เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
     
  2. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    น่าคิดน่ะ ใน 10 กว่าปีมานี้ มีหนังสือ เกี่ยวกับจิตวิญาญ ออกมาเรื่อยๆน่ะ
    จำได้ว่าตอนอยู่ ม 2 ม3 ปี 2538 2539 มีหนังสือ เรื่องครายออน/ ตามมาด้วย จิตจักรวาล / โนวา อนาลัย /แล้วก้ สนทนากับพระเจ้า

    มานุดโลกลืมตัวเองไปนานน่ะสงสัยๆ
     
  3. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    น้องลูกเกดแซงทางโค้งไปซะแล้วด้วยการค้นพบว่า คำตอบเหล่านี้ที่แท้คืิอการส่งการบ้านให้ตัวเอง

    พวกเราจะพบว่า หากเราอ่านภาพวาดของตนเอง และตอบคำถามทั้งหมดในแบบฝึกหัดที่ได้ทำไปแล้ว และจะทำต่อไปอีก เราจะได้คำตอบที่เราอาจไม่เคยตระหนักว่า เรามีให้ตนเองอยู่เสมอ

    การวาดภาพด้วยสมองซึกขวาจะเปิดเผยให้เรารู้จักบุคลิกภาพอันลุ่มลึก และคุณภาพอันเป็นอมตะของเราได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับความซื่อสัตย์ที่เรามีให้ตนเอง ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความซื่อสัตย์ในการตอบคำถาม เพราะคำตอบของพวกเรานั้น สำหรับพี่นักเขียนแล้วไม่มีคำตอบใดผิด และทุกคำตอบมีความหมายและความสำคัญต่อตัวเราเท่านั้น แต่การซื่อสัตย์ต่อตนเองในที่นี้ หมายถึงความตรงไปตรงมาที่เราตอบสนองต่ออารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดด้วยคำพูด-ที่เราพูดกับตนเอง เรามองเห็นอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดปรากฏในภาพอย่างไร เราก็ตอบไปตามนั้น ซึ่งตัวเราที่เป็นผู้วาดภาพนั้นเท่านั้น จะสามารถมองเห็นและเข้าถึงอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในภาพได้อย่างแท้จริง

    คำถามที่พี่นักเขียนได้กำหนดให้ และจะกำหนดให้ต่อไปอีก เป็นเพียงงการกระตุ้นความคิดและประเด็นสำคัญที่ช่วยให้เรามองหาสาระจากผลงานภาพวาดที่สะท้อนให้เห็นอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดออกมาเป็นรูปธรรมได้ง่ายขึ้นเท่านั้น


    คุณเฉลยถามคำถามจากหนังสือ ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ เข้ามาถูกจังหวะพอดีเลยค่ะ เพราะการฝึกวาดภาพด้วยสมองซีกขวาคือการฝึกที่จะก้าวไปสู่ภาวะที่เรียกว่า เวลาแห่งจิต ซึ่งเป็นคุณสมบัติแรกสุดที่จะทำให้เราสามารถใช้ประสาทสัมผัสที่หกอื่นๆได้ตามไปด้วย ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักที่พี่นักเขียนกำลังจะเสนอแนะให้พวกเราฝึกฝนกัน โดยใช้การวาดภาพเหมือน (Portrait) เป็นกระบวนการในการฝึกฝน

    หากเราจดจ่อกับการวาดภาพได้ตามวิธีการที่พี่นักเขียนจะได้แนะนำต่อไปในการวาดภาพที่ 3 เราจะเริ่มฝึกฝนที่จะก้าวไปสู่ภาวะที่เรียกว่า เวลาแห่งจิต คอยให้พวกเราส่งภาพที่ 2 - ภาพเหมือนหรือ Portrait ของตนเองเข้ามาก่อนนะคะ แล้วเราจะดำเนินการฝึกเวลาแห่งจิตต่อไป

    การฝึก เวลาแห่งจิต คล้ายคลึงกับการฝึกที่ก้าวล่วงไปสู่ภวังค์สมาธิ หรือก้าวไปสู่ความฝันอย่างมีสติ ซึ่งเป็นภาวะที่เราจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนกระทั่งเราไม่ได้ขึ้นกับกาลเวลาตามนาฬิกาอีกต่อไป เราเข้าสู่ภาวะของเวลาแห่งจิตเสมอๆโดยที่เราไม่รู้ตัว เช่น ในเวลาที่เราจดจ่อกับบางสิ่งบางอย่าง อย่างแน่วแน่มุ่งมั่น เราจะพบว่าเวลาผ่านไปยาวนานมาก แต่พอดูนาฬิกาเข้าจริง เวลากลับผ่านไปได้ไม่เท่าไร หรือในทางตรงกันข้าม บางครั้งเรารู้สึกเสมือนว่าเวลาผ่านไปเพียงสั้นๆ แต่พอดูนาฬิกาเข้าจริง เวลากลับผ่านไปนานหลายชั่วโมงอย่างเหลือเชื่อ ปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อเราก้าวไปสู่ภาวะที่ท่านอาจารย์อนาลัยเรียกว่า เวลาแห่งจิต และกล่าวว่าเป็นภาวะที่จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปนอกเหนือกฏเกณฑ์ของกาลเวลา หรือเรียกได้ว่า จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปตามธรรมชาติที่อยู่นอกเหนือเครื่องพรางของโลกทางกายภาพ

    เวลาแห่งจิต เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งหรือความสามารถอย่างหนึ่งของประสาทสัมผัสภายในหรือประสาทสัมผัสที่หก หรือเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของจิตวิญญาณตามธรรมชาติโดยแท้ เวลาแห่งจิตเป็นภาวะที่เราใช้แต่สมองซึกขวารู้เห็นสิ่งต่างๆโดยปราศจากวิตกวิจารณ์ ทำให้เรารู้เห็นธรรมชาติความเป็นจริงได้มากขึ้นกว่าภาวะปกติที่สมองซีกซ้ายมักจะพิจารณา วินิจฉัย และตัดสินสิ่งต่างๆที่เรารู้เห็นไปตามเหตุผลที่ขึ้นกับความเชื่อ ไม่ใช่ตามความเป็นจริง

    สมองซีกขวารู้เห็นสิ่งต่างๆด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด หรือรู้เห็นโดยตรงด้วยจิตวิญญาณ

