กระทู้นี้ ขอความรู้เรื่องโรคภัยที่มากับภัยพิบัติและวิธีรักษา ค่ะ!!!!

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย MissP, 27 มิถุนายน 2012.

  1. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    [​IMG]

    [​IMG]
     
  2. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2012
  3. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    [​IMG]
     
  4. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    [​IMG]
     
  5. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    [​IMG]
     
  6. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    อาหารมังสวิรัติสูตรเจ้าคุณนรฯ

    ปัจจุบันมีผู้นิยมรั<wbr>บประทานอาหารมังสวิรัติเป็<wbr>นจำนวนไม่น้อย เหตุผลเท่าที่ฟังมาก็คือย่อยง่<wbr>าย มีกากใยจากผัก ผลไม้มาก ทำให้ขับถ่ายสะดวก และรักษาศีล ๕ ข้อที่ ๑ คือปาณาติปาตาฯ ได้อย่างเคร่งครัด สิ่งที่น่าห่วงใยคือ สารพิษตกค้างในผัก ผลไม้ที่ล้างไม่สะอาด ความจริงผักปลอดสารพิษก็พอมี<wbr>ขายแต่หาซื้อยาก และมีราคาแพงเนื่องจากผู้ปลูกอ้<wbr>างว่าต้องลงทุนลงแรงสูงกว่าผั<wbr>กทั่วไป
    ผู้เขียนได้ทดลองรั<wbr>บประทานอาหารมังสวิรัติ<wbr>ในเทศกาลกินเจเดือนตุลาคมปีนี้ สามวันแรกรู้สึกภาคภูมิใจในข้<wbr>อที่ว่า เราเอาชนะใจตนเองได้ เพราะขณะที่สมาชิกในครอบครัวรั<wbr>บประทานอาหารปกติเราก็มองดูเฉยๆ โดยไม่เกิดความอยากแต่อย่างใด ยังไม่ทราบเหมือนกันว่<wbr>าจะเอาชนะใจตนเองได้<wbr>ครบตามเทศกาลหรือไม่ ถ้าไม่ครบก็ขออนุญาตเข้าข้<wbr>างตนเองโดยยกมรดกที่ ๑๑๗ ของท่านพุทธทาสมาปลอบใจ

    “มรดกที่ ๑๑๗ ชาวพุทธแท้ ไม่กินสิ่งที่หมายมั่นว่าเป็<wbr>นเนื้อหรือเป็นผักแต่กินอาหารที<wbr>่บริสุทธิ์ถูกต้อง สมควรแก่การกิน โดยความเป็นธาตุตามธรรมชาติ และกินเท่าที่จำเป็นจะต้องกิ<wbr>นเหมือนน้ำมันหยอดเพลารถ หรือการกินเนื้อบุตรของตนเองที่<wbr>ตายลงเมื่<wbr>อหลงทางกลางทะเลทรายเพื่อประทั<wbr>งชีวิติให้รอดออกไปได้เท่านั้น”

    ผู้เขียนได้อ่านประวัติ พระภิกษุ พระยานรรัตนราชมานิต พระอริยสงฆ์ซึ่งเป็นที่รู้จั<wbr>กและศรัทธากั<wbr>นมากโดยเฉพาะในวงการพระเครื่อง และพระพิมพ์ (ผู้เขียนประวัติคือ คุณอธึก สวัสดีมงคล) ที่ติดใจเป็นพิเศษคือตอนที่เล่<wbr>าถึงอาหารที่ท่านฉั<wbr>นตลอดระยะเวลา ๓๔ พรรษา น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับนักมั<wbr>งสวิรัติทั้งหลายจะได้<wbr>ทดลองอาหารมังสวิรัติสูตรใหม่ๆ ดูบ้างพระภิกษุ พระยานรรัตนราชมานิต เป็นพระที่มีวัตรปฏิบัติเคร่<wbr>งครัดมาก ท่านมีความมักน้อย ยินดีเพียงปัจจัย ๔ ที่จำเป็นเท่านั้น ท่านจึงไม่รับเครื่องไทยธรรมใดๆ ที่มีผู้นำมาถวาย ไม่รับแขกที่กุฏินุ่งห่มเพียงผ้<wbr>า ๓ ผืน ไม่ใช้ไฟฟ้าหรือตะเกียงในกุฏิ ในกุฏิของท่านไม่มีของใช้ฟุ่<wbr>มเฟือยเลย มีเพียงโครงกระดูก โลงศพ และหนังสือเท่านั้น
    ในด้านภัตตาหารนั้น แต่เดิมในระหว่างที่ท่านเป็<wbr>นนวกภิกขุท่านก็ออกรับบิ<wbr>ณฑบาตและฉันวันละ ๒ เวลาเช่นพระภิกษุทั่วไป
    ต่อมาก็เปลี่ยนไปฉันอาหารมังสวิ<wbr>รัติซึ่งทางบ้านจั<wbr>ดทำมาถวายและงดการออกบิณฑบาต พอย่างเข้าพรรษาที่ ๕ ที่ ๖ ก็เปลี่ยนจากอาหารมังสวิรัติ<wbr>มาเป็นอาหารที่ท่านคิดขึ้นเอง (ฉันวันละ ๑ ครั้ง) ท่านฉันอาหารตำรับนี้อยู่<wbr>จนตลอดชีวิต โดยน้องชายและครอบครัวเป็นผู้<wbr>ปรุงถวาย หลานชายของท่านจะนำมาถวายที่วั<wbr>ดเวลา ๘.00 น. ซึ่งเป็นเวลาทีท่านลงทำวัตรเช้า

    อาหารที่ท่านฉันประกอบด้วย


    ๑. มะนาว ผลขนาดกลาง แกะเอาแต่เนื้อเป็นกลีบๆ ๖-๙ กลีบ เพิ่มจำนวนตามขนาดผล เล็ก ใหญ่ ของมะนาว
    ๒. ใบไม้สีเขียว ใช้ใบไม้ที่รับประทานได้ตำละเอี<wbr>ยดขนาดก้อนเท่าหัวแม่มือโดยปกติ<wbr>ใช้ใบฝรั่ง และบางครั้งก็ใช้ใบไม้อื่นๆ เช่น สะเดา กระถิน มะม่วง มะเฟือง มะยม มะดัน ก้ามปู
    ๓. อาหารกวนใช้แทนเป็นกับข้าว ประกอบด้วย ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วขาว ถั่วเหลือง ถั่งลิสง ๕ อย่าง ส่วนละเท่าๆ กันรวมต้มให้เปื่อย โม่ละเอียดใส่กะทะกวน ผสมเกลือ น้ำตาลทรายแดง น้ำส้มมะขามเปียก ปรุงชิมให้รสกลมกล่อมกวนจนแห้ง กวนครั้งหนึ่งๆ เก็บไว้ใช้ได้ ๑ อาทิตย์
    ๔. ถั่วเขียวและข้าวสารผสมส่วนเท่<wbr>ากัน โม่ละเอียด ใช้แทนข้าว
    ๕. มันเทศนึ่ง
    ๖. กล้วยน้ำว้า
    ๗. ของหวานคือ ขนมกวนแห้งๆ เช่นถั่วกวน เผือกกวน มันกวน ข้าวตู
    ภาชนะใส่อาหาร เป็นกล่องอะลูมิเนียมมีฝาปิด รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกล่องสูง ๑ นิ้ว กว้าง ๖ นิ้ว ยาว ๑๐ นิ้ว
    เตรียมอาหารเพื่อจัดลงกล่องดั<wbr>งนี้ มันเทศล้างสะอาดไม่ปอกเปลือก ตัดเป็นชิ้น ๆ พอใส่กล่องได้ ๙ ชิ้น ใส่รังถึงนึ่ง ตวงถั่วเขียวผสมข้าวสารที่โม่<wbr>ละเอียดไว้ตามข้อ ๔ ประมาณ ๓ ถ้วยตะไลผสมน้ำพอสมควรใส่<wbr>กระทะกวนจนสุก ตักใส่ปิ่นโตอะลูมิเนี<wbr>ยมวางลงในรังถึงรวมกับมันเทศ ปิดฝานึ่งจนมันเทศสุก
    กล่องอาหารแบ่งจัดตามส่วนดังนี้


    มันเทศนึ่ง มะนาว
    ใบไม้ตำ

    อาหารกวน
    ถั่วเขียวผสมข้าวสาร
    กล้วยน้ำว้า

    ขนมหวาน
    ใช้ใบตองรองเสียก่อน แบ่งกล่องเป็น ๓ ช่องเท่ากันตามภาพแล้วจัดดังนี้
    ช่องซ้ายวางมันเทศนึ่ง ๙ ชิ้น
    ช่องกลางวางมะนาวลงตรงกลาง กลบด้วยใบไม้ตำ กลบด้วยอาหารกวนตามข้อ ๓ กลบด้วยถั่วเขียวผสมข้<wbr>าวสารตามข้อ ๔ ซึ่งนึ่งสุกแล้ว
    ช่องขวาตอนบน วางกล้วยน้ำว้าปอกเปลือกแล้ว ตัดแบ่งไม่ให้ขาดผลละ ๓ ท่อน รวม ๒ผล
    ตอนล่างวางขนมหวาน ๙ คำ
    เสร็จแล้วตัดใบตองปิดฝาอาหารที่<wbr>จัดทำ ปิดฝากล่อง ฝากล่องจะสูงกว่ากล่องราวครึ่<wbr>งนิ้วแล้วห่อด้วยผ้าสีเหลืองชั้<wbr>นหนึ่ง ห่อด้วยพลาสติกสีขาวอีกชั้นหนึ่<wbr>งใส่ลงในถุงพลาสติกรัดด้วยนั<wbr>งยางให้เรียบร้อย ส่งถวายให้ทันเวลา ๘.๐๐ น. ทุกวัน ฉันเวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. ช้อนที่ฉันนั้นเป็นช้อนที่ทำด้<wbr>วยกะลา
    ท่านได้ฉันอาหารตำรับนี้<wbr>จำเจตดลอดเวลา ๓๕ พรรษา






    [​IMG]


    http://www.oknation.net/blog/<wbr>print.php?id=39542
     
  7. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    ได้สูตรจาก ครูบาอาจารย์มาค่ะ สูตรยารักษาได้สารพัดโรค คือสมุนไพรใกล้ตัวนี่เอง

    วิธีรักษา ให้ทานเม็ดมะรุม ครั้งละเจ็ดเม็ด หลังจากที่ได้รับเชื้อใหม่ๆ หรือกินป้องกันเชื้อร้าย ครั้งละ๑เม็ดทุกวันก็ได้
    [​IMG]

    คำเตือน

    • ผู้ที่แพ้มะรุมไม่ควรรับประทาน
    • คนที่เป็นโรคเลือด T G6PD ไม่ควรรับประทาน หรือโรคเม็ดโลหิตแดงแตกกระจาย
    • โรคธาลัสซีเมีย เพราะในใบมะรุมมีธาตุเหล็ก ถ้าร่างกายมีปัญาหาทางเลื<wbr>อดแบบธารัสซิเมียแล้ว ควรงดดีกว่านะคะ
    • เด็กและสตรีมีครรภ์ำหรือในช่<wbr>วงให้น้ำนมบุตร ไม่ควรรับประทาน ควรกินอาหารหลากหลายครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ (ไม่มีผลในการป้องกันหรือรั<wbr>กษาโรค)
    • ปกติแล้วสมุนไพรทุกชนิด หากเรารับประทานเป็นประจำเพื่<wbr>อส่งเสริมสุขภาพ ควรได้หยุดรับประทานเป็นระยะๆ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพ และขับสารที่สะสมออกบ้าง จะทำให้ได้รับประโยชน์ได้เต็มที<wbr>่และไม่เกิดผลข้างเคียง
    [​IMG]

    นอกเหนือจากนี้ลอง ปรับสมดุลร้อนเย็นด้วยการดื่มน้ำคลอโรฟิลด์จากใบย่านางหรือสมุนไพรฤทธิ์เย็นดูนะคะ วิธีการได้โพสต์ลงในกระทู้นี้แล้วค่ะ
     
  8. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    เรื่องกล้วยๆ

    ถ้าเป็นกล้วยน้ำว้าทราบกันเต็มอกว่ามีประโยชน์ ส่วนกล้วยหอมบ้างก็ว่าทานแล้วจุก (ก็ลูกใหญ่ซะขนาดนั้น) บ้างก็ว่าทานตอนท้องว่างทำให้ลมตีขึ้น พาลเป็นคลื่นเหียนอาเจียนและเป็นลมได้ แต่...จริงๆแล้วเจ้ากล้วยหอมนี้มีประโยชน์คอยกวนโรคภัยไม่ให้มากร่ำกรายได้นะคะ

    [​IMG]


    จากการวิจัยของนักวิจัยสาขาการทดสอบสมรรถภาพมนุษย์ แห่งมหาวิทยาลัยแอปปาลาเชีย สเตท สหรัฐอเมริกา พบว่า กล้วยหอมมีคุณสมบัติสร้างเสริมพลังงาน เพิ่มความอดทน ไม่น้อยหน้าเหล่าเครื่องดื่มชูกำลังเลย เนื่องจากอุดมไปด้วยโปแตสเซียม และสารอาหารต่างๆทั้งวิตามินบี6, สารต้านอนุมูลอิสระ, กากใยอาหาร อีกทั้งมีน้ำตาลที่มีสรรพคุณบำรุงกำลังด้วย

    หากใครเป็นคอกีฬา โดยเฉพาะเทนนิส จะสังเกตเห็นได้ว่า นักเทนนิสมักจะกัดกินกล้วยหอมในระหว่างเบรก รวมทั้งนักกีฬาประเภทอื่นๆเช่น นักปั่นจักรยาน หรือนักวิ่ง ต่างพึ่งพลังงานจากกล้วยหอมทั้งนั้น
    [​IMG]


    ยังไม่จบเพียงแค่นั้น เมื่อวารสารทางวิชาการวิทยาแพทย์โรคหัวใจอเมริกัน ได้ตีพิมพ์เผยแพร่ผลการวิจัยของนักวิจัยอิตาลีและอังกฤษที่ทำการศึกษาพบว่า "หากรับประทานกล้วยหอมวันละ 3 มื้อ มื้อละ 1 ลูก จะช่วยป้องกันโรคอัมพฤกษ์-อัมพาตได้ถึง 21% เนื่องจากแร่ธาตุโปแตสเซียมจะไปทำให้เลือดไม่จับตัวกันเป็นก้อน"

    จากผลการวิจัยสรุปว่า การได้รับโปแตสเซียมเพียงวันละ 1,600 มิลลิกรัม จะสามารถป้องกันโรคได้ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 เนื่องจากกล้วยหอมแต่ละลูกมีโปแตสเซียมประมาณ 500 มิลลิกรัม ที่จะช่วยลดความดันโลหิต ควบคุมความสมดุลความสมดุลของของเหลวในร่างกาย ซึ่งหากขาดไปอาจมีผลทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ ส่งผลให้มีอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียว คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ท้องร่วงได้
    [​IMG]


    อย่างไรก็ตามทีมนักวิจัยได้กล่าวเตือนว่า นอกจากบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยโปแตสเซียมอย่างเช่น กล้วยหอม, ผักโขม, นม, ปลา หรือพวกถั่วแล้ว ควรจะลดเกลือลงด้วย

    อีกสักนิดกับงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ที่เคยทำการทดลองแล้วพบว่าในกล้วยหอมมีสารเคมีที่อาจใช้เป็นยาต้านไวรัสเอดส์ได้ แต่ยังคงอยู่ในระหว่างการพัฒนา ซึ่งเราคงต้องรอคอยกันหน่อย (ไม่รู้กี่ปี)

