พล.ต.เอกนันท์ รัตนโสภา

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย pongio, 17 พฤศจิกายน 2013.

  1. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    พระสมเด็จ วัดระฆัง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และ พระสมเด็จบางขุนพรหม หากใครครอบครองเอาไว้ในเชิงพุทธพาณิชย์คงเช่าหากันเป็นล้าน ทางกลับกัน พระสมเด็จ รุ่นเพดานโบสถ์ วัดพระแก้ว ที่วงการพระเครื่องไม่นิยมเช่าหากัน
    จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม พล.ต.เอกนันท์ รัตนโสภา ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ ๑๔ ในฐานะบิดาของนักแสดงสาว "ครีม" เปรมสินี รัตนโสภา ให้ข้อคิดว่า
    พระสมเด็จองค์นี้ได้มาจากนายทหารท่านหนึ่ง ไม่ได้คิดว่าจะต้องมีมูลค่าอะไร แขวนติดตัวเพราะนับถือให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ โดยพระสมเด็จองค์นี้ยังมีพระประจำวันอยู่ในองค์อย่างสมบูรณ์
    พล.ต.เอกนันท์ อธิบายว่า เป็นคนแขวนพระเครื่อง แต่ไม่ได้แขวนตามความเชื่อในหลวงพ่อองค์นั้น หรือองค์นี้ต้องดี กลับมองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ใจ ยิ่งพระสมเด็จองค์นี้ที่ชอบเนื่องจากมีพระธาตุประดิษฐานอยู่ในองค์พระด้วย ส่วนด้านหลังขององค์พระสมเด็จ เป็นองค์เสด็จพ่อ ร.๕ ประกอบกับเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อย จปร.เพราะถือว่าพระองค์ท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อประเทศชาติ ทำให้เราทำความดีเพื่อชาติบ้านเมือง และเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ ที่ชีวิตเฉียดตายมาถึง ๓ ครั้งไม่เป็นอะไร
    ครั้งแรก เกิดขึ้นระหว่างขับรถจากลพบุรี เข้ามาประชุมในกรุงเทพฯ พอประชุมเลิกหกโมงเย็น ปกติจะนอนที่บ้านเลย แต่วันนั้นเห็นว่า ยังมีงานด่วนที่ต้องกลับไปทำ ถ้าไม่กลับไปทำเดี๋ยวงานไม่เสร็จ จึงขับไปกับลูกน้อง ใช้ความเร็วประมาณ ๑๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทันใดนั้น รถเกิดชนกันที่หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เชื่อไหมว่า ทั้งตัวกระเด็นออก แต่เข็มนิรภัยก็ตีกลับมา
    ส่วนรถก็ม้วนตีลังกา จังหวะนั้นมีสติมองเห็นภาพที่รถตัวเองกำลังลอยอยู่บนอากาศจะรู้สึกตัวตลอด มันเป็นภาพที่เหมือนดูหนังแบบสโลว์โมชั่น เมื่อรถหยุดนิ่งตั้งตะแคงรู้สึกทันทีว่าตัวเองติดอยู่กับเบาะ ส่วนลูกน้องเจ็บหนัก พวงมาลัยที่จับบิดเกือบเหมือนเลขแปด อีกใจก็นึกถึงรถว่ารถจะยังไงบ้าง เป็นเรื่องแปลกอย่างมากที่ตัวเองไม่เป็นอะไรเลย