    เราจะพบความเป็นจริงนี้เสมอๆเมื่อเรามองดูผลงานภาพวาดของศิลปินระดับโลก ซึ่งมักจะวาดภาพด้วยการเข้าถึงภาวะของเวลาแห่งจิต เข้าถึงการร่วมรู้สึก เข้าถึงการรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสภายในอื่นๆ ที่ทำให้เขาสามารถถ่ายทอดอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของสิ่งที่เขารู้เห็นออกมาได้อย่างหมดเปลือนในภาพวาด เมื่อผู้ชมมองดูภาพวาดเหล่านั้น ผู้ชมก็จะสามารถรับรู้และสัมผัสกับอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้นได้อีกทอดหนึ่ง ทำให้ภาพวาดเหล่านั้นประทับผู้ชมจำนวนมาก ไม่ว่าผู้ชมจะเชื้อชาติ ภาษา หรือศาสนาใด ต่างก็ปฏิเสธความงามและความประทับใจเหล่านั้นไม่ได้ เพราะมันถ่ายทอดอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดได้อย่างลุ่มลึก

    ถ้าหากเราวาดภาพด้วยสมองซีกซ้ายซึ่งคิดเป็นลำดับตามเหตุตามผล-ตามวิตกจิารณ์
    เราจะวาดภาพเหมือนด้วยการวาดสิ่งที่เรา-คิดหรือเชื่อว่าเราเห็น ซึ่งหากผู้ชมมองดูภาพวาดนั้น เขาจะมีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงตามความเชื่อส่วนบุคคลของเขา


    ถ้าหากเราวาดภาพด้วยสมองซึกขวาซึ่งคิดเป็นภาพรวม-ปราศจากวิตกวิจารณ์
    เราจะวาดภาพเหมือนด้วยการวาดสิ่งที่เรา-มองเห็นตามความเป็นจริง ซึ่งหากผู้ชมมองดูภาพวาดนั้น เขาจะมีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเป็นจริงที่ปรากฏอย่างปฏิเสธไม่ได้


    ภาพเหมือน (Portrait) เป็นภาพที่นอกจากจะฟ้องได้อย่างชัดเจนว่า เราวาดภาพตามความเป็นจริงได้มากน้อยเพียงใดแล้ว ยังเป็นภาพที่สะท้อนให้เรามองเห็นอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อของเราอีกด้วย

    เราจะเห็นได้ไม่ยากว่าภาพเหมือน (Portrait) เป็นภาพที่สามารถสะท้อนอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อของบุคคลได้มากน้อยเพียงใด เพราะแม้แต่ภาพวาดที่วาดจากภาพถ่ายต้นฉบับเดียวกัน แต่วาดโดยศิลปินต่างคน หรือศิลปินคนเดิมวาดต่างเวลา ภาพวาดนั้นๆก็ยังแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เราอาจมองเห็นว่าภาพวาดแต่ละภาพนั้นมีความคล้ายคลึงกับภาพถ่ายต้นฉบับ แต่มันก็คล้ายคลึงในทิศทางที่แตกต่างกันอย่างเป็นเอกลักษณ์ และหากเราพบความบิดเบือน เราก็พบความบิดเบือนที่เป็นเอกลักษณ์อีกเช่นกัน

    ตัวอย่างภาพวาดที่ 1-2-3 ด้านล่างนี้วาดโดยบุคคล 3 คน พี่นักเขียนวาดภาพที่ 3
    และภาพที่ 4 คือภาพถ่ายต้นฉบับ

    ธรรมชาติของจิตวิญญาณซึ่งเป็นร่างกายเนื้อหนัง มีความเป็นเอกลักษณ์เสมอ เช่นที่คุณน้อง ณ ชอบบอกว่า คิดไม่ค่อยจะเหมือนใคร ซึ่งตามธรรมชาติความเป็นจริงนั้น เราทุกคนคิดไม่เหมือนใคร เราทุกคนมีความเป็นเอกลักษณ์ เราแต่ละคนคือจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้องหนังพร้อมด้วยจุดยืนและมุมมองอันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน จิตวิญญาณมองโลกทางกายภาพผ่านดวงตาของเรา และรู้เห็นโลกทางกายภาพผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ซึ่งหากประสาทสัมผัสทั้งของเราคล้อยตามความเชื่อมากเท่าไร จิตวิญญาณก็พลอยรู้เห็นโลกทางกายภาพบิดเบิือนไปมากเท่านั้น

    แต่ถ้าหากเราเรียนรู้ที่จะทำให้จิตวิญญาณสามารถมองเห็นโลกทางกายภาพผ่านอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด แทนที่จะมองผ่านดวงตาแต่เพียงอย่างเดียว เราจะสามารถรู้เห็นโลกทางกายภาพบิดเบือนน้อยลง แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะเรายังคงต้องอาศัยดวงตาของเรา แต่การวาดภาพด้วยสมองซีกขวาจะช่วยให้เรามองเห็นได้ลึกซึ้ง และตรงไปตรงมากว่าที่เราเคยมองเห็นด้วยสมองซีกซ้ายเป็นอันมาก

    วันนี้สาระนี้อาจจะเข้าใจได้ยาก แต่เมื่อพวกเราไปถึงจุดที่เราวาดภาพได้แตกต่างไปจากภาพวาดสองภาพของเราโดยสิ้นเชิง ด้วยการปิดสมองซีกซ้าย และวาดภาพด้วยสมองซีกขวาได้มากกว่านี้ พวกเราจะเข้าใจภาวะที่พี่นักเขียนกล่าวไว้นี้ได้ดีขึ้น เพราะเราจะเผชิญกับความเป็นจริงเหล่านี้และพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง (rose)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ประสาทสัมผัสที่หก

    พี่นักเขียนขอย้อนไปตอบคำถามของคุณ zip เกี่ยวกับประสาทสัมผัสที่หก จากหนังสือ ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ

    [​IMG]
    พี่นักเขียนขอขยายความ ความหมายของคำว่า ความรู้สึก เสียก่อนที่จะขยายความประสาทสัมผัสภายในที่เรียกว่า การร่วมรู้สึก พี่นักเขียนเชื่อว่าหากเราครอบคลุมความหมายของคำว่าความรู้สึกได้กว้างไกลเท่าไร เราก็จะเข้าใจประสาทสัมผัสที่หกที่เรียกว่า การร่วมรู้สึกได้กว้างไกลลุ่มลึกเท่านั้น หากใครมีความหมายเพิ่มเติมมากว่านี้ ช่วยกันเสริมหน่อยนะคะ จะได้ช่วยกันขยายความรู้ความเข้าใจออกไปอีก พี่นักเขียนลองตีแผ่ความหมายของคำว่าความรู้สึกออกมาได้ดังนี้ :
    ความรู้สึก หมายถึง:
    1. ความสามารถในการรับรู้ได้ด้วยการสัมผัสหรือด้วยส่วนต่างๆของร่างกาย ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
    2. ความสามารถในการรู้เห็นได้ด้วยใจ หรือ ด้วยอารมณ์
    3. การตอบสนองต่อความรัก ความสงสาร หรือความอ่อนไหวของตนเองและผู้อื่น
    4. การตอบสนองต่อความเกลียด ความอิจฉาริษยา หรือความรุนแรงของตนเองและผู้อื่น
    5. ความประทับใจ การปรากฏ หรือ บรรยากาศทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการรู้เห็นบางสิ่งบางอย่าง
    6. การมีสติระลึกรู้ด้วยสัญชาติญาณถึงบางสิ่งบางอย่างได้ล่วงหน้า
    7. การมีความเข้าใจในบางสิ่งบางอย่างได้ด้วยสัญชาติญาณ หรือพรสวรรค์
    8. ความสามารถในการแสดงออกซึ่งอารมณ์ เช่น แสดงออกในงานศิลปะภาพวาด ดนตรี การเต้นรำ เป็นต้น


