คนเก่งๆ เองช่วงนี้ก็มักจะไม่ค่อยลาออก หรือไม่ค่อยอยากเปลี่ยนงานมากนัก เพราะสถานการณ์ต่างๆ ในบ้านเรามันไม่ค่อยเอื้ออำนวยให้เปลี่ยนงานมากนัก เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง สุดท้ายพนักงานส่วนใหญ่ก็ยังคงอยู่ทำงานในบริษัทต่อไปเรื่อยๆ รอให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่านี้ ค่อยหาทางขยับขยายกันอีกที

    แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังมีพนักงานอีกหลายคนที่ต้องการที่จะลาออกจากบริษัทที่ตนเองทำงานอยู่เช่นกัน ผมได้อ่านผลการวิจัยจาก CareerBuilder ซึ่งเป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับการจัดหางาน ซึ่งได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเหตุผลของพนักงานที่ลาออกจากงานในช่วงต้นปี 2014 นี้หมาด ซึ่งคำตอบออกมาดังต่อไปนี้ครับ

    ไม่พึงพอใจในงานที่ทำอยู่ 54% ก็เลยวางแผนหางานใหม่ที่ตนอาจจะชอบมากกว่างานเดิม
    ไม่มีโอกาสก้าวหน้าในการทำงาน 45%
    งานไม่มี Work-life balance 39%
    ได้รับค่าตอบแทนที่ต่ำกว่าตลาดทั่วไปในตำแหน่งงานเดียวกัน 39%
    งานที่ทำเครียดมาก 39%
    ไม่ชอบหัวหน้าที่ทำงานด้วยเพราะไม่มีความเป็นธรรม 37%
    ถูกมองข้ามในเรื่องของผลงาน และไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง 36%
    ไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือนเมื่อปีที่ผ่านมา 28%
    จะเห็นว่าจากผลการสำรวจ 3 อันดับแรกนั้น เหตุผลเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวงาน และความก้าวหน้าในการทำงาน และสภาพแวดล้อมของการทำงานเป็นหลัก เรื่องของค่าจ้างเงินเดือนก็เริ่มเป็นประเด็น แต่ก็เป็นในลักษณะที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการจ่ายค่าจ้างมากกว่า กล่าวคือ จ่ายต่ำกว่าตลาดที่ควรจะเป็น

    ลองมาดูเหตุผลของพนักงานที่ยังคงทำงานอยู่ และไม่ตัดสินใจที่จะลาออก ว่ามีอะไรบ้าง

    มีเพื่อนร่วมงานที่ดี ทำงานแล้วรู้สึกสบายใจ และเป็นกันเอง 54%
    งานที่ทำนั้นมี Work-Life Balance ที่ดี 50%
    มีสวัสดิการในการทำงานที่ดี 49%
    มีเงินเดือนที่ดี แข่งขันได้ และเป็นธรรม 43%
    สถานการณ์ภายนอกยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ 35%
    เดินทางสะดวก 35%
    มีหัวหน้าที่ดี ที่คอยดูแลการทำงาน 32%
    รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า และได้รับการยอมรับในองค์กร 29%

    โดยสรุปเหตุผลของพนักงานที่ยังรักที่จะทำงานกับองค์กรต่อไป ก็มีประเด็นทางด้านเพื่อนร่วมงานที่ดี งานที่ทำสามารถที่จะทำให้ชีวิตส่วนตัว และการทำงานมันสมดุลกันได้ สองประการนี้เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้พนักงานยังอยากทำงานอยู่กับองค์กร เพราะตอบมาเกินกว่า 50% แสดงว่าการที่บริษัทจะทำให้พนักงานไม่อยากลาออกจากองค์กร ก็ต้องไปเสริมสร้างบรรยากาศในการทำงาน การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนร่วมงานในองค์กร เพื่อให้เกิดความรู้สึกสนุกสนาน และสบายใจในการทำงาน

    เรื่องของค่าจ้างเงินเดือนที่สามารถเก็บรักษาพนักงานได้ ก็จะเป็นประเด็นเรื่องของการจ่ายที่สามารถแข่งขันได้กับองค์กรอื่นๆ ในตลาด และมีความเป็นธรรมภายในองค์กร
    ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของการให้ความสำคัญ และการทำให้พนักงานรู้สึกถึงว่าตนเองมีคุณค่าในองค์กร โดยหัวหน้างานจะต้องทำหน้าที่นี้ ในการบอกพนักงานว่าเขาทำงานดีอย่างไร และมีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กรอย่างไร