    นอกจากเนื้อจะกินได้ประโยชน์ต่อร่างกาย เปลือกของมันก็อย่าโยนทิ้งเกลื่อนกลาดให้คนมาเดินลื่นหัวล้านข้างแตกนะคะ คนที่มีปัญหาส้นเท้าแตก ทำความสะอาดเท้า แล้วเอาเปลือกกล้วยหอมมาถูๆตรงบริเวณส้นเท้าที่แตก ทิ้งไว้ 10-15 นาทีล้างออกให้สะอาด แล้วทาครีมบำรุงส้นเท้าอีกที เท่านี้อาการส้นเท้าแตกก็จะค่อยๆดีขึ้นค่ะ

    แหม...แต่จะให้ทานกล้วยหอมเป็นลูกๆอย่างนั้นทุกวัน แม้มันดีมีประโยชน์ แต่ก็มีเบื่อบ้างเอียนบ้าง เราก็พลิกแพลงดัดแปลงเมนูดูสิคะ

    น้ำกล้วยหอมปั่น
    [​IMG]

    กล้วยหอมบนหน้าขนมปัง
    [​IMG]

    แซนวิชกล้วยหอม
    [​IMG]

    กล้วยหอมกับไอศครีม
    [​IMG]

    โรลกล้วยหอมในเบนโตะ
    [​IMG]

    กล้วยหอมปิ้ง
    [​IMG]

    กล้วยหอมพันเบคอน
    [​IMG]


    ลองประยุกต์คิดค้นสูตรกล้วยหอมอร่อยๆกันดูนะคะ แต่ที่สุดแล้วทานแบบสดๆนี่แหละ ประโยชน์จัดเต็มค่ะ


    เรื่องโดย : อุมัย
    ที่มา:กล้วยหอม จอมกวน(โรค)

    ทุกเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับอาหารและสุขภาพ คลิก food.truelife.com
    มาเป็นเพื่อนกับเราได้ทาง Facebook ที่ www.facebook.com/FoodNHealthTruelife
     
  9. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    ตำหรับยาสมุนไพร ของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)

    [​IMG]
    สมุนไพรที่หลวงพ่อจรัญ เมตตาแนะนำแก่ญาติโยม



    1. ชาตะไคร้

      สรรพคุณ แก้ปวดกระดูก ปวดหลัง ปวดแข้ง ปวดขา ป้องกันกระดูกผุ นั่งดูหนังสือแล้วตาลาย ลุกขึ้นแล้วหน้ามืด ป้องกันโรคไต เบาหวาน คอเลสเตอรอล


      วิธีทำ เอาต้นตะไคร้ล้างให้สะอาด (ตะไคร้ที่ใช้ทำอาหาร) ใช้ส่วนที่เป็นต้น ใบกับรากไม่เอา หั่นตากแดดให้แห้งสนิท แล้วนำมาคั่วให้เหลือง หอม เก็บไว้ชงหรือต้มกินต่างน้ำเหมือนนำชา
    2. ยาอายุวัฒนะ

      สรรพคุณ แก้มะเร็งเม็ดเลือด เสกด้วยนวหรคุณ 9 รักษาโรคมะเร็งระยะเป็นใหม่ๆ รักษาเอดส์ต้องเสกด้วยพุทธคุณ 108 แก้ท้องเฟ้อ มดลูกเสีย กินทุกวันทำให้ร่างกายแข็งแรง

      วิธีทำ เกลือทะเลเม็ด 3 ส่วน บอระเพ็ดสดหั่น 5 ส่วน มะขามเปียกเอาเม็ดและซางออกสับ 7 ส่วน นำมาโขลกผสมกัน กินเช้า-เย็น หรือก่อนนอน ครั้งละก้อนเท่าหัวแม่มือ ถ้าต้องการให้ถ่าย กินตามธาตุหนัก-เบา แล้วดื่มน้ำตามมากๆ
    3. โรคไตวาย

      วิธีทำ ให้ไปถากเปลือกงิ้วแดง ถากขึ้น 2 แถว ลง 1 มาต้มดื่มต่างน้ำ (ต้มสดๆ เลย) (เวลาถากเปลือกอย่าถากรอบต้น ต้นไม้จะตาย)
    4. เสียงแหบแห้ง

      วิธีทำ ให้นำกระเทียม พริกไทยโขลกให้ละเอียดละลายด้วยน้ำผึ้งกิน
    5. ตกขาว

      วิธีทำ นำสับปะรดทั้งหัว หมกปูนขาว 3 วัน (ถ้ายังไม่สุกหรือฉ่ำให้หมกต่อ) แล้วนำมาปอกกินตามปกติ
    6. โรคชัก เส้นเลือดหัวใจตีบ โรคป่วง

      วิธีทำ นำพริกไทยเม็ด โขลกให้ละเอียดใส่แคปซูลไว้ นำพริกขี้หนูป่นใส่แคปซูล กินพร้อมกันอย่างละ 1 แคปซูล (ของยาแผนปัจจุบัน) กินก่อนอาหารเช้า-เย็น)
    7. โรคกระเพาะ

      วิธีทำ ให้เอากล้วยน้ำว้าดิบ ฝานบางๆ ตากแดดให้แห้งสนิท แล้วป่นให้เป็นแป้ง เวลากินตักครั้งละ 1 ช้อนคาว ใส่น้ำสุกอุ่นๆ แล้วดื่ม (กินต่างน้ำชา)
    8. เลือดกำเดาออก

      วิธีทำ เอาใบพุทรา (พุดซา) 3 กำมือ ยาข้าวเย็นเหนือหนัก 4 บาท ยาข้าวเย็นใต้หนัก 4 บาท มาต้มดื่มต่างน้ำ
    9. มะเร็ง

      วิธีทำ นำลูกใต้ใบทั้ง 5 กับต้นไมยราบทั้ง 5 มาต้มกินต่างน้ำ (ทั้ง 5 หมายถึง ราก, ต้น, ใบ, ดอก, และผล)
    10. โรคตับแข็ง

      วิธีทำ กินบอระเพ็ด วันละ 5 แว่น (ยาวประมาณ 2 ซ.มหรือองคุลี) โดยเฉพาะคุณแม่ที่กินยาดองหลังคลอดบุตร และรักษามะเร็ง หรือโรคท้องมาน ต้องลงด้วย "นะโมพุทธายะ"


      รักษาโรคตับอีกขนาน
      บอระเพ็ดสด 1 ช้อนคาว เคี้ยวสดๆ แล้วตามด้วยน้ำผึ้งเดือนห้า
    11. ร้อนใน อาเจียน

      วิธีทำ ใบตำลึงต้มกินหาย อีกขนานให้เอายอดกระทกรกและยอดตำลึงต้มกิน หรือคั้นเอาน้ำกิน
    12. โรคภูมิแพ้

      วิธีทำ ให้กินบอระเพ็ด
    13. โรคหอบ-หืด

      วิธีทำ นำต้นตำแยแมว มาโขลกใส่น้ำซาวข้าว กรองเอาแต่น้ำ
    14. โรคหัวใจโต

      วิธีทำ กินกระถินแล้วเอาเปลือกกับรากมาต้มน้ำดื่ม
    15. นมหลง (ปวดนมหรือนมคัด)

      วิธีทำ เอานุ่นมาจุดไฟแล้ว ใส่ไหกระเทียม อย่าให้ควันออก เอาปากไหกดครอบเต้านมไม่นาน น้ำนมจะไหล หายปวด
    16. กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ปัสสาวะเป็นเลือด นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

      วิธีทำ ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้หนัก 4 บาท, ฟ้าทะลายโจร (สด) 1 กำมือ, หน้าหนวดแมว (สด) 1 กำมือ, รากหญ้าคา (สด) 1 กำมือ นำตัวยาทั้ง 4 อย่างนำมาต้มดื่มแทนน้ำ
    17. ไข้ทับระดู (เป็นไข้ระหว่างมีประจำเดือน)

      วิธีทำ หญ้าเจ้าชู้ 3 กำมือ, ยาข้าวเย็นเหนือ, ข้าวเย็นใต้ หนัก 4 บาท นำตัวยาทั้งหมดมาต้มดื่มต่างน้ำ
    18. บิดหัวลูก (เป็นโรคบิดระหว่างตั้งครรภ์)

      วิธีทำ นำเปลือกมะพร้าวอ่อน (ปลอกผิวสีเขียวออก เอาเฉพาะส่วนที่เป็นกาบอ่อน) บิดเอาน้ำ 1 แก้ว, น้ำปูนใส (ปูนกินหมาก) 1/2 แก้ว, เปาะหอม ทั้ง 3 สิ่งนำมาโขลก กรองเอาแต่น้ำมากิน
    19. โรคลำใส้เน่า (เป็นยาเทวดา)

      วิธีทำ ใช้หม้อดิน เอาเกลือมา 3 กำให้กลั้นใจหยิบ 3 จับ แล้วเทใส่หม้อ ท่านสอนให้ท่อง "พุทธัง ปัจจักขามิ 1 กำ ธัมมัง ปัจจักขามิ อีก 1 กำ สังฆัง ปัจจักขามิ อีก 1 กำ" ใส่หม้อสะตุเกลือ (โดยไม่ต้องใส่น้ำ) จนละเอียดไปหมดแล้ว ปลงลงมาเอาไข่ขาว (ไข่ไก่ 5 ฟอง ไม่เอาไข่แดง) ใส่แล้วคนให้เข้ากัน ท่อง "พุทธัง ปัจจักขามิ, ธัมมัง ปัจจักขามิ, สังฆัง ปัจจักขามิ" กินครั้งละ 1 ช้อนคาว
    20. รักษาผิวหน้าไม่ให้เหี่ยวย่น

      วิธีทำ ขนาน 1 ใช้น้ำผึ้ง กับผิวมะนาว ทาหน้าเป็นประจำ, หรือขนาน 2 ใช้ใส้ตะเกียงเจ้าพายุที่ใช้แล้ว ผสมน้ำมะนาว ทาหน้าเป็นประจำก็ได้
    21. ผมอ่อนสลวย

      วิธีทำ ใช้น้ำส้มมะขาม (มะขามเปียก) สระผม
    22. เพื่อสุขภาพที่ดีอื่นๆ

      วิธีทำ ตื่นเช้าแกว่งแขน 100 ครั้ง, แตะขาขึ้น 100 ครั้ง แล้วอย่าเพิ่งไปล้างหน้า ดื่มน้ำสะอาดบริสุทธิ์ 5 แก้ว (ถ้าอายุเกิน 45 ปี กินน้ำต้ม ถ้าอายุยังไม่ถึง 45 ปี ไม่ต้องต้ม) รับรองอุจจาระดี หูตึงหาย ปวดศีรษะซีกหนึ่ง น้ำตาไหล ปวดลูกตา หายเลยทีเดียว
    ที่มา : หนังสือตำหรับยาสมุนไพรของพระธรรมสิงหบุรจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี
     
  10. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    [​IMG]
    ข้อมูลเพิ่มเติม > ยาอายุวัฒนะของหลวงพ่อจรัญ

    สรรพคุณ แก้มะเร็งเม็ดเลือด
    เสกด้วยนวหรคุณ ๙ รักษาโรคมะเร็งระยะเป็นใหม่ ๆ
    สรรพคุณ รักษาเอดส์ ต้องเสกด้วยพุทธคุณ ๑๐๘
    สรรพคุณ แก้ท้องเฟ้อ มดลูกเสีย กินทุกวันทำให้ร่างกายแข็งแรง

    วิธีทำ เกลือทะเลเม็ด ๓ ส่วน บอระเพ็ดสดหั่น ๕ ส่วน มะขามเปียกเอาเม็ดและซางออก สับ ๗ ส่วน นำมาโขลกผสมกัน กินเช้า-เย็น หรือก่อนนอน ครั้งละก้อนเท่าหัวแม่มือ ถ้าต้องการให้ถ่าย กินตามธาตุหนัก-เบา แล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ

    ถ้ารักษาโรคอื่นๆ ตามลิ้งค์นี้ นะคะ

    ตำหรับยาสมุนไพร : หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม | :: ETCPOOL BLOG ::


    ยาตำหรับพิเศษ

    ยาทั้งหมด ๒๐ ตำหรับที่รวบรวมมาลงหนังสือเล่มนี้ เป็นยาที่ใช้รักษาโรคทางกายเท่านั้น ในส่วนของโรคและความผิดปกติทางจิตวิญญาณ หลวงพ่อก็ยังมียาพิเศษไว้รักษาด้วย

    1. “สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน”
    2. การทำกรรมฐาน ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง รักษาโรคคิดมาก วิตกกังวล นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูงต่ำและโรคหัวใจได้
    3. การเจริญกรรมฐาน จะทำให้อารมณ์ดี มีจิตใจสะอาด จะรู้บุญคุณของพ่อ-แม่ ไม่ลืมพระคุณของชาติภูมิ มาตุภูมิ และบ้านเกิดเมืองนอนของตน ไม่ลืมบุญคุณครูบาอาจารย์
    4. การเจริญกรรมฐาน เวลานั่ง กำหนดลมหายใจยาวๆ เข้าไว้ หายใจเข้ายาวๆ หายใจออกยาวๆ ให้สม่ำเสมอ จะทำให้ใจเย็น และเกิดปัญญาแก้ไขปัญหาได้
    5. ผู้ที่เจริญกรรมฐาน จิตใจจะโน้มเอียงไปในทางดี จะรักษาโรคเห็นแก่ตัว โรคอิจฉาริษยาได้ จะทำให้เกิดความเตตา สงสารผู้อื่น
    6. กรรมฐานสามารถรักษาโรค และต่ออายุได้
    7. กรรมฐานเป็นการป้องกันจิตวิญญาณไว้มิให้หลงตาย ทำให้มีสติอยู่ตลอดเวลา
    8. กรรมฐาน ช่วยรักษาโรคกรรม ซึ่งหมอทั่วไปรักษาไม่หาย
    9. โลกเราที่ยุ่งยากเดือดร้อนทุกวันนี้ทางหนึ่ง ย่อมเกิดจากความโลภของคนเราที่คอยเผาดวงใจให้เร่าร้อน ทำใจให้พร่อง ทำใจให้หิว
    10. อารมณ์ร้ายเป็นอารมณ์อันตรายที่สำคัญที่ต้องหาความอดทนมาเป็นเครื่องมือ ป้องกันไว้ คำด่าว่า เสียดสีนินทานี่แหละ ที่ทำใจให้ร้อน เมื่อใจร้อนแล้ว เรื่องร้อนต่างๆ ก็ตามาอย่างที่เห็นกันอยู่เสมอ วิธีที่เหมาะสมวิธีหนึ่ง คือการวางตัว
    11. การสร้างความดี ก็ต้องละความชั่ว สร้างความดี ก็ต้องละบาปมาทำบุญ แล้วยังมีบาปในใจมากอีกรับรองไปไม่รอด
    12. การสร้างความดี เป็นการใช้หนี้กรรม เราควรชดใช้ให้หมดไปในชาตินี้ ดีกว่าไปใช้หนี้บวกดอกในเมืองนรกเป็นร้อยปี
    13. ความดี สร้างให้กันไม่ได้ เราต้องสร้างเอง ต่างคนต่างทำ เราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกตายไม่ได้ แต่เราเลือกทำความดีได้
     
