ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. buddy0

    buddy0 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +142
    สวัสดีค่ะคุณครูธรรมชาติ มารายงานเพิ่มค่ะ ช่วงนี้พยายามนั่งสมาธิเรื่อยๆทุกครั้งที่แฟนไม่อยู่ ถ้าอยู่แล้วเค้าชอบแซว อิอิ เวลานั่งสมาธิช่วงนี้พยายามไล่นึกดูด้วยว่าเราถึงฌาณไหนแล้ว. เพราะตั้งท่าจะอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร ญาติที่ฆ่าตัวตาย และเทวดาประจำตัว พอลงลึกได้ที่ก็รีบอุทิศเลยค่ะ แต่ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าถึงฌาณไหน น่าจะวนที่123 ค่ะ เพราะไม่ถึงกับหูดับไป แต่เสียงเบาลง ไม่ค่อยมีความรู้สึกที่ตัว พอนั่งไปสักพักหลังจากฌาณขึ้นๆลงๆวนไปวนมา อยู่ดีๆมันเหมือนสว่างวาบไปทั่ว รู้ตัวพร้อม และเบาสบายมากขึ้นมา และมีพลังงานอาบเหมือนเยิ้มไปทั้งตัว คราวนี้รีบอุทิศใหญ่เลยค่ะ ประมาณซักครึ่งนาทีได้สภาวะนี้ก็คลายออกไป สงสัยว่าสภาวะนี้คืออะไรคะ เพราะหูก็ยังพอได้ยินเสียงอยู่ รู้สึกว่ามันไม่น่าใช่ฌาณสี่น่ะค่ะ ช่วงนี้รู้สึกว่ามีการติดต่อทางความฝันค่ะ. มีหลายท่านชอบมาให้หวย 555. แต่ไม่ได้เล่นนะคะ เพราะเล่นไม่เป็น ไม่เคยเล่น จะมาบอกเลขแต่แบบเฉียดๆ เราก็สงสัยว่าจะตรงมั๊ย พอหวยออกก็อืม มาเฉียดอีกแล้ว พวกเพื่อนๆชอบมาถามแล้วเค้าเอาไปบวกไปลบเองตามตำราเค้า อย่างครั้งล่าสุดนี่ฝันเห็นคนแก่นอนบนเตียง เรารู้ในฝันว่าเค้าใกล้ตายแล้ว ก็เดินไปบอกเค้าว่า ลุงไม่ต้องกลัวนะ ความตายไม่น่ากลัวหรอก เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ตอนนี้ทำจิตดีๆนะ บอกแบบมั่นใจมาก. ลุงบอกกลับมาว่า ลุงไม่กลัวหรอก ลุงอายุ85แล้ว แต่หวยออก95 นะคะ 555 แล้วช่วงนี้ก็มีเรื่องมาทดสอบใจเรื่อยๆเหมือนมาแหย่ ดูซิจะทุกข์เหมือนเมื่อก่อนนี้มั๊ย ทั้งเรื่องงานเรื่องสุขภาพ. แต่ช่วงนี้รู้สึกสบายดีค่ะ ใจมันนิ่งๆ แต่รู้เลยค่ะว่าสมองมันพยายามปรุงแต่งเรื่องทุกข์จากปัญหาขึ้นมาเรื่อยๆ. ให้ใจมันรับความทุกข์ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ทุกข์มากเลยค่ะ อย่างเมื่อวานนี้ไปเอ็กซเรย์ปอดเพราะที่บ้านมีคนเป็นวัณโรค. ตอนแรกตกใจเลยค่ะเพราะเหมือนว่าปอดมีน้ำ. มีก้อนในปอดด้วย ก็เดินไปหาหมอเอ็กซเรย์ ระหว่างเดินไปกลับไม่ได้ทุกข์อะไร คิดแต่ว่าเป็นอะไร ก็รักษาไป. อย่างมากก็ตาย. ชีวิตมันก็แค่นี้แหละ. พอไปถึงหมอเปิดดูใหม่บอกว่าปกติ เมื่อกี๊เปิดผิดคน ก็เลยรอดไปค่ะ 555
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    สวัสดีค่ะคุณครูธรรมชาติ มารายงานเพิ่มค่ะ ช่วงนี้พยายามนั่งสมาธิเรื่อยๆทุกครั้งที่แฟนไม่อยู่ ถ้าอยู่แล้วเค้าชอบแซว อิอิ เวลานั่งสมาธิช่วงนี้พยายามไล่นึกดูด้วยว่าเราถึงฌาณไหนแล้ว.

    +++ ต้องลบนิสัย "พยายามไล่นึกดูด้วยว่าเราถึงฌาณไหน" ตรงนี้ออกไปให้ได้ ยามใดที่ยังนึกอยู่ ก็จะไม่มีวันเข้าถึงฌานได้ และถ้ายามใดอยู่ในฌานแล้ว ก็จะเสื่อมถอยตกลงมาจากฌาน "ถ้าจะเอา ฌาน" ก็ต้องลบนิสัยตัวนี้ออก

    +++ แต่ถ้าจะเอา "ปัญญาในการที่จะรู้แจ้งใน กฏแห่งกรรม" ก็ให้ทำตัวนี้ไว้บ่อย ๆ ก็ได้

    1. ฌาน เป็นสภาวะหนึ่ง ที่อยู่สูงกว่า ความลังเลสงสัยที่เป็น นิวรณ์ และตรงนี้เป็น "นิวรณ์ สงสัย (ปรามาส) ฌาน" จิตย่อมตกลงมาใน นิวรณ์ (สังเกตุให้ดี)
    2. ยามใดที่ไร้ นิวรณ์ จิตจะทรง ฌาน (สูงกว่า) และพอ ตกจากฌาน ก็จะ สงสัยโดยการปรามาส ฌาน ในวงจรใหม่

    +++ ปรามาส ในที่นี้ คือ ความที่ยัง "ลูบคลำสงสัย ว่าอะไรเป็นอะไร" การปรามาสฌาน คือ สงสัยในอาการของฌาน เป็น นิวรณ์ เนื่องด้วยความ ลังเลสงสัย

    +++ ฌาน มีสภาพเป็น พรหม รูป/อรูป ในอัปนาสมาธิ ส่วน นิวรณ์ เป็นจิตใน กามาวจร ตรงนี้ให้มองแบบ ความต่างของ ภพภูมิ ให้ดี
    +++ การปรามาส จะเกิดใน "ภูมิที่ต่ำกว่าเสมอ" โดยไม่มีข้อยกเว้น "กามาวจรย่อมปรามาส รูปา+อรูปาวจร เสมอ" (นิวรณ์ ปรามาสสงสัย ฌาน)

    +++ ยามใดที่ "การปรามาส" เกิดขึ้้น ฌาน ที่ควรไปถึง ก็จะไปไม่ถึง และ ยามใดที่ไปถึงแล้ว ก็เป็นเครื่องระบุชี้ออกมาว่า ฌาน ที่ถึงแล้ว ได้เสื่อมตกลงมา
    +++ จากปรากฏการณ์ตรงนี้ ซึ่งเป็นวงจรในระดับขณะจิต แต่ก็มีผลลัพธ์อย่างเดียวกันกับ วงจรขนาดใหญ่อย่าง การปรามาสพระอริยะบุคคล เช่นเดียวกัน

    +++ ตรงนี้เป็นตัวอย่างใน วงจรการทำงานทางจิต ของคำพูดที่ว่า "ธรรมใดที่ควรถึง ก็จะไม่ถึง และ ธรรมใดที่ถึงแล้ว ก็จะเสื่อมลงมา"
    +++ ตรงนี้ยังเป็นเรื่องใน "โลกียะ" ระหว่าง "กามาวจร vs รูปา/อรูปาวจร" ซึ่งผลลัพธ์ยังน้อยกว่า "โลกียะ vs โลกุตระ" ซึ่งมีวงจรที่ห่างไกลกันมาก

    +++ แต่ตอนนี้ แนะนำว่า "ให้มุ่งลงในฌานก่อน" จะดีกว่า ส่วนเรื่อง "กฏแห่งกรรม" นั้น สามารถรู้ได้ในขั้นตอนของ "อยู่กับย้าย ในฌาน 4" ซึ่งจะปลอดภัยและเข้าใจได้ละเอียดลึกซึ้งกว่ากันมาก

    เพราะตั้งท่าจะอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร ญาติที่ฆ่าตัวตาย และเทวดาประจำตัว พอลงลึกได้ที่ก็รีบอุทิศเลยค่ะ แต่ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าถึงฌาณไหน น่าจะวนที่123 ค่ะ เพราะไม่ถึงกับหูดับไป แต่เสียงเบาลง ไม่ค่อยมีความรู้สึกที่ตัว พอนั่งไปสักพักหลังจากฌาณขึ้นๆลงๆวนไปวนมา

    +++ ตรงนี้ยังวนอยู่ใน "อุปจาระสมาธิ" อยู่

    อยู่ดีๆมันเหมือนสว่างวาบไปทั่ว รู้ตัวพร้อม และเบาสบายมากขึ้นมา และมีพลังงานอาบเหมือนเยิ้มไปทั้งตัว

    +++ ตรงนี้แหละ "ฌาน" ตัวจริง ยามใดที่เข้า "ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม หรือ กายเวทนา" ได้เมื่อไร ยามนั้นเป็น "ฌาน ที่มี สติครอง" ทันที และควรทำให้ได้ใน "ขณะจิตเดียว" จากนั้นจึงสามารถพัฒนาในแบบ "อัตราเร่ง" ได้ไม่ยาก

    คราวนี้รีบอุทิศใหญ่เลยค่ะ ประมาณซักครึ่งนาทีได้สภาวะนี้ก็คลายออกไป สงสัยว่าสภาวะนี้คืออะไรคะ เพราะหูก็ยังพอได้ยินเสียงอยู่ รู้สึกว่ามันไม่น่าใช่ฌาณสี่น่ะค่ะ

    +++ ใครบอกว่า ฌาน 4 ได้ยินและพูดไม่ได้ แล้วพวกท้าวมหาพรหมต่าง ๆ จะมาติดต่อกับมนุษย์ได้อย่างไร ผู้ที่เคยฝึกกับผมแบบต่อหน้า ก็ยังสามารถพูดจาสื่อสารกันได้ในขณะที่ "จิตเปล่งรังสี" ซึ่งไม่มีตัว มีแต่ สภาวะแห่งการเปล่งรังสี (อรูปพรหม) เท่านั้น เพียงแต่ว่า "ใด้ยินที่ สภาพเสียง ไม่ใช่ สภาพหู" ดังนั้นให้ทบทวนให้ดีว่า ในขณะที่ได้ยิน "ในปัจจุบันขณะนั้น ๆ" เป็นการได้ยินแบบ "สภาพเสียง หรือ สภาพหู" กันแน่

    +++ การสื่อสารในระดับ ฌาน 4 นั้น เป็นการปล่อยให้ "วจีจิตตะสังขาร" ทำงานในการ แปล "สังกัปปะ (concept)" ออกไปเอง "โดยไม่มีนิวรณ์เข้ามายุ่งเกี่ยว" พอวจีจิตตะสังขาร (ตัวพูดมาก) ทำงานเสร็จ มันก็ดับตัวมันลงไปเอง ตรงนี้เป็น "อจินไตย" ของผู้ที่ไม่เคยทำมาก่อน

    ช่วงนี้รู้สึกว่ามีการติดต่อทางความฝันค่ะ. มีหลายท่านชอบมาให้หวย 555. แต่ไม่ได้เล่นนะคะ เพราะเล่นไม่เป็น ไม่เคยเล่น จะมาบอกเลขแต่แบบเฉียดๆ เราก็สงสัยว่าจะตรงมั๊ย พอหวยออกก็อืม มาเฉียดอีกแล้ว พวกเพื่อนๆชอบมาถามแล้วเค้าเอาไปบวกไปลบเองตามตำราเค้า อย่างครั้งล่าสุดนี่ฝันเห็นคนแก่นอนบนเตียง เรารู้ในฝันว่าเค้าใกล้ตายแล้ว ก็เดินไปบอกเค้าว่า ลุงไม่ต้องกลัวนะ ความตายไม่น่ากลัวหรอก เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ตอนนี้ทำจิตดีๆนะ บอกแบบมั่นใจมาก. ลุงบอกกลับมาว่า ลุงไม่กลัวหรอก ลุงอายุ85แล้ว แต่หวยออก95 นะคะ 555 แล้วช่วงนี้ก็มีเรื่องมาทดสอบใจเรื่อยๆเหมือนมาแหย่ ดูซิจะทุกข์เหมือนเมื่อก่อนนี้มั๊ย ทั้งเรื่องงานเรื่องสุขภาพ.