    แต่ก็อย่างที่เข้าใจกันครับ ถ้าประเด็นไหนไปเกี่ยวข้องกับหัวหน้างาน และผู้จัดการเมื่อไหร่ ก็จะเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ยากหน่อย เพราะขึ้นอยู่กับตัวบุคคลว่าจะสามารถพัฒนาตนเองได้สักแค่ไหน เพื่อให้เป็นคนที่ทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกที่ดี เกิดทีมงานที่มี มีบรรยากาศในการทำงานที่ดี มีความสบายใจ และทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าต่อองค์กร ฯลฯ

    สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างขึ้นจากมือของหัวหน้างานและผู้จัดการทั้งสิ้นครับ

    ที่มา:เหตุผลที่พนักงานลาออกจากงาน ผลการสำรวจปี 2014 | Prakal's Blog
     
  4. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    เรื่องของถั่ว....ที่กินได้แล้วไม่อ้วนค่ะ

    จากประโยชน์ต่าง ๆ เหล่านี้ของ 'ถั่ว' ทำให้องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา แนะนำให้ รับประทานถั่ววันละ 1 กำมือ เพื่อลดไขมันและคอเลสเตอรอล

    หลายท่านคงนิยมชมชอบในการรับประทานถั่ว แต่จะมีกี่คนที่รู้จักถั่วได้เป็นอย่างดี และถั่วยังมีความสำคัญโดยการเป็นอาหารของคนทุกระดับ คนทั่วโลกทุกวันนี้เป็นนักนิยมผักมากขึ้น ไม่น่าแปลกใจที่ถั่วเข้ามามีบทบาทในฐานะอาหารไร้เนื้อสัตว์ที่เป็นแหล่งโปรตีน แร่ธาตุวิตามิน และไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และถั่วบางชนิดยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญในการเป็นแหล่งน้ำมันเช่น ถั่วเหลือง (Soybean)

    และบางท่านอาจสงสัยว่า "Beans และ Nuts" มีความแตกต่างกันอย่างไร ข้อแตกต่างก็คือ "Beans" เป็นถั่วที่สามารถรับประทานได้ทั้งฝักและเปลือกเช่น ถั่วลันเตา ถั่วฝักยาว ถั่วแขก ถั่วพุ่ม ถั่วเหลืองและเป็นไม้เลื้อยหรือไม้พุ่มขนาดเล็ก

    "Nuts" เป็นถั่วเปลือกแข็ง ที่ต้องกะเทาะเปลือกออกก่อน เอาเมล็ดไปอบหรือคั่วให้สุก ลักษณะเด่นพิเศษของพืชพันธุ์ตรงที่เกือบทั้งหมดจะเป็นไม้ยืนต้น ลำต้นสูง และกำลังเป็นอาหารว่างแนะนำของคนรักษ์สุขภาพทั่วโลก
    Nuts ที่นักโภชนาการแนะนำได้แก่ อัลมอนด์ บราซิลนัท ฮาเซลนัท พีนัทหรือถั่วลิสง แมคคาเดเมียนัท วอลนัท เชสนัทหรือเกาลัด พิสตาชิโอ และเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ (Cashew nut) ...หลายท่านคุ้นเคยเป็นอย่างดีและรับประทานอยู่เป็นประจำ ..ลองมาดูซิว่ามีข้อแตกต่างกันอย่างไร รวมทั้งประโยชน์ที่เราจะได้รับ

    -พีนัทหรือถั่วลิสง ไม่จัดเป็นถั่วเปลือกแข็งแต่เพราะมีโปรตีนสูง 20-30% โพแทสเซียมสูง ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยควบคุมระบบการทำงานของกล้ามเนื้อ ช่วยให้เซลล์ผิวแข็งแรงและรักษาสมดุลน้ำในร่างกายและการช่วยให้ระบบเผาผลาญอาหารทำงานอย่างปกติและการมีไขมันไม่อิ่มตัวสูงถึง 85%