  11. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951

    19 ส.ค.2552 พระราชเมธี เจ้าอาวาสวัดราชนัดดาราม ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้รับการติดต่อจากโยมที่คุ้นเคยกันโทรศัพท์ทางไกลมาหาจากเมืองไทเป ไต้หวัน อ้างว่าเป็นร่างทรงหลวงปู่ทวดเป็นห่วงคนไทยที่ต้องเผชิญกับโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 จึงแนะนำสมุนไพรสูตรยาต้ม ประกอบด้วย
    - ลูกใต้ใบ
    - ฟ้าทลายโจร
    - ตะไคร้
    - ขมิ้นอ้อย หรือขมิ้นชัน
    - หัวไพล
    - ใบมะรุม
    - ลูกมะตูมแห้ง
    - ลูกมะขามป้อม
    และ
    - อิฐมอญแดง 1 ก้อน

    ล้างสะอาดผสมในสัดส่วนที่เท่ากันต้มรวมกัน แล้วดื่ม ซึ่งเป็นได้ทั้งยาป้องกันและรักษา

    "ก่อน หน้านี้หลวงพ่อเป็นหวัด ทั้งไอและจาม น้ำมูกไหลไม่หยุด พอได้ฉันยาสูตรนี้ รู้สึกจมูกโล่ง ตัวเบาขึ้น หลังจากนั้นก็ฉันยาต้มนี้มาตลอด อาการไอจาม ปวดเนื้อปวดตัวก็หายไปหมด" พระราชเมธีกล่าว


    ด้าน ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี กล่าวว่า รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้ทดลองปรุงยาสูตรดังกล่าว พบว่า กลิ่นและรสชาติดี ไม่ขม และสมุนไพรทุกตัวในสูตรยานี้เป็นสมุนไพรพื้นฐานที่คนไทยกินแก้ไข้มานับพันปี ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 6 วันที่ 2-6 กันยายน ที่เมืองทองธานี จะปรุงยาสูตรดังกล่าว แจกให้ประชาชนทดลองดื่มด้วย


    ด้าน นพ.นรา นาควัฒนานุกูล อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กล่าว กรณียาสมุนไพรตำรับหลวงปู่ทวด ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ที่เป็นยาต้มมีสมุนไพรไทย 9 ชนิด ว่า ขณะนี้ยังไม่มียาตำรับแพทย์แผนไทยชนิดใดรักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แทนยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ หรือ ซานามิเวียร์ได้ แม้แต่สมุนไพรไทยฟ้าทะลายโจร ก็มีสรรพคุณป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลได้เท่านั้น จากการสอบถามไปยังนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรส่วนใหญ่ให้ข้อมูลตรงกันว่า สูตรยาสมุนไพรไทยดังกล่าวมีความปลอดภัย แต่ยังไม่มีรายงานผลการวิจัยทางการแพทย์รองรับอย่างเป็นทางการว่าจะต้องรับ ประทานในปริมาณเท่าใดจึงจะป้องกันไข้หวัดได้
    แหล่งข้อมูล


    ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 11:40:11 น.
     
  12. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    [​IMG]
    <table id="table3" cellpadding="0" cellspacing="0" width="780"><tbody><tr><td bgcolor="#DFDFDF" width="480"> ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rhinacanthus nasutus (L.) Kurz
    ชื่อพ้อง : R. communis Nees

    </td></tr><tr><td bgcolor="#DFDFDF" width="480"> ชื่อสามัญ : White crane flower
    </td></tr><tr><td bgcolor="#DFDFDF" width="480"> วงศ์ : ACANTHACEAE
    </td></tr><tr><td bgcolor="#DFDFDF" width="480"> ชื่ออื่น : ทองคันชั่ง หญ้ามันไก่ (ภาคกลาง)
    </td></tr><tr><td bgcolor="#DFDFDF" width="480"> ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 1-2 เมตร กิ่งอ่อนเป็นเหลี่ยม ส่วนโคนต้นเนื้อไม้เป็นแกนแข็ง ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกัน รูปไข่ กว้าง 2-4 ซม. ยาว 4-8 ซม. ปลายใบแหลมเรียว โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบสีเขียวอ่อน ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกสีขาว กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 2 ปาก ปากล่างมีจุดประสีม่วงแดง ผล เป็นฝักเล็ก พอแห้งแตกออกได้
    ส่วนที่ใช้ :
    ราก ทั้งต้น ต้น ใบ

    </td></tr><tr><td bgcolor="#DFDFDF" width="480"> สรรพคุณ :

    • ราก - แก้กลากเกลื้อน รักษาโรคมะเร็ง รักษาโรคผิวหนัง ดับพิษไข้ แก้พิษงู แก้พยาธิวงแหวนตาผิวหนัง
    • ทั้งต้น - รักษาโรคผิวหนัง แก้น้ำเหลืองเสีย แก้กลากเกลื้อน ผื่นคัน รักษามะเร็ง คุดทะราด ขับพยาธิตามผิวหนัง ตามบาดแผล แก้ไส้เลื่อน ไส้ลาม แก้ปัสสาวะผิดปกติ
    • ต้น - บำรุงร่างกาย แก้โรค 108 ประการ รักษาโรคผมร่วง
    • ใบ - ดับพิษไข้ แก้กลากเกลื้อน ผื่นคัน แก้โรคไขข้ออักเสบ รักษาโรคผิวหนัง รักษาโรคมะเร็ง รักษาโรคความดันโลหิตสูง แก้ผมร่วง บำรุงร่างกาย แก้โรค 108 ประการ แก้ปวดฝี แก้พิษงู ถอนพิษ แก้อักเสบ แก้โรคมุตกิต รักษาโรคพยาธิวงแหวนตามผิวหนัง
      นอกจากนี้ยังใช้ผสมในตำรับยาร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ รักษาโรคต่อไปนี้คือ
    • ราก - รักษามะเร็งเนื้องอก รักษามะเร็งปอด กระเพาะลำไส้ มะเร็งตามร่างกาย ทำให้ผมดกดำ แก้ไอเป็นเลือด อาเจียนเป็นเลือด แก้ริดสีดวงทวาร ดับพิษไข้ รักษาโรคผิวหนัง แก้กระษัย แก้ผมหงอก ผมร่วง รักษาโรคตับพิการ รักษาโรครูมาติซึม รักษาโรคไขข้อพิการ แก้ลมเข้าข้อทำให้ปวดบวมต่างๆ ขับปัสสาวะ แก้แมงเคียนกินรากผม แก้เหา แก้รังแค
    • ทั้งต้น - รักษาโรคผิวหนัง คุดทะราด แก้เม็ดผื่นคัน
    • ต้น - รักษามะเร็งเนื้องอก รักษามะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะ มะเร็งตามร่างกาย มะเร็งลำไส้ แก้แมงเคียนกินรากผม แก้เหา แก้รังแค รักษาโรคผิวหนัง
    • ใบ - แก้แมงเคียนกินรากผม แก้เหา แก้รังแค รักษาโรคผิวหนัง แก้ไข้ แก้ปวดหัวตัวร้อน แก้มะเร็งไช แก้หิดมะตอย รักษาโรคมะเร็ง รักษาวัณโรค แก้ใจระส่ำระสาย แก้คลุ้มคลั่ง แก้สารพัดพิษ
      นอกจากนี้ในตำราบางเล่ม ยังได้กล่าวถึงสรรพคุณทองพันชั่ง โดยไม่ได้ระบุว่าใช้ส่วนใดของพืช หรือส่วนใดในตำรายาร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ ในการบำบัดรักษาโรคต่างๆ ดังต่อไปนี้คือ
      - รักษาโรคความดันโลหิตสูง รักษาโรคมะเร็ง แก้มุตกิตระดูขาว เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ผมร่วง รักษาโรคนิ่ว
      - แก้เคล็ดขัดยอกชายโครง มือเคล็ด คอเคล็ด แก้มะเร็งในกระเพาะ แก้ฝีประคำร้อย แก้มะเร็งในคอ แก้มะเร็งในปาก แก้ไข้เหนือ แก้จุกเสียด เป็นยาหยอดตา แก้ไอเป็นเลือด แก้ช้ำใน แก้นิ่ว แก้โรคผิวหนัง แก้ลมสาร แก้มะเร็งในปอด แก้มะเร็งภายในและภายนอก
    วิธีและปริมาณที่ใช้ :

    • ใช้รับประทานเป็นยาภายใน รักษาโรคมะเร็ง และวัณโรคระยะเริ่มแรก
      1. ใช้ทั้งต้น สด จำนวน 30 กรัม ต้มกับน้ำ จำนวนท่วมใบยา ต้มดื่มต่างน้ำ
      2. ใช้ก้านและใบสด 30 กรัม (แห้ง 10-15 กรัม) ผสมน้ำตาลกรวดต้มน้ำดื่ม รักษาโรคปอดระยะเริ่มแรก
    • ใช้เป็นยาภายนอก แก้โรคผิวหนัง กลากเกลื้อนและผื่นคันอื่นๆ
      1. ใช้ใบสด 5-8 ใบ หรือ รากสด 2-3 ราก
      ใบสดตำให้ละเอียด เติมเหล้าโรงเล็กน้อย ทาบริเวณที่เป็นเกลื้อน หรือเอารากมาป่น แช่เหล้าไว้ 1 สัปดาห์ กรองเอาน้ำยาที่แช่มาทา ทาบ่อยๆ จนกว่าจะหาย
      2. ใช้ใบสดตำผสมน้ำมันดิบ หรือ แอลกอฮอล์ 75% ทาบริเวณที่เป็น
    สารเคมี - Rhinacathin, Oxymethylanthra quinone, Quinone, Rutin (quercetin - 3 - rutinoside)
    </td></tr></tbody></table>
    ที่มา:http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_19.htm
     
  13. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    สมุนไพรไทย แก้โรคน้ำกัดเท้า


    สมุนไพรไทย แก้โรคน้ำกัดเท้า

    โรคน้ำกัดเท้าระยะแรกนั้นยังไม่มีการติดเชื้อรา ผู้ป่วยจะมีอาการระคายเคือง คัน แสบบริเวณง่ามนิ้ว จึงควรใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านอักเสบ เช่น ขมิ้นชัน ไพล ใบพญายอ หรือใบว่านมหากาฬ โดยล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียด พอกแผล เพื่อบรรเทาอาการ สมุนไพรที่นิยมใช้รักษาโรคน้ำกัดเท้ามักเป็นสมุนไพรที่มีรสฝาด เนื่องจากมีสารแทนนินมาก มีฤทธิ์ช่วยรักษาแผลน้ำกัดเท้าได้ เช่น เปลือกมังคุดแห้ง โดยนำมาฝนกับน้ำหรือน้ำปูนใสให้ข้นพอควร ทาแผลน้ำกัดเท้าวันละ 2-3 ครั้ง หรือใช้สารส้มสะตุที่ได้จากการนำสารส้มไปตั้งไฟให้ร้อนจนกลายเป็นผงขาวฟู ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้ง อาจใช้เดี่ยวๆหรือผสมกับดินสอพองสะตุครึ่งต่อครึ่งก่อนทา

    ภาพขมิ้นชัน

    [​IMG]

    ภาพไพล
    [​IMG]

    ใบพญายอ
    [​IMG]

    ใบว่านมหากาฬ
    [​IMG]



    กรณีที่เกิดการติดเชื้อราที่ง่ามเท้า แนะให้ใช้สมุนไพรท้องถิ่นที่มีสรรพคุณต้านเชื้อรา เช่น ใบต้นเทียนบ้าน ใบชุมเห็ดเทศ ใบทองพันชั่ง ข่า 1 กำมือ นำมาตำพอกหรือทาบริเวณที่เป็นวันละ 3-4 ครั้ง ติดต่อกันทุกวัน หรือใช้กระเทียม ซึ่งมีฤทธิ์ดีในการฆ่าเชื้อรา ทั้งนี้ในการรักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรานั้น แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้ว แต่แผลจะยังมีเชื้อราอยู่ จึงต้องทาหรือพอกยาต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อกำจัดเชื้อราให้หมดไป และต้องระวังอย่าให้เท้าอับชื้นหรือโดนน้ำสกปรกอีกในระหว่างการรักษา

    ภาพใบต้นเทียนบ้าน
    [​IMG]

    ภาพใบชุมเห็ดเทศ
    [​IMG]

    ภาพใบทองพันชั่ง
     
  14. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    [​IMG]

    ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ
    ส้มมะนาว (ทั่วไป)
    โกรยชะม้า (เขมร-สุรินทร์)
    ปะนอเกล มะนอเกละ มะเน้าด์เล (กระเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
    ปะโหน่งกลยาน (กระเหรี่ยง-กาญจนบุรี)
    ลีมานีปีห์ (คาบสมุทรมาเลย์)
    หมากฟ้า (ชาน-แม่ฮ่องสอน)

    ลักษณะทั่วไปของมะนาว

    ลำต้น
    มะนาวเป็นไม้ผลยืนต้นขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นทรงพุ่ม มีความสูงเฉลี่ย 10-20 ฟุต ลำต้นมีลักษณะโค้งงอไม่ค่อยแข็งแรง เปลือกของลำต้นมีสำน้ำตาลปนเทา กิ่งอ่อนของมะนาวมีสีเขียวอ่อน เมื่อแก่ สีจะเข้มขึ้นจนเป็นสีน้ำตาล ส่วนกิ่งที่แก่มากจะเป็นสีเทา การออกของกิ่ง ก้านไม่ค่อยเป็นระเบียบ บนลำต้นและกิ่งก้านจะมีหนาม หนามมีลักษณะแหลม มีทั้งหนามสั้นและหนามยาว มีสีเขียวเข้มและสีเขียวอมเหลือง ส่วนบริเวณปลายหนามมีสีน้ำตาล เมื่อแก่ขึ้นหนามจะแห้งตายไป

    ใบ
    ใบของมะนาวมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว คือมีแผ่นใบอันเดียว ใบมีขนาดเล็กกว้างประมาณ 3-6 ซม. ยาวประมาณ 6-12 ซม. รูปร่างเป็นแบบรีหรือทรงไข่ ฐานใบมีลักษณะกลม ปลายใบมีรูปแหลม ป้าน ขอบใบเป็นคลื่น หรือเป็นหยักละเอียด ก้านใบสั้น และมีปีกใบแคบหรืออาจไม่มีปีกใบก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์มะนาว ใบอ่อนมีสีเขียวจางเกือบเป็นสีขาว ใบแก่มีสีเขียวเข้ม ผิวใบด้านบนละเอียดเป็นมัน ส่วนผิวใบด้านล่างค่อนข้างหยาบและมีสี จางกว่า เมื่อทำการขยี้ใบจะมีกลิ่นแรง

    ดอก
    ดอกมะนาวอาจเกิดเป็นดอกเดี่ยวหรือช่อก็ได้ มีทั้งที่เป็นดอกสมบูรณ์และไม่ สมบูรณ์ ดอกจะออกบริเวณซอกใบและปลายกิ่ง ดอกมะนาวมีขนาดเล็ก ดอกที่ตูมจะมีขนาดความยาว 1-2 ซม. กลีบเลี้ยงมีสีเขียว ส่วนกลีบดอกมีสีขาว และด้านท้องกลีบดอกอาจมีสีม่วงอม แดงเจืออยู่ด้วย กลีบดอกมีลักษณะเป็นรูปถ้วย มีจำนวน 4-5 อัน จำนวนกลีบในและกลีบนอกมีจำนวนเท่าๆกัน แต่ละกลีบมีขนาด 0.8-1.2 ซม. ดอกมะนาวมีเกสรตัวผู้มากมายถึง 20-40 อัน เชื่อมติดกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4-8 อัน เกสรตัวเมียมีรังไข่รูปร่างเป็นทรงกระบอก ใน 1 ดอก จะมีรังไข่ประมาณ 9-12 อัน

