ปู่ฤาษีเกศแก้ว มีญาณหรืออิทธิฤทธิ์ด้านใดบ้าง

เคยได้ยินแต่ ฤษี สมพิศ แต่ส่วนตัวไม่ศรัทธาแนวๆนี้ เพราไมใช่ศาสนาพุทธ และบางทีดูแล้วก็เหมือนพวกฮิปปี้กละคละ ทำน้ำมันพลาย น้ำมันเสน่ห์ เลี้ยงผี มีเมีย ฯลฯ ....... ถ้าศรัทธาก็จะพระสงฆ์มากกว่า และไม่ใช่พระประเภทออกทีวี มียศใหญ่โตเป็นจ้าวเป็นนาย อยู่ตามเคหาสน์รโหถาน จะศรัทธา พระที่ไม่ออกตัว และทำกิจกรรมให้ชุมชนเสียมากกว่า อย่างหลวงพ่อวัดพระบาทน้ำพุ

 

ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง

ขออนุญาตครับ

ทำความเข้าใจให้ถูกต้องนะครับ

พระพุทธเจ้า และ พระธรรม มีสองแบบ นะครับ คือ

๑ พระพุทธเจ้าแบบธรรมบริสุทธิ์ เช่น พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน

๒ พระพุทธเจ้าแบบมาร เช่น พระพุทธเจ้าในอนาคต ที่มีอดีต เป็น พญามาร และอีกองค์คือ อสุรินทร์ราหู

พุทธศาสนาในพุทธกาล ปัจจุบัน แบ่งออกเป็น ๓ ยุคคือ

ยุคที่ ๑ พระสงฆ์ เป็นผู้นำในการดูแลพระศาสนา เริ่มตั้งแต่พระพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพาน ไปจนครบ ๒๕๐๐ ปี (พ.ศ.๑-พ.ศ.๒๕๐๐)

ยุคที่ ๒ เทวดา เป็นผู้นำในการ ดูแลพระศาสนา เริ่มตั้งแต่ หลังยุคที่ ๑ คือ ยุคกึ่งพุทธกาล ไปจนครบ ๑๐๐๐ ปี (พ.ศ.๒๕๐๑-พ.ศ.๓๕๐๐)

ยุคที่ ๓ ผู้มีฤทธิ์ เป็นผู้นำในการ ดูแลพระศาสนา
เริ่มตั้งแต่ หลังยุคที่๒ ไปจนครบ ๑๕๐๐ ปี (พ.ศ.๓๕๐๑-พ.ศ.๕๐๐๐)

แต่ละยุค แต่ละสมัย พุทธบริษัท ก็จะร่วมมือกัน
ทำตามหน้าที่ ทำตามความเข้าใจ ทำตาม บุญ วาสนา บารมี ของตน

ในยุคที่ ๓ คือ ยุคผู้มีฤทธิ์นั้น ผู้นำก็คือ ปู่ฤๅษี ยังไงละ่ครับ

ในปัจจุบัน จัดอยู่ในยุคที่ ๒ ปู่ฤๅษี ก็เริ่มปรากฏ ตัว ออกมาบ้างแล้ว

ปู่ฤๅษีบางท่านก็สาย ธรรมบริสุทธิ์ (ไสย์เวทย์ ฝ่ายธรรม บุญ กุศล)

ปู่ฤๅษีบางท่าน ก็สายไสย์เวทย์มนต์ดำ (ไสย์เวทย์ ฝ่ายมาร)

ปู่ฤๅษีบางท่านก็อยู่กลางๆ

สายธรรมบริสุทธิ์ ก็คือสายที่ปฏิบัติ แนวเดียวกับ พระพุทธเจ้า พระองค์ปัจจุบัน
เช่นสายธรรมยุติ เป็นต้น

ให้ดูว่า ปู่ฤๅษี แต่ละท่าน ใกล้ชิด กับ พระเถระผู้ใหญ่ ที่เป็นพระอริยะเจ้าชั้นสูง
ก็จะเป็นฝ่ายธรรม บางท่านก็มีความผูกพันใกล้ชิดกับ พระเถระผู้ใหญ่ ที่เป็นพระอริยะเจ้าชั้นสูง