    (Unsaturated Fat) ช่วยลดอัตราเสี่ยงโรคหัวใจ

    -อัลมอนด์ เป็นแหล่งโปรตีน ไฟเบอร์ และมีแคลเซียมสูง และมีเซลเลเนียม วิตามินอี ที่เป็นอาหารต้านอนุมูลอิสระ และมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวถึง 70% ช่วยลดอัตราเสี่ยงโรคหัวใจและลิ่มเลือด และมีรายงานว่าการรับประทานอัลมอนด์ จะเพิ่มระดับวิตามินอี ในกระแสเลือดซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการควบคุมน้ำตาลและไขมันให้ดีขึ้น และช่วยลดไขมัน LDL ได้ถึงร้อยละ 35 และเมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยลดการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ อีกด้วย

    -ฮาเซลนัท รสหวานกว่านัทอื่นๆ มักพบในขนมอบ ช็อกโกแลต มีวิตามินอี เซเลเนียม ป้องกันโรคแก่ก่อนวัย และช่วนควบคุมการผลิตเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดงในร่างกาย

    -เชสนัทหรือเกาลัด มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่านัทชนิดอื่นๆ ควรคั่วหรือต้มสุกเพราะเกาลัดดิบมีกรดแทคนิคสูง กินแล้วอาหารไม่ย่อย มีวิตามินซี บี6 กรดโฟลิค โปแตสเซียม

    -พิสตาชิโอ มีวิตามินเอ ไฟเบอร์สูง มีแร่ธาตุทองแดง แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินบี ทำงานร่วมกันช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ป้องกันโรคหัวใจ

    -วอลนัท ดีต่อหัวใจ มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ป้องกันโรคหัวใจและลิ่มเลือด

    -เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ มีแร่ธาตุที่ต้องการเพียงเล็กน้อย ได้แก่ แมกนีเซียม ทองแดง ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก

    เครดิตโดย https://www.facebook.com/
     
  5. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ทำไมต้องให้เงินพ่อแม่เดือนละ 300.- บาท?
    ในเมื่อแม่ก็อยู่กับเราอยู่แล้ว ค่าใช้จ่ายทุกอย่างเราก็จ่ายให้ท่านตลอด

    เรื่องเล่า..
    ผมถามว่า "อาจารย์กำลังทำอะไรครับ?"

    อาจารย์ตอบว่า "ผมกำลังตัดรายจ่ายอยู่... ต้องค่าจ่ายค่าแม่ครัว คนขับรถ คนสวน ค่าใช้จ่ายในบ้าน และให้แม่อีกเดือนละ 300 บาท...ตอนนี้รายได้กับรายจ่ายมันไม่ค่อยสัมพันธ์กันต้องตัดรายจ่ายลงบ้าง"

    ผมเลยบอกว่า เงินเดือนที่ให้แม่ 300 ตัดได้นี่ครับ...อาหาร 3 มื้อ อาจารย์ก็จัดให้เรียบร้อย เสื้อผ้าก็ซื้อให้ใหม่ปีละ 3 ชุด ไม่สบาย อาจารย์ก็พาหมอมาฉีดยาให้ คุณแม่ตาบอดไม่ได้ไปไหน ฉะนั้นเงินเดือน 300 นี่ ตัดได้ครับ"

    อาจารย์บอกว่า "ตัดไม่ได้เด็ดขาด...300 บาทนี่ สำคัญที่สุด เพราะเป็นเงินสำหรับเลี้ยงหัวใจแม่!"

    ผมฟังแล้วสะอึก! "เงินเลี้ยงหัวใจแม่"...พวกเราเคยได้ยินไหมครับ?!??

    อาจารย์บอกต่อ “หัวใจต้องการอาหารที่มาหล่อเลี้ยงให้เอิบอิ่ม เบิกบาน เป็นสุข...คุณลองนึกดู...คนที่ไม่มีเงินอยู่ในตัวเลยนี่เป็นยังไง? หัวใจมันแฟบ หัวใจมันเหี่ยวเฉา-เหมือนดอกไม้ยามเย็น

    ใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือนจะรู้ พอเลยวันที่ 25 ไปแล้วนี่ มันเหี่ยวๆ ยังไงชอบกล
    ไม่มีเงินค่ารถ..ค่าอาหาร..ซื้อข้าวสาร..มันเหี่ยวไปจนถึงสิ้นเดือน