    ผล
    ผลมะนาวมีรูปร่างแตกต่างกันไปตามชนิดของพันธุ์ มีทั้งรูปร่างยาวรี รูปไข่ และรูปร่างกลม ที่ก้นผลมีลักษณะเป็นจุกหรือปุ่มเล็กๆ ผลโดยทั่วไปมีขนาดความยาว 3-12 ซม. เปลือกมีลักษณะขรุขระ และมีต่อมน้ำมันที่เปลือกผิว ผิวเปลือกเมื่อยังอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อสุกจะมีสีเหลืองหรือสีทอง ใน 1 ผลจะมีกลีบอยู่ 8-10 กลีบ ในกลีบจะมีถุงน้ำที่มีลักษณะเล็ก หัวท้ายแหลม บรรจุอยู่เป็นจำนวนมาก เนื้อมะนาวมีสีเหลืองอ่อน มีรสเปรี้ยวและมีกลิ่นหอม

    ถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์ของมะนาว

    มะนาวมีถิ่นกำเนิดที่ไหนยังไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัด บางคนกล่าวว่าเป็นพืชพื้น เมืองของอินเดีย และประเทศในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ แต่บางคนกล่าวว่ามะนาว เป็นพืชพื้นเมืองของหมู่เกาะอินเดียตะวันออก แล้วได้แพร่กระจายพันธุ์เข้า สู่แผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชีย อย่างไรก็ตามมะนาวก็ได้แพร่กระจายพันธุ์ไปยัง ส่วนต่างๆของโลก โดยเฉพาะในเขตร้อนและกึ่งร้อนอย่างกว้างขวาง และได้มีผู้ สันนิษฐานไว้ว่า ชาวอาหรับเป็นผู้นำมะนาวจากอินเดียไปปลูกในปาเลสไตน์ เปอร์เซีย อียิปต์ และยุโรป หลังจากนั้นมะนาวก็ได้แพร่กระจายไปยังหมู่เกาะอินเดียตะวันตกและ อเมริกา ตั้งแต่ คริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยนักสำรวจชาวสเปนและโปรตุเกสนำไปปลูก

    สำหรับประเทศไทยนั้นเชื่อว่าการปลูกมะนาวมีมาก่อนสมัยรัตนโกสินทร์ และได้มี การปลูกติดต่อกันมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน ในสมัยก่อนมักมีการปลูกมะนาวไว้ใน สวนหลังบ้าน เพื่อนำผลมาใช้ประกอบอาหารในครัวเรือนเท่านั้น โดยจะปลูกกัน เกือบทุกครอบครัว แต่ยังไม่มีใครคิดจะปลูกมะนาวเป็นการค้าอย่างจริงจัง ต่อ มาบ้านเมืองเจริญขึ้น ทำให้พื้นที่ทำการเกษตรมีน้อยลง เนื่องจากนำพื้นที่ไปใช้ในอุตสาหกรรม และด้านอื่นๆ ประกอบกับจำนวนพลเมืองที่เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ความต้องการ มะนาวไปใช้ประกอบอาหารในครัวเรือน และใช้มะนาวในอตสาหกรรมต่างๆมีมากขึ้น เป็นเงาตามตัว ดังนั้นจึงมีผู้หันมาปลูกมะนาวในเชิงการค้า โดยใช้พื้นที่ ปลูกมากๆ มีการปฏิบัติดูแลรักษาที่ถูกต้อง มีการปรับปรุงระบบการปลูก และวิธีเพิ่มผล ผลิตต่อพื้นที่ให้ได้มากที่สุด ซึ่งในประเทศไทยมีแหล่งปลูกที่สำคัญๆ ได้แก่ จังหวัดเพชรบุรี อยุธยา ราชบุรี และนครปฐม

    ประโยชน์ของมะนาว

    มะนาวเป็นผลไม้พื้นๆที่ใช้บริโภคกันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่มีน้อยคนนัก ที่จะรู้ว่ามะนาวลูกเล็กๆนั้น มีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆได้มากมายหลาย โรคด้วยกัน ไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้นที่ใช้มะนาวรักษาโรค ประเทศเพื่อนบ้าน ของเรา เช่น มาเลเซีย จีน และอินเดีย เขาก็ใช้มะนาวกัน ประเทศเพื่อนบ้านที่ไกลออกไป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศแถบอเมริกาตะวันตกก็ใช้มะนาวแก้ไอและรักษาโรค อื่นๆเช่นเดียวกัน ประโยชน์ของมะนาวในแง่การนำมาใช้เป็นสมุนไพร มีดังนี้

    1. แก้ไอออกเลือด (ไอมีเลือดปน)
    - ใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา มะนาว 4 ลูก เกลือ 1 ช้อน หรือประมาณ 3-4 เม็ด ผสมให้เข้ากันดี ให้มีรสเปรี้ยวเค็มหวาน ใช้จิบทุกครั้งที่ไอ
    -.ใช้มะนาว 108 ใบ เบี้ยจั๊กจั่น 11 ตัว ปูนขาวหนักประมาณ 4 บาท
    วิธีทำ คั้นน้ำมะนาว ใส่เบี้ยจั๊กจั่นและปูนขาวปนกัน ดองประมาณ 3 คืน รับประทานครั้งละจอกชา แก้ไอออกเลือดดี

    2. ต่อมทอนซิลอักเสบ
    - เอาน้ำมะนาว น้ำผึ้งและปูนขาวผสมดื่ม แก้ทอนซิลอักเสบ

    3.แก้ซาง,ตุ่มในคอเด็ก,เสมหะ
    - เมล็ดมะนาวขับเสมหะแก้โรคซางของเด็ก แก้เม็ดยอดในปากโดยเอาเม็ดมะนาวเผาไฟ บดให้ละเอียด ใช้น้ำมะนาวหรือรากของมะนาวฝนกันน้ำเป็นกระสาย ผสมเข้าด้วยกัน แล้วกวาดซางเด็ก
    - ให้เอาน้ำมะนาว 1 ช้อนชา แล้วเอารากมะนาวฝนให้ข้นดี แล้วจึงเอาไปล้วงคอเด็กสัก 2-3 ครั้งก็หาย
    - ใช้เม็ดมะนาวเคี้ยวกิน ขับเสมหะ ใช้ติดต่อกัน 7 วัน ได้ผลดี

    4. แก้เสียงแหบแห้ง
    - มะนาวทำให้เสียงไม่แหบแห้ง ตื่นตอนตอนเช้าทุกครั้งให้ผ่ามะนาวครึ่งหนึ่ง จิ้มเกลือบีบน้ำลงคอกลืนกิน ทำทุกเช้าทุกวัน ทำให้เสียงไม่แหบแห้ง

    5. ก้างติดคอ
    - เมื่อก้างปลาติดคอ เอามะนาว 1 ลูกคั้น เอาแต่น้ำ เติมเกลือ น้ำตาลนิดหน่อยกรอกลงไปให้ตรงก้างที่ติดคอ อมไว้สักครู่ แล้วจึงค่อยกลืน ก้างจะอ่อนตัวหลุดลงไปในกระเพาะ
    - ก้างปลาติดคอซึ่งเป็นชิ้นเล็กๆ เมื่อกลืนน้ำลายจะทำให้รำคาญเท่านั้น ให้ผ่า มะนาวแล้วนำมาอมไว้ในปาก อมจนรู้สึกรสเปรี้ยวของมะนาวเจือจางสัก 2-3 หน จะทำให้ก้างหลุดออกไปได้

    6. แก้ไข้
    - นำใบมะนาวมาหั่นฝอยๆ ชงด้วยน้ำเดือด ดื่มแบบน้ำชาจะช่วยลดไข้และใช้อมกลั้วคอฆ่าเชื้อโรคได้อีกด้วย
    - ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตกนิยมใช้เปลือกรากมะนาวต้มเป็นยาแก้ไข้อย่าง ดี และใช้ใบทำเป็นยาชงกินแก้ไข้ที่มีอาการตัวเหลืองเล็กน้อย นอกจากนี้ยัง ใช้น้ำมะนาวดื่มแก้กระหายน้ำ แก้ไข้อีกด้วย
    - ที่ประเทศอินเดีย ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่ นิยมรักษาโดยดื่มน้ำมะนาวแล้วพักผ่อน ถ้าเป็นไข้หวัดธรรมดา จะรับประทานผลอินทผลัมและดื่มน้ำมะนาวรักษา

    7. แก้ไข้ทับระดู
    - เอาใบมะนาว 100 ใบ มาต้มกินแล้วหาย

    8. แก้ปวดศีรษะ
    - เอามะนาวมาฝานเป็นซีกบางๆ แล้วเอาปูนที่กินกับหมาก ละเลงด้านหน้าของซีกมะนาวนั้นบางๆ แล้วปิดตรงขมับ ทำอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการปวดก็ค่อยหายดีขึ้นทุกวัน
    - ใช้น้ำมะนาวผสมกับน้ำตาลสัก 1 แก้ว ดื่มตอนเช้า ช่วยให้หายจากโรควิงเวียนและปวดหัว
    - ชาวมาเลเซีย ใช้ใบมะนาวผสมกับน้ำมะนาว บดทำเป็นยาใส่ผมแก้ปวดศีรษะ
    - ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตก ใช้ใบมะนาวตำให้ละเอียดถูศีรษะหรือเคี้ยวรากมะนาวแก้ปวดศีรษะ

    9. แก้เลือดออกตามไรฟัน
    - เกิดจากการขาดวิตามินซี ทำให้เหงือกบวมและมีเลือดออกตามไรฟันเป็นประจำ หรือมีเลือดออกได้ง่าย เช่น มีเลือดกำเดาไหล มีจุดพรายย้ำขึ้นตามผิวหนัง อาจมีเลือดออกจนซีดได้ ถ้าอาการรุนแรง จะมีอาการปวดน่อง ข้อเท้าบวม การรักษาให้กินมะนาวหรือผลไม้เปรี้ยวๆ เช่น ส้ม จะแก้ได้
    - แก้โรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟัน ใช้มะนาวถูฟันสักพักเลือดก็จะหยุด

    10. แก้เหงือกบวม
    - ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่เหงือกวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น

    11. แก้ลิ้นเป็นฝ้า
    - ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่ลิ้นวันละ 3ครั้ง

    12. ขจัดคราบบุหรี่
    - ใช้มะนาวถูฟันที่มีคราบบุหรี่จับ เมื่อใช้มะนาวถู คราบนั้นจะหาย ถ้าฟันผู้ที่รับประทานหมากต้องถูกบ่อยๆ ถ้าจับมากหลายวันแล้วต้องถอดฟันแช่น้ำมะนาวไว้ค้างคืน ( หมายถึงผู้ใส่ฟันปลอมนะ) ฟันจะขาวสะอาดเงางาม

    13. ยาบ้วนปาก
    - บีบน้ำมะนาวลงในแก้วสัก 2-3 หยดเท่านั้น บ้วนปากได้สะอาดยอดเยี่ยม

    14. แก้เป็นลมวิงเวียน อยากอาเจียน
    - ใช้มะนาวผ่าซีก โรยเกลือป่น เหยาะน้ำตาลทรายขาวสักนิดบีบกินลงไปพักเดียวหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้จากการตั้งครรภ์ เมารถ แพ้อากาศ มะนาวช่วยคุณได้
    - ใช้มะนาวจิ้มเกลืออมไว้ในปากสักครูจะรู้สึกสดชื่นจากการเป็นลมวิงเวียน หน้ามืดได้
    - ใช้เปลือกมะนาวแกะออกแล้วบีบหรือดมใกล้จมูก แก้เป็นลม วิงเวียน หน้ามืดตาลาย
    - ด้านประเทศฟิลิปปินส์และประเทศจีน ใช้เปลือกลูกมะนาวขยี้ใก้ดมแก้คลื่นไส้ หรือเป็นลม หมอพื้นเมืองชาวอินเดีย นิยมใช้น้ำมะนาวแก้อาเจียน

    15. แก้วิงเวียนเมื่อคลอดบุตร
    - เอามะนาวปอกใส่ภาชนะ 2-3 ลูก เพื่อให้คนที่คลอดบุตรนั้นกินแก้วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย
    - เอามะนาว 3 ผล เกลือป่นและพริกไทยป่นพอควร ละลายด้วยน้ำร้อน แทรกเหล้าโรงประทาณให้ได้สักครึ่งถ้วยชา เวลาตกฟากรับประทาน 1 ครั้ง หรือรับประทาณต่อไปอีกก็ได้

    16. แก้เมาเหล้า เมายา
    - ดื่มน้ำมะนาวหรืออมกับเกลือ สำหรับคนเมาเหล้าหรือวิงเวียนจะเป็นลม

    17. แก้ลมเงียบ
    - เอาใบมะนาวมาต้มกินกับยาหอมประมาณ 1 อาทิตย์

    18. แก้ตาแดง
    - เอามะนาวผ่า แล้วเอาเมล็ดในออกให้หมด แล้วก็บีบเอาน้ำมะนาวหยอดลงในตกทั้ง 2 ข้างหลายๆหยด สัก 1-2 นาที พอหายแสบแล้วล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด เช็ดหน้าเรียบร้อยแล้วก็สบาย และใช้มะนาวต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะหายตาแดง

    19. บำรุงตา
    - ใช้มะนาวสดทั้งลูกฝานตามที่เห็นสมควร แล้วบีบใส่ตาประจำ ประมาณเดือนหรือสองเดือนครั้งก็ใช้ได้ ( เนื่องจากตาเป็นอวันวะที่บอบบางมาก และน้ำมะนาวนั้นหยอดลงไปแล้วจะรู้สึกแสบตา ดังนั้น เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นจึงไม่ควรใช้น้ำมะนาวนี้หยอดตา)

    20. บำรุงผิว
    - เอาเปลือกที่บีบเอาน้ำออกแล้ว นำมาทาบริเวณข้อศอก คาง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า ช่วยให้ส่วนเหล่านั้นนุ่มนวลได้อย่างดี

    21. แก้ผิวแตก
    - ใช้มะนาวทาผิวหนังทำให้ชุ่มชื้น ไม่แตกกร้านในช่วงอากาศแห้ง

    22. แก้สิวฝ้า
    - ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนอง การรักษาอย่างง่ายที่ถูกวิธี คือ การทำความสะอาดใบหน้า เพื่อลดไขมันและกำจัดสิ่งอุดตันตามรูขุมขนบนใบหน้า หรือบริเวณอก คอ ที่มีสิวขึ้น ฉะนั้นมะนาวจะช่วยรักษาสิงให้ลดน้อยลงได้ เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อนๆ จะทำให้เนื้อเยื่อที่ตามแล้วหลุกออกไป ทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขน กรดอ่อนๆ จะช่วยกำจัดเชื้อโรคและช่วยกำจัดไขมันได้บ้าง
    วิธีใช้ คือ ล้างหน้าด้วยสบู่ธรรมดาให้สะอาดแล้วผ่ามะนาวทาบริเวณที่มีสิวขึ้นให้เปียกชุ่มจนทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออกด้วยสบู่อีกครั้ง ทำเช่นนี้วันละ 1-2 ครั้ง เช้าและเย็น
    - ใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อยๆยุบหายไปในที่สุด
    - ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ไข่ขาว 1 ช้อนชา ผสมกันให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเอาไปแต้มที่ตุ่มสิว หรือผู้ที่ไม่มีสิว ใช้ทาบางๆทั่วไปประมาณ 30 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสบู่ หน้าจะนิ่มนวลอยู่เสมอ