    +++ ตรงนี้เป็นเรื่องธรรมชาติของผู้ปฏิบัติธรรม เมื่อมาถึงระดับหนึ่งแล้ว มักจะมีจิตอื่นมาคบค้าสมาคมด้วย และจิตเหล่านี้เป็นจิตที่ เสพบุญอยู่แล้ว และเพียงแวะมา say hi หรือ อนุโมทนา เฉย ๆ อย่าไปเข้าใจว่าเขามาขอส่วนบุญอะไรเป็นอันขาด เพราะเขาไม่ได้มีจริตในการขอเหมือนพวกที่ยังเสพทุกข์อยู่ เรื่องบอกหวยนั้น เป็นเพียงการ หยอกเล่น ไม่จริงจังอะไร คอยสังเกตุดูจริตของพวกเขาเหล่านั้นก็แล้วกัน ก็จะเข้าใจได้เอง

    แต่ช่วงนี้รู้สึกสบายดีค่ะ ใจมันนิ่งๆ แต่รู้เลยค่ะว่าสมองมันพยายามปรุงแต่งเรื่องทุกข์จากปัญหาขึ้นมาเรื่อยๆ. ให้ใจมันรับความทุกข์ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ทุกข์มากเลยค่ะ

    +++ ตรงนี้แหละที่หลวงปู่ดูลย์เคยกล่าวไว้ว่า "คนสมัยนี้ เป็นทุกข์เพราะคิด" คงเข้าใจได้ดีแล้วนะ

    อย่างเมื่อวานนี้ไปเอ็กซเรย์ปอดเพราะที่บ้านมีคนเป็นวัณโรค. ตอนแรกตกใจเลยค่ะเพราะเหมือนว่าปอดมีน้ำ. มีก้อนในปอดด้วย ก็เดินไปหาหมอเอ็กซเรย์ ระหว่างเดินไปกลับไม่ได้ทุกข์อะไร คิดแต่ว่าเป็นอะไร ก็รักษาไป. อย่างมากก็ตาย. ชีวิตมันก็แค่นี้แหละ. พอไปถึงหมอเปิดดูใหม่บอกว่าปกติ เมื่อกี๊เปิดผิดคน ก็เลยรอดไปค่ะ 555

    +++ นี่คือส่วนหนึ่งของ "การอยู่ตามความเป็นจริง" คือมันเป็นอย่างไร ก็ เป็นอย่างที่มันเป็น ไม่ได้เป็นทุกข์เพราะคิด นั่นเอง

    +++ ติดขัดหรือสงสัยในการปฏิบัติธรรมอย่างไร ก็โพสท์ถามมาได้ นะครับ
     
  3. กัญชาอารยะ

    กัญชาอารยะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +26
    สวัสดีครับ จากที่คุณธรรมชาติได้เข้าไปตอบในอีกกระทู้นึงว่าเสียงความคิดที่ได้ยินนั้นมันคือตัวแปร ชัดเจนมากครับเป็นคำที่เหมาะสมมาก จึงเกิดความสนใจและได้มาเจอกระทู้ฝึกของคุณในนี้ นับว่าน่าที่งมากที่คุณนำแนวทางปฏิบัติมาปรับให้เข้ากับยุคสมัย

    จึงอยากขอคำชี้แนะจากคุณอีกเยอะ ขออธิบายสภาวะของผมครับคือเกิดจากความบังเอิญไม่ได้จงใจฝึกมาก่อน เป็นคนทำอะไรเชื่องช้าแต่ค่อนข้างคิดมากชอบคิดอะไรเรื่อยเปื่อยตลอดเวลา จินตนาการเก่ง สามารถนั่งเฉยๆจินตนาการไปได้เป็นชั่วโมง สามารถจินตนาการเป็นเรื่องราวได้และชอบจินตนาการในหลายๆมุมมอง แต่ไม่สามารถแช่ภาพค้างไว้ได้แบบกษิณ คือจริงๆเมื่อก่อนผมแย่ครับเป็นเพราะติด...มา10ปี เป็นแบบนี้ทุกวัน แล้วอยู่มาวันนึงก็เกิดอาการได้ยินตัวแปรที่คุณพูดถึงขึ้นมาเลยครับ ตอนแรกอาการก็หนักมาก ทรมาณใจไม่สามารถควบคุมได้ พอผ่านไปสักปีค่อยยังชั่วขึ้นครับแล้วไอ้เสียงที่ว่าเนี่ยมันก็พูดถึงเว็บพลังจิตทั้งๆที่ผมไม่เคยรู้จักเว็บนี้มาก่อนเลยนับว่าโชคดีมาก จึงเริ่มศึกษามาเรื่อยๆ จึงเจอบทความคุณเนี่ยครับ มีเรื่องที่สอบถามในเบื้องต้นดังนี้นะครับ
    1.การที่ได้ยินตัวแปรชัดเจนในหัวหมายถึงข้อไหนในแนวทางของคุณ
    2.ผมลองเดินความรู้สึกทั่วตัวมากๆจะได้ยินเสียงตัวแปรเบาลง แต่ถ้าความรู้สึกทั่วตัวเหลือน้อยๆตัวแปรก็จะเบาลงเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยภาวะปล่อยตามปกติมันจะกลับมาได้ยินดังเหมือนเดิมเลยครับ หมายความว่าอย่างไร
    3.เรื่องของความฝัน เมื่อก่อนผมไม่เคยฝันเลย(ในความเป็นจริงฝันแหละแต่ผมไม่รู้สึกตัว) แต่หลังจากที่ได้ยินตัวแปรแล้ว ที่นี้ผมจะรู้สึกตัวรู้ว่าฝันอยู่ครับ ประมาณก่อนตื่นสัก30นาที แต่ในความฝันมันไม่มีภาพนะครับมันก็ยังได้ยินเสียงตัวแปรนั่นแหละแต่มันพูดเป็นเรื่องเป็นราวเองเลย หมายความว่าอย่างไรครับ
    4.ถ้าผมวิเคราะตัวเองผมรู้สึกว่าตัวเองพอมีสติแต่ไม่มีสมาธิเลย ควรทำไงต่อดีครับ
    5.เรื่องของสมาธิ ถ้าเกิดผมไม่มีความชอบผมจะไม่มีสมาธิเลย แต่ถ้าเรื่องไหนผมสนใจผมกลับมีสมาธิ พอมีวิธีสร้างฉันทะไหมครับ

    มีเรื่องอยากถามอีกเยอะครับ พอแค่นี้ก่อนเกรงใจคุณธรรมชาติ
     
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    สวัสดีครับ จากที่คุณธรรมชาติได้เข้าไปตอบในอีกกระทู้นึงว่าเสียงความคิดที่ได้ยินนั้นมันคือตัวแปร ชัดเจนมากครับเป็นคำที่เหมาะสมมาก จึงเกิดความสนใจและได้มาเจอกระทู้ฝึกของคุณในนี้ นับว่าน่าที่งมากที่คุณนำแนวทางปฏิบัติมาปรับให้เข้ากับยุคสมัย

    +++ ก่อนอื่น อันดับแรก ผมต้องเปลี่ยนตัวสะกดของคุณในคำว่า "ตัวแปร" ให้ถูกต้องตามที่ผมโพสท์ไว้เสียก่อน สิ่งที่ผมโพสท์ไว้ในกระทู้นั้นคือ "ตัวแปล" นะครับ การสะกดผิดแม้แค่เพียงคำเดียว จะทำให้ความหมายวิ่งไปคนละทางดังนี้ คำว่า "ตัวแปร" คือ การทำให้เปลี่ยนสถานะ (variable) ส่วน "ตัวแปล" คือ ล่าม (interpreter) ซึ่งเป็น วจีจิตตะสังขาร หรือ ตัวพูดมาก ดังที่ผมกล่าวไว้แล้วในกระทู้นั้น

    +++ เรื่องของการฝึกปฏิบัติทาง กรรมฐาน นี้สำคัญมาก "การใช้คำศัพท์หรือคำพูด" ผิดไปแม้แต่เพียงคำเดียว สามารถทำให้การปฏิบัติล้มเหลวจนหาทางออกไม่ได้เลย และจะกลายเป็น "วิบาก" ที่ผูกพันกันไปนานแสนนาน

    +++ ในทางพระ ถือว่าเป็นอาบัติที่เรียกว่า "ทุกกฏ" (สะกดตามที่ ใช้กันโดยทั่วไป) ได้ความหมายว่า "ทุกข้อยึดถือ" แต่สำหรับผมแล้ว ผมจะสะกดว่า "ทุกฏ" ซึ่งเป็นความหมายที่ตรงตามอาการคือ "ข้อยึดถือที่ ผิด ๆ" และนี่เป็น ความเข้าใจในภาษาของยุค พ.ศ. 2557 นี้นะครับ

    จึงอยากขอคำชี้แนะจากคุณอีกเยอะ ขออธิบายสภาวะของผมครับคือเกิดจากความบังเอิญไม่ได้จงใจฝึกมาก่อน เป็นคนทำอะไรเชื่องช้าแต่ค่อนข้างคิดมากชอบคิดอะไรเรื่อยเปื่อยตลอดเวลา จินตนาการเก่ง สามารถนั่งเฉยๆจินตนาการไปได้เป็นชั่วโมง สามารถจินตนาการเป็นเรื่องราวได้และชอบจินตนาการในหลายๆมุมมอง

    +++ ภาษาของพระป่าเรียกว่า "เสียเวลาคิด" และนั่นคือ "เวลาทั้งหมดที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์" เป็นการท่องเที่ยวไปใน "ความคิด" (ภพภูมิ) จนกระทั่ง "แม้ลืมตาอยู่ก็มองไม่เห็นความจริง" แต่สิ่งที่เห็นนั้น "โดนขังอยู่ภายใน ความคิด ทั้งสิ้น"

    แต่ไม่สามารถแช่ภาพค้างไว้ได้แบบกษิณ คือจริงๆเมื่อก่อนผมแย่ครับเป็นเพราะติด...มา10ปี เป็นแบบนี้ทุกวัน