    แม่อยู่กับเราก็จริง แต่ถ้าแม่ไม่มีเงินอยู่ในมือนี่ หัวใจท่านเหี่ยว

    พอถึงวันเงินเดือนออก ทุกคนหน้าบานเหมือนดอกไม้ยามเช้า จิตใจสดชื่นเบิกบาน มีความสุข รับเงินเดือนมาใหม่ๆ หน้าสดใส สั่งกาแฟยังเสียงดังฟังชัด ทุกสิ้นเดือนพอเงินเดือนออก ผมเข้าไปกราบแม่ บอกว่าวันนี้เงินเดือนออกครับ ผมนำเงินมาบูชาพระคุณแม่ 300 บาทครับ...เอาเงิน ใส่มือแม่ แม่ก็ให้ศีล ให้พร เอาเงินเก็บใต้หมอนไว้อย่างมีความสุข

    *************************************************************
    300.-บาท เลี้ยงหัวใจแม่อย่างไร?

    วันหนึ่งน้องของอาจารย์พาภรรยาไปคลอด
    คุณแม่ก็ซื้อทองให้หลานด้วยเงิน 300.-บาท แต่ก่อนทองคำบาทละ 400
    ท่านกอดหลานชาย...สวมสร้อยให้พร้อมเป่าหัว

    พอเด็กคนนี้โตพอพูดได้ มีคนถามว่าสายสร้อยนี้ใครซื้อให้ ก็จะตอบว่า “คุณย่าซื้อให้” ชี้มือไปที่คนตาบอด คนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านคือคุณย่า ไม่ใช่พ่อแม่

    เพราะเงิน 300.- บาทนี่ เสกให้คนตาบอดขลัง ถ้าคุณแม่ไม่มีเงิน จะรับขวัญหลานได้อย่างไร ? เห็นไหมครับ ?

    ไม่ใช่ว่าพอโตขึ้น มีคนถามว่าคนนี้เป็นใคร เด็กบอกว่ายายแก่ตาบอดนี่... มาอาศัยพ่อแม่ฉันอยู่

    เห็นหรือยังคุณว่าเงินเดือน 300 บาทนี่ ทำให้คนแก่ตาบอดมีคุณค่าขึ้นมาได้

    วันดีคืนดี แม่ครัวล้างชามเสร็จ คุณแม่ก็บอกให้มานวดขาให้ แม่ครัวหน้ามุ่ย ทำงานเหนื่อยยังต้องมานวดให้อีก นั่งขยำๆ คว่ำหน้า พอนวดเสร็จคุณย่าหยิบเงินให้ 30 บาท แม่ครัวยิ้มหน้าบาน ยกมือไหว้ขอบคุณค่ะ

    วันรุ่งขึ้นพอล้างจานเสร็จรีบวิ่งมานั่งใกล้ๆ...วันนี้นวดอีกไหมคะคุณย่า?

    เห็นไหมเงินเดือน 300 บาท ที่เราให้แม่ของเรามีฤทธิ์ขึ้นมาได้ มีคนมายกมือไหว้ มีคนมาปรนนิบัติ มีคนมานวดให้

    ถ้าไม่มีเงินเดือน 300 บาทนี้ แม่เราจะมีฤทธิ์ได้อย่างไร?

    *************************************************************

    ...บันไดไปสวรรค์ด้วยเงิน 300 บาท...
    วันหนึ่ง พระมาเรี่ยไรจะสร้างโบสถ์ อาจารย์นิมนต์พระเข้ามา แล้วชี้มือบอกมรรคนายกว่า...ให้ไปเรี่ยไรกับคุณย่าโน่น

    มรรคนายกบรรยายว่าจะสร้างโบสถ์ กว้างเท่านั้น ยาวเท่านี้ สูงเท่าไร สวยงามยัง ราคาเท่าไร

    คุณแม่ยกหมอนขึ้น นับเงินมา 500 พนมมืออธิษฐานขอให้ศาสนายืนยงไปอีก 5 พันปี นิพพานปัจโยโหตุ...ทำบุญสร้างโบสถ์ไว้เป็นมิ่งขวัญในพระศาสนา

    เห็นมั๊ยว่าเงินเดือน 300 ที่เราให้ เป็นบันไดพาแม่ไปสวรรค์...นี่ถ้าแม่ไม่มีเงินในมือ แม่จะได้ทำบุญไหม?

    พอพระให้พรเสร็จก็เดินผ่านไปบ้านถัดไป ยายแก่บ้านโน้นกำลังเก็บผ้าอยู่ในบ้าน มรรคนายกตะโกนข้ามรั้ว ทำบุญสร้างโบสถ์ไหมคุณยาย?