    23. ลบรอยแผลเป็น
    - รอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุ ใช้น้ำมะนาวผสมดินสอพองทาบริเวณที่เป็น ทำให้หน้าไม่ดำ หรืออาจใช้ใบมะลิสดตำผสมเพิ่มเข้าไปอีกก็ได้

    24. แก้ขาลาย
    - คนที่มีขาลายเป็นจุดด่างดำเม็ดเล็กๆนั้น แก้ได้โดยเอาน้ำมะนาวบีบใส่ดินสิพองหมาดๆ แล้วทาทุกๆคืนก่อนนอน พอรุ่งเช้าก็ล้างออก ทำอย่างนี้ทุกวัน ไม่นานวันรอยด่างดำก็ลบหายไปเอง

    25. แก้น้ำเหลืองเสีย
    - ใช้ใบมะนาว 108 ใบกับเกลือหรือดีเกลือ 2 บาท หรือประมาณ 3 ช้อนคาวรวมกัน ต้มรับประทานเป็นยาระบายถ่ายน้ำเหลืองเสีย รับประทานครั้งละครึ่งถ้วยแก้วกลาง วันละ 1 ครั้งก่อนเข้านอน

    26. แก้ส้นเท้าแตก
    - เอามะนาวสดผ่าซีกแล้วบีบมะนาวให้หยดลงบนบริเวณที่เป็นแผลนั้น เพียงวันละ 2-3 ครั้ ภายใน 7 วัน โรคส้นเท้าแตกจะหายไปเอง

    27. ดับกลิ่นเต่า
    - ใช้น้ำมะนาวทารักแร้ป้องกันกลิ่นเต่า

    28. แก้โรคผิวหนัง
    - ประเทศแถบทวีปอาฟริกาตะวันตกและประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวทาแก้โรคผิวหนัง แต่ของอินเดีย เวลาอาบน้ำ ห้ามฟอกสบู่บริเวณที่เป็น

    29. แก้กลาก เกลื้อน หิด
    - นำกำมะถันตำให้ละเอียดบีบมะนาวใส่พอสมควร ทาบริเวณที่เป็นเกลื้อนหลังอาบน้ำและก่อนนอน เคยใช้กับญาติโยมหลายราย ผลออกมาแล้วหายเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์
    - ใช้มะนาวผ่าซีกแตะผงกำมะถันแล้วมาถูบริเวณที่เป็นหิด กลากเกลื้อนจะกายในเร็ววัน

    30. แก้หูด
    - เอาเปลือกมะนาวหมักกับน้ำส้มสายชู 2 วัน ตัดเปลือมะนาวมาปิดที่หูด ปิดทับด้วยพลาสเตอร์ค้างคืนไว้ รุ่งเช้าจึงเอาออก ให้ทำเช่นนี้นาน 2 อาทิตย์

    31. แก้พุพอง
    - ใช้รากมะนาวฝนกับน้ำซาวข้าว ทาแก้พุพอง แสบร้อน

    32. แก้น้ำกัดเท้า
    - ใช้มะนาวทาที่เป็นตุ่มคัน น้ำกัดเท้า ทาแล้วทิ้งให้แห้ง ล้างออกด้วยน้ำสบู่ ให้ผ้าเช็ดให้แห้ง แล้วเอาแป้งทา ตุ่มคันก็จะหาย

    33. แก้ปูนซีเมนต์กัด
    - เวลาถูกปูนซีเมนต์กัดตามมือ เท้า เอามะนาวมาตัดกลางลูก แล้วบีบน้ำมะนาวตรงที่ปูนกัดก็จะหาย

    34. แก้คัน
    - ใช้มะนาวตัดกลางลูกรมไฟพออุ่น ถูทาตามที่คันภายใน 2-3 วัน จะหาย
    - เรื่องแก้คันนี้ในประเทศอินเดีย ใช้มะนาวผสมน้ำผึ้ง ทาบริเวณที่คันและเวลาอาบน้ำ อย่าฟอกสบู่บริเวณที่คัน ใช้ทาทุกครั้งเมื่อรู้สึกคัน

    35. แก้หนอนคัน
    - แถวชนบทมีตัวหนอนหลายชนิด เมื่อเราไปถูกมันเข้าจะทำให้เนื้อตรงบริเวณนั้น คันมาถึงกับเน่าเปื่อยก็มี ถ้าไปถูกตัวหนอนแล้วคันแต่ยังไม่เปื่อยเป็น แผล ให้เอามะนาวผ่าซีกถูตรงที่คันนั้น แต่ถ้าเปื่อยเป็นแผลแล้ว ให้เอาบานไม่รู้โรยมาตำกับปูนที่กินกับหมากผสมน้ำ เล็กน้อย ทาตรงแผยเปื่อยรับรองหาย

    36. แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย
    - ใช้ระงับความเจ็บปวดจากพิษแมลงได้ โดยใช้มะนาวพอกบริเวณปากแผลทิ้งไว้ 2-3 นาทีแล้วเปลี่ยนใหม่ทำดูจะหายปวด
    - ในประเทศจีน ใช้ผลสดคั้นเอาน้ำ ทาบริเวณที่ถูกตะขาบกัด แมลงป่องต่อยทันทีจะแก้ได้

    37. แก้สังคัง
    - ใช้มะนาวผ่าซีก ทาก่อนนอนและหลังตื่นนอน เพียงไม่กี่วันก็หาย

    38. ใช้สระผม แก้คันศีรษะ
    - ใช้น้ำมะนาวสระผมทำให้ผมสะอาด หอม
    - ถ้าคันศีรษะบ่อย ใช้น้ำมะนาวนวดศีรษะให้ทั่วสักครู่ก่อนสระผมจะแก้ได้

    39. แก้หัวโน
    - ใช้แป้งดินสอพองผสมน้ำมะนาว ทาตรงที่ช้ำบวมสักพักใหญ่ๆ อาการปวดบวม ปูด ก็จะยุบ หมั่นทาวันละ 1-2 ครั้ง ภายใน 2 วันก็จะหายไปเอง

    40. แก้ผิวหนังฟกช้ำ
    - ผสมน้ำมะนาวกับดินสอพองข้นๆ ทาบริเวณที่มีอาการผิวเนื้อถูกกระแทกเขียวฟกช้ำ หรือบวมโน จะหายเป็นปกติ

    41.แก้หนามปัก
    - แก้หนามปักคา ใช้มะนาวกับน้ำมันตับปลา ใส่ที่แผลจะดูดหนามออกมาได้

    42. แก้เล็บขบ
    - เอามะนาวมาผ่าตรงส่วนหัวออกขนาดพอสอดนิ้วเข้าไปได้ ใช้มีดคว้านเอาเนื้อข้างในออกเล็กน้อย เสร็จแล้วเอาปูนทาบางๆ แล้วเอานิ้วสอดเข้าไป แล้วทิ้งไว้ ทำดังนี้ 2-3 ครั้ง อาการเล็บขบจะหายไป

    43. แก้ปลาดุกยัก
    - ใช้มะนาวผ่าซีกแล้วกดหรือถูครงรอยปลาดุกยักสักพักหนึ่ง จะหายปวดภายใน 4-5นาที

    44. แก้งูกัด
    - แก้งูกัดให้ปฏิบัติดังนี้
    1. ให้คนเจ็บนอนราบๆ เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกายช้าลง และพิษงูจะได้แผ่ซ่านช้าลงด้วย
    2. ถ้าถูกงูพิษกัดที่แขนและขา ให้เอาเชือกรัดเหนือแผลหน่อย กะให้รัดอยู่ใน ระหว่างแผลกับหัวใจของคนเจ็บ การรัดให้รัดพอให้เลือดตรงผิวหนังนั้นหยุดไหล เพื่อกันไม่ให้พิษผ่านเข้าเส้นโลหิตดำเท่านั้น ไม่ต้องรัดแน่นมากจนหลอก เลือดที่อยู่ลึกลงไปพลอยหยุดไหลไปด้วย ถ้ารัดพอดีๆจะสังเกตเห็นน้ำเหลืองไหล ซึมออกจากแผลอยู่เรื่อยๆ
    3. ใช้ใบมีดโกนที่สะอาดและฆ่าเชื้อแล้ว กรีดลงบนแผลเป็นรูปกากบาท ลึกสัก 1 ใน 8 นิ้ว ยาว สัก 1 ใน 4 นิ้ว ทั้ง 2 เขี้ยว อย่าตกใจว่าจะเสียเลือด เพราะมันจะช่วยล้างพิษออกด้วย ให้ใช้ปากดูดพิษออกมาจากแผลที่กรีด พิษงูจะ ไม่เป็นอันตรายเมื่อเข้าไปอยุ่ในปาก นอกจากจะมีแผลในปากหรือฟันผุเท่า นั้น เมื่อดูดพิษออกมาให้รีบบ้วนทิ้ง แล้ววางน้ำแข็งที่แผลสลับกับการดูด ช่วยด้วย และระวังให้แขน ขาที่ถูกงูกัดให้อยู่ต่ำๆไว้
    หมายเหตุ ถ้าฟันผุหรือมีแผลในปาก ใช้ขวดอุ่นให้ร้อน (ระวังแตก) เอาปากขวดทาบกับแผล เพื่อช่วยดูดเลือดออกจากแผลแทน
    4. ให้กินน้ำมะนาว ขนาดผลโตๆสัก 1 ผล น้ำมะนาวจะไปทำปฏิกิริยากับพิษงูที่แล่นเข้าสู่กระเพาะอาหาร สักครูก็จะอาเจียนออกมา มีเลือดปนเล้กน้อย ซึ่งแสดงว่าพิษงูได้หมดฤทธิ์แล้ว
    5.คนเจ็บจะเกิดความมั่นใจและค่อยหายกลัว ให้เขาดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มร้อนๆได้ แต่อย่าให้กินเหล้า
    พิษงูมันเดินเข้าหัวใจอย่างช้าๆ แต่หลังจากที่ถูกงูกัด อาจปวดมากจนถึงกับช็อค ให้คนเจ็บอยู่เงียบๆ เพราะถ้าไปทำอะไรเข้า จะเป็นการเร่งพิษเดินทางเข้าสู่หัวใจเร็วเข้าอีก ให้ ใช้น้ำแข็งหรือผ้าชุบน้ำแข็งวางที่แผล จะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้ และรีบนำ ส่งรักษาที่โรงพยาบาล

    45. ป้องกันงู
    - เมื่อใช้มะนาวคั้นเอาน้ำหมดแล้ว เอาเปลือกวางท้องเอาไว้ใกล้ๆที่นอน จะทำให้งูไม่มารบกวน เพราะได้กลิ่นมะนาว

    46. แก้แมงคาเรืองเข้าหู
    - นำน้ำมะนาวอย่างเดียว กรองด้วยผ้า ใช้หยอดหู แก้แมงคาเรืองเข้าหู ถ้าตัวยังไม่ตายจะหนีออกมา ถ้าไม่หนีออกมาตัวจะตายในหู

    47. แก้ฝี
    - แก้ปวดฝีใช้รากสดฝนกับเหล้าทา
    - ขูดเอาผิวมะนาว ผสมกับปูนแดงปิด ฝีจะหาย

    48. แก้ฝีมะตอย
    - เอามะนาวทั้งลูก มาคว้านไส้ในออกให้เอานิ้วเข้าไปได้ แล้วเอาปูน(กินหมาก)ทาเข้าไปในลูกมะนาวเล็กน้อย แล้วสวมเข้านิ้วที่มีฝีขึ้น

    49. แก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
    - ให้เอาน้ำมะนาวมาชะโลมบริเวณที่ถูกไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก มีสรรพคุณดับพิษปวดแสบแวดร้อนได้ผล

    50. แก้บาดทะยัก
    - เมื่อดถูตะปูตำ หนามเกี่ยว หรือถูกของที่มีคม เอาน้ำมะนาวบีบใส่แผลที่เป็น จะป้องกันบาดทะยักได้

    51. แก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ
    - แก้อาการปวดท้อง แน่นท้อง เอาผลมะนาวครึ่งผล บีบเอาน้ำมะนาวใช้กินกับน้ำอ้อย หรือน้ำตาล แก้อาการนี้ได้
    - เด็กท้องอืดร้องกวนในเวลากลางคืน เอาปูนเคี้ยวหมากขยี้ลงบนฝ่ามือ บีบน้ำมะนาวคลุกให้ทั่ว แล้วทาท้องด็ก สักครู่เด็กจะผายลม 2-3 ครั้ง แล้วหยุกร้องไห้ หลับสบายตลอดคืน เพราะน้ำมะนาวทำปฏิกิริยากับปูน ให้ความร้อนเกิดความอบอุ่น

    52. รักษาโรคกระเพาะ
    - เปลือกผลมะนาว ใช้ชงกับน้ำอุ่ม ดื่มเป็นยาขับลมและแก้โรคกระเพาะได้

    53. แก้ท้องผูก
    - ใช้มะนาว ประมาณค่อนแก้วกาแฟ ใส่เกลือเล็กน้อย ให้เค็มพอประมาณ ดื่มทุกวันเป็นยาระบายได้ดี ทำให้เจริญอาหาร

    54. แก้ท้องร่วง
    - ประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวกับน้ำสะอาดดื่มแก้ท้องร่วง

    55. แก้อาหารเป็นพิษ
    - น้ำมะนาว น้ำปูนใส เติมเกลือให้มีรสเค็ม กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ แก้อาหารเป็นพิษ

    56. แก้ผิดสำแลง
    - รากมะนาว ฝนกับน้ำซาวข้าวรับประทานแก้ผิดอาหาร ถ้าได้รากมะนาวหวานยิ่งดี
    - เอามะนาวบีบเอาน้ำใส่ถ้วย แล้วเอาปูนกินหมากมาแช่น้ำ แล้วเอาน้ำใสๆของปูนมาผสมน้ำมะนาว แล้วรับประทานแก้กินของผิดได้เป็นอย่างดี

    57. แก้บิด
    - ใช้มะนาวกับน้ำผึ้งเอาเท่าๆกัน กินครั้งละ 1 ถ้วยตะไล สัก 2-3 ถ้วย แก้บิดได้ หรือจะผสมน้ำปูนใส อย่างละเท่าๆกัน ก็ได้ผลเช่นกัน
    - ชาวมาเลเซียใช้รากมะนาวต้มกินแก้บิด

    58. ขับพยาธิไส้เดือน
    - ชาวอินเดียใช้น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งดื่มขับพยาธิไส้เดือน

    59. แก้นิ่ว
    - เอามะนาวมา บีบมะนาวแช่หินปูน หากหินปูนละลาย ก็เอารากมะนาวนั้นมาต้มกิน แล้วนิ่วก็คือหินปูนในกระเพาะ ปัสสาวะจะอยู่ได้อย่างไรก็ต้องละลายออกมาหมดอย่างแน่นอน หากนิ่วก้อนใหญ่ก็ ต้องใช้เวลาหน่อย

    60. แก้ปัสสาวะกระปริบกระปรอย
    - ใช้ใบมะนาวสดต้มกินกับน้ำตาลแดง ประมาณ 2-3 วันก็หาย

    61. แก้ระดูขาว
    - น้ำมะนาว 2 ช้อน เกลือ น้ำตาลนิดหน่อย ผสมน้ำสุก ใส่น้ำแข็งรับประทานแก้และรักษาสตรีมีระดูขาวมากๆ