ส่วนปู่ฤๅษีสายไสย์เวทย์มนต์ดำ (ไสย์เวทย์ ฝ่ายมาร) พวกนี้ก็จะเป็นกลุ่มของ
พระพุทธเจ้า ทีึ่มาจาก พญามาร และ อสุรินทร์ราหู

พวกหลังนี้ ถ้าไม่จำเป็นอย่าเข้าใกล้ เพราะรายล้อมด้วย หมอไสย์เวทย์มนต์ดำ
พวกนี้ ก็มีตั้งแต่ เรียนรู้ไม่กี่วิชา ไปจนเป็น สิบๆวิชา ร้อยๆวิชา

ถ้ารู้มาก ก็เป็น หมอผี หมอธรรม ครู ฤๅษี มหาฤๅษี(ฤๅษีใหญ่)

ปู่มหาฤๅษีตัวจริง ก็เมือนคนธรรมดานี่ล่ะครับ นุ่งขาว ห่มขาว

ส่วนมาก ท่านจะอยู่กับ พระอริยะเจ้าในป่า ไม่ค่อยพบปะผู้คน

สันโดษ มักน้อย ไม่รู้จัก เงิน ทอง

เช่น ปู่ฤๅษี ที่รับใช้ องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
เช่น ปู่ฤๅษี ที่เป็นผู้ช่วย ขององค์หลวงปู่ใหญ่

สรุป ปู่ฤๅษี ที่พบเห็นในยุคปัจจุบัน ก็คือ ปู่ฤๅษี ที่จะถ่ายทอดวิชาการ
สายธรรม
สายฤทธิ์
สายไสย์เวทย์

เพื่อทำหน้าที่ในการเป็นผู้นำในการ ทนุบำรุงพระพุทธศาสนา
ในยุคที่๓ คือเกือบๆ อีก ๑๐๐๐ ปีข้างหน้า

ส่วนพระเจ้า พระสงฆ์ ที่ท่านชอบถ่ายทอด ที่ท่านชอบสอนสายฤทธิ์
หรือ ฆราวาส ญาติโยม ที่ชอบฝึก สายฤทธิ์
ก็คิด ก็พิจารณาเอาว่า ท่านอยู่ตรงไหน ครูบาอาจารย์ของท่านอยู่ตรงไหน
ท่านกำลังทำอะไร ครูบาอาจารย์ของท่านกำลังทำอะไร

เพราะ พระพุทธเจ้านั้น ก็มีทั้ง พระพุทธเจ้าที่เป็นสายธรรมบริสุทธิ์
และ พระธรรมของพระองค์ ก็เป็น ธรรมบริสุทธิ์

เพราะ พระพุทธเจ้านั้น ก็มีทั้ง พระพุทธเจ้าที่ มาจากเทพสายมาร
และ พระธรรมของพระองค์ ก็เป็น ธรรมแบบมาร

ไม่ว่า ท่านจะเป็นอะไร
ไม่ว่าท่านจะปรารถนาอะไร

ท่านสมควรคิดเอาเองให้ได้ว่า

ยุคนี้เป็นยุคอะไร

เราสมควร สร้างกุศล ผลบุญ บารมี อย่างไร จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด

ผู้มีปัญญา ผู้มีบุญ บารมี ก็จะสามารถ เสาะหาแนวทางที่ดีที่สุด ให้ตนได้

บางพวก บางหมู่ บางท่าน ก็จะ สะเปะสะปะ ต่อไป ต่อๆไป

ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

ลุงมหา

 

เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้พบท่าน เป็นการพบโดยไม่ได้ตั้งใจ ถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีมากๆ ผมไม่รู้จักท่านมาก่อน เพียงแต่หลังจากกลับมาบ้าน ก็ค้นหาข้อมูลจาก Net ถึงทราบว่าเราโชคดีจริงๆ และใด้ของติดมือกลับมา(มาทราบจาก Net ว่าเป็นรุ่นที่หากันมาก ภายใน ใส่แร่เหล็กไหลเอาไว้) ภาพนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 3/8/57 ท่านจะแก่ลงหรือไม่ คงอยู่ที่การพิจารณาของตัวท่านเอง โดยผมและครอบครัวไม่ได้สัมผัส ปฏิหารใดๆกับท่าน ขอเผยแพร่ภาพถ่ายครับ

 

ถ่ายวันพฤหัสบดี ที่ 2 ตุลาคม ที่ผ่านมาค่ะ

 

หลวงพ่อสายทอง เตชะธัมโม วัดป่าห้วยกุ่ม กับ องค์ปู่ฤาษีเกศแก้ว ณ อาศรมสถานบ้านโคกกุง

อดีตชาติท่านทั้งสองเคยเป็นเพื่อนรักสนิทกันมากที่สุด เมื่อมาพบกันในชาติปัจจุบันจึงทำให้มีความสนิทชิดเชื้อมาก จนบางครั้งมองดูแล้วอาจเป็นความไม่เหมาะสมเพราะต่างสถานะต่างเพศบรรพชิตและนักพรต บางครั้งมองดูแล้วอาจเป็นความไม่ควรเพราะดูสนิทสนม เหมือนเพื่อนกันมากกว่าที่จะเป็นผู้เคารพต่อสมณเพศ แต่สำหรับหลวงพ่อสายทองแล้วท่านไม่ได้มีทิฏฐิมานะในส่วนนี้ใดๆเลย

การปฏิบัติธรรมผู้หนึ่งมุ่งหลุดพ้นในชาติปัจจุบัน จนสามารถปฏิบัติกิจพรหมจรรย์จบในชาตินี้ (ท่านหลวงพ่อสายทอง) ส่วนอีกท่านคือผู้บำเพ็ญพุทธภูมิ สร้างบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคต (ท่านฤาษีเกศแก้ว) และเป็นที่เชื่อมั่นได้ว่าระดับพระอริยเจ้าหลวงพ่อสายทอง รับรู้เรื่องราวของฤาษีเกศแก้วและยืนยันว่าฤาษีเกศแก้วนั้นจักได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอนในอนาคต (แต่ไม่ได้ระบุว่าจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดในอนาคต) นั้นคือความสัมพันธ์ที่มีมาจากอดีตชาติจวบจนสู่ปัจจุบัน ที่ท่านทั้งสองได้โคจรมาร่วมมหาบารมีร่วมกันอีกครั้งในกิจกรรมทั้งหลายที่สร้างประโยชน์ให้ชาวโลก

หนึ่งในนั้นที่ท่านทั้งสองได้กระทำร่วมกันคือการสร้าง หล่อพระพุทธรูปปางคันธารราษฎร์ องค์จำลองเนื้อทองคำแท้ ๑๐๐ % หนักประมาณ ๕ กิโลกรัม ประดิษฐานอยู่ในพระพุทธรูปปางคันธารราษฎร์องค์ใหญ่ ซึ่งเป็นพระประธานในศาลาใหญ่เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด

 

ถ้าเป็นพระแล้วกลับไปบวชไม่ได้อีกแล้ว
ความเป็นไปได้ ต้องอาบัติหนัก

การลาสิกขาแล้วออกมาถือเพศพระฤาษี ก็ไม่ได้ห้ามสวรรค์นิพพานอะไร
หากแต่ถ้า ท่านยังถือเพศนักบวชก็จะห้ามสวรรค์ห้ามนิพพาน

การบำเพ็ญพรตในรูปแบบพระฤาษี ก็มีหวังบรรลุถึงความเป็นฤาษีองค์ทองคำ
ยิ่งท่านปรารถนาพระพุทธภูมิด้วยแล้ว วิญญาณทองของพระโพธิสัตว์

บำเพ็ญจิต ไม่บำเพ็ญปาก

 