    ยายข้างบ้านตอบ “ยายไม่มีเงินหรอก ยายอาศัยลูกสาวเขาอยู่ เดี๋ยวเผื่อลูกสาวเขากลับมาทันจะขอเงินเขาทำบุญ” เพราะลูกเค้าไม่ได้ให้เงินเดือนแม่

    ยายแก่คนนี้เป็นเพียงแค่คนเก็บผ้าของลูกๆ ยายแก่คนนี้ไม่มีเงิน เพราะลูกเอามาเลี้ยงแปะๆ แมะๆ ไว้ข้างรั้วบ้าน เอาไว้คอยเก็บผ้า!

    เป็นยังไงบ้างคะ...เห็นอิทธิฤทธิ์ของเงิน 300 บาท..."เงินเลี้ยงหัวใจแม่"
    แล้วหรือยังคะ

    วันนี้เราให้ "เงินเลี้ยงหัวใจแม่" แล้วหรือยัง ?

    เครดิต: ขอบคุณการแบ่งปันทาง LINE
     
  6. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    คนไทย 10% นอนไม่หลับ ศิริราชชี้ภัยเงียบถึงชีวิต

    ศิริราชยังเตือนว่าเป็นเหตุก่อให้เกิดความดันโลหิตสูง หัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาต และแนะนำให้ผู้ที่ช่วยเข้ารับการรักษา ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่นอนหลับไม่พอเพราะฝันร้ายหรือนอนกรนเป็นผลมาจากภาวะทางเดินหัวใจตีบ ทำให้ร่างกายได้รับอ็อกซิเจนน้อย มีคาร์บอนไดออกไซน์ในร่างกายเยอะ ทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจชั่วคราว นับเป็นภัยเงียบที่น่ากลัว

    http://fb.com/myscitv
    สำรวจโลก | Next Step สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้
     
  7. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    [​IMG]
     
  8. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    [​IMG]
     
  9. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    [​IMG]
     
  10. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    [​IMG]
     
  11. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    สวัสดี วันอังคาร เบิกบานจิต
    ให้ละชั่ว ทำสุจริต จิตผ่องใส
    ไม่ละชั่ว แล้วทำดี มีเลสนัย
    ผลดีย่อม ไม่อำไพ ไร้ค่าคุณ

    ขอแสงทองผ่อง อำไพในไตรรัตน
    ส่องประภัทร์ ทุกดวงใจให้อบอุ่น
    ให้ปลอดทุกข์ สงบสุขใส อยู่ในบุญ
    ให้คุณธรรมค้ำเจือจุน นิรันดร์เทอญ

    เครดิตบทกลอนจากพระพรหมวชิรญาณ วัดธรรมมาราม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC05587.JPG
      DSC05587.JPG
      ขนาดไฟล์:
      474.5 KB
      เปิดดู:
      58
  12. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    [​IMG]
     
  13. chattrg

    chattrg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    4,337
    ค่าพลัง:
    +13,239
    ขอบคุณครับ
     
  14. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ร้อนๆน้ำอ้อยสักแก้วไหม

    อ้อย: ดับร้อนผ่อนกระหาย

    พอพูดถึงนํ้าตาล ลูกกวาด เด็กๆ (รวมทั้งผู้ใหญ่บางคน) ก็ต้องร้องว่า อ๋อ! อร่อยจัง สุภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า “ดื่มนํ้าให้คิดถึงต้นนํ้า” เมื่อกินนํ้าตาล เราควรคิดถึงอ้อยเพราะเหตุว่า อ้อยเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดนํ้าตาล

    ชื่อวิทยาศาสตร์ Saccharum offcinarum Linn. วงศ์ Gramineae

    จีน เป็นประเทศที่รู้จักการปลูกอ้อยมานาน ก่อนที่มนุษย์จะมีภาษาสำหรับสื่อความหมาย (เกินกว่า 5พันปีมาแล้ว) ราว 400 ปี ก่อนคริสตศักราช ชวีเยวียน ได้บันทึกถึงการนำอ้อยมาคั้นกิน ในหนังสือ จาวหุนฟู่ เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึง ฉาวพี (โจผี) ในสามก๊ก เป็นกษัตริย์ที่โปรดปรานอ้อยเป็นที่สุด ขณะเมื่อปรึกษางานแผ่นดินกับอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่ พระองค์จะเคี้ยวอ้อยและปรึกษางานไปพร้อมๆ กัน