    ครั้งที่สอง เกิดขึ้นตอนนั่งเฮลิคอปเตอร์ออกตรวจพื้นที่ โดยออกบินจากกรุงเทพฯ ไปทางทิศตะวันตก ช่วงประมาณเจ็ดโมงเช้า หมอกลงจัดทำให้อากาศปิด หากฝืนบินต่อไปคงไม่ได้ต้องหาทางลง แต่นักบินบอกลงไม่ได้ เนื่องจากมองไม่เห็นสนาม ต้องบินลุยหน้าไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็นั่งสวดมนต์คิดว่าไม่นานน่าจะพ้นจากสภาพหมอกที่ทำให้อากาศเกิดวิกฤติ พอนั่งนับว่าเวลาผ่านไป ๔๐ นาที แล้วหมอกก็ยังไม่จางเลย ใจก็เริ่มเสียแล้ว สวดมนต์ก็เริ่มตีกันไปตีกันมา ใจก็นึกถึงลูก ภรรยา บิดามารดา นักบินบอกอีกว่าจะต้องเอาเครื่องลงแล้วเพราะบินต่อไปคงต้องเข้าประเทศพม่า
    เครื่องวัดระดับในเฮลิคอปเตอร์เกิดไฟฟ้าสถิตทำให้ทุกปุ่มที่จะใช้สื่อสารก็เสียทั้งหมด นักบินบอกรู้ทิศทาง แต่จริงๆ ทุกคนใจเสียกันหมดแล้ว นักบินก็ฉลาดเหมือนกันเขาเอาสร้อยที่มีพระมาแขวนไว้หน้าคนขับเพื่อจับระดับความสูง พอเอาเครื่องลงทุกคนก็คิดกันว่ายังไงเครื่องต้องกระแทกกับต้นไม้หรือภูเขา พอลดระดับลงมาเครื่องตุ่มๆ จาก ๒,๐๐๐ ฟิต ๑,๐๐๐ ฟิต จนกลายเป็นศูนย์
    "โชคดีที่เครื่องสามารถเบรกได้ ๑ ครั้ง แล้วก็เหมือนว่ามองเห็นหนองน้ำและรถแม็คโคร ซึ่งเครื่องลงห่างจากพระปฐมเจดีย์ประมาณ ๘ กิโลเอง ชาวบ้านบอกว่าได้ยินเสียงเครื่องเฮลิคอปเตอร์ดัง เขาจึงตามมาเพื่อจะมาเก็บศพพวกเรา นั่งทำใจกันเป็นชั่วโมง" พล.ต.เอกนันท์ เล่าถึงเหตุการณ์เฉียดตายด้วยน้ำเสียงระทึก พร้อมเล่าต่อว่า

    เหตุการณ์ครั้งที่สาม เกิดขึ้นก่อนคืนวันลอยกระทงปี ๒๕๔๙ ที่รอบๆ ค่ายทหารราบที่ ๑๑ บางเขน จะมีเด็กจุดพลุกันเสียงดังไปหมด ก่อนเข้านอนก็สวดมนต์เป็นประจำ หลังสองยามเข้านอนตามปกติ ประมาณตีสองมีเสียงปั้งดังมาก ภรรยา (วิลาสินี) ก็ปลุกว่ามีเสียงอะไรดัง ดังแบบมีแสงสว่างด้วย เป็นจังหวะที่กำลังง่วงนอนมาก ก็ตอบกลับไปว่าไม่มีอะไรหรอก นอนๆ ภรรยาก็ปลุกอีกมันทำไมถึงมีแสง พอเอามือไปคำๆ ที่หมอน มีความรู้สึกว่ามันเป็นเศษปูนละเอียดกระจายเต็มห้องไปหมด
    เมื่อเริ่มเปิดไฟ ก็เห็นรูตรงฝาผนังบ้านเหมือนใครเอาสว่านมาเจาะเป็นรูใหญ่ แต่สัญชาตญาณเรารู้เลยว่าเป็นกระสุน ๑๑ มม. พอสำรวจก็พบว่าลูกกระสุนที่ยิงเข้ามาทะลุฝาผนังสังเคราะห์เฌอร่า เฉียดศีรษะที่กำลังนอนอยู่บนหมอนไม่สูง หากคืนนั้นนอนหนุนหมอนที่สูงกว่าเดิมอีกนิดเดียวกระสุนลูกนี้คงเข้าศีรษะหลับไปแบบไม่รู้สึกตัวเป็นแน่ รุ่งเช้าให้นายทหารไปตรวจสอบก็พบว่าคืนนั้นนักเลงมีเรื่องกันแล้วยิงปืนบนสะพานข้ามคลอง "เชื่อไหมว่า เหตุการณ์ครั้งที่สามรอดตายมาได้เพราะมีพระรูปหนึ่งแนะนำให้ไปห่มผ้าพระปฐมเจดีย์ ไปห่มได้เพียงวันเดียวเกิดเหตุ จึงมานั่งคิดว่าคงเป็นบุญที่เราทำแน่แล้ว หลายเหตุการณ์ที่ผ่านมามันสอนเราว่าถ้าคนเราไม่ถึงที่ตายก็ไม่ตาย แล้วถ้าคนเราจะตายอยู่ที่ไหนก็ตาย ใครทำกรรมอะไรไว้ไม่ดีย่อมได้รับผลกรรมนั้น" พล.ต.เอกนันท์ กล่าวทิ้งท้าย
    เรื่อง สุทธิคุณ กองทอง /ภาพ อุทร ศรีพันธ์
     

แชร์หน้านี้

Loading...