    +++ ยังโชคดีที่ "ยังมีกายมนุษย์ ขวางอยู่" จึงทำให้เกิด "ความรู้สึกตัว" ขึ้นมาได้เป็นช่วง ๆ หากไม่มี กายมนุษย์ ที่ขวางอยู่แล้วละก็ ทุกอย่างก็จะเป็นไปตาม "ยถากรรม" แบบไม่มีทางหลุดออกไปได้เลย นี่ขนาดมี กายมนุษย์ ขวางอยู่ จึงทำให้ "ยถากรรมนั้น ติด ๆ ดับ ๆ" และพอมีเวลาตั้งหลักได้ ถ้า "ไม่ได้เกิด เป็นมนุษย์ ในชาตินี้" ก็จะหมดโอกาสรู้ตัวได้เลย นับเป็น กัปป เป็น อสงไขย และถ้าไม่ "ฟลุ๊ค" ล่องลอยไปเจอ "พระพุทธศาสนา" แล้วละก็ อาจกล่าวได้แบบตรง ๆ ได้ว่า "ยถากรรมนั้น ช่างอนาถา โดยสิ้นเชิง" ทีเดียว

    แล้วอยู่มาวันนึงก็เกิดอาการได้ยินตัวแปรที่คุณพูดถึงขึ้นมาเลยครับ ตอนแรกอาการก็หนักมาก ทรมาณใจไม่สามารถควบคุมได้

    +++ จะ แปร คำถามให้ถูกต้องก่อน ดังนี้ "แล้วอยู่มาวันนึงก็เกิดอาการได้ยิน "ตัวแปล" ที่คุณพูดถึงขึ้นมาเลยครับ ตอนแรกอาการก็หนักมาก ทรมาณใจไม่สามารถควบคุมได้ "

    +++ ทรมานใจเพราะไม่รู้ว่ามันทำไมมัน "พูด" อยู่ตลอดเวลา แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นเพียงแค่ "ล่าม ที่แปลเจตนาของ ความดำริ (สังกัปโป = concept) ให้ออกมา เป็นภาษาพูด เพื่อให้ผู้ที่ไม่รู้จัก เจโตปริยะญาน เข้าใจและรู้เรื่องได้" เท่านั้นเอง

    พอผ่านไปสักปีค่อยยังชั่วขึ้นครับแล้วไอ้เสียงที่ว่าเนี่ยมันก็พูดถึงเว็บพลังจิตทั้งๆที่ผมไม่เคยรู้จักเว็บนี้มาก่อนเลยนับว่าโชคดีมาก

    +++ อาจจะเป็น "จิตอื่น" ที่ต้องการช่วยเหลือคุณ จึงใช้ "ล่าม" ของเขา เข้าไปสื่อสารกับคุณ "โดย แปร เป็นเสียงของตัวคุณเอง" ก็ได้ เพราะ "ล่าม" ตัวนี้คือ "เจ้าแห่งเสียง และ ภาษา ทั้งหมด" หากศึกษาล่ามตัวนี้ให้ดี จนนำมันมาใช้งานได้ คุณก็จะได้ "จตุปฏิสัมภิทาญาณ" อันได้แก่

    1. ธัมมปฏิสัมภิทาญาณ คือ สามารถกำหนดหัวข้อธรรม หรือหลักธรรม หรือ รู้เหตุและปัจจัย ของผู้ถามได้อย่าง ตรงประเด็น
    2. อัตถปฏิสัมภิทาญาณ คือ กำหนดเนื้อความ หรือลักษณะอธิบายคำพูด ให้เกิดประโยชน์ ตรงกับความ จำเป็น ของผู้ถาม
    3. นิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ คือ กำหนดใช้ภาษา ได้ถูกต้องตรงกับอาการของจิต โดยใช้ภาษาให้เหมาะสมกับ กาละ เทศะ ปุคคละ
    4. ปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ คือ แตกฉานในการกล่าวถึงสภาวะธรรม สามารถ สรุป หรือ ขยาย เพื่อให้ผู้ฟัง เข้าใจได้ตรงประเด็น (ไม่ใช่เรื่องของ การเถียงเก่ง)

    +++ ให้สังเกตุให้ดี ๆ ว่า จตุปฏิสัมภิทาญาณ นั้นเป็นเรื่องของ "การใช้ภาษา ในระดับ เจโตปริยะญาณ" หรือพูดง่าย ๆ ได้ว่า "เป็นการใช้ ตัวพูดมาก ให้ออกมาแปล สภาวะธรรมต่าง ๆ ที่มีความละเอียดในระดับ วาระจิต รวมถึง การล่วงรู้ถึง วาระของจิตอื่นด้วย"

    +++ และตรงนี้ คือ ต้นเหตุของ "อนุสาสนีปาฏิหาริย์" ที่เรียกว่า "สามารถแสดงธรรม แล้ว ธรรมปรากฏขึ้น จนเห็นได้ในขณะนั้น ๆ" (เช่น การแสดง สัพเพธัมมาอนัตตา และ จิตเปล่งรังสี) และตรงนี้เป็น "ปาฏิหาริย์" เดียวที่ พระพุทธเจ้า ทรงสรรเสริญ (ส่วน อิทธิปาฏิหาริย์ หรือ อภิญญา 6 และ อาเทศนาปาฏิหาริย์ หรือ วิชชา 3 นั้น พระพุทธองค์ ไม่สรรเสริญ)

    จึงเริ่มศึกษามาเรื่อยๆ จึงเจอบทความคุณเนี่ยครับ มีเรื่องที่สอบถามในเบื้องต้นดังนี้นะครับ

    1.การที่ได้ยินตัวแปรชัดเจนในหัวหมายถึงข้อไหนในแนวทางของคุณ

    +++ "ตัวแปร ในหัว" ไม่มีครับ มีแต่ "ตัวพูดมาก ที่ทำหน้าที่ในการ แปล อยู่ในหัว"
    +++ ส่วนคำถามของคุณ คือ "หมายถึงข้อไหนในแนวทางของผม" และคำตอบคือ "ผมไม่เคย ตั้งข้อใด ๆ ในเรื่องนี้เลย" ดังนั้นไม่มี ข้อ ในกรณีนี้ นะครับ

    2.ผมลองเดินความรู้สึกทั่วตัวมากๆจะได้ยินเสียงตัวแปรเบาลง แต่ถ้าความรู้สึกทั่วตัวเหลือน้อยๆตัวแปรก็จะเบาลงเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยภาวะปล่อยตามปกติมันจะกลับมาได้ยินดังเหมือนเดิมเลยครับ หมายความว่าอย่างไร

    +++ ยามใดที่ "ความรู้สึกตัว มีมาก" ยามนั้น "จิตอยู่ใน กรรมฐานฝ่าย นาม" และยามใดที่ "ความรู้สึกตัว มีน้อย" ยามนั้น "จิตอยู่ใน กรรมฐานฝ่าย รูป" ทั้งสองกรณี หมายถึงการมีสติครองแบบ "รู้ตัว (รูป)" หรือ "รู้สึกตัว (นาม)" ส่วนตัวพูดมากนั้นอยู่ในฝ่าย "รูปธรรม" (รูปธรรม และ นามธรรม ขึ้นอยู่กับความ หยาบ-ละเอียด ของผู้ฝึก จาก โพสท์ที่ 4 ในหน้าแรก)

    +++ ดังนั้นการที่ "จิตย้าย" มาอยู่กับ นามกรรมฐาน มันจึง "วาง" การอยู่กับ รูปกรรมฐาน ผลลัพธ์คือ อิทธิพลของตัวพูดมาก ลดน้อยถอยลง

    3.เรื่องของความฝัน เมื่อก่อนผมไม่เคยฝันเลย(ในความเป็นจริงฝันแหละแต่ผมไม่รู้สึกตัว) แต่หลังจากที่ได้ยินตัวแปรแล้ว ที่นี้ผมจะรู้สึกตัวรู้ว่าฝันอยู่ครับ ประมาณก่อนตื่นสัก30นาที แต่ในความฝันมันไม่มีภาพนะครับมันก็ยังได้ยินเสียงตัวแปรนั่นแหละแต่มันพูดเป็นเรื่องเป็นราวเองเลย หมายความว่าอย่างไรครับ

    +++ ในขณะหลับ "จิตย่อมถูก ถีนมิธะ ครอบงำ" หากหลับสนิท ถีนมิธะ ก็ครอบงำจนมิด ช่วงก่อนตื่นสัก 30 นาที เป็นช่วงที่ "สติเริ่มทำการ ปลดปล่อยจิต ออกจากถีนมิธะ" แต่อยู่ในระหว่าง ส่วนผสมของ สติ+ถีนมิธะ ซึ่งมีลักษณะของ สติ+ความรู้สึก ชนิดหนึ่ง จัดเป็น "สติในธรรมารมณ์" ที่ยังมี อิทธิพล ของฌานผสมอยู่ (เรื่องนี้จะเข้าใจได้เมื่อผ่าน สติในระดับที่ 5. "อยู่กับตน" มาแล้วเท่านั้น) ผมจะไม่อธิบายละเอียดในโพสท์นี้ เพราะจะเป็น ผลเสียมากกว่าผลดี ต่อคุณ

    +++ ผู้ที่ฝึก สติ มาระดับหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็น "การเห็นภาพ หรือ ได้ยินเสียง" ก็ตามส่วนใหญ่มักเกี่ยวพันกันกับ "อดีตและอนาคต" ที่จะเกิดขึ้นมา ตรงนี้ สามารถสังเกตุรู้ได้ด้วยตนเอง ทุกคน นะครับ

    4.ถ้าผมวิเคราะตัวเองผมรู้สึกว่าตัวเองพอมีสติแต่ไม่มีสมาธิเลย ควรทำไงต่อดีครับ

    +++ "สติ ตามระดับของผู้ฝึก" จาก โพสท์ที่ 5 ในหน้าแรก รวมทั้ง วสี 5 ควรเป็นจุดในการฝึกของคุณ ในระดับนี้

    *** การฝึกในกระทู้นี้ จะเริ่มต้นที่ข้อ 3 เป็นต้นไป โดยจะกล่าวถึง "วิธีการ สร้างความรู้สึกตัว" จนถึงการปรับระดับ ของความรู้สึกตัวในระดับต่าง ๆ เพื่อฝึกฝนในเรื่องของการ

    1. ทำความรู้สึกทั้งตัว ได้ดังปรารถนา เรียกว่า "เข้า"
    2. ออกจากความรู้สึกทั้งตัว ได้ดังปรารถนา เรียกว่า "ออก"
    3. เพิ่มความรู้สึกทั้งตัว ได้ดังปรารถนา เรียกว่า "เร่ง"
    4. ลดความรู้สึกทั้งตัว ได้ดังปรารถนา เรียกว่า "ผ่อน"
    5. หยุด แช่ และ อยู่ กับความรู้สึกทั้งตัว ได้ดังปรารถนา เรียกว่า "ตรึง แช่ และ อยู่"

    ทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมานี้ เป็นการใช้ภาษาที่ผู้อ่านพอที่จะเข้าใจได้ ซึ่งจริง ๆ แล้ว การฝึกทั้ง 5 ข้อนี้เรียกว่า การฝึก วสี 5 ***

    5.เรื่องของสมาธิ ถ้าเกิดผมไม่มีความชอบผมจะไม่มีสมาธิเลย แต่ถ้าเรื่องไหนผมสนใจผมกลับมีสมาธิ พอมีวิธีสร้างฉันทะไหมครับ

    +++ เป็นธรรมดาของทุกคนเพราะว่า ฉันทะ คือ ความชอบ ส่วนวิธีสร้าง ความชอบนั้น ครูบาอาจารย์ทุกท่านจะบอกตรงกันว่า "ให้ทดลองทำดู" นะครับ