    ชาวจีนรู้จักกรรมวิธีการเคี่ยวนํ้าตาลจากอ้อยมาเป็นเวลานานกว่า 2,000 ปี ดังบันทึกไว้ในหนังสือ หนานฟางฉ่าว มู่จ้วง โดยการนำเอานํ้าอ้อยไปตากแดดก็จะได้นํ้าตาลเหลวๆ ต่อมาได้พัฒนาโดยเอานํ้าอ้อยไปเคี่ยวจนเหลว และวิธีสุดท้ายที่บันทึกไว้ในหนังสือ จี้หมิงเอี้ยวสู คือ การนำเอานํ้าอ้อยไปเคี่ยวจนเหลวแล้วนำไปตากให้แห้ง กรรมวิธีการทำนํ้าตาลแบบนี้ เป็นพื้นฐานที่ทำให้เรารู้จักการทำนํ้าตาลจากอ้อยในยุคปัจจุบัน

    จากการบันทึกในสมัยถัง ชาวจีนได้มีการปลูกอ้อยกันอย่างแพร่หลายและเริ่มมีอาชีพการทำนํ้าตาลจากอ้อยขายกันอย่างกว้างขวาง ต่อมาในปี ค.ศ. 754 (พ.ศ. 1297) เทคนิคการทำนํ้าตาลนี้ ได้แพร่เข้าไปในญี่ปุ่น โดยพระชื่อ ถางเจี้ยนเจิน หลังจากนั้นก็ได้แพร่ไปยังยุโรปตะวันตก อเมริกาใต้ และเอเชียอาคเนย์ นํ้าอ้อยเป็นยาสมุนไพรขนานหนึ่งที่นิยมใช้กันมากในหมู่นายแพทย์จีน

    สรรพคุณ

    นํ้าอ้อยมีรสหวาน คุณสมบัติเย็น(เป็นยิน) แก้ร้อนในกระหายนํ้า แก้ไอ และขับปัสสาวะ แก้พิษเหล้าเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการคอแห้งกระหายนํ้า ไข้สูง ปัสสาวะน้อยและเหลือง อุจจาระแข็ง อาเจียน เป็นต้น

    ตำรับยา

    1. อาการไอขณะออกหัด : ต้นอ้อยแดง (ทั้งเปลือก ให้ตัดส่วนข้อทิ้ง) และหัวแห้ว จำนวนพอสมควร ต้มดื่มต่างนํ้าชา

    2. ทางเดินปัสสาวะอักเสบ : นํ้าอ้อยคั้น นํ้าเง่าบัวคั้น อย่างละ 30 มิลลิกรัม ผสมกัน กินวันละ 2 ครั้ง

    3. สตรีมีครรภ์อาเจียน : นํ้าอ้อยคั้น 1 แก้ว ใส่นํ้าขิง 1 ช้อนชา ดื่มวันละ 2-3 ครั้ง

    4. คอแห้งกระหายนํ้า : ให้ดื่มนํ้าอ้อยบ่อยๆ หรือจะใส่นํ้าขิงลงไป เล็กน้อยก็ได้

    5. กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง : นํ้าอ้อยคั้น 1 แก้ว ใส่นํ้าขิงลงไปเล็กน้อยวันละ 2-3 แก้ว

    6. ท้องผูก : นํ้าอ้อยและนํ้าผึ้งปริมาณเท่ากัน ดื่มก่อนนอน

    7. ทอลซิลอักเสบชนิดเฉียบพลันหรือเรื้อรัง : ใช้อ้อย หัวแห้ว รากหญ้าคาจำนวนพอประมาณ ต้มดื่มต่างนํ้าชา

    สารเคมีที่พบ

    ในอ้อยส่วนที่กินได้ 100 กรัม มีนํ้า 84 กรัม โปรตีน 0.2 กรัม ไขมัน 0.5 กรัม คาร์โบไฮเดรท 12 กรัมแคลเซี่ยม 8 มก. ฟอสฟอรัส 4 มก. เหล็ก 1.3 มก.

