ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,646
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "เซี่ยงไฮ้" เจอ "วิกฤตสเปิร์มหด" ต่ำกว่ามาตรฐานโลก หลังเจอกระทบจากมลพิษอ่วม
    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเมืองเซี่ยงไฮ้ของจีนรายงานอ้างคำกล่าวของแพทย์ว่า ขณะนี้ธนาคารสเปิร์ม หรือธนาคารอสุจิ ของเมืองนี้มีระดับต่ำกว่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลก สาเหตุเชื่อว่ามาจากผลกระทบด้านวิกฤตสิ่งแวดล้อมเป็นพิษที่กระทบต่อเมืองนี้
    รายงานระบุว่า ระดับอสุจิของธนาคารสเปิร์มเมืองเซี่ยงไฮ้ ต้องเผชิญวิกฤตอย่างไม่คาดคิดมาก่อน โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่าตัวการสำคัญมาจากมลพิษของเมืองนี้ โดยระดับอสุจิของธนาคารสเปิร์มเมืองนี้ ได้ลดลงเหลือ 1 ใน 3 ของระดับมาตรฐานองค์การอนามัยโลก และสิ่งนี้เป็นเรื่องน่าวิตกเมื่อพิจารณาถึงภาวะการเจริญพันธุ์ของผู้ชายเซี่ยงไฮ้ที่อาจลดลงในทุก ๆ ปี หากไม่มีการป้องกันสิ่งแวดล้อมและการป้องกันมลพิษ ขณะที่หนังสือพิมพ์ยังได้เรียกร้องให้ผู้อ่านช่วยกันใช้ชีวิตอย่างอนุรักษ์ธรรมชาติเพื่อปกป้องชนรุ่นต่อไปด้วย
    ทั้งนี้ รายงานระบุว่า วิกฤตสเปิร์มของเมืองเซี่ยงไฮ้ เชื่อมโยงกับมลพิษทางอากาศและน้ำ เนื่องจากการเกิดภาวะหมอกควันอย่างรุนแรงในเมืองเซี่ยงไฮ้จากมลพิษของอุตสาหกรรม ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่ากรุงปักกิ่งถึงสองเท่า และทำให้ทางการเซี่ยงไฮ้ต้องเรียกร้องให้มีการปิดโรงเรียน และยกเลิกกิจกรรมกลางแจ้ง

    มติชน
    เขียนโดย Schau-Thai ที่ 09:56 ไม่มีความคิดเห็น:

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/fYXGJ0NhwxM?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    ป้ายกำกับ: Germany and Around the World
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,646
    ค่าพลัง:
    +97,150
    In Pics : ช็อตต่อช็อต!ภาพเมืองปินส์ก่อน-หลังมหันตภัย'ไห่เยี่ยน' UNคาดยอดตายทะลุ10,000 โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 พฤศจิกายน 2556 03:31 น.

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    เอเอฟพี/บีบีซี - สหประชาชาติในวันจันทร์(11) กังวลว่าอาจมีประชาชนมากกว่า 10,000 คนเสียชีวิตในมหันตภัยซูเปอร์ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนซัดถล่มฟิลิปปินส์ช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้วและคาดหมายว่ายอดที่แท้จริงอาจถึงขั้นเลวร้าย ขณะที่บีบีซีนำภาพเมืองต่างๆมาเปรียบเทียบก่อนและหลัง ซึ่งปรากฎว่าดินแดนที่ถูกมหาพายุลูกนี้กระหน่ำแทบไม่เหลือเค้าเดิมเลย

    จอห์น กิง ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ แถลงกับผู้สื่อข่าวที่สำนักงานใหญ่ ด้วยว่าประชาชน 660,000 คนต้องอพยพออกจากบ้านหนีภัยพายุและขอเป็นตัวแทนสหประชาชาติร้องขอนานาชาติให้ความช่วยเหลือแก่ฟิลิปปินส์โดยด่วน "หลายพื้นที่กลาดเกลื่อนไปด้วยศพ ตอนนี้คาดหมายว่าน่าจะมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 10,000 คน"

    เมื่อถูกถามถึงยอดผู้เสียชีวิตรวมท้ายสุด เขาตอบว่า "แน่นอนว่า เราคาดหมายไว้ในขั้นเลวร้าย ยิ่งแต่เราเข้าถึงพื้นที่ได้มากเท่าไหร่ เราก็พบผู้ที่ถูกไต้ฝุ่นลูกนี้คร่าชีวิตมากขึ้นเท่านั้น"

    ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ บอกต่อด้วยว่าเจ้าหน้าที่ได้ทำทุกทางเพื่อให้สามารถเข้าถึงเมืองตาโกลบานและพื้นที่อื่นๆที่ได้รับความเสียหายเลวร้ายจากซูเปอร์ไต้ฝุ่นซึ่งซัดถล่มเมื่อวันศุกร์(8) พร้อมเผยว่าขบวนรถบรรเทาภัยใช้เวลาเดินทางจากสนามบินตาโกลบานเข้าไปยังตัวเมืองนานถึง 3 ชั่วโมง ทั้งที่มีระยะทางแค่ 11 กิโลเมตรเท่านั้น

    "เป้าหมายแรกของทีมตอบสนอง เมื่อพวกเขาสามารถหาทางเข้าไปยังพื้นที่เหล่านั้นได้แล้ว คือการเคลื่อนย้ายศพผู้เสียชีวิต เพราะว่ามันเป็นประเด็นด้านสาธารณสุข" เขากล่าว พร้อมยืนยันว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องจัดหาอาหารและน้ำดื่มที่สะอาดแก่ผู้รอดชีวิต

    คาดหมายว่านางวาเลรี อามอส รองเลขาธิการสหประชาชาติ ฝ่ายกิจการมนุษยธรรม จะเป็นผู้รับผิดชอบปฏิบัติการบรรเทาทุกข์ร่วมระหว่างสหประชาชาติกับองค์กรเอกชน โดยเบื้องต้นทางยูเอ็นได้อนุมัติเงินจากกองทุนฉุกเฉินจำนวน 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเข้าช่วยผู้ประสบภัยแล้ว แต่ทางฟิลิปปินส์เตรียมร้องขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมในวันอังคาร(12) ซึ่งในเรื่องนี้ทางเจ้าหน้าที่ยูเอ็นระบุมีความเป็นไปได้ว่าจะต้องใช้เงินในภารกิจนี้หลายร้อยล้านดอลลาร์เลยทีเดียว

    ทั้งนี้อามอส อ้างเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคาดหมายว่าเฉพาะที่เมืองตาโกลบาน เพียงแห่งเดียว อาจมีผู้เสียชีวิตมากถึง 10,000 ศพ ดังนั้นจึงรู้กังวลต่อยอดรวมท้ายสุดเป็นอย่างยิ่ง

    ขณะเดียวกันทางสำนักข่าวบีบีซีได้นำภาพถ่ายดาวเทียมและภาพถ่ายทางอากาศของฟิลิปินส์ ที่แสดงถึงขอบเขตความเสียหายขั้นหายนะในพื้นที่ราบต่ำ ไม่ว่าจะเป็นที่เมืองตาโกลบานนเกาะเลย์เตและเมืองกุยวาน ในจังหวัดอิสเทิร์น ซามาร์ พร้อมกับนำเปรียบเทียบกับสภาพก่อนพายุเข้า ซึ่งแตกต่างกันแทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นดินแดนเดียวกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a3.JPG
      a3.JPG
      ขนาดไฟล์:
      127.6 KB
      เปิดดู:
      1,363
    • a4.JPG
      a4.JPG
      ขนาดไฟล์:
      100.4 KB
      เปิดดู:
      1,322
    • a5.JPG
      a5.JPG
      ขนาดไฟล์:
      108.6 KB
      เปิดดู:
      1,284
    • a6.JPG
      a6.JPG
      ขนาดไฟล์:
      115 KB
      เปิดดู:
      1,300
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,646
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พายุรุนแรงซัดถล่มโซมาเลีย คาดตายอย่างต่ำ100ศพ สูญหายจำนวนมาก
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 พฤศจิกายน 2556 00:10 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี - กังวลว่าอาจมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยๆ 100 รายในเหตุพายุรุนแรงซัดถล่มรัฐปุนท์แลนด์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของโซมาเลีย เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเผยเมื่อวันจันทร์(11) ขณะที่ยังมีผู้สูญหายอีกหลายร้อยคน