    มีเรื่องอยากถามอีกเยอะครับ พอแค่นี้ก่อนเกรงใจคุณธรรมชาติ

    +++ ทดลองทำดู "หากติดขัดตรงไหน ในการทำ" ก็ถามมาได้เลย นะครับ
     
  5. กัญชาอารยะ

    กัญชาอารยะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +26
    ต้องขออภัยจริงๆครับ ผมหมายถึงตัวแปลตามที่คุณธรรมชาติกล่าวไว้ เผอิญสะเพร่าไปหน่อยพิมพ์ผิด
    ขออนุญาติพูดถึงเรื่องการล่วงรู้วาระของจิตนะครับ ผมได้สังเกตุเรื่องนี้และได้พบว่าจากการที่เฝ้าดูตัวพูดมากเนี่ยมันทำให้ผมล่วงรู้วาระอารมณ์ของคนอื่นได้นะครับ โดยเฉพาะบุคคลใกล้ตัวที่รู้จักมักจี่เป็นอย่างดีมันไม่ได้รู้เป็นความคิดแบบตัวพูดมากนะครับมันล่วงรู้แบบอารมณ์แต่ตัวพูดมากมันก็จะคอยสาธยายเรื่องต่างๆซ้อนกันกับอารมณ์นี้อีกที มันมาแบบความรู้สึกนะครับ มันมีความเชื่องโยงบางอย่างที่ผมยังมองไม่ออกอย่างเป็นรูปธรรมนะครับแต่แปลกมากเช่น มีคนใกล้ชิดบางคนพูดประโยคเดียวกับที่ผมพึ่งคิดจบไปไม่นานเหมือนกับว่าถ้าผมนึกถึงใครหรือคิดเรื่องใดที่มีบุคคลอื่นมาเกี่ยวข้อง บุคคลผู้นั้นจะรู้สึกในเรื่องนั้นคล้ายๆกับผม เหมือนกับว่าจิตของทุกๆคนนั้นเชื่อมต่อกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวคล้ายกับIceberg theoryที่ว่าส่วนพ้นน้ำเป็นจิตสำนึกและส่วนใต้น้ำของภูเขาน้ำแข็งเปรียบเสมือนจิตใต้สำนึกที่มีน้ำทะเลเป็นตัวเชื่อมระหว่างจิตใต้สำนึก เป็นเรื่องที่แปลกมากและผมยังหาคำอธิบายที่จะมาใช้สื่อสารไม่ได้ จึงอยากขอคำชี้แนะจากคุณธรรมชาติด้วยครับ

    ช่วงนี้ผมคงขอตัวให้ความสนใจในวสี5 เพื่อเพิ่มความเสถียรภาพของสติและสมาธิให้ดีขึ้นตามลำดับ หาพบความคืบหน้าหรือขัดข้องประการใด จะมาแจ้งให้ทราบในกระทู้นี้
    ขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับคำชี้แนะ และขออภัยล่วงหน้าหากข้อความส่วนใดของกระผมรบกวนต่อบางวาระจิต
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ต้องขออภัยจริงๆครับ ผมหมายถึงตัวแปลตามที่คุณธรรมชาติกล่าวไว้ เผอิญสะเพร่าไปหน่อยพิมพ์ผิด

    ขออนุญาติพูดถึงเรื่องการล่วงรู้วาระของจิตนะครับ ผมได้สังเกตุเรื่องนี้และได้พบว่าจากการที่เฝ้าดูตัวพูดมากเนี่ยมันทำให้ผมล่วงรู้วาระอารมณ์ของคนอื่นได้นะครับ โดยเฉพาะบุคคลใกล้ตัวที่รู้จักมักจี่เป็นอย่างดีมันไม่ได้รู้เป็นความคิดแบบตัวพูดมากนะครับมันล่วงรู้แบบอารมณ์

    +++ การดูที่ "ตัวแปล" (ตัวพูดมาก) หากมีสติที่ละเอียดมากขึ้น ก็จะรู้ได้ในระดับ "ก่อนการแปล" ซึ่งจะเป็น concept ในแต่ละวาระของ concept นั้น ๆ ในภาษาไทยมาตรฐานในขณะนี้เรียกว่า "ความเข้าใจ" ที่ปรากฏมาในแต่ละขณะ หากเป็นภาษาที่เก่ามากกว่าก็จะเรียกว่าเป็นความ "ดำริ" และตรงกับในภาษาบาลีที่เรียกว่า "สังกัปโป" หากเรียกตามภาษาในหมวดของจิตก็จะเรียกว่า "วาระจิต" และโดยปกติก็จะเรียกบุคคลที่สามารถรู้ในระดับนี้ว่า "อ่านวาระจิตได้" ซึ่งจะตรงกับในภาษาบาลีว่า "เจโตปริยะญาณ" แต่ไม่ว่าคำศัพท์จะเรียกว่าอะไรก็ตาม "อาการทั้งหมด มีเพียงแค่อาการเดียวนี้ เท่านั้น"

    แต่ตัวพูดมากมันก็จะคอยสาธยายเรื่องต่างๆซ้อนกันกับอารมณ์นี้อีกที

    +++ นั่นคือ หน้าที่ของมัน ตามธรรมชาติ หากล่วงรู้การทำงานของมันอย่างแจ้งชัด ก็จะสามารถนำมันมาใช้งานให้เป็นประโยชน์ได้

    มันมาแบบความรู้สึกนะครับ

    +++ ถูกต้อง

    มันมีความเชื่องโยงบางอย่างที่ผมยังมองไม่ออกอย่างเป็นรูปธรรมนะครับแต่แปลกมากเช่น มีคนใกล้ชิดบางคนพูดประโยคเดียวกับที่ผมพึ่งคิดจบไปไม่นานเหมือนกับว่าถ้าผมนึกถึงใครหรือคิดเรื่องใดที่มีบุคคลอื่นมาเกี่ยวข้อง บุคคลผู้นั้นจะรู้สึกในเรื่องนั้นคล้ายๆกับผม

    +++ นั่นคือ ธรรมชาติของการสื่อสารทางจิต แต่ที่สำคัญที่สุด อยู่ที่การ "แยกแยะ" ว่าแต่ละวาระนั้น มันเป็นของใคร การฝึกเบื้องต้นที่ง่ายที่สุดคือ "วาระไหนเป็นของเรา และ วาระไหนไม่ใช่" การแยกแยะตรงนี้ต้องชัดเจนก่อน ก่อนที่ใช้การ "แตะวาระที่ไม่ใช่ของเรา" เพื่อการรับทราบว่า "มันเป็นของใคร และ มาจากไหน" นะครับ

    เหมือนกับว่าจิตของทุกๆคนนั้นเชื่อมต่อกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว

    +++ ตรงนี้ไม่ใช่ เหตุที่เข้าใจว่า "จิตของทุกๆคนนั้นเชื่อมต่อกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว" นั้นเพราะว่า ยังไม่มีขีดความสามารถที่จะ "รู้ตัวดู" ได้ ยามใดที่ รู้ตัวดู ได้แล้วก็จะชัดเจนเองว่า "จิตทุกดวงเป็นเอกเทศ มีการทำงานด้วยตัวของตัวเอง และ มีกฏแห่งกรรมเป็นเอกเทศแห่งตน"

    คล้ายกับIceberg theoryที่ว่าส่วนพ้นน้ำเป็นจิตสำนึกและส่วนใต้น้ำของภูเขาน้ำแข็งเปรียบเสมือนจิตใต้สำนึกที่มีน้ำทะเลเป็นตัวเชื่อมระหว่างจิตใต้สำนึก เป็นเรื่องที่แปลกมากและผมยังหาคำอธิบายที่จะมาใช้สื่อสารไม่ได้ จึงอยากขอคำชี้แนะจากคุณธรรมชาติด้วยครับ

    +++ ทฤษฏี Iceberg เปรียบได้กับ ทุกอย่างมาจากน้ำ เพียงแต่สภาวะบางประการแปรเปลี่ยนทำให้ บางส่วนแปรสภาพเป็น "Iceberg" เมื่อสภาวะทุกอย่างเหมาะสมดีแล้วตามธรรมชาติของมัน Iceberg ย่อมละลายกลับไปเป็นน้ำเหมือนเดิม ทฤษฏีนี้ หลายคนเข้าใจได้ แต่ "มีจิตสักกี่ดวง" ที่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้จริง

    +++ ให้ย้อนกลับไปดู "ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย" ในโพสท์แรก ซึ่งเกริ่นนำในเรื่อง กรรม-ฐาน อีกทีก็พอจะเข้าใจได้ดีขึ้น

    +++ อีกประการหนึ่งของปรากฏการณ์ Iceberg คือ ตัว Iceberg มีเพียงแค่ประมาณ 10% ของตัวน้ำแข็ง เทียบได้กับ "สมอง" ของคนเราที่สามารถนำมาใช้งานได้โดยประมาณ 10% เช่นกัน ตรงนี้ลองนำมาเปรียบเทียบกับการมี "สติ" ของคนโดยทั่วไปว่าจะมีอัตราของ 10% สอดคล้องกันหรือไม่ พวกนักวิทยาศาสตร์ก็ยังสงสัยกันอยู่ว่า ทำไม สมอง จึงมีอัตราการใช้งานโดยรวมประมาณ 10% เท่านั้น และ เป็นความเชื่อของพวกนักวิทยาศาสตร์ว่า หากคนเราใช้ส่วนสมองมากกว่านี้แล้ว วิวัฒนาการของมนุษย์ ย่อมไปได้ไกลกว่านี้มาก

    +++ คำตอบในเรื่องนี้คือ "มันเป็นเรื่องของ สติ" ให้ดูที่ ความเสียเวลา ความผิดพลาด ต่าง ๆ โดยหลัก ๆ แล้วมาจากการ "ขาดสติ" ทั้งสิ้น ดังนั้นให้พิจารณาว่า อีก 90% นั้นเป็นเรื่องของ สติ นั่นแหละ

    ช่วงนี้ผมคงขอตัวให้ความสนใจในวสี5 เพื่อเพิ่มความเสถียรภาพของสติและสมาธิให้ดีขึ้นตามลำดับ หาพบความคืบหน้าหรือขัดข้องประการใด จะมาแจ้งให้ทราบในกระทู้นี้

    +++ ok ครับ

    ขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับคำชี้แนะ และขออภัยล่วงหน้าหากข้อความส่วนใดของกระผมรบกวนต่อบางวาระจิต

    +++ ไม่ได้รบกวนผมหรอกครับ แต่มันจะเป็นวิบากของคุณในอนาคต เพราะกระทู้นี้ สาธารณะชนอ่านได้อย่างเสรี หากผมไม่รีบ แก้หรือสกัดกั้น การใช้คำศัพท์ที่ไม่ตรงตามอาการของคุณแล้ว วิบากของคุณจะแพร่ออกไปได้ไกลและรวดเร็ว พร้อมทั้งยาวนานตราบเท่าที่ ข้อมูลของคุณยังอยู่ในเวป รวมทั้งผลกระทบทั้งหมดที่ได้แพร่กระจายออกไป ยุคนี้สมัยนี้ "กฏแห่งกรรม รวมทั้งวิบากและบารมี" ได้แพร่ตัวและส่งผลกระทบออกไปทาง internet ได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่า นะครับ
     
  7. *ธรรมดา*

    *ธรรมดา* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +924
    มีข้อสังเกตุจากการทำความรู้สึกตัวก่อนนอนและทำจนหลับไป พบว่าจะไม่มีอาการฝันใดๆ และจะมารู้สึกตัวอีกทีตอนใกล้รุ่ง พอคลายจากความรู้สึกตัว(ออกฐาน)ก็เริ่มมีความฝันทันทีครับ
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    มีข้อสังเกตุจากการทำความรู้สึกตัวก่อนนอนและทำจนหลับไป พบว่าจะไม่มีอาการฝันใดๆ