    การร่วมรู้สึก จึงหมายถึงการมีความสามารถที่จะรับรู้ภาวะอันเป็นไปทั้ง 8 ข้อนี้ร่วมกันผู้อื่นได้โดยที่เราไม่ใช่ผู้ที่เผชิญกับประสบการณ์หนึ่งๆโดยตรง ไม่ว่าจะรู้เห็นได้ด้วยการถูกต้องร่างกาย ด้วยการมองเห็นหรือได้ยิน ได้กลิ่นหรือลิ้มรส เช่น รู้ร้อน รู้หนาว รู้ความอ่อนนุ่มหรือหยาบกระด้าง หรือสัมผัสด้วยอารมณ์ เช่น รู้สุข รู้ทุกข์ รู้ถึงความรุนแรงหรือรู้ถึงความอ่อนไหวของผู้อื่น ล้วนเป็นการรู้ได้โดยที่เราไม่ใช่ผู้ที่เผชิญกับการสัมผัสโดยตรงด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า หรือเผชิญกับประสบการณ์ในฐานะผู้สังเกตการณ์โดยตรง

    การร่วมรู้สึกจึงเป็นคุณสมบัติที่จะเกิดขึ้นและใช้การได้ก็ต่อเมื่อ เรากลายเป็นเขา หรือเรามีภาวะจิตที่เสมือนว่า เราคือเขา

    คุณ zip ถามว่า เหมือนกับว่าเราจะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรบ้างใช่ไหม?

    เมื่อพูดถึงความรู้สึก เรามักสร้างข้อจำกัดตามความเชื่อของเราโดยปริยายว่า ใครหรือสิ่งใดมีความรู้สึก และใครหรือสิ่งใดไม่มีความรู้สึก บางครั้งคนเราตัดสินและวินิจฉัยจากมุมมองและความเชื่อส่วนตัวว่า ผู้อื่นรู้สึกได้น้อยกว่าหรือไม่มีความรู้สึกในสิ่งที่เรารู้สึกด้วยซ้ำไป แต่แท้จริงแล้วมนุษย์เรามีความรู้สึกด้วยกันทุกคน แต่ความรู้สึกของเรามักคล้อยตามความเชื่อ ไม่ใช่เป็นไปตามความเป็นจริงเสมอไป ดังนั้นเราจึงพบว่าบางครั้งที่เรามีความรู้สึกต่อบางสิ่งบางอย่าง ผู้อื่นกลับไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกันเรา เพราะเขาไม่ได้มีความเชื่อในทิศทางเดียวกับเรา

    แต่เมื่อใดที่เรามีความรู้สึกที่เป็นไปตามความเป็นจริง แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้มีความเชื่อในทิศทางเดียวกับเรา แม้เขาจะไม่ยอมรับอย่างเปิดเผย แต่เขาก็แทบจะปฏิเสธไม่ได้ ในทางกลับกันหากผู้อื่นมีความรู้สึกที่เป็นไปตามความเป็นจริง แม้เราจะไม่ได้มีความเชื่อในทิศทางเดียวกับเขา เราเองอาจไม่อยากรับอย่างเปิดเผย แต่เราก็แทบจะปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน

    บางคนที่รักและเข้าใจสัตว์เลี้ยงก็อาจเข้าถึงอีกแง่มุมหนึ่งได้ว่า แม้แต่สัตว์เลี้ยงก็มีความรู้สึก และผู้ที่ทำงานเกี่ยวพันกับสัตว์ป่าก็อาจเข้าถึงอีกแง่มุมหนึ่งได้ว่า ไม่ใช่แต่เพียงสัตว์เลี้ยงที่ใกล้ชิดกับมนุษย์เท่านั้นที่จะมีความรู้สึก แม้แต่สัตว์ป่าก็มีความรู้สึกอ่อนไหว มีความรัก มีความชื่นชม และมีความกตัญญูรู้คุณได้ไม่น้อยไปกว่าสัตว์เลี้ยง และสัตว์เลี้ยงก็รับถ่ายทอดและสะท้อนอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดและความเชื่อของเจ้าของ

    ผู้ที่ใกล้ชิดธรรมชาติอาจเข้าถึงความรู้สึกของพืช ขุนเขา ท้องทะเล และตระหนักว่าสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนมีความรู้สึกพิเศษและจำเพาะอย่างยิ่ง เช่น ต้นไม้มีความรู้สึกร่มเย็น ขุนเขามีความรู้สึกมั่นคง ทะเลมีความรู้สึกในอิสระภาพและความสงบ หรือความรู้สึกในพลังอำนาจและความบ้าคลั่ง และทั้งขุนเขาและท้องทะเลก็สามารถถ่ายทอดความรู้สึกเหล่านั้นให้มนุษย์ได้ไม่น้อยไปกว่าที่มนุษย์ถ่ายทอดความรู้สึกให้แก่กันและกัน

    การร่วมรู้สึก จึงเป็นประสาทสัมผัสที่หกหรือประสาทสัมผัสภายในที่เอื้ออำนวยให้เราสามารถเข้าใจผู้อื่นหรือสรรพสิ่งทั้งหลายได้อย่างลึกซึ้ง จากมุมมอง จากจุดยืน จากสัมผัส จากประสบการณ์ทางกายภาพ จินตภาพและทางอารมณ์ของบุคคลหรือสรรพสิ่งนั้นๆ