    62. ฟอกโลหิต
    - ใช้ใบมะนาว 7 ใบ ต้มผสมกับน้ำ กินครั้งละ 3 ถ้วยชา วันละ 3 เวลา ได้ผลดี

    63. แก้โลหิตจาง
    - ให้เอาผลมะนาวผ่าซีก บีบเอาเฉพาะน้ำ ผสมกับน้ำหวานแล้วปรุงด้วยเกลือทะเลพอสมควร ใส่น้ำแข็ง ใช้รับประทานบ่อยๆ เป็นยาบำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง และทำให้มีฟิวพรรณผุดผ่องมีน้ำมีนวล

    64. แก้เหน็บชา
    - ให้เอาลูกมะนาวเท่าอายุคนป่วย ใช้มีดบางคมๆ ผ่าสองเอาหนึ่ง ส่วนที่ไม่เอาแล้วแต่เราจะเอาไปทำอะไร ให้เอาน้ำตาลทรายขาว 1 ลิตร เกลือ 1 ลิตร เอาน้ำ 4 ลิตร ต้มให้เดือด ยกลง พอเย็นหน่อยก็เทใส่ไห แล้วจึงเอามะนาวส่วนที่เอาเทลงดองไว้ในไห ปิดปากไห ไปฝังไว้ในข้าวเปลือก 7 วัน แล้วเอาน้ำมากินให้หมด แล้วเอากากไปตำตากแดดให้แห้ง เอามากินให้หมด โรคเหน็บชาจะหายไป

    65. แก้ร้อนในกระหายน้ำ
    - มะนาวสามารถแก้ความกระหายได้ดี กินน้ำมะนาวใส่น้ำแข็งแล้ว จะรู้สึกชุ่มคอ

    66. แก้อ่อนเพลีย
    - ใช้มะนาว 1 ผลครึ่ง บีบเอาแต่น้ำใส่แก้ว แล้วใส่น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำให้ได้ประมาณครึ่งแก้ว กะให้หวานพอดี ดื่มให้หมด จะรู้สึกกระชุ่มกระชวยดี
    - เวลาฟื้นจากไข้ทานอาหารไม่อร่อยหรือไม่อยากทานอะไรเลยต้องแก้ด้วยอาหารที่มีรสเปรี้ยว ใส่มะนาวหรือชงน้ำมะนาวดื่ม หรือกินมะนาวจิ้มยาหอม หรือกินมะนาวจิ้มเกลือ

    67. เป็นยาอายุวัฒนะ
    - ใช้มะนาว 1 ลูกผ่าออกเอาเม็ดท้อง แล้วคั้นเอาน้ำชงกับน้ำตาล 2 ช้อน และน้ำร้อนพอควร ทำให้แข็งแรงและชุ่มชื่นในลำคอ
    - ใช้มะนาว 50 ผล น้ำผึ้ง 1 ขวดขาว พริกไทยร่อนครึ่งลิตรเล็ก ตำพริกไทยให้ป่น ใส่ผ้าขาวบางห่อ ใส่โหลดองรวมกันประมาณ 3 วัน นำมากินได้เป็นยาอายุวัฒนะ

    68.ยาเจริญอาหาร
    - เอามะนาว 30 ลูกผ่าซีกทั้งเปลือกแล้วเอายาดำหนัก 5 บาท ใส่ดีเกลือเล็กน้อย หร้อมกับเกลือแกงอีกพอประมาณจนรู้สึกว่ามีรสเค็ม เอายาทั้งหมดใส่ขวดโหลดองไว้ประมาณ 3 คืน รับประทานมีสรรพคุณทำให้เป็นยาระบายถ่ายพยาธิ และเจริญอาหาร

    69. แก้ความดัน
    - เอาใบมะนาว 108 ใบ ต้มรับประทานแก้โรคความดันต่ำและสูง

    70. แก้ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ (โรครูมาติซั่ม)
    - ให้ดื่มน้ำมะนาว ดังนี้
    วันที่ 1 ให้ดื่มน้ำมะนาว 2 ผล
    วันที่ 2 ให้ดื่มน้ำมะนาว 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง
    วันที่ 3 ให้ดื่มน้ำมะนาว 6 ผล แบ่งให้วันละ 3 ครั้ง
    ให้เพิ่มมะนาวเรื่อยๆจนถึงวันที่ 10 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง
    วันที่ 11 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 2 ผล
    วันที่ 12 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง
    ให้เพิ่มมะนาวเรื่อยๆจนถึงวันที่ 20 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง

    71. ลดความอ้วน
    - การดื่มเครื่องดื่มต้องใส่น้ำตาลน้อยที่สุด และควรดื่มวันละ 8-10 แก้วทุกวัน ตื่นเช้าควรดื่มน้ำมะนาว 1 ผล ในน้ำอุ่นและขนมปังไม่เกิน 1 แผ่น ก่อนอาหารทุกมื้อควรดื่มน้ำมะนาวครึ่งผลผสมน้ำเย็น ก่อนอาหารกลางวัน และอาหารเย็นจะช่วยให้อิ่ม อย่าให้ดื่มขณะที่ทานอาหาร ถ้ารู้สึกหิวก่อนเวลา อาหารไม่ว่ามื้อใด ให้รับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว หรือน้ำส้ม น้ำมะนาวสักแก้ว

    72. ใช้ในครัวเรือน
    - หุงข้าวให้ขาวและอร่อย บีบน้ำมะนาว 2-3 ช้อนในข้าว แล้วนำไปซาวข้าว เมื่อหุงเสร็จข้างจะขาว สะอาด กินอร่อย ไม่ออกรสมะนาวเลย
    - นิ้วมือเวลาเด็ดผักหรือหั่นผัก เนื้อใกล้ๆเล็บมือจะเป็นสีดำมองดูน่าเกลียด ใช้มะนาวถูจะแก้ได้
    - เวลาใช้มีดผ่าปลีกล้วย มีดจะเป็นสีม่วงคล้ำ ใช้มะนาวผ่าซีกถูตามใบมีด มีดจะสะอาดดังเดิม
    - ทอดไข่เจียวให้ฟูและนิ่ม ขณะตีไข่ให้ใส่มะนาว 4-5 หยด ไข่จะฟูและนิ่ม
    - การเชื่อมกล้วยหักมุกให้น่ารับประทาน พอน้ำตาลเดือดเป็นยางมะตูม ให้บีบมะนาวครึ่งซีกตาม แต่กล้วยมากหรือน้อยจะช่วยให้กล้วยใสน่าทาน
    - ถ้าต้มปลาสด ต้องการให้ปลาคงรูปไม่เละ ไม่มีกลิ่นคาว ควรบีบมะนาวลงไปสักนิดหน่อย
    - ใช้มะนาว 2-3 ผล แทรกไว้ในข้าวสาร จะช่วยป้องกันมอดได้
    - เปลือกมะนาวใช้เช็ดภาชนะ ทองเหลือง ทองแดง เครื่องเงิน เครื่องนาค เครื่องเงินจะใหม่ เงางามสุกใสขึ้น
    - ฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ 2-3 ลูกใส่ในน้ำเย็น 1 ป๋อง ประมาณ 10 ลิตร เติมการบูร 2 แท่ง ตั้งทิ้งไว้ในห้องที่ทาสีใหม่ๆ ปิดประตู หน้าต่างให้หมด น้ำมะนาวและการบูรจะช่วยดูดกลิ่นสีได้อย่างดี
    - ผ้าที่เปื้อนน้ำหมาก เปื้อนหมึก ใช้น้ำตาลทรายเล็กน้อย โรยตรงรอยเปื้อนหยดน้ำลงไปพอชุ่ม แล้วถูด้วยมะนาวจะลบรอยเปื้อนได้
    - เตารีดร้อนจัดรีดผ้าขาวจะทำให้ผ้าเหลือง ให้เอาน้ำมะนาวทาที่เตารีด ก่อนรีดผ้าจะแก้ได้
    - ต้มผ้าให้สะอาด ฝานมะนาว 2-3 ชิ้น ใส่ด้วย ช่วยให้ผ้าสะอาด
    - ใช้มะนาว เกลือป่น ถูบริเวณที่เสื้อขาวเปื้อนเลือด ซักด้วยน้ำเย็นจะออกหมด
    - เครื่องใช้ที่เป็นหนังทิ้งไว้นานหลายปีทำให้แข็งกระด้าง เอาน้ำมะนาวขัดถู ทำให้หนังนิ่มแล้วใช้ยาขัดอีกที จะทำให้ดูใหม่ขึ้น


    ที่มา:http://variety.mwake.net/story/75/%E0%B8%259...2%E0%B8%A7.html
     
  15. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    สมอไทย
    สมอไทย

    สมอไทย หรือ ลูกสมอ หรือ สมออัพยา ภาษาอังกฤษ คิบูลิค ไมโรบาลัน (Chebulic Myrobalans) หรือ ไมโรบาลันวู๊ด (Myrolan Wood) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Terminalia chebula Retz. ส่วนภาษาท้องถิ่นอื่นๆเช่น หมากแน่ะ, ม่าแน่ (ภาคอีสาน)

    สมอไทย เป็นพืชท้องถิ่นในเอเชียใต้ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลักษณะของผลมีลักษณะค่อนข้างกลมหรือเป็นรูปไข่ มีผิวเรียบสีเขียวอมเหลืองหรือแดง ในผลมีเมล็ดเดียวแห้งแล้วจะเป็นสีดำ โดยสมอไทยเป็นสมุนไพรไทยที่สามารถนำมาใช้ทำเป็นยาได้หลายส่วนไม่ว่าจะเป็น ดอก ผล หรือแม้แต่เปลือกต้นก็ตาม

    ตามตำราสมุนไพร รสของสมุนไพรจะบ่งบอกสรรพคุณทางยา ยิ่งมากรสเท่าไหร่ก็ยิ่งมีคุณประโยชน์ ซึ่งสมุนไพรอย่างสมอไทยก็มีสารพัดรสชาติไม่ว่าจะเป็น รสขม ฝาด เผ็ด เค็ม หวาน และรสเปรี้ยว
    สมอไทยได้รับการยอมรับว่าเป็น “ราชาสมุนไพร” เนื่องจากช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกายและช่วยบำบัดรักษาโรคต่างๆ ใช้รักษาอาการท้องผูกเรื้อรัง ซึ่งดีกว่ายาทั่วไปที่ช่วยถ่ายท้องได้ แต่แก้อาการท้องผูกไม่ได้ และยังช่วยชำละล้างลำไส้ได้อีกด้วย และยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ประโยชน์ต่อร่าง กายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น วิตามินเอ วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส!
    สรรพคุณของสมอไทย

    ลูกสมอ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง (ผลรสเค็ม)
    สมอไทยช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายและช่วยบำบัดรักษาโรคได้หลายชนิด
    ช่วยให้เจริญอาหาร (เมล็ด)
    สมอไทย สรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง (ผลรสหวาน)
    แก้อาการอ่อนเพลีย (ผลแก่นำมาดองกับน้ำมูตรโคดื่มบรรเทาอาการ)
    ช่วยบำรุงร่างกาย (ผลแก่)
    ประโยชน์ของลูกสมอ ช่วยบำรุงหัวใจ (เปลือกต้น)
    ช่วยฟอกโลหิต (ผลรสเปรี้ยว)
    ช่วยแก้กระหาย (ผลรสเปรี้ยว)
    ช่วยระงับประสาท ทำให้นอนหลับสบาย (ผลรสเค็ม)
    แก้อาการนอนสะดุ้ง (ผลแก่)
    ใช้รักษาโรคฟันและเหงือกที่เป็นแผล
    ช่วยสมานแผลในช่องปาก (ผลรสฝาด)
    สรรพคุณของสมอไทย ช่วยควบคุมธาตุในตัว (ผล)
    ช่วยแก้พิษร้อนใน (ผล)
    ช่วยแก้ไข้ (ผลรสขม)
    แก้เจ็บคอ (ผลแก่) หรือจะใช้เนื้อผลรสฝาดทำเป็นยาชงใช้อมกลั้วคอแก้อาการก็ได้เช่นกัน
    ช่วยแก้อาการไอ (ผลรสเปรี้ยว)
    แก้อาการหืดไอ (ผลรสฝาดเปรี้ยว)
    แก้อาการสะอึก (ผลรสฝาดเปรี้ยว)
    ประโยชน์ของลูกสมอไทย ช่วยแก้อาเจียน (ผลรสฝาดเปรี้ยว)
    สรรพคุณของสมอไทยช่วยกัดเสมหะ (ผลรสเปรี้ยว)
    ช่วยขับเสมหะ (ผลอ่อน)
    ช่วยแก้เสมหะเป็นพิษ (ผลแก่)
    ผลอ่อนใช้เป็นยาระบาย ช่วยในการขับถ่ายให้คล่องตัว และเป็นยาระงับการถ่าย คือรู้ปิดรู้เปิดไปในตัว (ผล)
    ช่วยย่อยอาหาร (ผลรสขม)
    แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ (เนื้อลูกสมอรสฝาดเปรี้ยว)
    ช่วยแก้อาการท้องเสีย (ผลรสฝาด)
    สรรพคุณสมอไทย ช่วยขับลมในลำไส้ (ผลอ่อน)
    ผลแก่ช่วยแก้ลม จุกเสียด (ผลแก่)
    ช่วยแก้อาการบิด (ผลรสฝาด)
    ช่วยแก้อาการท้องร่วงเรื้อรัง (ผลรสฝาดเปรี้ยว)
    สรรพคุณของลูกสมอ ช่วยแก้โลหิตในท้อง (ผลอ่อน)
    ช่วยรักษาโรคท้องผูก และอาการท้องผูกเรื้อรัง (ผลรสเปรี้ยว)
    ช่วยแก้โรคท้องมาน (ผลรสฝาดเปรี้ยว)
    ช่วยในการขับถ่าย (ผลรสฝาด)
    สรรพคุณลูกสมอ ช่วยชำระล้างเมือกมันในลำไส้ (ผลรสเปรี้ยว)
    ช่วยสมานแผลในกระเพาะลำไส้ (ผลรสฝาด)
    ช่วยแก้ขัด (เยื่อหุ้มเมล็ด)
    ช่วยขับปัสสาวะ (เปลือกต้น)
    ช่วยบรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร (ผลรสเค็ม)
    ลูกสมอ สรรพคุณช่วยแก้ประจำเดือนไม่ปกติ (ผลรสเปรี้ยว)
    ช่วยแก้ลมป่วง (ผล)
    แก้ดีพลุ่ง (ผลแก่)
    ช่วยบำรุงน้ำดี (ผลรสขม,ใบ)
    ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับน้ำดี (เยื่อหุ้มเมล็ด)
    ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย (เปลือกต้น)
    ประโยชน์สมอไทย ช่วยแก้ประดงน้ำเหลืองเสีย (ผลรสเค็ม)
    ช่วยแก้ตับม้ามโต (ผลรสฝาดเปรี้ยว)
    สรรพคุณสมอไทยช่วยแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ตามข้อ (ผลแก่นำมาดองกับน้ำมูตรโคดื่มบรรเทาอาการ)
    ช่วยถอนพิษผิดสะแดง (ผลรสขม)
    ผลแก่ใช้เป็นยาฝาดสมาน
    ใช้รักษาแผลเรื้อรัง ด้วยการนำผลแก่มาบดให้เป็นผงแล้วนำมาโรยใส่แผล (ผลแก่)
    สมอไทย ประโยชน์ช่วยแก้พิษฝี (ผลรสเค็ม)
    ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย (ผลรสเค็ม)
    ช่วยแก้พยาธิต่างๆ (ผลรสเค็ม)
    สมอไทยจัดอยู่ในกลุ่มยาสมุนไพร “พิกัดตรีผลา” “พิกัดตรีสมอ” “พิกัดตรีฉันทลามก”
    ลูกสมอ ประโยชน์ผลดิบใช้รับประทานเป็นผลไม้สด หรือนำไปดองเกลือก็ได้ ส่วนผลห่ามสามารถนำไปจิ้มน้ำพริกกินได้ (ผล)
    ประโยชน์ของสมอไทย ผลใช้ในอุตสาหกรรมฟอกหนัง และใช้ทำหมึก (ผล)

    แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, เว็บไซต์ e-magazine.info, เว็บไซต์ Thaicrudedrug.com
    ปรับปรุงเนื้อหาครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2013 เวลา 15:10 น.
    ที่มา:สมอไทย สรรพคุณและประโยชน์ของสมอไทย 59 ประการ !!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    น้ำปัสสาวะกับแพทย์แผนจีน
    ส่วนตอนนี้เป็นบทความพิเศษจากหนังสือ “หมอชาวบ้าน” ฉบับที่ ๒๔๐ เมษายน ๒๕๔๒

    เรื่องของ “น้ำปัสสาวะสามารถรักษาโรคได้สารพัด” ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะอย่างครึกโครมเป็นระยะๆ จำได้ว่าขึ้นเป็นข่าวหน้าหนึ่ง ของ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๕ โดยบรรยายสรรพคุณว่าสามารถรักษาโรคได้ ตั้งแต่โรคง่ายๆ เช่น หวัดไปจนถึงโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง โดยการศึกษาวิจัย ของ สถาบัน MCL (miracle cup of liquid แปลว่า น้ำในถ้วยมหัศจรรย์) ของ ญี่ปุ่น

    ขณะเดียวกันก็พบว่า มีการตื่นตัว แปลหนังสือเผยแพร่เป็นภาษาต่างประเทศทั่วโลก ในขณะที่แพทย์สมัยใหม่หลายคนออกมาคัดค้านว่า ความเชื่อในเรื่องน้ำปัสสาวะเป็นน้ำมหัศจรรย์ ไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน ความวิเศษตามที่กล่าวอ้างในชีวิตจริง ผู้เขียนเคยพบเห็นผู้ที่ใช้น้ำปัสสาวะ เพื่อรักษาโรคเรื้อรัง ของ ตนเองตามความเชื่อ เนื่องจากผู้ป่วยพบว่า ไม่สามารถหาทางออกได้จากการรักษา โดยการแพทย์แผนปัจจุบัน จึงตัดสินใจลองรักษาตัวเองโดยวิธีนี้

    บทความที่จะเขียนต่อไปนี้ คงไม่สามารถให้คำตอบที่เบ็ดเสร็จ ว่าน้ำปัสสาวะจะสามารถแก้ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บบางอย่าง ตามที่มีผู้กล่าวอ้าง จริง หรือ ไม่ ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจจะสรุปลงไปเลยว่า น้ำปัสสาวะไม่มีคุณค่าใดๆ เลย ต่อการรักษาโรค บทความนี้ทำหน้าที่เสนอ เล่าสู่กันฟังถึงความเชื่อ และ การใช้น้ำปัสสาวะมารักษาโรคที่การ แพทย์แผนจีนได้มีการบันทึกกล่าวไว้ เพื่อเป็นข้อมูลในการเข้าใจถึงประสบการณ์ของคนจีน คงจะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจไม่มากก็น้อย

    การรักษาโรคด้วยน้ำปัสสาวะหมายถึง การนำน้ำปัสสาวะ ของ คน หรือ สัตว์ (ส่วนที่เป็นน้ำใส และองค์ประกอบในน้ำปัสสาวะ) มาใช้ดื่มเพื่อเข้าสู่ภายในร่างกาย หรือใช้ภายนอก ในการรักษาโรคที่ได้มีการสืบทอดกันมา ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยน้ำปัสสาวะบันทึกไว้ว่า

    ประมาณ ๑,๔๐๐ ปีก่อน ในราชวงศ์หนาน ยุคฉีเหลียง มีบันทึกสรรพคุณทางยา ของ น้ำปัสสาวะไว้ในบันทึกทางการแพทย์ ชื่อ “หมิง อวี เปียะ ลู่” สมัยราชวงศ์ฮั่น แพทย์จีนชื่อ จาง จ้ง จิ่ง ได้สร้างตำรับยา ”น้ำปัสสาวะผสมกับน้ำดีหมู” รักษาภาวะสารยินในร่างกายเหือดแห้ง และ พลังหยางถดถอยที่มีอาการรุนแรงสมัยราชวงศ์ถัง มีบันทึกการใช้น้ำปัสสาวะส่วนใสของเด็กเล็กมารักษาโรค โดยการใช้ทาภายนอกร่างกาย

    สมัยราชวงศ์หมิง ในบันทึก “อวี เซียะ เจิ้ง ฉวน” กล่าวถึงการใช้ปัสสาวะรักษาโรคสตรีภายหลังการคลอด การรักษาโรคกระดูกหักจากอุบัติเหตุ

    หนังสือ “เปิ่น เฉ่า จิง ซู” ในสมัยราชวงศ์หมิง ได้กล่าวถึงสรรพคุณ ของ น้ำปัสสาวะไว้ว่า “สามารถขับความร้อนจากความเหนื่อยล้า และ ภาวะร้อนภายใน แก้ไอ อาเจียนเป็นเลือด รวมถึงสตรีหลังคลอดที่เกิดอาการเวียนศีรษะ อึดอัด เนื่องจากเสียเลือด”

    หนังสือ “จัง ชิ้ง ถัง สุย ปี่” กล่าวสรุปว่า น้ำปัสสาวะมีสรรพคุณบำรุงธาตุยิน ลดไฟร้อนได้อย่างวิเศษสุด และ มีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคที่เกี่ยวกับเลือด

    ชนิด ของ น้ำปัสสาวะ และ การแยกส่วน ของ ตะกอน

    ๑. น้ำปัสสาวะ ของ คน
    เลือกเอาน้ำปัสสาวะ ของ คนที่แข็งแรง เอาเฉพาะน้ำปัสสาวะช่วงกลาง (คือน้ำปัสสาวะส่วนต้น ที่เริ่มถ่ายออก และ ส่วนปลายขณะที่ถ่ายเกือบสุด เป็นส่วนที่ไม่ใช้) ปกติมักจะใช้ปัสสาวะเด็กที่อายุต่ำกว่า ๑๐ ขวบ ยิ่งเด็กเล็กยิ่งดี การดื่ม ควรดื่มขณะที่อุ่นๆ หรือ ทันทีเมื่อปัสสาวะใหม่ๆ ครั้งละ ๑-๒ ถ้วย หรือ ผสมกับยาสมุนไพรตามตำรับยาต่างๆ การใช้ทาภายนอก สามารถใช้โดยตรง ตรงตำแหน่งที่เป็นโรค

    ๒. ตะกอนจากส่วนประกอบในปัสสาวะ (เหวิน จง ไป๊)
    เอาน้ำปัสสาวะใส่ไห หรือ ใส่กาทิ้งไว้เป็นเวลาแรมปี แล้วตักเอาส่วนที่ตกตะกอน แยกเอาสิ่งเจือปนอื่นๆ ออก นำตะกอนไปตากแห้ง ก็จะได้ส่วนที่เป็นสารประกอบ หรือ ตะกอนแห้งลักษณะแข็ง สีขาวเทาปราศจากสิ่งเจือปน

    เหตุผลทางทฤษฎีแพทย์แผนจีน

    แพทย์แผนจีนจัดน้ำปัสสาวะ ของ คนปกติทั่วไปเป็นประเภทยิน สรรพคุณทางยาเป็นยาเย็น ไม่มีพิษ รสชาติเค็ม วิ่งสู่อวัยวะภายในคือ ตับ ไต ปอด สรรพคุณทางยา เพิ่มธาตุยิน ลดไฟในร่างกาย หยุดเลือด สลายการอุดกั้น ของ เลือด

    ส่วนตะกอนที่ได้จากน้ำปัสสาวะ ส่วนประกอบที่สำคัญในการวิเคราะห์ โดยวิธีทางแผนปัจจุบันพบว่า มีแคลเซียมฟอสเฟต แคลเซียมยูเรท ส่วนน้ำปัสสาวะ ของ หญิงตั้งครรภ์จะพบฮอร์โมนไคริโอนิก โกนาโดโทรปิน (chrionic gonadotropin) ซึ่งสามารถรักษาหญิงที่มีบุตรยาก นอกจากนี้ยังพบสารยูริเคส (Uricase) สามารถรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือด และ ภาวะอุดกั้น ของ หลอดเลือดดำได้ด้วย

    การรักษาด้วยน้ำปัสสาวะตามตำรับแพทย์แผนจีน

    ตำรับที่ ๑ น้ำปัสสาวะเด็ก ๕ ลิตร ผสมกับน้ำผึ้ง ๓ ช้อนโต๊ะ
    สรรพคุณ รักษาโรคที่มีความร้อนเนื่องจากขาดสารยิน(ตามที่กล่าวมาแล้วรวมทั้งอาการที่มีปัสสาวะเหลือง และ หอบหืดจากภาวะยินพร่อง)

    วิธีใช้ น้ำปัสสาวะ ของ เด็กผู้ชายอายุต่ำกว่า ๓ ขวบ จำนวน ๕ ลิตร เคี่ยวไฟอ่อนๆจนเหลือ ประมาณ ๑ ลิตร ผสมน้ำผึ้ง ๓ ช้อนโต๊ะ ดื่มครั้งละ ๒ ถ้วยเล็ก วันละ ๒ ครั้ง

    ตำรับที่ ๒ ใช้ปัสสาวะเด็กเล็กอย่างเดียว
    สรรพคุณ -ใช้ อม และ ดื่มรักษาอาการเจ็บคอ เหงือกอักเสบ เลือดออกตามไรฟัน -ดื่มรักษา ภาวะเลือด ออกจากแผลในกระเพาะอาหาร และ ลำไส้อักเสบ เช่น อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระเป็นเลือด (แต่ไม่ได้ผลในกรณีที่เป็นแผลจากเนื้องอก)

    ตำรับที่ ๓ ยาจีน แชตี่ ๙๐ กรัม ลูกพุทราแดง ๑๕ ผล และ ปัสสาวะเด็ก
    สรรพคุณ ช่วยขับร้อน ขับชื้นทางเดินปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด หรือ มีนิ่วขนาดเล็กในทางเดินปัสสาวะ

    วิธีใช้ ใช้แชตี่บดให้ละเอียด เติมน้ำพุทราแดงต้ม และ ชงกับน้ำปัสสาวะเด็กกินสัก ๒-๓ ครั้ง

    ตำรับที่ ๔ หมาก ๓๐ กรัม น้ำขิงสด ๓๐ กรัม ปัสสาวะเด็ก ๑ ถ้วย
    สรรพคุณ รักษาเท้าชา ปวดเมื่อย เท้าไม่มีแรง ใจสั่น เหนื่อยง่าย คลื่นไส้อาเจียน อารมณ์ตึงเครียด

    วิธีใช้ ให้ต้มหมาก แล้วเอาน้ำชงกับน้ำขิงต้มใช้ดื่มก่อน ตามด้วยน้ำปัสสาวะเด็ก ๑ แก้ว

    ตำรับที่ ๕ สารตะกอนที่ได้จากส่วนประกอบในน้ำปัสสาวะ
    สรรพคุณ โดยทั่วไปมักใช้รักษาโรคปาก และ ลิ้นเป็นแผลเปื่อย เจ็บคอ(คออักเสบ) ปวดฟัน อาเจียนเป็นเลือด เลือดกำเดาออก (จากภาวะมีความร้อนมาก) ตัวอย่างเช่น -หกล้ม ได้รับการกระทบกระเทือน บดสารตะกอนให้เป็นผงละเอียด โดยผสมกับเหล้ากินครั้งละ ๒-๕ กรัม -แผลอักเสบในปาก ใช้ยาอึ่งแปะ บดละเอียด ผสมกับสารตะกอน แล้วเติมการบูรเล็กน้อย ใช้ป้ายบริเวณแผล

    ข้อควรระวังเกี่ยวกับการใช้ปัสสาวะรักษาโรค
    ๑. ควรหาสาเหตุที่แน่นอน ของ โรคก่อนว่ามีพยาธิสภาพ หรือ เป็นโรคอะไร เพราะบางโรคสามารถรักษาได้ง่ายโดยวิธีการแพทย์สมัยใหม่

    ๒. กรณีที่อยากจะทดสอบ ควรต้องสนใจ
    - เนื่องจากปัสสาวะมีคุณสมบัติทางสมุนไพร มีฤทธิ์เย็น คนที่ร่างกายเย็น-พร่องไม่ควรจะรักษาด้วยน้ำปัสสาวะ เพราะอาการจะเป็นมากขึ้น
    - การเลือกดื่มน้ำปัสสาวะควรเลือกน้ำปัสสาวะ ของ เด็กต่ำกว่า ๑๐ ขวบ หรือ ของ คนที่ภาวะร่างกายแข็งแรงเป็นสำคัญ
    - การเก็บน้ำปัสสาวะต้องใช้น้ำปัสสาวะช่วงกลาง (ช่วงแรกที่เริ่มปัสสาวะ และ น้ำปัสสาวะส่วนที่ใกล้จะสุดท้ายไม่ใช้)

    เนื้อหาที่นำมาเล่าสู่กันฟัง เป็นประสบการณ์บันทึก ของ แพทย์แผนจีนที่มีการนำน้ำปัสสาวะมาใช้รักษาโรค ส่วนจะเป็นที่ยอมรับ ของ คนทั่วไปคงยาก เพราะปัจจุบันมียา และ การรักษาอื่นๆ ที่ง่ายแก่การยอมรับ เพราะคนทั่วไปจะรู้สึกว่า น้ำปัสสาวะเป็น ของ เสีย หรือ ของ สกปรก แต่ถ้าใครคิดอยากจะนำมาใช้ภายนอกเวลาฉุกเฉิน หรือ ไม่มีทางเลือกจริงๆ อยากจะดื่ม บทความนี้อาจเป็นแนวทางในการเลือกใช้ และ พอจะเป็นประโยชน์บ้าง ใครมีประสบการณ์ดีๆ ก็ลองเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ

    ข้อมูล – เว็บ asoke.info
     
  17. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    โอสถวิเศษของพระพุทธเจ้า

    โรคมะเร็งซึ่งถือกันว่าเป็นโรคร้ายแรงในยุคปัจจุบัน ได้ถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันว่ามีโครงสร้างของโมเลกุลเป็นอย่างไร ทำให้สามารถตรวจสอบอาการของมะเร็งได้ง่ายขึ้น เพราะเมื่อพบโมเลกุลของเซลล์ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายว่าเป็นโมเลกุลของมะเร็งแล้วก็รู้ได้โดยง่ายว่าเป็นมะเร็ง

    พวกฝรั่งเขาเก่ง โฆษณาเก่ง อะไรๆ ก็อ้างว่าเป็นผู้คิด ผู้รู้หรือเป็นผู้คนพบ แล้วเหมารวมเอาว่าเป็นภูมิปัญญาของฝรั่ง อย่างดินปืนหรือเข็มทิศนั่นประไร คนจีนเขาคิดได้ก่อนร่วมสองพันปี ฝรั่งเอาไปพัฒนาแล้วอ้างเอาว่าเป็นต้นคิด แม้กระทั่งปืนกลอะไรนั่น ความจริงขงเบ้งได้คิดใช้ก่อนแล้วตั้งแต่เกือบสองพันปี ดังที่มีเรื่องราวปรากฏอยู่ในสามก๊ก