    +++ การอยู่กับ ความรู้สึกตัว ย่อมถือว่า อยู่กับสติ ยามที่อยู่กับสติ ย่อมไม่มีการ หลง (ฝันอันมาจากการปรุงแต่ง) เป็นธรรมดา

    และจะมารู้สึกตัวอีกทีตอนใกล้รุ่ง พอคลายจากความรู้สึกตัว(ออกฐาน)ก็เริ่มมีความฝันทันทีครับ

    +++ การออกมาจากฐาน คือ การกลับออกมาสู่ โลกียะแห่งกามาวจร ก็ย่อมเริ่ม ฝัน ไปตามภพภูมิที่ ตน อยู่ในขณะนั้น ๆ นั่นเอง
    +++ หากการฝึกจน สติ เริ่มเป็นธรรมชาติเมื่อไร ก็ให้สังเกตุที่ ความฝัน นั้น ๆ ว่า จริง ๆ แล้วมัน ใช่ สิ่งที่เรียกว่า ฝัน หรือไม่
    +++ ในขณะนี้ ยังไม่ต้องหาคำตอบ ไว้รอจน สติ เริ่มเป็นธรรมชาติเมื่อไร ก็จะเริ่มรู้ได้เอง นะครับ
     
  9. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    พี่คะ
    เมิลสงสัยคะ
    1.เราต้องดับดัวดูในกรณีไหนบ้างคะ เช่น เราเพลินไปกับความคิดอะไรแบบนั้นหรือคะ เพราะหลายๆครั้งเรา"รู้"อยู่ แต่เราก็ไม่ได้ดับหรือแทรกแซงอะไร เพราะสิ่งที่"รู้"ไม่ใช่เรา
    2. เวลาที่เรามองอะไรสักอย่าง ตัวดูจะมาอยู่ที่ตาเราใช่ไหมคะ มันคือสิ่งที่เชื่อมโลกข้างนอกกับข้างใน แต่เวลาที่ได้ยินอะไรกลับรู้สึกว่าตัวดูวิ่งออกไปที่ต้นตอเสียงไม่ได้อยู่ที่ีหู เหมือนเวลามองเห็น
    3. ขอถามเรื่องความฝันบ้าง ความฝันช่วงกำลังจะหลับแต่ยังไม่หลับสนิทได้ยินเป็นเสียงพูดเรื่องโน้นเรื่องนี้มีหลายเสียง เหมือนคนหลายคนคุยกัน อันนี้ใช่ตัวพูดมากหรือเปล่าคะพี่
    4. เรื่องกาย ที่พี่บอกว่าจิตอยู่กับอะไรอันนั้นคือกาย ถ้ายังงั้นสักกายทิฐิ ต้องตัดกายตัวไหนคะพี่

    เป็นเจ้าหนูจำไมมากเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2014
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    พี่คะ
    เมิลสงสัยคะ
    1.เราต้องดับดัวดูในกรณีไหนบ้างคะ เช่น เราเพลินไปกับความคิดอะไรแบบนั้นหรือคะ เพราะหลายๆครั้งเรา"รู้"อยู่ แต่เราก็ไม่ได้ดับหรือแทรกแซงอะไร เพราะสิ่งที่"รู้"ไม่ใช่เรา

    +++ จริง ๆ แล้ว การดับตัวดูนั้นไม่มีกรณีอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่ควร "ทำให้เป็นนิสัย" เท่านั้น เพื่อเพิ่มความคุันเคยในการ "เป็นสภาวะรู้บริสุทธิ์ ที่ไร้สภาวะอื่นเจือปน หรือเรียกกันว่า เป็นสภาวะที่ ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตั้งอยู่ไม่ได้" เมื่อคุ้นเคยกับ "สภาวะรู้" แล้ว ก็จะรู้ได้เองว่า สภาวะแห่งการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่สามารถเข้ามาเจือปนได้ใน "สภาวะรู้" นี้

    2. เวลาที่เรามองอะไรสักอย่าง ตัวดูจะมาอยู่ที่ตาเราใช่ไหมคะ

    +++ ไม่จำเป็นเสมอไป "ตัวดู" จะทำการ "ดู" ไปยังจุดที่สนใจ อาจเป็นทั้งทาง ซ้าย ขวา หน้า หลัง บน ล่าง ได้ทั้งหมด
    +++ แรก ๆ ให้จับสังเกตุ "ตัวดู" โดยการ "ทำความรู้สึก" ไปที่ ศอกซ้าย ศอกขวา เข่าซ้าย เข่าขวา หูซ้าย หูขวา ตามแนวกระดูกสันหลังทีละข้อ ในขณะที่ "ทำความรู้สึก" ก็ให้ "รู้ทั้งตัว เพื่อเอาสภาวะรู้ คลุมร่างไว้ก่อน" แต่จับไปที่ "ตัวดู" ก็จะรู้ตำแหน่งที่ถาวรของมันได้ไม่ยาก

    มันคือสิ่งที่เชื่อมโลกข้างนอกกับข้างใน แต่เวลาที่ได้ยินอะไรกลับรู้สึกว่าตัวดูวิ่งออกไปที่ต้นตอเสียงไม่ได้อยู่ที่ีหู เหมือนเวลามองเห็น

    +++ ใช่ เวลาที่ตัวดูวิ่งออกไปยังเสียง (จิตส่งออกไปยังเสียง) นั้นสามารถจับอาการได้ชัดกว่า เพราะ "ไม่มีภาพเข้ามาทับซ้อน" เหมือนตัวดูวิ่งไปเห็นภาพ

    3. ขอถามเรื่องความฝันบ้าง ความฝันช่วงกำลังจะหลับแต่ยังไม่หลับสนิทได้ยินเป็นเสียงพูดเรื่องโน้นเรื่องนี้มีหลายเสียง เหมือนคนหลายคนคุยกัน อันนี้ใช่ตัวพูดมากหรือเปล่าคะพี่

    +++ ตรงนี้ "ไม่ใช่ตัวพูดมากของเรา" แต่ "สติ" ของเรา "ลงไปอยู่ใน ชุมสาย (network) ของตัวพูดมากของสาธารณะชน" ดังนั้นจึง "เหมือนคนหลายคนคุยกัน" แต่ความเป็นจริงแล้ว มันคือ "ตัวพูดมาก ส่งออก ของคนหลายคน" ซึ่งต่างคนต่างพูด และไม่มีใครฟังใคร

    +++ มีคำกล่าวกันในหมู่ "มหายาน" ว่า พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ท่านตั้งจิตรับฟัง "เสียงของสรรพสัตว์ทั้งปวง" อยู่นั้น ตอนนี้คงเข้าใจแล้วนะว่าท่าน "ฟังอย่างไร" การตั้งจิตตรงนี้ "มีได้ ตามความเป็นจริง ของผู้ที่ รู้ วิธีทำเท่านั้น"

    +++ แม้ว่าเราไม่ได้ปรารถนาความเป็นพระโพธิสัตว์ แต่นักศึกษาแห่งมหาวิทยาลัย "สติปัฏฐาน 4" จะฝึกเอา ญาณแห่งพระโพธิสัตว์ ตรงนี้เอาไว้เล่นดูสักพักก็ได้ เผื่อเอาไว้ใช้ให้เป็นประโยชน์ในวันข้างหน้าได้

    4. เรื่องกาย ที่พี่บอกว่าจิตอยู่กับอะไรอันนั้นคือกาย ถ้ายังงั้นสักกายทิฐิ ต้องตัดกายตัวไหนคะพี่

    +++ "สักกายทิฐิ" คือการที่ "จิตยึดเอา สภาวะต่าง ๆ มาเป็นตน" และยามใดที่ "สัพเพธรรมา อนัตตา" (เคยฝึกผ่านมาแล้ว) ยามนั้น "เราไม่ใช่สรรพสิ่ง และ สรรพสิ่งไม่ใช่เรา" ตรงนั้นแหละคือ "หมดสักกายะทิฐิ" คือ ไม่มีอะไรเป็นเรา และ เราไม่ได้เป็นอะไร ดังนั้น "ไม่ได้ตัดที่ object แต่ตัดที่ connection ต่างหาก"

    +++ สรรพสิ่ง มีอยู่ตามความเป็นจริงที่มันมี เราไม่ได้ไปตัดอะไรที่สรรพสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น เพียงแต่เรา "ไม่ส่งออก" "ไม่ยึดประกบจนมันเป็นเรา" ก็เท่านั้นเอง และ วิธีทำง่าย ๆ ก็คือ "เราอยู่ตรงไหน ก็ทำ เรา ตรงนั้นให้ถูกรู้"

    +++ จากการฝึก "อยู่-ย้าย" มาแล้วก็น่าจะทำได้ไม่ยากนะ "อะไรก็ตามที่เป็น ตน ในขณะนั้น ๆ ก็ย้ายออกมาจากมันซะ" หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง ก็ไม่เป็นไร ฝึก "ย้าย" มาอยู่กับสภาวะรู้บริสุทธิบ่อย ๆ ก็จะชัดเจนไปเองแหละ

    เป็นเจ้าหนูจำไมมากเลย

    +++ เป็นเจ้าหนู "จำ" สู้เจ้าหนู "ทำ" ไม่ได้นะ
     
  11. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    พี่คะ เมิลมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ "สักแต่ว่ารู้" กับ "รู้ ละ วาง" คะ ว่าวิธีปฎิบัติมันเป็นอย่างไรแตกต่างกันอย่างไร แล้วผลของการปฏิบัติเป็นอย่างไรคะ เห็นกระทู้อื่นเขาคุยกันเลยสงสัย
    เพราะเมิลพอมาเทียบกับผลของการปฎิบัติที่ผ่านมามันก็ไม่ใช่ทั้งสองคำซะทีเดียว เมิลก็รู้ทุกอย่างแต่สิ่งเรารู้ไม่ได้เขามาในใจเรา เพราะมันอยู่กันคนละส่วน เมิลรู้ว่า อารมณ์ ความคิด ความรู้สึก กับเราเป็นคนละส่วนกัน เมิลรู้ว่าเวทนา สัญญา สังขาร ทำงานเกี่ยวพันเชื่อมโยงกันยังไง เมิลรู้ว่าอะไรอยู่เบื้องหลังความคิดแบบนี้ ซึ่งเมิลก็ไม่ได้ "สักแต่ว่ารู้" หรือ "รู้ ละ วาง" อะไรคะพี่ มันเป็นรู้ปกติธรรมดานี่แหละ

    เมิลรู้แล้วว่าเวลาที่รู้สึกหวิว ๆ คือ มีลมหมุนวนอยู่ตรงแถวเหนือสะดือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2014
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    พี่คะ เมิลมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ "สักแต่ว่ารู้" กับ "รู้ ละ วาง" คะ

    +++ พูดแบบ "การใช้ภาษาให้ตรงกับอาการที่เกิด" ก็จะได้ความว่า "สักแต่ว่ารู้" เป็นส่วนของ "อาการ" ส่วน "รู้ ละ วาง" เป็นเรื่องของ "เจตนา"

    ว่าวิธีปฎิบัติมันเป็นอย่างไรแตกต่างกันอย่างไร แล้วผลของการปฏิบัติเป็นอย่างไรคะ เห็นกระทู้อื่นเขาคุยกันเลยสงสัย