    ---------------------------
    [​IMG]
    ความรู้และเข้าใจในความคิดรวบยอด
    พี่นักเขียนขอขยายความ คำว่า ความคิดรวบยอด ก่อนที่จะขยายความประสาทสัมผัสที่เรียกว่า ความรู้และเข้าใจในความคิดรวบยอด
    ความคิดรวบยอด เป็นคำที่ตรงกับภาษาอังกฤษว่า concept ซึ่งครอบคลุมถึง:
    1. สิ่งที่เกิดจากความคิดหรือจินตนาการ
    2. หลักการกว้างๆโดยทั่วไปที่ตัดสินธรรมชาติบางอย่าง เช่น หลักการโดยทั่วไปที่ตัดสินว่า มนุษย์ในวัฒนธรรมหนึ่งๆมีพฤติกรรมอย่างไร มนุษย์เข้าใจปรากฏการณ์หนึ่งๆ เข้าใจธรรมชาติ หรือเข้าใจโลกแห่งความเป็นจริงอย่างไร เป็นต้น
    3. การเข้าใจบางสิ่งบางอย่างในระดับพื้นฐาน
    4. วิธีการ การวางแผน หรือชนิดของผลผลิต


    โดยปกติแล้ว เรามักจะเข้าใจในความคิดรวบยอดหรือ concept หนึ่งๆได้จากการศึกษาทางโลก เราจะเข้าใจใน concept ใดๆได้อย่างลึกซึ้งก็ต่อเมื่อเรามีประสบการณ์โดยตรงหรืออยู่ในฐานะผู้สังเกตการณ์วิธีการ การวางแผน หรือการสร้างผลผลิตหนึ่งๆขึ้นมา

    ตัวอย่างเช่น :
    หากเราได้ชมภาพยนต์หรือข่าวสาร คิือเป็นผู้สังเกตการณ์วิธีการ การวางแผนและผลผลิตจากความคิดของชาวอเมริกัน เราก็เข้าใจใน concept ของการดำเนินชีวิตของชาวอเมริกันได้ระดับหนึ่ง


    หากเราได้มาศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาและใช้ชีวิตอยู่ในมหาวิทยาลัยในอเมริกา เราก็ย่อมจะเข้าใจใน concept ของการดำเนินชีวิตของชาวอเมริกันได้อีกระดับหนึ่ง

    หากเราได้มาทำงานและมีครอบครัวที่สหรัฐอเมริกาและใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอเมริกัน เราก็ย่อมจะเข้าใจใน concept ของการดำเนินชีวิตของชาวอเมริกันได้อีกระดับหนึ่ง


    ประสาทสัมผัสภายในที่เรียกว่า ความรู้และเข้าใจในความคิดรวบยอด จึงหมายถึงการเข้าใจในความคิดและจินตนาการของผู้อื่น ของบุคลิกภาพหรือจิตวิญญาณอื่นๆ ที่เป็นหลักการกว้างๆที่ครอบคลุมธรรมชาติของกล่มชน ของปรากฏการณ์ ของธรรมชาติและโลกแห่งความเป็นจริงในระดับพื้นฐาน และเข้าใจถึงวิธีการ การวางแผนและผลผลิตจากความคิดนั้นๆอย่างหมดเปลือก เปรียบได้กับบุคคลที่ได้ชมภาพยนต์ ข่าวสาร ได้เรียนหนังสือ ได้ใช้ชีวิต ได้ทำงาน ได้มีครอบครัวอยู่ในสังคมอเมริกัน ครอบคลุมความเป็นไปได้ที่จะเข้าถึงและเรียนรู้ concept เกี่ยวกับวิถีทางดำเนินชีวิตแบบอเมริกันได้จากทุกทิศทาง เป็นต้น

    --------------------------------
    [​IMG]
    ความรู้และเข้าใจในแก่นแท้ของความเป็นจริง

    พี่นักเขียนขอขยายความ คำว่า ความเป็นจริง ก่อนที่จะขยายความประสาทสัมผัสที่เรียกว่า ความรู้และเข้าใจในแก่นแท้ของความเป็นจริง

    ความเป็นจริง เป็นคำที่ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Truth ซึ่งครอบคลุมถึง:
    1. สิ่งที่สัมพันธ์และคล้องจองกับโลกแห่งความเป็นจริง (correspond to fact or reality)
    2. สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นจริงโดยไม่ต้องอธิบาย (obvious)
    3. ความซื่อสัตย์ (honesty) ความจริงใจ (sincerity) ความมั่นคง ความเป็นหนึ่งเดียว การยึดถือหลักคุณธรรม (integrity)
    4. ความศรัทธา (faithfulness)
    5. ความแม่นยำ (accuracy) ในการแสดงออก หรือความแม่นยำในการอธิบายถึงสัดส่วน รูปทรง ตำแหน่ง สัณฐาน หรือความเป็นไปของบางสิ่งบางอย่าง


    ประสาทสัมผัสภายในที่เรียกว่า ความรู้และเข้าใจในแก่นแท้ของความเป็นจริง จึงหมายถึงการมีความรู้และเข้าใจในสิ่งที่สัมพันธ์และคล้องจองกับโลกแห่งความเป็นจริง รู้เห็นได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องได้รับการอธิบาย เป็นการรู้เห็นและเข้าใจอย่าง ซื่อสัตย์ จริงใจ มั่นคง เป็นหนึ่งเดียว และเป็นไปตามหลักคุณธรรม เป็นความรู้และเข้าใจที่เต็มไปด้วยความศรัทธา ไม่ว่าจะรู้เห็นสัดส่วน รูปทรง ตำแหน่ง สัณฐาน หรือความเป็นไป ก็รู้เห็นได้อย่างแม่นยำ ไม่ใช่คล้อยตามความเชื่อ ความลำเอียง ความไม่จริงใจ ความฉ้อฉลหรือความไร้คุณธรรมส่วนบุคคล

    --------------------------------
    คุณ zip ระบุว่าคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกันของความรู้และเข้าใจในความคิดรวบยอด กับ ความรู้และเข้าใจในแก่นแท้ของความเป็นจริง คือ ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งๆนั้น

    ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด เพราะการที่เราจะเข้าถึงและใช้การประสาทสัมผัสที่หกทุกชนิดได้นั้น เราจะต้องเข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งทั้งหลายเสมอ มิฉะนั้นเราจะใช้การประสาทสัมผัสที่หกไม่ได้ เพราะการรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสที่หกเป็นการรู้เห็นแบบหมดเปลือกเยี่ยง-เราเป็นเขา มองผ่านดวงตาของเขา รู้สึกแทนเขา เข้าใจด้วยปัญญาของเขา จดจำรู้เห็นอดีตของเขาได้ด้วยความจำของเขา เป็นต้น หากเราเข้าไม่ถึงการเป็นเขาหรือเป็นหนึ่งเดียว แม้เราจะใช้ประสาทสัมผัสที่หกได้ตามธรรมชาติของจิตวิญญาณ เราก็รู้เห็นไม่ได้ตราบใดที่เรายังคงยึดติดกับการแบ่งแยกตัวตนเรา-เขา