    เซรุ่มหรือวัคซีนในการรักษาป้องกันโรคและพิษหลายอย่าง ฝรั่งก็อ้างผูกขาดเอาว่าเป็นต้นคิด ทั้งๆ ที่ความจริงแนวความคิดในการผลิตเซรุ่มหรือวัคซีนไม่ใช่เรื่องใหม่ หากเป็นเรื่องที่มีมานานแล้วอย่างน้อยก็สองพันกว่าปี

    อันเซรุ่มหรือวัคซีนนั้นหลักการอันเป็นแนวคิดก็คือการใช้พิษฆ่าพิษหรือข่มพิษ มีการเอาพิษหรือเชื้อโรคไปบ่มไปเพาะ แล้วนำไปใช้ในการป้องกันหรือรักษาพิษหรือโรค ฝรั่งคิดเรื่องนี้ได้ในระยะเพียงประมาณไม่กี่ร้อยปีมานี้ แต่จีนคิดและใช้ความรู้เกี่ยวกับพิษข่มพิษหรือใช้พิษแก้พิษมาร่วมสองพันปีแล้ว ยาแผนโบราณของจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจำนวนมากล้วนได้ใช้หลักพิษข่มพิษหรือพิษแก้พิษ

    ฝรั่งเคยเอายาจีนไปพิสูจน์แล้วออกข่าวโวยวายว่าเป็นยาที่กินไม่ได้เพราะมีสารพิษเจือปน ก็เพราะนัยดังกล่าวนี้เอง ทั้งๆ ที่ในการใช้บำบัดรักษาจริงๆ แล้ว สามารถใช้ได้ผลเป็นอย่างดี ดังเช่นยารักษาโรคมะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะลำไส้ที่มีชื่อว่า "เปี่ยนเซฮวง" หรือ"เพี้ยนจื่อหวัง" หากเอาไปพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ก็จะพบว่ามีสารพิษบางอย่างซึ่งฝรั่งถือว่าใช้ไม่ได้ แต่ในการใช้บำบัดรักษาผู้เป็นโรคมะเร็งในหลายประเทศทั่วโลกปรากฏว่าใช้ได้ผลดี

    พรรคพวกคนหนึ่งเป็นโรคไวรัสบีที่ตับ ตัวเหลืองซีด เดินไม่ได้ กินไม่ได้ อีกไม่นานก็จะตายแล้ว แต่พอได้กินยาดังกล่าวเข้าประมาณ 20 เม็ด ก็เริ่มสามารถเดินได้ ครั้นกินไปได้ครบ 60 เม็ด ตัวที่เหลืองซีดก็หาย ผลตับก็ดีขึ้นและเป็นปกติจนถึงทุกวันนี้

    พระพุทธเจ้าของชาวพุทธเราทรงพบหลักการบำบัดรักษาโรคทำนองเดียวกับ "เซรุ่ม" หรือ "วัคซีน" ก่อนใครในโลก เป็นวิธีที่ง่าย สะดวกในการใช้สอย และได้ผลจริง มีความแสดงไว้อย่างชัดเจนทั้งในพระสูตรและพระวินัย อย่าได้คิดว่าเป็นการค้นพบโดยการทดลองทางวิทยาศาสตร์ หากเป็นการรู้เห็นด้วยญาณอันวิเศษ และปฏิบัติใช้ได้ผลมาแล้วกว่าสองพันห้าร้อยปี

    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นผลดีของโอสถวิเศษดังกล่าวนี้ จึงบัญญัติไว้ในพระวินัยให้เป็นวัตรปฏิบัติสำคัญ 1 ใน 3 ประการของภิกษุ พระภิกษุต้องมีวัตรปฏิบัติ 3 ประการคือการถือ "ไตรจีวร" เป็นประจำอย่างหนึ่ง "การบิณฑบาต" อย่างหนึ่ง และการทำ "น้ำมูตรเน่า" ฉันอีกอย่างหนึ่ง

    การบิณฑบาตเป็นวัตรก็คือการออกกำลังกายในยามเช้า ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า morning walk หรือ จ็อกกิ้งอะไรก็ตามเถิด แต่แท้จริงแล้วก็คือการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เลือดลมในกายไหลเวียนเป็นปกติ เส้นสายได้คลี่คลาย ได้ทั้งเหงื่อ ได้ทั้งอาหาร

    โดยเฉพาะเวลาอุ้มบาตรแนบกับท้องน้อย ความอุ่นของบาตรพระที่มีข้าวสุกอยู่ในบาตร ได้เคล้าคลึงอยู่กับหน้าท้อง ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมของเส้นสายและเลือดลมทั้งปวง ทำให้กายมีความเป็นปกติ เป็นอยู่สบาย แม้ในทางธรรมเล่าก็ทำให้ผู้เป็นพุทธบริษัทได้มีโอกาสทำบุญ บำรุงจิตใจให้อาบเอิบอยู่ด้วยบุญ "จาคะ" และการสละละวาง ประโยชน์ใหญ่หลวงอันเกิดแต่บิณฑบาตมีอยู่ดังนี้

    ส่วนการทำ "มูตรเน่า" ฉันนั้นก็คือการเอาน้ำปัสสาวะของตนเองทิ้งหัวทิ้งท้ายเอาแต่กลางน้ำดองกับลูกสมอหรือมะขามป้อมก็ได้ หมักบ่มไว้เป็นเวลา 90 วัน ก็ใช้ฉันได้ หรือจะฉันสดโดยรองเอาแต่เฉพาะช่วงกลาง ทิ้งหัวทิ้งท้ายก็ได้ และนี่เป็นวัตรปฏิบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งที่มีผลในการป้องกัน บำบัด และรักษาโรคที่มีผลชะงัด พิสูจน์เมื่อใดก็ใช้ได้เมื่อนั้น ได้ผลเมื่อนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนในลัทธิศาสนาใดๆ หรือมีเพศวัยอะไร

    คนโบราณหรือคนที่มีอายุเกินกว่า 45 ปี ก็คงเคยได้กินยาแผนโบราณที่ใช้น้ำปัสสาวะเด็กเป็นกระษัยยามาบ้างแล้ว นั่นเป็นเรื่องของคนที่ขยะแขยงน้ำปัสสาวะหรือน้ำมูถ พระผู้มีพระภาคเจ้าวางพุทธบัญญัติให้ใช้น้ำปัสสาวะของตนเองย่อมมีมาแต่เหตุว่า อาการของโรคใดๆ ของคนใดคนหนึ่งย่อมต้องบำบัดรักษาด้วยน้ำมูถหรือน้ำปัสสาวะของผู้นั้น จะใช้ของผู้อื่นไม่ได้

    มีผู้ใช้โอสถทิพย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าในการบำบัดรักษาโรคหลายอย่างหลายชนิดตั้งแต่อดีตจวบปัจจุบัน ตั้งแต่ป่วยเป็นไข้ เป็นฝีในท้อง เป็นโรคลำไส้ เป็นโรคตับ โรคไต ความดันโลหิตสูง มะเร็ง และโรคอื่นๆ สารพัด

    ได้ทราบข่าวหลายกระแสและค่อนข้างจะแน่ชัดแล้วว่า น้ำมูตรเน่าหรือน้ำปัสสาวะนั้นสามารถบำบัดรักษาโรคเอดส์ได้ด้วย เหตุที่มีการทดลองใช้น้ำปัสสาวะหรือน้ำมูถเน่ารักษาโรคเอดส์เนื่องจากการรักษาแผนปัจจุบันนั้นเป็นอันสิ้นหวัง และยังไม่สามารถค้นพบยาขนานอื่นใดที่รักษาโรคเอดส์ได้อย่างแท้จริง จึงทำให้ผู้เป็นโรคเอดส์ที่ว่านี้ทอดอาลัยตายอยาก แล้วคิดว่าไหนๆ ก็จะตายแล้ว ลองใช้โอสถวิเศษของพระพุทธเจ้าบ้างจะเป็นไรไป

    ครั้นทดลองเอามากินเพียง 10 กว่าวัน ลิ้นและปากที่เป็นฝ้ากินอะไรไม่ได้ก็เริ่มกินน้ำได้คล่องคอแล้วค่อยๆ กินอาหารได้ พอกินอาหารได้ความซูบซีดผอมแห้งแรงน้อยก็ค่อยๆ หาย เริ่มมีเนื้อมีหนังขึ้นโดยลำดับ 6 เดือนผ่านไปเนื้อหนังมังสาผิวพรรณ เริ่มเหมือนผู้คนมากกว่าที่เหมือนเปรตดังแต่ก่อน ค่อยๆ เดินได้ ออกกำลังกายได้ 8 เดือนผ่านไปก็มั่นใจว่าโอสถวิเศษของพระพุทธเจ้าสามารถรักษาโรคเอดส์ให้หายได้อย่างแน่นอน จึงกินต่อมาเรื่อยๆ 5 ปีผ่านไปแล้วบางราย 3 ปีผ่านไปแล้วก็สามารถดำรงชีวิตเป็นปกติยิ่งขึ้น หรือเหมือนกับคนปกติแล้ว

    ตรองดูเหตุผลซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าวางพุทธบัญญัติให้พระภิกษุฉันน้ำมูตรเน่าเป็นวัตร ก็คงเนื่องมาแต่ยุคพุทธกาลนั้นบ้านเมืองยังทุรกันดาร หมอก็คงหาลำบาก ยามพระภิกษุป่วยไข้จะหาหยูกยาที่ไหนมารักษา และวิธีที่ดีและง่ายที่สุด หาได้ทุกเมื่อทุกวันเวลาก็คือน้ำปัสสาวะของตนเอง

    เหตุที่ต้องใช้น้ำปัสสาวะของตนเองก็เพราะว่าน้ำปัสสาวะของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่กลั่นจากน้ำในกาย ทั้งน้ำเลือด น้ำหนอง และน้ำทุกชนิดในกายอันยาววาหนาคืบนี้ โดยไตเป็นกลไกในการขับกรอง โรคทั้งหลายในกายย่อมอาศัย ย่อมมีเหตุปัจจัยและย่อมมีผลเกี่ยวด้วยน้ำหลายชนิดดังกล่าวในกายของตัวเองนั่นเอง เป็นโรคอะไรน้ำในกายก็ย่อมมีสารอันเป็นเหตุเป็นปัจจัยของโรคนั้นอยู่ เมื่อผ่านการกลั่นกรองของไตกลายเป็นน้ำปัสสาวะแล้ว น้ำปัสสาวะนั้นจึงเหมือนกับเซรุ่มหรือวัคซีนที่พวกฝรั่งเพิ่งค้นพบในภายหลังนั่นแหละ

    เมื่อมองดังนี้ก็จะเห็นได้ว่าน้ำปัสสาวะของคนเราแท้จริงแล้วก็คือ "เซรุ่ม" หรือ "วัคซีน" ที่ธรรมชาติประทานไว้ให้กับคนเรานั่นเอง เป็นเซรุ่มหรือวัคซีนธรรมชาติที่สามารถใช้ป้องกันบำบัดรักษาโรคประจำกายได้โดยอัตโนมัติ เป็นโรคอะไรหรือจะเป็นโรคอะไรร่างกายก็จะผลิตน้ำปัสสาวะ ที่เสมือนดังหนึ่งเซรุ่มหรือวัคซีนที่จะมีผลต่อการบำบัดรักษาโรคนั้นอย่างตรงตัวที่สุด

    อุปมาเหมือนกับการเอาพิษงูเห่าไปทำเซรุ่มรักษาพิษงูเห่า หรือการเอาพิษงูจงอางไปทำเซรุ่มรักษาพิษงูจงอางนั่นแล โรคเอดส์ก็ประกอบด้วยน้ำ มีเหตุมีปัจจัยจากน้ำ และก่อผลแก่น้ำอันมีอยู่ในกาย เมื่อเป็นเช่นนี้ร่างกายคนเราจึงผลิตเซรุ่มหรือวัคซีนที่รักษาโรคเอดส์ โดยการใช้น้ำปัสสาวะของผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์นั้นในการบำบัดรักษาโรคเอดส์ให้หาย

    สมญานามของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ว่าเป็นผู้แจ้งโลกนั้น ไม่ว่าจะคิดจะพิจารณาศึกษาค้นคว้าในเรื่องไหนๆ ก็จะเห็นได้ถึงความรู้แจ้งโลกหรือความเป็นสัพพัญญูอย่างถ่องแท้ ได้ลองค้นคว้าตำรายาในพระไตรปิฎกก็ได้พบตำรายามากหลาย หากมีวันเวลาว่างและกองบรรณาธิการอนุญาตแล้วก็ตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องตำรายาในพระไตรปิฎก เพื่อเป็นธรรมทานแก่เพื่อนมนุษย์สักครั้งหนึ่ง ท่านผู้ใดสนใจก็คอยติดตามเอาเองก็แล้วกัน

    น้ำปัสสาวะสดอย่าได้คิดว่าเป็นเรื่องสกปรกโสมม คิดเสียว่าเหมือนกับน้ำลายที่อยู่ในปาก สามารถกลืนกินได้ฉันใด น้ำปัสสาวะก็ดื่มกินได้ฉันนั้น แต่เอาหละเพื่อความสะอาดช่วงต้นช่วงปลายอาจจะมีกลิ่นอันน่ารังเกียจอยู่บ้างก็ทิ้งไปเสีย เอาแต่ตอนกลางดื่มเช้าหนหนึ่ง ก่อนนอนหนหนึ่งก็ถือได้ว่าเป็นโอสถวิเศษที่เป็นยาอายุวัฒนะ และสามารถบำบัดรักษาโรคที่มีอยู่ในตนได้ทุกอย่าง

    รสชาติของน้ำปัสสาวะของแต่ละคนและที่เป็นโรคแต่ละโรคย่อมแตกต่างกัน บ้างมัน บ้างหวาน บ้างเค็ม บ้างเปรี้ยว บ้างจืด บ้างมีกลิ่นฉุน บ้างขื่น บ้างเหมือนกลิ่นสับปะรด ก็ถือเสียเถิดว่านั่นเป็นยาแต่ละขนานสำหรับโรคแต่ละโรค

    ส่วนการทำน้ำมูถเน่านั้น ให้ใช้น้ำปัสสาวะตอนเช้าและตอนก่อนเข้านอน ทิ้งหัวทิ้งท้ายเอาเฉพาะส่วนกลาง ดองใส่โหลไว้ ใส่สมอหรือมะขามป้อมแล้วปิดฝาให้มิดชิด ถ้วน 90 วันแล้วก็ดื่มกินได้ ทั้งรสชาติดีและรักษาโรคได้ทุกชนิด จะกินน้ำปัสสาวะเพื่อป้องกันรักษาโรคก็ได้ หรือถ้ารังเกียจก็คอยจนเป็นโรคใดโรคหนึ่งที่หมอไม่รับรักษาแล้วค่อยทดลองกินก็ได้

    ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยที่ยังประโยชน์ยิ่งแก่หมู่สัตว์จงประสิทธิ์ประสาทฤทธิ์ของโอสถทิพย์แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่คนทั้งปวงเทอญ

    สิริอัญญา ข้างประชาราษฎร์
    ผู้จัดการ 31 มีนาคม 2545
    ที่มา:https://sites.google.com/site/dhammatharn/home/tara-ya
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...