    +++ "สักแต่ว่ารู้" คือ "รู้โดยจิตไม่ส่งออก" (ผลลัพธ์จากการ อยู่กับฐาน)
    +++ "รู้ ละ วาง" คือ "จิตส่งออกไปแล้ว แล้วจึงตัดกระแสส่งออกที่เรียกว่า ละ ส่วนการ วาง เป็นผลลัพธ์จากการ ละ"
    +++ ผลลัพธ์คล้าย ๆ กัน คือ "ไม่ยึด" ในส่วนของ "สักแต่ว่ารู้" จัดอยู่ในประเภท "ป้องกัน" ส่วน "รู้ ละ วาง" จัดอยู่ในประเภท "แก้ไข"

    เพราะเมิลพอมาเทียบกับผลของการปฎิบัติที่ผ่านมามันก็ไม่ใช่ทั้งสองคำซะทีเดียว เมิลก็รู้ทุกอย่างแต่สิ่งเรารู้ไม่ได้เขามาในใจเรา เพราะมันอยู่กันคนละส่วน

    +++ วิธีการที่ผมให้ฝึกนั้น "แตกต่าง" จากวิธีการฝึกของผู้อื่น ของผู้อื่นนั้น มากกว่า 90 % มักจะแยก สติ ออกจาก สมาธิ แต่วิธีของผมคือ "ทำสติ ให้เป็น สมาธิ โดยการตั้งมั่นอยู่กับ ฐานใดฐานหนึ่งของ มหาสติปัฏฐาน 4"

    +++ ผลลัพธ์จากการฝึก "ปัฏฐาน" (ตั้งมั่น) จึงแตกต่างออกจากการฝึกด้วยวิธีอื่นโดยสิ้นเชิง การตั้งฐานอยู่แต่เพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง ไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด จัดเป็นเพียงแค่ "อนุสติปัฏฐาน" แต่ถ้าหากครอบคลุมร่างกายทั้งหมดทั่วทั้งตัวแล้ว จึงเป็น "สติที่ครอง มหาปัฏฐาน"

    +++ การทำ สติ ให้ครองได้ทั่วทั้งกายทำให้ "รู้ ทั้งภายนอกและภายในกาย" จากกายเนื้อ (นิรมาณกาย รูปหยาบ) สู่กายเวทนา (นามหยาบ) สู่กายจิต (รูปละเอียด) และ กายธรรมารมณ์ (นามละเอียด) จนถึง "สภาวะรู้" ที่ไร้ รูป-นาม ทั้งหมด

    +++ การฝึก สติ ให้ครอง "มหาฐาน" (ทั้งตัว) จนเป็น "ปัฏฐาน" (ตั้งมั่น) ได้นี้ เป็นวิธีเดียวเท่านั้นในการเรียนรู้ในเรื่องของ "มหาปัฏฐาน" (มีลิ้งค์ข้างล่าง)

    +++ มีคำพูดของ หลวงปู่มั่น ที่บันทึกไว้โดย หลวงปู่หลุย ตอนหนึ่งดังนี้ "สติปัฏฐานเป็นความรู้อนันตนัย หาประมาณมิได้ ไม่เหมือนความรู้ชนิดอื่น สนทิฏฐิโก เห็นด้วยเฉพาะนักปฏิบัติ ปจจตตํ รู้เฉพาะในดวงจิต รู้ธรรมลึกลับสุขุมคัมภีรภาพ"

    เมิลรู้ว่า อารมณ์ ความคิด ความรู้สึก กับเราเป็นคนละส่วนกัน เมิลรู้ว่าเวทนา สัญญา สังขาร ทำงานเกี่ยวพันเชื่อมโยงกันยังไง เมิลรู้ว่าอะไรอยู่เบื้องหลังความคิดแบบนี้ ซึ่งเมิลก็ไม่ได้ "สักแต่ว่ารู้" หรือ "รู้ ละ วาง" อะไรคะพี่ มันเป็นรู้ปกติธรรมดานี่แหละ

    +++ เมิลฝึกมาในแนวของ "มหาปัฏฐาน" ซึ่งมีอานิสสงค์แตกต่างไปจากการฝึกอย่างอื่นอย่างมากมาย ยกตัวอย่างง่าย ๆ เอาแค่ บทที่ 1 ที่ผมสอน "สัพเพธัมมาอนัตตา" ที่สวนจัตุจักร สภาวะที่ สรรพสิ่งแยกตัวออกจากกัน และอยู่ใน มิติใครมิติมัน แบบโดยสิ้นเชิงนั้น "เคยมีกล่าวไว้ในการฝึกของผู้ใดบ้าง" และบทที่ 2 ของการฝึกคือ "จิตเปล่งรังสี ของ อาภัสสระพรหม" เคยมีใครสอนการเดินจิตเข้าสู่ตรงนี้บ้าง

    +++ การฝึกในบทที่ 1+2 นั้น เป็นภาคบังคับพื้นฐาน หากผ่าน 2 บทนี้ไม่ได้ ก็หมดโอกาสในการฝึก "มหาปัฏฐาน" โดยสิ้นเชิง แต่เมิลผ่านตรงนี้มาแล้ว ดังนั้น อาการที่ว่า "สักแต่ว่ารู้ หรือ รู้ ละ วาง" นั้นยังไม่มาถึงตรงนี้

    +++ อาการของเมิลใน ระดับตรงนี้เป็น "รู้แบบ รู้เรื่อง และไม่จำเป็นต้องละหรือวาง โดยไม่มีอิทธิพลจากสิ่งนั้น ๆ เข้ามาครอบงำอะไรได้" ซึ่งเริ่มเป็น สติในระดับที่ 8. "อยู่กับรู้" แต่สิ่งที่ถามมานั้นยังเป็นสติในระดับที่ 2-3 อยู่

    เมิลรู้แล้วว่าเวลาที่รู้สึกหวิว ๆ คือ มีลมหมุนวนอยู่ตรงแถวสะดือ

    +++ ตอนยังอยู่ในท้อง เวลาหิวก็ต้องรับอาหารทาง "สะดือ" ทุกคน ให้ครองฐานที่ กายธรรมารมณ์ (ตัวดู) แล้วเรียนรู้ "ลมหมุนวนอยู่ตรงแถวสะดือ" นี้ให้ดี อาจได้ความรู้ที่ไม่ซ้ำแบบใครก็ได้

    เรื่องของ "มหาปัฏฐาน" และอานิสสงค์ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

    มหาปัฏฐาน - วิกิพีเดีย
     
  13. naris520

    naris520 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +56
    สวัสดีค่ะท่านธรรม-ชาติ ท่านธรรม-ชาติสบายดีนะค่ะ ไม่ได้เข้ามาซะนาน วันนี้มีเรื่องมาถามท่านธรรม-ชาติด้วยค่ะ ช่วงนี้เวลานั่งสมาธิมักจะเจอกับสภาวะนี้บ่อยค่ะ ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไรแล้วถ้ายังเจริญต่อไปเรื่อย ๆ ผลจะเป็นอย่างไรบ้างค่ะ ในส่วนของรูปกายไม่ค่อยจะรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของรูปกาย เมื่อก่อนจะรู้สึกได้ถึงพลังงานที่มีความหนักซึ่งถ้าพิจารณาตามความเป็นธาตุ น่าจะมีลักษณะของธาตุดินในสัดส่วนที่สูง รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของพลังงาน ปัจจุบันก็ยังคงรู้สึกได้ถึงพลังาน แต่เป็นพลังงานที่โปร่ง โล่ง สบาย ไม่หนัก นุ่มขึ้น สบายขึ้น ไม่ค่อยเคลื่อนไหว ทำให้เวลานั่งสมาธิมีอยู่แค่ความรู้สึกที่เด่นชัดมาก ในการพิจารณาจึงใช้หลักการของการใช้สิ่งหนึ่ง(สิ่งที่ถูกรู้) เพื่อรู้อีกสิ่งหนึ่ง(ผู้รู้) ขอยกเป็นตัวอย่างนะค่ะ เช่น เมื่อรู้สึกว่าคิดก็จะเพ่งประเด็นไปที่ความรู้สึกว่าใครเป็นคนคิดก็จะพบว่าเราเป็นผู้คิด เมื่อรู้สึกก็จะเพ่งความรู้สึกไปดูว่าใครเป็นผู้รู้สึกก็จะพบว่าเราเป็นผู้รู้สึก เมื่อเจอความรู้สึกว่าเราเป็นผู้ดู ผู้กระทำแล้ว ก็ระลึกลงไปใหม่ว่าความรู้สึกว่าเราไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงธาตุ ลบความรู้สึกว่าเราออกไปแทนที่ด้วยความรู้สึกว่าเป็นเพียงธาตุ ความรู้สึกว่าเราก็จะหายไปแว๊บหนึ่ง เมื่อรู้สึกถึงความเป็นเราเกิดมาใหม่อีกก็ระลึกว่าธาตุทับไปอีก ความรู้สึกว่าเราก็จะหายไปอีก ทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอสภาวะหนึ่ง คือ ความรู้สึกว่าเรารู้หายไป มีแต่รู้ แต่ไม่รู้ว่ารู้อะไร จะว่าหลับก็ไม่ใช่เพราะมันยังรู้ แต่ไม่รู้ว่ามันรู้อะไร จำสิ่งทีีถูกรู้ไม่ได้ อย่างนี้เค้าเรียกว่าอะไรค่ะ หากยังคงเจริญต่อไปเรื่อย ๆ จะมีผลเป็นอย่างไรบ้างค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2014
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    สวัสดีค่ะท่านธรรม-ชาติ ท่านธรรม-ชาติสบายดีนะค่ะ ไม่ได้เข้ามาซะนาน วันนี้มีเรื่องมาถามท่านธรรม-ชาติด้วยค่ะ ช่วงนี้เวลานั่งสมาธิมักจะเจอกับสภาวะนี้บ่อยค่ะ ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไรแล้วถ้ายังเจริญต่อไปเรื่อย ๆ ผลจะเป็นอย่างไรบ้างค่ะ

    ในส่วนของรูปกายไม่ค่อยจะรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของรูปกาย เมื่อก่อนจะรู้สึกได้ถึงพลังงานที่มีความหนักซึ่งถ้าพิจารณาตามความเป็นธาตุ น่าจะมีลักษณะของธาตุดินในสัดส่วนที่สูง รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของพลังงาน ปัจจุบันก็ยังคงรู้สึกได้ถึงพลังาน แต่เป็นพลังงานที่โปร่ง โล่ง สบาย ไม่หนัก นุ่มขึ้น สบายขึ้น ไม่ค่อยเคลื่อนไหว ทำให้เวลานั่งสมาธิมีอยู่แค่ความรู้สึกที่เด่นชัดมาก

    +++ ในส่วนของ "รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของพลังงาน" นั้น ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ปิติ ที่มีปรากฏในขณะที่อยู่ใน ฌาน 2 และในยามใดที่ถึง ฌาน 3 สภาวะ ปิติ จะเปลี่ยนไปเป็น สุข สบาย ใสเป็นแก้ว เมื่อถึงตรงนี้ "ให้สังเกตุให้ดีว่า" จะมีอาการ "ยิ้มน้อย ๆ เหมือนพระพุทธรูป" บนใบหน้าของเรา ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเจตนาในการยิ้ม ตรงนี้ภาษาบาลีเรียกว่า "หสิตุปบาท" อาการนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ "สติ เข้าไปครองตัวในฌาน 3 เท่านั้น"