    ในทางกลับกันหากเราไม่ได้ตระหนักในธรรมชาติของความเป็นจริงที่ว่า จิตวิญญาณทั้งหลายมีความเป็นหนึ่งเดียว ปราศจากการแบ่งแยก แม้เราจะรู้เห็นสิ่งต่างๆในความฝันผ่านประสาทสัมผัสที่หก เราก็เข้าใจประสบการณ์เหล่านั้นไม่ได้ จดจำความฝันไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ตระหนักว่า ตัวตนทั้งหลายที่เราเผชิญในความฝัน ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนรวมของเรา หรือ เป็นตัวตนที่เป็นหนึ่งเดียวกับเรา

    ไม่ว่าบุคคลตัวตนในความฝันจะปรากฏเป็นศัตรู เป็นคนรัก เป็นคนที่เรารู้จักหรือไม่รู้จัก เป็นปรากฏการณ์ต่างๆเช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม ภูเขาไฟระเบิด หิมะตก ฯลฯ บุคลิกภาพ-บุคคลตัวตนและปรากฏการณ์ทั้งหลายเหล่านั้นล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเรา หรือเป็นหนึ่งเดียวกับเรา เป็นบุคลิกภาพบางส่วนที่เรารู้จักและไม่รู้จัก เป็นบุคลิกภาพที่ให้เราเรียนรู้และนำความรู้เหล่านั้นมาใช้ในยามตื่น ให้เราอยู่สภาวะที่คงความสมดุลย์เป็นตัวตนนี้ได้

    บางคนเข้าใจความฝันได้อย่างตื้นๆหรือตีความหมายผิดๆ เพราะนำเอาสัญญลักษณ์ที่ปรากฏในความฝันมาตีความหมายอย่างตรงไปตรงมาตามภาวะของโลกกายภาพ เช่น เห็นน้ำท่วมในความฝัน และในเวลาต่อมาหากน้ำท่วมจริง ก็เข้าใจว่าตนเองรู้เห็นการณ์ล่วงหน้า แต่ปรากฏการณ์ในความฝันมีความหมายลึกซึ้งกว่าเพียงแค่แสดงให้เห็นการณ์ล่วงหน้า น้ำท่วมที่ปรากฏในความฝันคือภาวะจิตของผู้ที่ฝัน หากผู้ที่ฝันตีความหมายของภาวะน้ำท่วมว่าหมายถึงความล่มจม ความเสียหาย ภาวะจิตของเขาก็ตกอยู่ในความเชื่อที่เกี่ยวพันกับความล่มจมเสียหาย

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้เสมอๆว่า
    จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด
    จิตวิญญาณมีิชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปเป็นภาวะนั้นๆ


    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ในหนังสือ ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ ว่า
    ความฝันเปรียบเสมือนแบบพิมพ์เขียวที่เรานำมาสร้างโลกแห่งความเป็นจริงยามตื่น ดังนั้นการฝันเห็นน้ำท่วมบ้าน นอกจากจะเป็นภาวะจิตที่สร้างปัญหาน้ำท่วมให้มาปรากฏในโลกแห่งความเป็นจริงยามตื่นแล้ว ยังเป็นภาวะจิตที่นำความล่มจมหรือเสียหายมาสู่ตนเอง เพราะตามธรรมชาติแห่งความเป็นจริงแล้ว เราทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของตนเอง เราสร้างมันขึ้นในความฝันก่อนเสมอ และนำมันมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงยามตื่น


    นอกจากน้ีตัวตนในความฝันยังเป็นบุคลิกภาพที่ทำให้ตัวตนยามตื่นของเราเรียนรู้และคงคุณภาพที่ทำให้เกิดความสมดุลย์ในจุดยืนและมุมมองที่เราเป็นอยู่ได้อย่างเป็นเอกลักษณ์

    น้องนกของเราเผชิญกับบุคลิกภาพหรือบุคคลตัวตนจอมบู๊ในความฝันเสมอๆ น้องนกคงสภาพการเป็นบุคคลตัวตนที่คุณเฉลยผู้รู้จักน้องนกเป็นการส่วนตัวชมว่า เป็นผู้มีเมตตา จิ้งจกติดสีทาบ้านยังอุตส่าห์ไปช่วยชีวิตไว้ ความเมตตาของน้องนกเกิดจากตัวตนที่เรียนรู้จากตัวตนอื่นๆในความฝันและตระหนักได้ถึงคุณค่าของความเมตตา เพราะอีกตัวตนหนึ่งได้เรียนรู้ความบู๊ ความรุนแรง ทำให้ตัวตนยามตื่นเห็นคุณค่าของการปกป้องและความเมตตาได้อย่างลึกซึ้ง

    เราคุ้นเคยกับการแบ่งแยกตัวตนยามตื่นของเรา ออกจากบุคคลตัวตนทั้งหลายที่เรารู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าว่าอยู่นอกตัวตนของเรา เมื่อจิตวิญญาณของเราเผชิญกับบุคคลตัวตนทั้งหลายที่เรารู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสที่หกที่อยู่ภายในตัวตนของเรา เรามักนำเอาสติสัมปชัญญะยามตื่นและความเชื่อที่เราคุ้นเคยติดตามเข้าไปในโลกของความฝันด้วย แม้เราจะรู้เห็นและเข้าถึงธรรมชาติความเป็นจริงได้ด้วยประสาทสัมผัสที่หก แต่ถ้าหากเราปราศจากความรู้ความเข้าใจที่คงอยู่ในสติสัมปชัญญะ เมื่อเราเผชิญกับประสบการณ์ในความฝัน เราจะเข้าใจมันไม่ได้-จดจำไม่ได้

    คุณ zipper ถามว่าความแตกต่างระหว่างประสาทสัมผัสที่หกสองชนิดคือ ความรู้และเข้าใจในความคิดรวบยอด และ ความรู้และเข้าใจในแก่นแท้ของความเป็นจริง คืออะไร?