    นอกจากนี้ที่บริเวณยอดสุดของอ้อย (จุดเจริญเติมโต) มีวิตามินบี 1 236-563 ไมโครกรัม/100 กรัม (นํ้าหนักแห้ง) วิตามินบี 2 110-330 ไมโครกรัม/100 กรัม (นํ้าหนักแห้ง) วิตามินบี 6 10 ไมโครกรัม/100 กรัม (นํ้าหนักลด) และวิตามินบี 6 จะมีมากในลำต้นส่วนบนที่อ่อน นอกจากนี้ยังมีวิตามินซีที่ส่วนใบของอ้อน

    ข้อควรระวัง

    ผู้ที่ม้ามพร่อง มีอาการ ท้องอืด ท้องแน่น อาหารไม่ย่อย ลิ้นมีฝ้าหนาและขาว ถ้าไม่มีอาการดังกล่าวในตำรายา ไม่ควรดื่มนํ้าอ้อย (อาจดื่มได้บ้างเล็กน้อย โดยเติมนํ้าขิงลงไป)

    หมายเหตุ

    อ้อยที่เปลี่ยนสี (เหลืองเข้ม) มีรสเปรี้ยว หรือบูด ไม่ควรกิน ถ้าได้รับพิษจะทำให้อาเจียน ชัก หรืออาจถึงสลบได้
     
  15. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ใครบ้างจะเชื่อว่า เล็บของคุณจะสามารถเปิดเผยเบาะแสต่อสุขภาพโดยรวมได้ แท้จริงแล้วเล็บที่มีการเปลี่ยนสีหรือลักษณะผิดปกตินั้น เป็นสัญญาณเตือนอาการติดเชื้อหรือโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย เช่น ปัญหาในตับ ปอด และหัวใจ ซึ่งสีและความผิดปกติที่เกิดจากเล็บมีดังนี้

    - สีเล็บซีด การที่เล็บมือของเรามีสีซีดมาก ๆ ในบางครั้ง อาจเป็นหนึ่งในสัญญาณของโรค เช่น โรคโลหิตจาง หัวใจล้มเหลว และโรคตานขโมย ซึ่งอาจเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก และมีธาตุทองแดงมากเกินไป

    - เล็บสีเหลือง เป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบมากที่สุด เพราะสาเหตุเกิดจากอาการเป็นเชื้อรา ในบางกรณีเล็บสีเหลืองอาจบ่งบอกถึงการเกิด โรคต่อมไทรอยด์ โรคปอด โรคเบาหวาน หรือโรคสะเก็ดเงิน

    - เล็บสีขาว หากคุณพบว่าเล็บส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นสีขาวและขอบเล็บเป็นสีดำ สามารถบ่งบอกได้ถึงปัญหาเกี่ยวกับตับ เช่น ตับอักเสบ

    - เล็บสีน้ำเงิน หรือสีฟ้า หมายถึงร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ซึ่งอาจมีอาการมาจากการติดเชื้อในปอด เช่น โรคปอดบวม หรือบางทีอาจเชื่อมโยงถึงโรคหัวใจได้

    - เล็บแบบลอนหรือผิวใต้เล็บมีสีน้ำตาลแดง หากพื้นผิวเล็บที่มีการกระเพื่อมหรือหลุมนี้อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคสะเก็ดเงิน หรือโรคไขข้ออักเสบ

    - เล็บแตกหรือเล็บแยก เกิดจากเล็บแห้งเปราะ และเป็นโรคที่มีความเชื่อมโยงกับโรคต่อมไทรอยด์

    - เส้นสีเข้มภายใต้เล็บ หากพบเป็นเส้นสีดำที่อยู่ใต้เล็บ ควรไปพบแพทย์ เพราะบางครั้งอาจเกิดจากอาการของเนื้องอกบางชนิด หรือโรคมะเร็งผิวหนัง ได้เช่นกัน

    - แทะเล็บ อาการกัดเล็บอาจจะไม่มีอะไรมากไปกว่านิสัยเก่า แต่ในบางกรณีก็เป็นสัญญาณของความวิตกกังวลถาวร หากไม่สามารถหยุดกัดเล็บได้ ควรรักษาด้วยการพบแพทย์เพื่อพูดคุยถึงวิธีการแก้ไข

    - พับเล็บอ้วนเป็นสีแดง ถ้าผิวรอบเล็บปรากฏเป็นสีแดงและบวม มักเกิดจากการอักเสบของพับเล็บ ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากโรคที่เกี่ยวกับเนื้อเยื่อ บางทีเกิดผื่นแดงบริเวณพับเล็บ ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากลูปัสหรือโรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอื่น ๆ