    +++ ตรงนี้ "สติ จะเป็นลักษณะเด่น โดยมีความสบาย (อารมณ์) เป็นลักษณะรอง" คำว่า "พิจารณา" ในระดับนี้ "จะไม่ใช่การพิจารณาแบบปกติ" ตรงนี้ผมใช้คำว่า "การเดินจิต" แทน เพราะตรงนี้เป็นเรื่องโดยตรงกับ "การกำหนดจิต และ ผลลัพธ์โดยตรงที่เกิดจากการกำหนดนั้น ๆ" ดังจะกล่าวต่อไปยังข้างล่างนี้

    ในการพิจารณาจึงใช้หลักการของการใช้สิ่งหนึ่ง(สิ่งที่ถูกรู้) เพื่อรู้อีกสิ่งหนึ่ง(ผู้รู้)

    +++ ตรงนี้เรียกว่า "การเดินจิต" เพราะเป็นการ "กำหนดให้สิ่งหนึ่งเกิดขึ้น" (ใช้ขันธ์) แล้ว "กำหนด ย้าย ออกมาจากผู้กำหนด" (ตัวดู-ผู้รู้)(อยู่-ย้าย ของ วสี 5) ทำให้ "ตัวดู-ผู้รู้" กลายมาเป็น "ถูกรู้"

    +++ ตรงนี้เป็น "การเดินจิต" ออกจาก "ผู้รู้" และทำให้ "ผู้รู้ ถูกรู้" ตรงนี้ผมไม่ใช้คำว่า "พิจารณา" ในยุคนี้สมัยนี้ แต่ในสมัยยุคของ หลวงปู่มั่น ตรงนี้ท่านใช้คำว่า "พิจารณา" ตามยุคของท่าน ซึ่ง "ไม่ใช่การคิด" แต่ในยุคนี้คำว่า "พิจารณา" ได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและได้กลายมาเป็น "ความคิด" ไปเกือบทั้งหมดแล้ว

    กระบวนการของคุณ ต่อลงไปข้างล่างนี้ ผมจะใช้ "การ MAP จิต" เพื่อเป็น "การใช้ภาษาให้ตรงตามอาการ ทางเดินของจิต" ดังนี้

    ขอยกเป็นตัวอย่างนะค่ะ เช่น (ผมจะเริ่มกระบวนการ MAP จิต จากประโยคต่อประโยคละนะ)

    เมื่อรู้สึกว่าคิดก็จะเพ่งประเด็นไปที่ความรู้สึกว่าใครเป็นคนคิดก็จะพบว่าเราเป็นผู้คิด

    +++ ตรงนี้เป็นการ "กำหนดคิด" เพื่อให้รู้ว่า "อาการของ ผู้กำหนด" เป็นอย่างไร ตรงนี้เป็น "เจตนา" วิธีเดินจิตของคุณแบบ "วาระจิต ต่อ วาระจิต" เป็นดังนี้

    +++ 1. กำหนดให้ความคิดเกิด ด้วยการใช้ "สัญญา+สังขารขันธ์" พูดแบบสั้น ๆ คือ "เป็นการ ใช้ขันธ์" ให้ "ผลิตความคิด" อาการตรงนี้จะมี "การ scan ของจิตเกิดขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงเกิด การจับ แล้วปรุงให้เป็น ความคิด"

    +++ 2. ขณะที่ "ความคิดเกิดแล้ว" จึง "ย้ายสภาวะรู้ ออกมาจากผู้สร้างความคิด" จึงทำให้ "สติเห็น ได้ชัดเจนว่า" สภาวะที่เรียกว่า "ตน" เป็นผู้สร้างความคิด

    เมื่อรู้สึกก็จะเพ่งความรู้สึกไปดูว่าใครเป็นผู้รู้สึกก็จะพบว่าเราเป็นผู้รู้สึก เมื่อเจอความรู้สึกว่าเราเป็นผู้ดู ผู้กระทำแล้ว

    +++ ตรงนี้แล... "ตัวดู" คงชัดเจนในคำพูดของผมที่เรียกว่า "ตัวดู-ผู้รู้" แล้วนะครับ มันคือ "ตัวเรา-ตัวปลอม" นั่นเอง

    ก็ระลึกลงไปใหม่ว่าความรู้สึกว่าเราไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงธาตุ

    +++ การใช้ภาษา ในประโยคนี้ ยังไม่ถูกต้อง
    +++ ตามความเป็นจริงแล้ว "ความรู้สึกว่า ตัวเราเป็นเพียงธาตุ" นั้น "เกิดจาก การระลึก หรือ เกิดจากการที่เรา เห็นตัวดู" กันแน่ เพราะ "ตัวดู มันเป็นเพียงก้อนธาตุก้อนหนึ่ง" เท่านั้น

    +++ ตรงนี้ เกิดจากการที่ "สติเห็นตัวดู" แล้วรู้ว่า "ตัวดูเป็นก้อนธาตุ" ใช่หรือไม่ ตรงนี้ในขณะจิตนั้น ๆ "ไม่ใช่การระลึก" อย่างแน่นอน แต่เป็น "การตระหนักชัด" มากกว่า การใช้ภาษาตรงนี้ ลำบากมาก และการใช้ "ภาษาตามปกติมาอธิบาย" ก็จะทำให้ผู้ฟังไขว้เขวไปได้ง่าย ๆ

    ลบความรู้สึกว่าเราออกไปแทนที่ด้วยความรู้สึกว่าเป็นเพียงธาตุ

    +++ ตรงนี้คือ "ออกมาจาก ตน" แล้วจึง "เห็นตนเป็นเพียงธาตุ" ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่ การนึกลบออก แบบปกติ)

    ความรู้สึกว่าเราก็จะหายไปแว๊บหนึ่ง

    +++ เมื่อ "ออกมาจาก ตน แล้ว" ตนจึงหายไป ใช่หรือไม่ (ใช้ภาษาให้ตรงตามอาการที่เกิดขึ้นด้วย)

    เมื่อรู้สึกถึงความเป็นเราเกิดมาใหม่อีกก็ระลึกว่าธาตุทับไปอีก ความรู้สึกว่าเราก็จะหายไปอีก

    +++ เมื่อธาตุเกิดขึ้นมา แล้ว เข้าไป "อยู่" ในธาตุ ตนจึงเกิดขึ้น ใช่หรือไม่
    +++ เมื่อ ออกมาจากตน จึงเห็น "ตนกลับเป็นธาตุ" แล้ว ความเป็นตน ย่อมหายไป ใช่หรือไม่
    +++ กระบวนการนี้ เป็นการซ้อม "การวางขันธ์ แล้ว ทำให้ขันธ์ดับไป" ควร ทำให้ชำนาญในชีวิตประจำวันเอาไว้ด้วย

    ทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอสภาวะหนึ่ง คือ ความรู้สึกว่าเรารู้หายไป มีแต่รู้ แต่ไม่รู้ว่ารู้อะไร จะว่าหลับก็ไม่ใช่เพราะมันยังรู้ แต่ไม่รู้ว่ามันรู้อะไร

    +++ เหลืออยู่แต่ "รู้" โดยไม่มี "เรา" ตรงนี้แหละที่ผมเรียกมันว่า "สภาวะรู้" หากจะพูดว่า "เรา" แล้ว ตรงนี้แหละที่เป็น "เราตัวจริง" ส่วน ตัวดูนั้นเป็น "เราตัวปลอม"

    จำสิ่งทีีถูกรู้ไม่ได้

    +++ จริง ๆ แล้วในขณะนั้น ๆ "สิ่งที่ถูกรู้ ไม่สามารถปรากฏได้"
    +++ สภาวะรู้อันบริสุทธิ์ นั้น ไม่สามารถที่จะมี ธาตุอะไรตั้งอยู่ได้เลย

    อย่างนี้เค้าเรียกว่าอะไรค่ะ

    +++ ยกคำศัพท์ที่กล่าวขานถึงตรงนี้ ทิ้งไปก่อน เพราะมี การบ้านให้ทำ ให้เข้าไปสู่ "สภาวะรู้" อันนี้ แล้วสำรวจให้ดี ๆ ว่า

    +++ 1. ความทุกข์ สามารถปรากฏในสถานที่นี้ ได้หรือไม่
    +++ 2. สภาวะนี้ มีมาก่อน "ตน" หรือไม่
    +++ 3. สภาวะนี้ สามารถ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้หรือไม่
    +++ 4. ยามที่เรา "วาง หรือ ดับ ตัวดูทิ้งไปแล้ว" เราคือใคร

    หากยังคงเจริญต่อไปเรื่อย ๆ จะมีผลเป็นอย่างไรบ้างค่ะ

    +++ ให้อ่านทบทวนอีกรอบ ใช้ภาษาให้ตรงตามอาการ ทำการบ้านทั้ง 4 ข้อให้เสร็จ จนแน่ชัดประจักษ์แก่ใจ แบบสิ้นสงสัยในสภาวะธรรมตรงนี้ แล้วจะตอบให้ชัดเจนเลยทีเดียว ว่า "เป็นอะไร และ มีผลอย่างไร"

    +++ ขออนุโมทนาด้วย นะครับ
     
  15. naris520

    naris520 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +56
    สวัสดีค่ะท่านธรรม-ชาติ ขอบคุณสำหรับการบ้านค่ะ ถือว่าเป็นโอกาสอันดีเลยค่ะ มีเพื่อนชวนไปเข้าปริวาสเดือนหนึ่ง ได้การบ้านของท่านธรรม-ชาติไปฝึกทำด้วย ถ้ากลับมาแล้วได้ผลอย่างไรจะมาเล่าให้ฟังนะค่ะ ท่านธรรม-ชาติ มีอะไรแนะนำอีกหรือเปล่าค่ะ ครั้งนี้ไปหลายวันน่าจะมีเวลาฝึกอะไรได้เยอะค่ะ
     
  16. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ไม่ว่าจะฝึกอะไรก็ตาม ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับ การบ้านทั้ง 4 ข้อนั้น คือ

    เมื่อ "อยู่ในสภาวะรู้บริสุทธิ์"

    1. ความทุกข์ สามารถปรากฏในสถานที่นี้ ได้หรือไม่
    2. สภาวะรู้อันบริสุทธิ์นี้ มีมาก่อน "ตน" หรือ "สภาวะที่เป็นตัวเรา" หรือไม่
    3. สภาวะนี้ มีใครสามารถทำให้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้หรือไม่
    4. ยามที่เรา "วาง หรือ ดับ ตัวดูทิ้งไปแล้ว" เราคือใคร

    +++ ทำการบ้านทั้ง 4 ข้อนี้ให้ "รู้แจ้ง ชัดเจน ประจักษ์แก่ใจ จนสิ้นสงสัย" ใน "สภาวะรู้" อันนี้ เท่านั้นนะครับ
    +++ แม้กระทั่ง "ครูบาอาจารย์ ที่ควบคุมการเข้าปริวาส" ก็ไม่ต้องไปถาม
    +++ ให้ถือเสียว่า "เราไปขอยืม สถานที่ทำการบ้านตรงนี้เฉย ๆ เท่านั้น"
    +++ ให้ทำการบ้านนี้เงียบ ๆ ไม่ต้องบอกใคร เพื่อเป็นการป้องกันการ "ปรามาส" จากผู้ที่ไม่รู้เรื่อง เพราะจะเป็น "กรรมขนาดหนัก และ รุนแรง" ต่อผู้ที่เข้ามาขัดขวาง