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า แท้จริงแล้วประสาทสัมผัสที่หกเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ เพราะคุณสมบัติของมันซับซ้อนและเหลื่อมกัน ท่านแยกออกจากกันเป็นคุณสมบัติทั้งหมด 10 ชนิด แต่ท่านก็กล่าวว่าแท้จริงแล้วมันอยู่ด้วยกันหรือทำหน้าที่ซ้อนกัน ร่วมกันอย่างแยกจากกันไม่ได้ การแยกความแตกต่างของประสาทสัมผัสที่หกจึงแทบจะเป็นสิ่งที่เป็นไม่ได้ เพราะมันได้เป็นสิ่งที่ผลัดกันทำหน้าที่ หรือทำหน้าที่แยกส่วน แต่ทำหน้าที่ร่วมกันเสมอ เพียงแต่ว่าเราจะมีความชำนาญและสามารถใช้ส่วนใดได้โดดเด่นกว่ากันเท่านั้น

    หากจะพยายามหาความแตกต่างของความรู้และเข้าใจในความคิดรวบยอด และ ความรู้และเข้าใจในแก่นแท้ของความเป็นจริง พี่นักเขียนได้ขยายความคำไว้ว่า

    ความรู้และเข้าใจในความคิดรวบยอด เป็นการเข้าใจหรือรู้เห็นสิ่งที่เกิดจากความคิดหรือจินตนาการ

    ความรู้และเข้าใจในแก่นแท้ของความเป็นจริง ความรู้และเข้าใจในสิ่งที่สัมพันธ์และคล้องจองกับโลกแห่งความเป็นจริง

    เราอาจมองเห็นความแตกต่างของประสาทสัมผัสที่หกสองชนิดนี้ได้จากมุมมองเกี่ยวกับโลกทางกายภาพ ซึ่งเราตีความหมายความคิดหรือจินตนาการว่า เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้และปราศจากความเป็นจริง ส่วนโลกแห่งความเป็นจริงคือโลกที่จับต้องได้

    แต่ในโลกของจิตวิญญาณแล้ว โลกแห่งความเป็นจริงทั้งหมดคือโลกที่สร้างสรรค์จากความคิดหรือจินตนาการทั้งสิ้น แม้แต่จักรวาลทางกายภาพก็เกิดจากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด ดังนั้นในโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติของจิตวิญญาณ เราจึงไม่อาจแยกความแตกต่างของประสาทสัมผัสที่หกทั้งสองชนิดนี้ได้อย่างเด็ดขาด แต่ในทางตรงกันข้ามเราจะเห็นการเชื่อมต่อโยงใยและสัมพันธ์กัน เหลิื่อมกัน หรือขยายคุณสมบัติและความสามารถของสติสัมปชัญญะออกไป ครอบคลุมการรู้เห็นได้กว้างไกลอย่างหมดเปลือก (rose)
     
  5. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ส่วนมากแล้วสัตว์ที่อยู่ทนอากาศหนาวได้จะอาศัยอยู่ในรู ในโพรงดินที่ลึกลงไปกว่า frost line ของผิวดินลงไป 3 ฟุต-สำหรับ Kansas ส่วนรัฐอื่นๆที่อยู่ทางเหนือซึ่งหนาวจัดกว่าอาจอยู่ลึกลงไปถึง 4 ฟุตค่ะ

    แม้ snow จะลง เจ้า raccoon เขาก็ไม่จำศึลเหมือนหมีนะคะ เขาออกมาหาอาหารอย่างน้อยวันละครั้งถ้าอากาศไม่ถึงกับติดลบ ส่วนมากเขาจะตุนด้วยการกินจนอ้วนก่อนหน้าหนาว กระรอกก็เช่นกัน
    [​IMG]
    พี่นักเขียนชอบเฝ้าดูกระรอกกับ raccoon ทุกฤดูใบไม้ร่วงว่าปีนี้เขาออกมาหาอาหารกินกันบ่อยแค่ไหน และเขาดูอ้วนท้วนขนฟู หางฟูแค่ไหน เพราะมันเป็นสัญญาณที่แม่นยำให้เราทราบได้ว่าปีนี้จะหนาวนานและหนาวจัดเพียงใด ปีนี้กระรอกและ raccoon อ้วนน่ารักมากค่ะ หางพองฟูจนโตกว่าตัวของเขาอีก แม้พยากรณ์อากาศจะบอกว่าปีนี้แล้งและเราจะมี snow น้อยมาก พี่นักเขียนกับเพื่อนๆที่ชอบเฝ้าดูกระรอกกับ raccoon จะส่ายหน้าแล้วบอกว่า เจ้านักพยากรณ์หลังบ้านเราไม่เห็นว่างั้นเล้ย

    [​IMG]
    ส่วนนกที่ทนหนาวไม่ได้ก็อพยพไปรัฐทางตอนใต้ซึ่งไม่มี snow ตั้งแต่ปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้วค่ะ นกที่ทนหนาวได้ก็จะกินเมล็ดทานตะวันในฤดูหนาว หากเราเอาเมล็ดข้าวที่เคยให้มันกินในฤดูร้อนไปให้ มันก็ไม่กินเพราะร่างกายของมันต้องการน้ำมันจากเมล็ดทานตะวันเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าปัจจุบันนี้การอพยพของนกทั้งหลายเปลี่ยนไปเพราะมนุษย์มีส่วนในการเลี้ยงดูสัตว์เหล่านี้ในฤดูหนาว ซึ่งตามธรรมชาติแล้วนกไม่อาจหาอาหารได้ก็ต้องอพยพไปตามธรรรมชาติ

    พี่นักเขียนเลยเพิ่งจะทราบว่านก Cardinal สีแดงกลับมาที่สวนหลังบ้านเรื่อยๆปีนี้ แม้ snow จะลงแล้วก็ตาม ซึ่งปีก่อนๆเขาไม่มากัน เพราะปีนี้สามีของพี่นักเขียนเอาเมล็ดทานตะวันไปใส่ใน bird feeder ไว้ เมื่อรู้ความต้องการของเขาแล้ว Buffet ในสวนหลังบ้านเลยต้องเอาใจลูกค้าขาประจำค่ะ(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2007
  6. VeggieGuy

    VeggieGuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    3,945
    ค่าพลัง:
    +4,262
    VegieGuy

    สวัสดีครับ แฟนบอร์ดห้องวิทย์ทุกท่าน
    VegieGuy ขอรายงานตัวตามคำเชื้อเชิญของพี่นักเขียนและอีกหลายๆ ท่านครับ หวังว่าจะได้แลกเปลี่ยนและเติมเต็มหลายๆ เรื่องในการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณครับ
    VegieGuy ไม่ใช่ "ผู้รู้" จึงตั้งใจพยายามที่จะไม่ทำตัวเป็น "แก้วน้ำที่เต็ม" ครับ
    ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ
     
