การปฏิวัติต้องเป็นสัจจะคือความจริงแท้ จึงจะสำเร็จ

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 3 มีนาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,172
    พระอาจารย์ กล่าวว่า "หลายท่านคงจะเกรงปัญหาที่กรุงเทพ ฯ ต้องบอกว่าการปิดกรุงเทพของ นายหัวเทพ เป็นการปิดตัวเอง การปฏิวัติต้องเป็นสัจจะคือความจริงแท้ จึงจะสำเร็จ หากไม่ใช่ความจริงแท้ ไม่มีทางที่จะสำเร็จได้

    พระพุทธเจ้า ตรัสรู้อริยสัจ ทางมรรค ๘ หรือทางสายกลาง เป็นความจริงแท้ ในขณะที่สังคมยุคนั้นถือสายสุดโต่ง คือ กามสุขัลลิกานุโยค หมกมุ่นอยู่กับเรื่องกิน กาม เกียรติทุกประเภท เชื่อว่าทำเต็มที่แล้วจะเบื่อ หลุดพ้นได้ อีกสายหนึ่งก็หมกมุ่นกับการทรมานตัวเอง เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค เชื่อว่าการทรมานตนทำให้พระเจ้าพอใจ แล้วรับไปอยู่กับปรมาตมันของพระองค์ เป็นความเชื่อที่ฝังหัว ฝังลึกมาหลายพันปี

    ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ความจริงแท้ในอริยสัจ จะไม่สามารถปฏิวัติความเชื่อของเขาได้ แต่สิ่งที่พระองค์ท่านตรัสรู้อริยสัจ คือความเป็นจริงแท้ พอบอกกล่าวไป บุคคลที่มีปัญญาได้ยิน ก็จะฉุกใจคิด เมื่อปฏิบัติตามก็จะได้ผลตามภูมิธรรมของตัวเอง ลองมานึกถึงว่า ถ้าสังคมวุ่นวายบรรลัยโลกอย่างปัจจุบัน แล้วอยู่ๆ มีคนไปชี้แนวทางสันติ บุคคลนั้นต้องเป็นคนที่กล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง แม่นประเด็นเป็นอย่างยิ่ง และชัดเจนกับแนวทางเป็นอย่างยิ่ง ถามว่าชัดเจนขนาดไหน ? ชัดเจนขนาดที่ใช้ได้ผลกับตัวเอง

    ตั้งแต่ก้าวแรกที่พระพุทธเจ้าออกผนวชแสวงหาโมกขธรรม พระองค์ท่านก็แลกด้วยชีวิตและเกียรติยศทั้งปวง ยอมสละฐานันดรกษัตริย์ ทั้งที่อีกไม่กี่วันความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิจะมาถึง ยอมโกนผมที่ทางพราหมณ์เขาถือว่าเป็นเครื่องหมายของบุคคลชั้นสูง กลายเป็นคนผมสั้นหรือไม่มีผม หรือกาลกิณีในความรู้สึกของคนทั่วไป

    ความรู้สึกเหล่านี้ฝังรากลึกมาเป็นพันๆ ปี ที่พระองค์ท่านยอมลงทุนขนาดนั้น เพราะว่าถอยไม่ได้ ถ้าถอยแม้แต่ก้าวเดียว ก็อาจไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนแสวงหา จึงต้องแลกด้วยเกียรติยศและฐานันดรศักดิ์ที่ตนมีอยู่ ทำตัวเป็นบุคคลที่ต่ำติดดิน ในระดับชั้นที่ไม่มีใครคบหาด้วยเลย พระองค์ยอมแลกด้วยของเหล่านั้น จึงประสบความสำเร็จ ทำให้พระองค์ท่านกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า บุคคลพึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต พึงสละทั้งทรัพย์ อวัยวะและชีวิตเพื่อรักษาธรรม

    เมื่อท่านประสบความสำเร็จกลับมา ยังต้องประกอบไปด้วยความแกล้วกล้า ความกล้านี่ต้องกล้าเกินคน เพราะสิ่งที่พระองค์ท่านบอกกล่าวคัดค้านกับความเชื่อทั้งปวง ไม่มีอะไรเหมือนของเก่าเลยแม้แต่นิดเดียว โอวาทปาฏิโมกข์ของพระองค์ถึงได้กล่าวว่า ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ขันติคือความอดทนจัดเป็นตบะอย่างยิ่งในศาสนานี้ เพราะในลัทธิอื่น ศาสนาอื่น ความเชื่ออื่น เขาเชื่อว่า การทรมานตนคือการบำเพ็ญตบะ"



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2014
  2. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,172
    .
    "อุดมการณ์ของพระพุทธศาสนา คือ ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ขันติ คือความอดทน จัดเป็นตบะอย่างยิ่งในศาสนาพุทธ นิพพานัง ปรมัง วะทันติ พุทธา พระนิพพานเป็นเป้าหมายสูงสุด ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์กล่าวถึง นะ หิ ปัพพชิโต ปะรูปะฆาตี ถ้ายังฆ่าผู้อื่นอยู่ไม่ถือว่าเป็นบรรพชิต เพราะว่าศาสนาอื่นโดยเฉพาะศาสนาพราหมณ์ มีการบวงสรวง บูชายัญ ฆ่าสัตว์ทีละเป็นร้อยๆ ถ้าระดับเศรษฐีหรือพระมหากษัตริย์ อาจจะถึงระดับฆ่าคนเพื่อบูชายัญด้วย

    สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต ถ้ายังเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ถือว่าเป็นสมณะ เพราะถือว่าผู้มีบาปอันลอยแล้ว เท่ากับตบหน้าศาสนาอื่นเขาเต็มๆ เลย ว่าศาสนาของเขานั้นไม่ได้เรื่อง

    ในเมื่อทำอย่างนั้น ถ้าศาสนาอื่นเขาไม่มีปัญญา ไม่มีความเลื่อมใส จะกลายเป็นการสร้างศัตรูทั้งประเทศในทันทีทันใดเลย ถึงได้ว่าการประกาศศาสนาของพระองค์ท่าน ต้องอาศัยความแกล้วกล้าเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่ความกล้าธรรมดา แต่เป็นความกล้าชนิดเอาชีวิตเข้าแลก ต่อให้มั่นคงมั่นใจว่า ในความเป็นพระพุทธเจ้าของพระองค์ท่าน ไม่มีใครสามารถทำร้ายพระองค์ท่านให้ถึงแก่ชีวิตได้ แต่กว่าจะมั่นใจได้ขนาดนั้น พระองค์ท่านต้องแลกด้วยการบำเพ็ญบารมีต่ำสุดก็ ๒๐ อสงไขย กับแสนมหากัป ในเมื่อสิ่งที่พระองค์ท่านกล่าวมาเป็นความเป็นจริง เป็นสัจธรรม จึงสามารถปฏิวัติความเชื่อของคนส่วนใหญ่ได้

    แต่การประกาศชัตดาวน์กรุงเทพ ไม่ใช่สัจธรรม ประเทศของเราหลักการที่ชัดเจนที่สุดคือ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แม้แต่องค์พระมหากษัตริย์ ก็อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แล้วใครที่บังอาจทำตนอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ก็แปลว่าผู้นั้นกำลังหาความแตกดับใส่ตัวเอง เป็นที่น่าเสียดายว่าพรรคการเมืองที่ยึดแนวทางระบอบประชาธิปไตยมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า ๖๐ ปี อยู่ๆ ก็ออกทะเลไปสนับสนุนการปกครองนอกระบบ"

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๗


    ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...?t=3967&page=5



    .
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...