เป็นความคิดที่ไม่ถูกไม่ควรนะ .. แถมเปรียบเทียบแบบเพัอฝันอีกต่างหาก

แล้วคุณไม่รู้อะไร บางที่ท่านอาจจะทำประโยชน์อยู่ ซึ่งคุณก็ไม่ได้ไปรู้
หรือจะให้ท่านเที่ยวมาบอกคุณทุกครั้งก็ใช่เรื่อง

คุณมีสิทธิ์อะไรไปตำหนิคนอื่นทั้งๆที่ตนเองก็เดาเอาสุ่มสี่สุ่มห้า!

อยากให้คนอื่นเอาคุณไปเทียบไหมล่ะ อยากมั้ย ว่าใครดีกว่ากัน?

 

อ้อมีเก่ง ถูสีข้างนี้เอง .. คนหลายคนพูดออกมายังไม่รู้ตัวว่าทำอะไรผิด

ผมมาตักเตือนคุณ คุณก็ลองพิจารณาใช้ปัญญาดูเอา นะครับ

ผมจะปล่อยไม่สนก็ได้นะ แต่เกรงว่าคุณจะถล้ำหนัก จึงต้องมาเบรกเสียหน่อย

 

บางอย่างหนังสือก็ช่วยไม่ได้นะครับ .. เข้าใจนะครับ!

 

ฤาษีเกศแก้ว ปฏิบัติแบบพระป่ากรรมฐาน ดูแล้วท่าน่านับถือกว่าฤาษีที่ทำของไสยศาตร์

 

เคยได้ยินแต่หลวงปู่เณรคำ หลวงปู่เกษม แต่ท่านนี้เพิ่งเคยยินเนี่ย

 

ผมได้พบหลวงปู่ฤาษีเกศแก้วองค์จริงๆๆท่านมีเมตตามากๆๆๆๆๆเลยครับ อยู่ไกล้ๆๆท่านนี้เย็นจิตเย็นใจ อย่าไปว่าท่านเลยครับ บาปจะเข้าตัวเปล่าๆๆ ท่านช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ช่วยสร้างโรงพยาบาล มากมาย รู้แค่ว่าท่านสั่งสมบารมี ช่วยเหลือสัพพสัตว์ทั้งหลาย ผมก็แค่เป็นคนตัวน้อยๆๆที่ในชาติหนึ่งเกิดมาได้พบท่าน กราบสาธุๆๆ

 

ก่อนอื่นคุณต้องรู้ก่อนครับ ว่า พระสงฆ์ กับ พระอริยสงฆ์ คืออะไร มีความแตกต่างกันตรงไหน แล้วคุณจะรู้ว่าหลวงปู่ฤาษีเกศแก้ว ท่านเป็นเช่นไร ส่วนในเรื่องญาณหรืออิทฤทธิ์ปฏิหารย์นั้น มันอยู่ที่การบำเพ็ญเพียรของแต่ละองค์ไปครับ ว่าท่านบำเพ็ญเพียรมามากน้อยเพียงใดครับผม

ดีล่ำ หลานปู่ฤาษีเกศแก้วทุกชาติไป

 

พุทธภูมิและพระโพธิสัตว์
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
(ยกมาจาก"พ่อสอนลูก")



ปรารถนาพุทธภูมินี่เหนื่อย ฉันเคยเป็นพุทธภูมิมาก่อน ฉันรู้ว่าพุทธภูมิสู้ทุกอย่าง งานทุกอย่าง ถ้าลาพุทธภูมิปั๊บอารมณ์ตัด ถ้าตัดก็ไม่ได้ทิ้งงานนะ แต่อารมณ์ต่างกันแต่เสริมขึ้น อารมณ์มุ่งเข้าตัดกิเลสตรง เพราะพุทธภูมิไม่ตัดกิเลส พุทธภูมิทรงฌานมากกว่า หนักไปในเรื่องฌาน พอใช้วิปัสสนาญาณมากเข้าอารมณ์มันเบาลง มันต่างกัน