  7. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    เมื่อคืนเพื่อนพาไปเลี้ยงวันเกิดที่ร้านบุฟเฟต์ซีฟู้ด
    โห กินกระจาย แต่เน้นกุ้ง ปู ปลาซะส่วนใหญ่ จะได้ย่อยง่าย ๆ หน่อย
    จะกินน้อยก็กลัวเพื่อนจะจ่ายเงินไม่คุ้ม กลับมารีบsit-upใหญ่เลย
    ถ้าเป็นแต่ก่อนนกคงจะกินเยอะกว่านี้แน่ ๆ เลย เมื่อวานกินไปแค่ครึ่งกระเพาะเอง
    ไปนั่งวาดรูปดีกว่า ขอเรียกอารมณ์ศิลปินมาก่อน
     
  8. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    [​IMG] [​IMG][​IMG]
    [​IMG] [​IMG][​IMG]

    ดีใจครับที่ได้คุณ veggieguy มาเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่ง ทราบว่า คุณ veggieguy ก็เป็นนักมังสวิรัติ คนหนึ่งก็คุยกันได้เลยนะครับ เรื่องอาหารการกินของมนุษย์ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ในปัจจัยสี่ทีเดียว
    ก็ตั้งแต่ศึกษาหนังสือของอาจารย์อนาลัย ผมก็มีความเชื่อว่าเรากินอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นดิน พืช สัตว์ ถึงแม้ว่าจะเป็นสารอาหารที่เลว เราก็สามารถมีสุขภาพที่ดีได้
    แต่ความจริงแล้วผมว่าก็ขึ้นอยู่กับว่ามันอร่อยหรือเปล่า ถ้ามันไม่อร่อยก็ไม่รู้ว่าจะกินไปทำไม ในเมื่อเราเลือกได้ ยกเว้นว่าไม่มีอะไรให้กิน มันก็ต้องกินเพราะมันหิวนะ และก็อย่างที่อาจารย์นักเขียนท่านบอก ว่าก็ขึ้นแต่ละภูมิประเทศ ด้วย ว่ามีอะไรให้กินหรือเปล่า ถ้าเราเป็นชาว เอสกิโม จะให้กินแต่พืช มันก็คงหายากนะ
    แต่ว่าเราก็โชคดี นะที่ได้เลือกลงมาหาประสบการณ์ในดินแดนที่อาหารการกินอุดมสมบรณ์ ในแบบที่สามารถกินทิ้งกินขว้างได้ ก็เลยเลือกได้ ว่าจะกินเจ หรือกินเจเนอรัล
    ส่วนผมที่เลือกกินเจ ไม่ใช่อะไรครับก็สาบานต่อพระผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณ(ซึ่งอาจจะมีหลายชื่อตามถิ่นกำเนิด) ก็เลยต้องกินตามที่ให้สัญญากับท่านไว้
    และที่ทำให้ผมมีความเชื่อที่มั่นคงได้ ก็เพราะความสงสาร สัตว์ต่างๆ ที่ต้องมาสังเวยชีวิต ซึ่งก็เป็นไปตามที่เค้าเลือกลงมาเพื่อเกื้อกูลซึ่งกันและกัน แต่ผมมีความเชื่อว่าการทำร้ายชีวิตคนอื่นเพื่อตัวเอง ถือเป็นความหฤโหดอย่างยิ่ง ตรงนี้ก็เลยทำให้ผมกินเจมาก็เกือบ 30 ปีแล้ว และถ้าจะให้ผมเลิกกินเจ ผมไม่เลิกหรอก หรือถ้าจับผมไปอยู่ กับชาวเอสกิโม เดี๋ยวผมก็จินตนาการว่ามีพืชผักกินก็ได้ เดี๋ยวก็อยู่ได้เเหละ
    อันนี้ก็เป็นความเห็นส่วนตัวครับ แบ่งบันประสบการณ์กันได้นะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3.6 KB
      เปิดดู:
      797
    • imagesa.jpg
      imagesa.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3.1 KB
      เปิดดู:
      784
    • imagesb.jpg
      imagesb.jpg
      ขนาดไฟล์:
      2.6 KB
      เปิดดู:
      763
    • imagesc.jpg
      imagesc.jpg
      ขนาดไฟล์:
      2.4 KB
      เปิดดู:
      792
    • imagesd.jpg
      imagesd.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3.6 KB
      เปิดดู:
      787
    • imagese.jpg
      imagese.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4 KB
      เปิดดู:
      762
  9. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    อาจารย์ครับ raccoon ตัวนี้น่าเอามากอดเล่นจัง
    น่ารักจังเลยครับ
     
  10. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    <LEGEND>รูป</LEGEND>
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    อยากกินแกงเขียวหวาน อะ
    ว่าแล้วคุณนักเขียนทำอาหารไทยทานที่นั่นบ่อยไหมคะ
     
  11. VeggieGuy

    VeggieGuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    3,945
    ค่าพลัง:
    +4,262
    สวัสดีครับ คุณ Chalhoei และทุกๆ ท่าน
    ดีใจครับ ที่มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีกคนครับ
    และดีอีกมากๆ เลยครับที่เห็นว่าคุณกินเจแต่ก็ยังมองว่าคนเรากินอะไรก็ได้ทั้งดิน พืชและสัตว์ แต่เราเลือกได้ว่าจะกินอะไรตามอุดมการณ์ของเรา และตามสภาพชีวิตและภูมิประเทศ ฯลฯ ผมอยากให้คนที่กินเจทั้งหลายคิดแบบนี้จังครับ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้ว คนกลุ่มหนึ่งกินเจเพื่อเอาบุญ และคิดว่าจะได้บุญจากการ "กิน" (เข้าปากและลงท้องตัวเอง) ส่วนคนที่กินเนื้อสัตว์ (ส่วนใหญ่) ก็มองว่าเราเป็นพวก "เห็นผิด" หรือ "ยึดมั่นถือมั่น" เกินไป หรือ "ไม่เดินสายกลาง" บ้างล่ะ แทนที่จะมองว่า เป็นทางเลือกในการดำเนินชีวิตของแต่ละคนที่แตกต่างกันไป
    สำหรับประเทศไทย ผมอยากเรียกว่าเป็นสวรรค์สำหรับคนเป็นมังสวิรัติหรือเจเลยครับ (หรือแม้แต่คนกินเนื้อสัตว์ก็ตาม) ใกล้บริเวณที่ผมอยู่ มีร้านอาหารเจเป็นสิบๆ ร้านเลยครับ นับว่าเป็นโชคดีอย่างหนึ่ง

    ส่วนเหตุจูงใจของผมนั้นต่างไปจากคุณ Chaloei หน่อยตรงที่ว่ามันเป็นพันธสัญญาที่ผมให้กับผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นเองครับ
     