    สีและความผิดปกติของเล็บอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งปริศนาของการเกิดโรค ซึ่งความผิดปกติของเล็บบางครั้งก็อาจจะไม่เป็นอันตราย และไม่ใช่ทุกคนที่มีเล็บสีขาวต้องเป็นโรคเสมอไป ดังนั้นหากคุณกังวลเกี่ยวกับลักษณะของเล็บ ควรไปพบแพทย์ผิวหนังน่าจะเป็นตัวช่วยที่ดีกว่า

    https://www.facebook.com/?ref=tn_tnmn
     
  16. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    [​IMG]
     
  17. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    อรุณสวัสดิ์ค่ะ เช้าๆแบบนี้จิบกาแฟกันบ้างรึยังคะ
    กากกาแฟที่เหลือจากการบด การชง การดื่ม สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ ลองมาดูกันนะคะ

    1. สระผมเงางาม : ล้าง หรือสระผมด้วยกากกาแฟ หรือใช้ยาสระผมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากกาแฟก็ได้

    2. ขัดผิวคน : นำกากกาแฟไปถูกับผิวกายในขณะอาบน้ำ กากกาแฟจะช่วยขจัดสารพิษให้กับผิวชั้นนอก และกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิวชั้นใน กระตุ้นการเผาพลาญไขมันใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวสวยใสเปล่งปลั่ง

    3. ขัดผิวสัตว์เลี้ยง : นำกากกาแฟผสมกับน้ำแล้วนำไปขัดผิวของสัตว์เลี้ยง ผิวและขนของสัตว์จะมีสุขภาพดีและเงางามยิ่งขึ้น ช่วยป้องกันหมัดและพยาธิต่าง ๆ

    4. ป้องกันการขับถ่ายไม่เป็นที่ของสัตว์เลี้ยง : โรยกากกาแฟร่วมกับผิวส้มรอบ ๆ บริเวณที่ไม่อยากให้สัตว์เลี้ยงเข้าไปขับถ่าย กลิ่นของทั้ง 2 อย่างนี้เมื่อผสมกันแล้วจะส่งผลให้สัตว์เลี้ยงไม่อยากเข้าไปขับถ่าย

    5. กำจัดกลิ่นในตู้เย็น : นำกากกาแฟใส่ถ้วยวางไว้ในตู้เย็น กากกาแฟจะทำหน้าที่ดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ

    6. กำจัดกลิ่นในรองเท้า : นำกากกาแฟไปวางในรองเท้า เพื่อให้กากกาแฟดูดกลิ่น หรือถ้าต้องการกำจัดกลิ่นที่เท้าด้วยก็สามาถทำได้โดยใช้น้ำผสมกากกาแฟล้างเท้าหรือทำเหมือนการขัดผิวก็ได้

    7. ป้องกันเข็มขึ้นสนิม : นำกากกาแฟที่เหลือจากการบดไปตากให้แห้งแล้วยัดไว้ในหมอนปักเข็ม

    8. ไล่มด : นำกากกาแฟไปถูที่ตู้กับข้าว มดก็จะไม่เข้าใกล้ตู้นี้เลย

    9. ใช้เป็นปุ๋ยปลูกต้นไม้ : กากกาแฟใช้ทำปุ๋ยปลูกต้นไม้ได้เป็นอย่างดี มีไนโตรเจนสูง ซึ่งพืชต้องนำไปใช้ในการเจริญเติบโต และยังมีโพแทสเซียม ฟอสฟอรัสที่ช่วยเพิ่มพัฒนาการของพืช

    10. ใช้เป็นสี : นำกากกาแฟไปละลายในน้ำร้อนจะได้สีน้ำตาลแบบกาแฟ ใช้วาดภาพหรือผสมเป็นสีย้อมผ้าก็ได้

    โอ้โห.. มากมายจริง ๆ แล้วมีใครนำกากกาแฟไปใช้ทำอะไรอีกบ้างคะ มาแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ทราบบ้างดีกว่า

    พวกกากใบชาก็น่าจะมีประโยชน์มากมายเหมือนกันนะคะ
    ไว้วันหลังจะหามาฝากกันอีกค่ะ

    ที่มา...https://www.facebook.com/
     
  18. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    [​IMG]
     
  19. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    [​IMG]
     
  20. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    กำลังสงสัยว่าท่านพี่ติงคงวุ่นเตรียมทำบุญปีใหม่ไทย เลยไม่มาลงบทความน่าสนใจในช่วงนี้...:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...