    "พายุหมุนเขตร้อนคร่าชีวิตและทำลายล้าง พายุลูกนี้ซัดพาลมพัดแรงและฝนตกหนัก เป็นเหตุให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน" ถ้อยแถลงของรัฐบาลของรัฐปกครองตนเองปุนท์แลนด์ระบุ "ข้อมูลที่รวบรวมจากพื้นที่ชายฝั่งผ่านการติดต่อทางโทรศัพท์อันตะกุกตะกักในช่วง 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าอาจมีคนตายมากถึง 100 ศพ ขณะที่มีอีกหลายร้อยคนที่ยังสูญหาย"

    เวลานี้ทางรัฐบาลกำลังรวบรวมจัดตั้งความพยายามบรรเทาภัย แต่ก็ร้องขอความสนับสนุนจากนานาชาติด้วยเช่นกัน "ข้อมูลเบื้องต้นยังบ่งชี้ด้วยว่าบ้านเรือน อาคาร เรือและหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านถูกทำลายย่อยยับและมีปศุสัตว์ตายกว่า 100,000 ตัว วิถีชีวิตของชาวบ้านท้องถิ่นนับแสนคนกำลังตกอยู่ในอันตราย" คำแถลงของรัฐบาลระบุ พร้อมคาดหมายว่าคงต้องเผชิญกับภาวะฝนตกหนักและลมกระโชกแรงไปจนถึงวันพุธ(13)

    เขตปกครองตนเองรัฐปุนท์แลนด์ บริหารงานโดยรัฐบาลของตนเอง แต่แตกต่างจากรัฐโซมาลีแลนด์ ก็คือพวกเขาไม่ได้ประกาศเอกราชจากโซมาเลีย ขณะที่ โซมาเลีย ถูกห้อมล้อมด้วยสงครามกลางเมืองนับตั้งแต่รัฐบาลกลางล่มสลายในปี 1991
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a7.JPEG
      a7.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      42.1 KB
      เปิดดู:
      1,289
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,646
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฟิลิปปินส์ประกาศใช้ภาวะภัยพิบัติ ภารกิจบรรเทาทุกข์‘ไห่เยี่ยน’ทุลักทุเล
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 พฤศจิกายน 2556 21:57 น.

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/xN7R-nuaWNY?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/eVcUYHZxFjI?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    เอเจนซีส์ - ปฏิบัติการกู้ภัยบรรเทาทุกข์ในฟิลิปปินส์ที่เสียหายย่อยยับจากมหาพายุไต้ฝุ่น “ไห่เยี่ยน” ยังคงเต็มไปด้วยความทุลักทุเลในวันจันทร์ (11พ.ย.) ท่ามกลางร่างผู้เสียชีวิตที่ยังกลาดเกลื่อนบนท้องถนนนับไม่ถ้วน ขณะที่ผู้รอดชีวิตร้องขออาหาร น้ำ และยา ส่วนตำรวจทหารต้องร่วมกันลาดตระเวนป้องกันการฉกชิงของคนที่เดือดร้อนและนักฉวยโอกาส และรัฐบาลต้องประกาศภาวะภัยพิบัติทั่วประเทศ ขณะเดียวกันความช่วยเหลือจากนานาชาติเริ่มทยอยเดินทางไปถึง

    สามวันหลังจากที่ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน นำเอาคลื่นสูงและลมกรรโชกรุนแรง พัดกวาดผ่านย่านอาศัยของเมืองใหญ่และเมืองเล็กเมืองน้อยหลายแห่งในบริเวณภาคกลางของฟิลิปปินส์ จนราบไปทั้งย่านทั้งเมือง ทิ้งซากศพผู้เสียชีวิตเหลือคณานับกระจัดกระจายไปตามผืนดินที่กลายเป็นแดนร้าง ความรู้สึกสิ้นหวังก็กำลังเข้าเกาะกุมชุมชนต่างๆ ที่อยู่ในสภาพพินาศยับเยิน และขาดไร้ทั้งอาหาร น้ำ และยารักษาโรค

    ในคืนวันจันทร์ ประธานาธิบดีเบนิญโญ อากีโน ออกโทรทัศน์ประกาศภาวะภัยพิบัติทั่วประเทศ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีอำนาจเข้าควบคุมราคาสินค้าและเบิกจ่ายเงินงบประมาณฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว

    วันอาทิตย์ที่ผ่านมา (10) เจ้าหน้าที่ฟิลิปปินส์สองคนระบุประมาณการว่า ผู้เสียชีวิตจากพายุไห่เยี่ยนน่าจะสูงเกิน 10,000 คน ทว่าความพยายามในการกู้ภัยคราวนี้ดูจะเป็นภาระใหญ่โตเกินกว่าที่แดนตากาล็อกจะแบกรับไหว และมีความคืบหน้าไปได้อย่างเชื่องช้า ท่ามกลางระบบสื่อสารและการคมนาคมขนส่งที่ยังเป็นอัมพาต ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการล่าสุดยังมีเพียง 942 รายเท่านั้น

    ตาโกลบาน เมืองเอกของจังหวัดเลย์เต ซึ่งเป็นจุดหนึ่งที่เผชิญกับฤทธิ์เดชของไต้ฝุ่นลูกนี้อย่างหนักหน่วงสาหัสที่สุด ยังคงมีสภาพไม่ต่างจากกองขยะมหึมา มีเพียงอาคารคอนกรีตไม่กี่แห่งที่ยังตั้งตระหง่านอยู่ได้

    เจ้าหน้าที่ฟิลิปปินส์เผยว่า ประชาชนอย่างน้อย 2 ล้านคนใน 41 จังหวัดได้รับผลกระทบจากไห่เยี่ยน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไต้ฝุ่นที่มีความรุนแรงที่สุดเท่าที่แดนตากาล็อกเคยพบมา และมีแนวโน้มเป็นภัยพิบัติธรรมชาติที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในฟิลิปปินส์

    ทหารเรือฟิลิปปินส์ออกตระเวนแจกจ่ายอาหารและน้ำในตาโกลบาน ขณะที่ทีมประเมินความเสียหายจากสหประชาชาติ และหน่วยงานบรรเทาทุกข์นานาชาติเดินทางถึงพื้นที่ประสบภัยครั้งแรก ส่วนกองทหารนาวิกโยธินสหรัฐฯ ลำเลียงอาหาร น้ำ เครื่องปั่นไฟ มาช่วยเหลือเมืองนี้ ซึ่งถือเป็นความช่วยเหลือระลอกแรกที่กำลังจะตามมาด้วยปฏิบัติการบรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศครั้งใหญ่

    อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการกู้ภัยและบรรเทาทุกข์เป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากทั้งถนน สนามบิน สะพาน ประสบความเสียหายหรือจมอยู่ใต้ซากปรักหักพัง นอกจากนี้ยังคาดว่า จะมีฝนตกหนักจากพายุดีเปรสชันโซนร้อนในแถบพื้นที่ประสบภัยในวันอังคาร (12) ทำให้การเข้าถึงเพื่อช่วยเหลือผู้รอดชีวิตยากลำบากยิ่งขึ้น

    มีรายงานว่า ถึงแม้ทางการตากาล็อกได้เตรียมการรับมือด้วยการอพยพประชาชนราว 800,000 คนก่อนที่ไต้ฝุ่นจะมาถึง แต่ศูนย์อพยพหลายแห่งซึ่งส่วนใหญ่คือโรงเรียน โบสถ์ และอาคารราชการ ไม่สามารถต้านทานพายุฝนและน้ำทะเลที่ขึ้นสูงกะทันหันหลายเมตรได้ ประชาชนมากมายจึงจมน้ำหรือถูกกระแสน้ำพัดพากระจัดกระจาย เช่นเดียวกับรถที่ถูกพัดออกสู่ทะเล ขณะที่เรือขึ้นมาเกยตื้น สะพานและท่าเรือเสียหายยับเยิน บนบกเต็มไปด้วยซากปรักหักพังกีดขวางการจราจร และร่างผู้เสียชีวิตกลาดเกลื่อนทั้งบนพื้นดินและใต้ซากสิ่งปลูกสร้าง

    ทางด้านผู้รอดชีวิตก็กำลังป่วยด้วยอาการท้องร่วงตลอดจนขาดน้ำและอาหาร พวกที่ยังแข็งแรงพอก็มีหลายคนออกฉกชิงอาหาร น้ำ และสิ่งของอุปโภคบริโภคจากห้างร้านหรือแม้แต่บ้านเรือนมาประทังชีวิต อย่างไรก็ดี มีบางคนปล้นมากกว่าสิ่งของจำเป็นอย่างเช่น ทีวี ตู้เย็น และเครื่องออกกำลังกาย จนทางการต้องเร่งส่งกองกำลังพิเศษและทหารหลายร้อยคน ออกลาดตระเวนในตัวเมืองอย่างตาโกลบาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุจลาจลวุ่นวาย

    ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนขึ้นบกในฟิลิปปินส์ที่บริเวณชายฝั่งด้านตะวันออกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (8) และจู่โจมทั่วพื้นที่ภาคกลางของประเทศอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วลม 235 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและแรงกรรโชก 275 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สร้างความเสียหายรุนแรงให้เกาะอย่างน้อย 6 เกาะ ที่หนักที่สุดคือเลย์เต ซามาร์ และทางตอนเหนือของเกาะเซบู

    อย่างไรก็ดี ไห่เยี่ยนอ่อนกำลังลงเหลือเพียง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะขึ้นบกทางเหนือของเวียดนามเมื่อเช้าวันจันทร์ (11) และไม่มีรายงานความเสียหายรุนแรงหรือผู้บาดเจ็บ นอกเหนือไปจากผู้เสียชีวิต 13 รายและบาดเจ็บอีกหลายสิบคนระหว่างที่ทางการอพยพประชาชนไปยังสถานที่ปลอดภัยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

    ไต้ฝุ่นลูกนี้ยังลดระดับเป็นเพียงพายุโซนร้อนขณะเข้าสู่จีนช่วงเย็นวันจันทร์ โดยหน่วยงานอุตุนิยมวิทยาคาดว่า จะทำให้เกิดฝนตกหนักมากตลอด 24 ชั่วโมงทางใต้ของประเทศ และทางการเขตปกครองตนเองกว่างซีแนะนำให้ชาวประมงงดออกจากฝั่ง

    [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a8.JPEG
      a8.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      54.3 KB
      เปิดดู:
      1,245
    • a9.JPEG
      a9.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      46.7 KB
      เปิดดู:
      1,360
    • a10.JPEG
      a10.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      56.8 KB
      เปิดดู:
      1,268
    • a11.JPEG
      a11.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      50 KB
      เปิดดู:
      1,292
    • a12.JPEG
      a12.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      48.7 KB
      เปิดดู:
      1,253
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,646
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปาฏิหาริย์! “หนูน้อยปินส์” ลืมตาดูโลกขณะ “ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน” ถล่มบ้านเมืองราบ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 พฤศจิกายน 2556 16:30 น.

    หนูน้อย "เบีย จอย" ทารกเพศหญิงที่ลืมตาดูโลก ระหว่างที่ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนพัดถล่มหมู่เกาะฟิลิปปินส์

    เอเอฟพี – ทารกเพศหญิงคนหนึ่งได้ลืมตาดูโลกขณะที่มหาไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน (Haiyan) ซัดถล่มเมืองตาโกลบันของฟิลิปปินส์จนราบเป็นหน้ากลอง ด้านคุณแม่ถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความปลาบปลื้ม พร้อมตั้งชื่อลูกสาวตามมารดาของตนเองที่สูญหายขณะพายุเข้าฝั่ง

    เอมิลี ซากาลิส วัย 21 ปี ให้กำเนิดบุตรสาวผู้ได้ฉายาว่า “หนูน้อยมหัศจรรย์” ภายในสนามบินซึ่งถูกดัดแปลงเป็นศูนย์พยาบาลชั่วคราว โดยมีเพียงผืนผ้าเก่าๆ ไว้รองนอน ท่ามกลางเศษกระจก, โลหะ, ตะปู และข้าวของอื่นๆ ที่พังพินาศจากพลังทำลายล้างของมหาไต้ฝุ่น

    “เธอน่ารักมาก ฉันจะตั้งชื่อลูกว่า เบีย จอย (Bea Joy) เพื่อระลึกถึงคุณแม่เบียทริซ” ซากาลิส เอ่ยกระซิบเบาๆ หลังคลอดได้ไม่นานนัก

    มารดาของ ซากาลิส ถูกคลื่นซัดจมหายไปขณะที่ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนพัดถล่มชายฝั่งเมืองตาโกลบัน เมืองเอกของจังหวัดเลย์เต ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดแห่งหนึ่ง

    ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนนับเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งร้ายแรงที่สุดเท่าที่ฟิลิปปินส์เคยบันทึกไว้ โดยทางการประเมินยอดผู้เสียชีวิตไว้ไม่ต่ำกว่า 10,000 คน เฉพาะในจังหวัดเลย์เต ส่วนบนเกาะอื่นๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ทางตอนกลางของประเทศก็คาดว่าจะมีชาวบ้านสังเวยพายุหลายร้อยศพ