พระโพธิสัตว์นี่ พระอรหันต์ไม่ยอมนั่งหน้านะถ้ารู้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์จริงๆ ถ้าอารมณ์เข้มปั๊บพระอรหันต์ไม่นั่งหน้า แม้พวกนั้นบวชหนึ่งวัน พระอรหันต์บวช ๑๐๐ วัน เขาไม่นั่งหน้าพระโพธิสัตว์ เขารู้ค่า

 

แล้วพระอชิตะภิกษุทำไมถึงได้นั่งท้ายแถวล่ะครับท่าน(........ดำ)
ครั้งที่พระนางเจ้ามหาปชาบดีโคตมีถวายผ้าจีวร สงฆ์ทั้งหลายไม่รับ
จนกระทั่งผ้าได้ตกไปถึงมือพระอชิตะภิกษุผู้บวชใหม่สุดนั่งท้ายสุดในสงฆ์
เวลานั้นมีพระอรหันต์มากมาย พระโมคคัลลาน์สารีบุตรก็นั่งอยู่ด้วย
พระพุทธเจ้าก็ประทับอยู่ด้วย พระองค์ก็ทรงทราบว่า ท่าอชิตะภิกษุ
ต่อไปจะได้ตรัสรู้เป็นพระศรีอริยะเมตไตร เหตุใดพระพุทธองค์
ไม่ตรัสเรียกพระอชิตะภิกษุให้มานั่งแถวหน้าเหนือกว่าพระโมคคัลลาน์สารีบุตร ซึ่งเป็นเพียงพระอรหันต์สาวก

เรื่องที่ท่านกล่าวว่า พระอรหันต์เมื่อทราบ จะไม่ยอมนั่งหน้าพระโพธิสัตว์นี้
เห็นทีจะไม่จริงเสียแล้ว 5555

ใครสำเร็จมโนยิทธิ ถอดจิตไปนิพพานได้ ผมรบกวนฝากถามหลวงพ่อฤาษีลิงดำด้วยว่า
เหตุใดท่านอชิตะภิกษุในครั้งพุทธกาลถึงได้นั่งท้ายแถว....

 

..มันไม่ใช่การนั่งอย่างนั้น ท่านอย่าเข้าใจผิด นัยยะความหมายนั้นคือ "การให้เกรียติเคารพน้ำใจ" ลำพังตัวเองก้อลำบากจะแย่ตายอยู่แล้ว แต่พระโพธิสัตว์กลับมีน้ำใจคิดถึงผู้อื่น..

ส่วนการถอดจิตไปนิพพานคงไม่มีทางเป็นไปได้ ท่านคงได้ยินได้ฟังมาผิด

 

ท่าน choksila ช่างตีความได้ละเอียดลึกซึ้งงดงามแท้
ที่ผมคัดลอกข้อความของหลวงพ่อมาเพียงสั้นๆ ถึง คำว่า เขารู้ค่า นั่นเพราะต้องการสื่อถึง คุณค่าความดีงามของพระโพธิ์สัตว์ว่ามีมาก
อีกทั้งเหตุที่องค์สมเด็จพระทศพลไม่ทรงรับผ้าของพระนางเจ้ามหาปชาบดีโคตมีนั้น
ก็เพื่อต้องการแสดงอานิสงส์ของสังฆทาน
และประกาศคุณของพระอชิตะที่เป็นพระโพธิ์สัตว์ซึ่งเป็นพระองค์เดียวในที่นั้นที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ซึ่งพระอรหันต์ทั้งหลายในที่นั้นก็ไม่รับผ้าของพระนางเจ้ามหาปชาบดีโคตมีหรือสามารถหาบาตรขององค์สมเด็จพระทศพลพบ
ส่วนเรื่องอื่นๆผมไม่มีความคิดเห็นครับเกินความรู้ความเข้าใจของผมไปมาก

 