    +++ ขอให้มุ่งมั่นในการ "ทำการบ้าน" ทั้ง 4 ข้อนี้ให้สำเร็จ นะครับ
    +++ ในยามที่สิ้นสงสัยแล้ว ย่อมมี "จิตอื่น" เข้ามาร่วมอนุโมทนาด้วยเสมอไป ให้ตั้งจิต "อนุโมทนากลับไป" ยังท่านเหล่านั้นด้วย นะครับ
     
  17. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    สวัสดีคะพี่
    เมิลกำลังฝึกรู้ตัวดูอย่างคร่ำเคร่งกับการดูหนังฟังเพลง เลยยังไม่ไปไหนเท่าไหร่ คือยังไม่เห็น/รู้สึกการวูบไหวบ่อย รู้สึกบ้างแต่ยังไม่บ่อย ส่วนใหญ่เมิลจะรู้ตัวตอนดูหนังว่าตัวเกร็งอยู่ พอรู้ตัวก็กลับมาเป็นปกติ หรือตอนฟังเพลงว่ามีพลังพุ่งขึ้นมาจากแถว ๆ ท้อง แบบนี้นะคะ

    ช่วงนี้บางทีก็ฝันว่าพี่มาสอนอะไรในฝันด้วย แต่ตื่นมาจำไม่ได้ว่าสอนอะไร

    เวลาที่ทำรู้คลุมตัว จะไม่มีความคิดอะไรเหมือนตอนสติเต็มฐาน แต่มันต่างกันนิดหนึ่งตรงที่เราที่รู้อยู่กับร่างกายที่รู้คลุมอยู่เป็นคนละส่วนกัน ในขณะที่ตอนที่สติเต็มฐานมีความเป็นเราเป็นฐานในกายชัดเจน

    ทำไมเราถึงสามารถกำหนดจิตให้รู้คุลมตัวได้คะ เมิลสงสัยแค่คิดให้รู้คุลมตัวก็สามารถทำได้ มันเหมือนเราเรียกอะไรบางอย่างในอากาศให้มาคลุมตัวเราเอาไว้ ทำไมจิตเราถึงทำได้คะเพราะอะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2014
  18. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    สวัสดีคะพี่
    เมิลกำลังฝึกรู้ตัวดูอย่างคร่ำเคร่งกับการดูหนังฟังเพลง

    +++ ตัวดู "ดู" หนัง และ ตัวดู "ดู" เพลง ยามใดที่เรา "เป็นตัวดู" ยามนั้นเป็น "เราดูหนัง" ที่สำคัญที่สุดในขณะจิตนั้น ๆ คือ "ความเป็นเรา" สามารถปรากฏได้ชัดเจน
    +++ ยามใดที่ เรา เป็น "สภาวะรู้" ไม่ได้เป็น ตัวดู ยามนั้น หนังก็ยังเป็นหนัง อยู่อย่างเดิม แต่ความสำคัญมั่นหมาย ในความเป็นเรา ไม่ปรากฏ จะมีสภาพเป็น "รู้หนัง"

    +++ ในขณะที่ "อ่าน" อยู่นี้ ให้สังเกตุตรง "เราอ่าน" หรือ "เรารู้อาการอ่าน" ส่วนการ "เห็น" ตัวหนังสือในปัจจุบันขณะนี้ มันก็ "เห็น" อยู่ดี เหมือนเดิม และมีสภาพเป็น "รู้หนังสือ"

    เลยยังไม่ไปไหนเท่าไหร่ คือยังไม่เห็น/รู้สึกการวูบไหวบ่อย

    +++ วูป ขาออก คือ จิตส่งออก ส่วน วูปขาเข้า คือ มีสติกลับเข้ามา ทั้งสองทางล้วนเป็น "กิริยาจิต" ฝ่ายหนึ่งเป็น ขาดสติ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเป็น ต่อสติ

    รู้สึกบ้างแต่ยังไม่บ่อย ส่วนใหญ่เมิลจะรู้ตัวตอนดูหนังว่าตัวเกร็งอยู่

    +++ ตอนที่เกร็งนั้น เป็น "เราดูหนัง" และเป็น "ธรรมารมณ์ ข้างในหนัง" ไปแล้ว (จิตและเวทนาจิต เข้าไปจุติอยู่ใน ภพและภูมิของหนัง) เหลือแต่ กายซึ่งมี เวทนากาย "เกร็ง" อยู่ (เป็นทุกข์เวทนาชนิดหนึ่ง ไม่ใช่สุขเวทนา แน่นอน) เกร็งอยู่นานเท่าไร ก็ เสวยทุกข์เวทนานานเท่านั้น ยังโชคดีที่ "ยังมีกายมนุษย์" เป็นตัวถ่วงเอาไว้ จึงสามารถ "ดึงสติกลับมาได้ง่าย"

    +++ ตรงนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนได้ว่า "จิตส่งออก เป็นสมุทัย ผลลัพธ์ คือทุกข์" ของหลวงปู่ดูลย์ ชัดเจน

    พอรู้ตัวก็กลับมาเป็นปกติ หรือตอนฟังเพลงว่ามีพลังพุ่งขึ้นมาจากแถว ๆ ท้อง แบบนี้นะคะ

    +++ สิ่งที่ผุดขึ้นมาจากบริเวณลิ้นปี่ เป็น ธรรมารมณ์ภายนอกที่ "จรเข้ามา" สังเกตุดูดี ๆ ก็จะรู้ได้เองว่า มันเป็นสิ่งที่ถูกเรียกว่า "กิเลส" นั่นแหละ

    +++ ตรงนี้คือ "จิตเห็นจิต เป็นมรรค" ของหลวงปู่ดูลย์ อีกนั่นแหละ

    ช่วงนี้บางทีก็ฝันว่าพี่มาสอนอะไรในฝันด้วย แต่ตื่นมาจำไม่ได้ว่าสอนอะไร

    +++ ให้สังเกตุว่า "มีการสอน การเดินจิต พร้อมกับการคุมจิต ด้วยหรือไม่" หากไม่มี ก็น่าจะเป็น "ผู้อื่น" แต่ให้ดูที่ "เจตนา" เป็นหลัก

    เวลาที่ทำรู้คลุมตัว จะไม่มีความคิดอะไรเหมือนตอนสติเต็มฐาน

    +++ ตอนที่ "รู้คลุมตัว" ในสติที่พัฒนามาถึงตรงนี้จะกลายมาเป็น "รู้คลุมฐาน" ซึ่งฐานทั้ง 4 จะถูก "รู้" ครอบคลุมไว้ทั้งหมด
    +++ สังเกตุได้ว่า "ตัว" ที่ว่านั้น จะเป็นกายหรือเวทนากายก็ไม่ใช่ จะเป็นจิตหรือเวทนาจิต ก็ไม่เชิง แต่สามารถกล่าวอย่าง ครอบคลุมได้ว่า "ตน" ทั้งหมด "ถูกรู้"
    +++ และ "ตน" ตนนั้น "ไม่ใช่เรา" รวมทั้งความสำคัญมั่นหมายว่า "เป็นเรา" ก็ไม่ได้มีอยู่ ข้างใน ตนอันนั้น
    +++ อาจจะสำเหนียกอย่างลึก ๆ ได้ว่า เราเคย "อยู่ และ เป็น ตนอันนั้น" แต่ในปัจจุบันขณะนี้ "เรา" ไม่ได้ "อยู่ และ เป็น" ตนอันนั้นอีกแล้ว

    +++ อาการตรงนี้แหละ ที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านกล่าวไว้ว่า "อยู่กับรู้" (เพราะไม่ได้ อยู่กับตน ในขณะนั้น ๆ)

    แต่มันต่างกันนิดหนึ่งตรงที่เราที่รู้อยู่ กับร่างกายที่รู้คลุมอยู่ เป็นคนละส่วนกัน

    +++ ตรงนี้แหละคือ "อยู่กับรู้" ตรงตามที่หลวงปู่ดูลย์ กล่าวไว้นั่นแหละ ซึ่งเป็นสติระดับที่ 8 อันเป็นส่วนเหตุ ส่วนสติระดับที่ 9 จะเป็นส่วนของผล จากตรงนี้

    ในขณะที่ตอนที่สติเต็มฐานมีความเป็นเราเป็นฐานในกายชัดเจน

    +++ ถูกต้อง เพราะความเป็น "เรา" จะมีได้เพียงแค่ 4 ฐานเท่านั้น เพียงแต่ว่า "ความเป็นเรา" ในปางก่อนไม่เคย "ครองตน ร่วมกับสติภายในฐาน มาก่อนเลย" ดังนั้น แม้แต่ความเป็นตน ก็ไม่รู้จัก
    +++ แต่เมื่อฝึก "มหาสติปัฏฐาน" แล้ว ความสำเหนียกว่าเป็นตน จึงปรากฏชัดขึ้นไปตามฐานต่าง ๆ และท้ายสุดเจ้า "อัตตาจิต หรือ ตัวดู" กลายมาเป็น "ถูกรู้"
    +++ ยามใดที่ "ตัวดู ถูกรู้" มันจะจางคลายกลายมาเป็น "กายเวทนา" ที่ถูกซ้อนทับอยู่ใน "กายเนื้อ" รวมทั้ง "กายจิต และ กายธรรมารมณ์" ด้วย จนกล่าวได้แค่เพียงว่า "ตน" ทั้งหมด "ถูกรู้" เท่านั้น

    +++ ทั้งหมดกล่าวได้แต่เพียงว่า

    "สภาวะที่ถูกรู้ทั้งหมด ไม่มี ตน อยู่ในนั้น"
    "สภาวะที่รู้ทั้งหมด คือตนที่แท้ แต่ไม่มีความ เป็นตน อยู่ในนั้น"

    +++ ฟังดูคล้าย เซน แต่ไม่ใช่ เซน มันเป็นเพียงแค่ Report แบบหลวงปู่ดูลย์ ที่ตรง ๆ ตัวตามนั้น หากตีความเมื่อไร ก็เพี้ยนเมื่อนั้น นั่นแหละ

    ทำไมเราถึงสามารถกำหนดจิตให้รู้คุลมตัวได้คะ เมิลสงสัยแค่คิดให้รู้คุลมตัวก็สามารถทำได้ มันเหมือนเราเรียกอะไรบางอย่างในอากาศให้มาคลุมตัวเราเอาไว้ ทำไมจิตเราถึงทำได้คะเพราะอะไร

    +++ เพราะสภาวะที่เรียกว่า "เรา" นี่แหละ เป็น สภาวะที่บดบัง "สภาวะรู้" แต่จากการที่ฝึก สติ มาถึงตรงนี้แล้ว ยามใดที่กำหนด ตน ก็จะเป็น "ตนคลุมรู้" และยามใดที่กำหนด รู้ ก็จะเป็น "รู้คลุมตน"

    +++ เป็นอาการเดียวกันกับในพระไตรปิฏกที่กล่าวไว้ว่า "เอาจิตไว้ในกาย" หรือ "เอากายไว้ในจิต" และคำว่า "จิต" ในประโยคนี้ ตรงกันกับ "จิตคือพุทธะ" ของหลวงปู่ดูลย์ นั้นเอง

    +++ ให้ทำการบ้านแบบเดียวกันกับคุณ naris520 ทั้ง 4 ข้อ จนถึงขั้น "สิ้นสงสัยใน สภาวะรู้" นะครับ
     
  19. nokhook123

    nokhook123 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2014
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +10
    ขออนุญาตนำการบ้านทั้ง4ข้อนี้ไปปฎิบัติด้วยคนนะครับ
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ได้เลยครับ ตรงไหนติด หรือ ไม่ถนัด ก็โพสท์ถามมาได้เลย นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...