  12. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    ***ดีจัง...รู้สึกดีกับคำสัญญาของคุณพี่เหลย และคุณกี้...(เรียกสั้นๆละกันนะ)...ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นของสายสัมพันธ์ รู้สึกถึงพลังของความผูกพันไม่ว่าจะเป็นความผูกพันรูปแบบไหน เพราะสิ่งที่คุณทั้งสองทำ ทำให้เกิดความรู้สึกดีๆกับตัวคุณทั้งสองเอง และณ.ก็รู้สึกดีๆตามไปด้วย เพราะมันไม่ใช่การทำไปตามกระแส ไม่ใช่ทำแล้วได้รับคำชม แต่ทำไปเพราะรู้สึกดีๆ เป็นความผูกพันที่เต็มใจที่ได้ทำ ขอบคุณที่ทำให้รู้สึกแบบนี้...
    ***ณ.จะเป็นแบบนี้บ่อยๆ คือรู้สึกดีๆ เมื่อได้พบเห็นหรือได้รู้สึกถึงสิ่งที่ผูกพัน ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ และรู้สึกขอบคุณที่เรื่องราวทั้งหลายเหล่านั้นทำให้ความรู้สึกที่ ณ.ได้รับดีตามไปด้วย มันให้ความรู้สึกที่อบอุ่น บ่อยครั้งที่อมยิ้มกับสิ่งที่ได้รับ มันไม่จำเป็นต้องอธิบายเป็นคำพูดมากมาย แต่ความหมายและความรู้สึกมันท่วมท้น...(good) (f)
     
  13. obniti

    obniti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2007
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +305
    ผมกับภรรยาไม่ถึงกับเจครับแค่มังสะวิรัตในวัน เสาร์ซึงเป็นวันเกิด และเห็นว่าน้อยเกินไปเลยรวมวันพระเข้าไปด้วย บางครั้งลืมก็ใช้วิธีชดเชยในวันถัดไป เป็นการฝึกสติและการระลึกรู้แบบไม่เคร่งครัด บางครั้งเกรงใจคนรอบข้างก็อนุโลมเขี่ยเอาเหมือนกัน หลานผมอยู่โรงเรียนสัตยาไส ก็ทานมังสะวิรัตมา7ปีแล้วแต่เวลากลับบ้านตอนปิดเทอมก็ทานเนื้อทุกวัน วันนี้ได้ความคิดเรื่องความรู้สึกร่วมที่คุณพี่นักเขียนเล่าให้ฟ้งแล้วคิดว่าน่าจะลองประยุกต์กบเรื่องการกินอาหารดูว่าเราจะสามารถมีความรู้สึกร่วมกับความอร่อยของคนอื่นโดยไม่ต้องมีประสบการได้หรือไม่ ยังไงก็ขอแชร์ความอร่อยกับร้านแถวบ้านคุณเฉลยด้วยครับ
     
  14. ronnie07

    ronnie07 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +193
    หวัดดีครับเพื่อนๆพี่น้องทุกท่าน
    หลายวันไม่ได้เข้ามาทักทาย ทุกคนคงสบายดีและก้าวหน้ากันทั้วหน้านะครับ
    ผมตอนนี้ก็ยังอ่านหนังสือของท่านอาจานเป็นประจำอ่านจบไปแล้ว9เล่มเหลืออีกเล่มเดียว
    ตอนนี้กำลังเปลียนความเชื่อเก่าๆอยู่ ว่างๆจะเข้ามาอ่านอีกนะครับ
     
  15. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    เพิ่งนั่งวาดรูปเสร็จเมื่อกี้เอง ใจร้อนเลยเอามือถือถ่ายรูปมาส่งการบ้านก่อน
    ให้รอscanก็อีกตั้งวันจันทร์แน่ะ ไม่ทันใจวัยรุ่น (eek)
    ไม่เคยวาดภาพเหมือนตัวเองเลย นี่ก็พยายามบ้างนิดหน่อย แต่วาดแบบสบาย ๆ ไม่คิดอะไรมาก
    หารูปต้นแบบก็จากในคอม มองรูปในคอมแล้วก็วาดไป เบี้ยว ๆ ไปบ้างคงไม่เป็นไรเนอะ
    ให้มองจุดเด่นก็คงดวงตาแสดงออกมาถึงความมุ่งมั่น ดุดัน มีรอยยิ้มที่มุมปากนิด ๆ คือมั่นใจตัวเอง
    ไม่ว่าจะเจอคำพูดสบประมาทจากใครก็แล้วแต่ ข้างในเราเชื่อมั่นอยู่ตลอดเวลา ว่าเราทำได้ (good)

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PIC_2604.jpg
      PIC_2604.jpg
      ขนาดไฟล์:
      30.3 KB
      เปิดดู:
      486
    • PIC_0180.jpg
      PIC_0180.jpg
      ขนาดไฟล์:
      28.2 KB
      เปิดดู:
      42
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2007
  16. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    เชื่อมั่นว่าคุณพี่obnitiต้องทำได้ค่ะ (good)
    หวังว่าจะได้ฟังเพลงเก่าแล้วเรียนรู้วิธีทำอาหารจากพี่นะคะ
     
  17. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    เรื่องนี้ที่หลินชิงเสียเล่นหรือเปล่า นกก็ชอบเหมือนกันนะ เค้าเล่นได้เท่ห์ดูมีอำนาจมาก ๆ ทั้งที่เป็นผู้หญิงนะเนี่ย :)
     
  18. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    มีอยู่ครั้งนึงนะคะพี่นักเขียน ฝันว่าได้ไปยืนบนเวทีกับบรรดานักร้องAF4ที่เค้าประกวดร้องเพลงได้เข้ารอบกัน
    ได้รับความรู้สึกตื้นตัน ดีใจ ภูมิใจ ที่ผู้ชมร้องเพลงของพวกเค้าได้ เหมือนกับนกเป็นพวกเค้าเลย
    ถ้าในความรู้สึกของตัวเอง จากคนธรรมดาเข้าไปแข่งประกวดร้องเพลง จนเป็นที่รู้จักของทุกคน
    ได้ออกเทปแล้วมีคนร้องเพลงของเราได้ คงจะตื้นตันใจไม่น้อยเลย

    การที่เราเรียนรู้บุคคลิกภาพของแต่ละตัวตนในยามฝัน ก็ทำให้เราเข้าใจถึงความรู้สึกคนอื่น และใส่ใจเค้ามากขึ้นว่าเค้าจะรู้สึกยังไงกัน
     
  19. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    เพิ่งหายไม่สบายอ่ะจ้าพี่ ณ. แต่มีเรื่องเล่าก็แนวบู๊เหมือนเดิม อิอิ
     
  20. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    (f) ขอต้อนรับคุณ VeggieGuy สู่ห้องวิทย์ฯค่ะ(f)
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...