การยกเอาเรื่อง วันเวลาในการบวชมาเปรียบเทียบ
โดยกล่าวว่า
แม้พวกนั้นบวชหนึ่งวัน พระอรหันต์บวช ๑๐๐ วัน เขาไม่นั่งหน้าพระโพธิสัตว์
การยกเอาเรื่องอาวุโสภันเตมาเปรียบเทียบเช่นนี้ ทำให้ตีความเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
นอกจากธรรมเนียมการนั่งตามลำดับ และรับบิณฑบาตตามลำดับอายุพรรษาของพระ

ถ้าไม่หมายถึง ธรรมเนียมการนั่งตามลำดับ และรับบิณฑบาตตามลำดับอายุพรรษาของพระแล้ว จะยกเอาเรื่องบวชก่อนบวชหลังมาเปรียบเทียบทำไม ?

อีกทั้ง การที่คุณ มงคล พิมพา ยกเอาคำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาแสดง
จุดประสงค์ก็เพราะต้องการรับรองการกระทำของพระสงฆ์(บางรูป)ที่ยอมให้
ฤาษีนั่งบนอาสนะสูงกว่า ว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง เพราะเหตุผลที่เชื่อว่า
ฤาษีอาจเป็นโพธิสัตว์

แต่พอเจอผมแย้งเรื่อง พระอชิตะ ที่เป็นพระโพธิสัตว์เหมือนกัน
แต่ทำไมพระพุทธองค์กลับไม่เรียกพระอชิตะให้มานั่งหน้าภิกษุผู้เป็นอรหันต์ทั้งหลาย
ก็เลยต้องเปลี่ยนเข็มทิศกลบเกลื่อนเป็นเรื่องอื่น

อนึ่ง แม้เหตุการณ์ที่พระพุทธองค์โยนบาตรขึ้นไปบนอากาศผ่านไปแล้ว
ก็ไม่ปรากฏว่าพุทธองค์จะสั่งให้สงฆ์ทั้งหลายต้องนั่งหลังพระอชิตะซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์
แต่อย่างใด

จึงแสดงให้เห็นว่า เรื่องที่กล่าวว่า พระอรหันต์แม้บวช ๑๐๐ วัน ก็ไม่นั่งหน้าพระโพธิสัตว์
ผู้บวชแม้วันเดียวก็ไม่เป็นความจริง

ความจริงก็คือ พระสงฆ์ยังต้องนั่งตามลำดับ บวชก่อน-บวชหลัง

 

ขอขอบคุณในข้อมูลที่ช่วยให้เกิดปัญญาหูตาสว่าง

 

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆที่ทำให้หูตาสว่าง

ไม่งั้นผมคงต้องหลงเชื่อคำโฆษณาที่คาดเดากันไปว่าฤาษีมีอายุ ๙๐ บ้างละ
มีอายุร้อยปีบ้างละ มีอายุหลายร้อยปีบ้างละ(บางคนว่ามีอายถึงเจ็ดร้อยปี)

แต่ละคนแม้จะบอกว่ามีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสกับฤาษีแต่ก็ผิวเผิน คือไม่รู้อะไรเลย
แล้วมานั่งเทียนเดาต่างๆนาๆว่า ฤาษีมีอายุถึงหลายๆร้อยปี

แทนที่จะไปถามท่านตรงๆ หรือไปขอดูประวัติ ดูบัตรประชาชนของท่านว่า
ตกลงมีอายุเท่าไหร่แน่ กลับเอามบอกเล่าด้วยการคาดเดาของตนเองว่า
ฤาษีมีอายุภึงหลายร้อยปี

ถ้าประเทศไทยยังมีแต่คนที่พร้อมจะยอมเชื่อแต่เรื่องอภินิหารโดยไม่คำนึงถึงเหตุผลอยู่อย่างนี้ อนาคตของประเทศไทยก็เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ง่าย

เรื่องฤทธิ์ เรื่องอภินิหาร เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
แต่ก็ควรเชื่อด้วยเหตุผล ไม่ใช่เชื่อตามข่าวที่ลือๆกันไปโดยปราศจากการพิสูจน์