    แม้ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนจะนำมาซึ่งจุดจบของชีวิตคนนับหมื่น แต่สำหรับหนูน้อย เบีย จอย เส้นทางชีวิตของเธอกำลังเริ่มต้นขึ้น

    “เธอคือปาฏิหาริย์สำหรับฉัน ฉันนึกว่าเราสองแม่ลูกจะต้องตายพร้อมกันเสียแล้ว ตอนที่คลื่นโถมเข้าใส่บ้านเราจนทุกคนกระจัดกระจายไปหมด” ซากาลิส กล่าวระหว่างที่อาสาสมัครแพทย์กำลังหยดยาเข้าหลอดเลือดดำ

    โจเบิร์ต ผู้เป็นสามีเล่าว่า ความรุนแรงของไต้ฝุ่นทำให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าหาฝั่ง หอบเอาบ้านไม้ของเขาที่ตั้งอยู่ชายทะเลในเมืองซานโฆเซลอยลึกเข้าไปในแผ่นดินหลายเมตร สมาชิกทุกในคนครอบครัวต่างกระจัดพลัดพรายไปหมด

    ชุมชนที่ โจเบิร์ต อาศัยอยู่ถูกพายุพัดเสียหายยับเยิน จากหมู่บ้านชายทะเลที่สวยงามกลับกลายเป็นเพียงกองขยะที่เต็มไปด้วยซากศพมนุษย์และสัตว์เลี้ยง

    โจเบิร์ต บอกว่า คงเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทำให้เขาได้พบภรรยาลอยอยู่กลางเศษซากบ้านเรือน เมื่อน้ำเริ่มลด ทั้งสองจึงมาอาศัยอยู่ในอาคารเรียนแห่งหนึ่งร่วมกับชาวบ้านที่รอดชีวิต และมีเพียงน้ำดื่มขวดที่พบตามซากบ้านเรือนช่วยประทังชีวิตมาจนถึงวันนี้ (11)

    “ภรรยาผมเริ่มเจ็บท้องคลอดตอนตีห้า ผมต้องพาเธอเดินออกมาไกลหลายกิโลเมตร กว่าจะเจอคนขับรถบรรทุกที่ยอมรับเราขึ้นไป”

    ร้อยเอก วิกตอเรียโน ซัมบาเล แพทย์ทหารซึ่งทำคลอดให้ ซากาลิส เล่าว่า คุณแม่ยังสาวรายนี้น้ำเดินตั้งแต่มาถึงศูนย์พยาบาลใหม่ๆ และมีเลือดออกระหว่างคลอดด้วย

    “เราเพิ่งเคยทำคลอดที่นี่เป็นครั้งแรก เด็กสุขภาพแข็งแรงดี และเราก็ห้ามเลือดให้คุณแม่เรียบร้อยแล้ว”

    อย่างไรก็ตาม แพทย์เกรงว่าสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาดอาจทำให้แม่และเด็กติดเชื้อได้ง่าย และเวลานี้แพทย์เองก็แทบไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือใดๆ ที่จะช่วยเหลือ

    “คุณแม่ยังเสี่ยงที่จะติดเชื้อ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือด และน่าเสียดายที่ยาปฏิชีวนะชนิดหยอดทางปากเพิ่งจะหมดไปเมื่อวานนี้เอง” ซัมบาเล กล่าว

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a13.JPEG
      a13.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      72.7 KB
      เปิดดู:
      1,204
    • a14.JPEG
      a14.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      120.3 KB
      เปิดดู:
      1,394
    • a15.JPEG
      a15.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      146.4 KB
      เปิดดู:
      1,195
    • a16.JPEG
      a16.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      140.3 KB
      เปิดดู:
      1,241
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,646
    ค่าพลัง:
    +97,150
    War Room Falkman
    ประมาณ 1 ชั่วโมงที่แล้ว

    [​IMG]

    ดาวหาง ISON ตอนนี้มีหางสองหาง: นักดาราศาสตร์สมัครเล่นได้เห็นดาวหาง ISON ในมุมที่ดีขึ้น เพราะมันกำลัง

    จะวิ่งเช้าหาดวงอาทิตย์ในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้ เพราะความร้อนของดวงอาทิตย์ และเมื่อความร้อนเพิ่มขึ้น ดาว

    หางจะสว่างขึ้น และจะปรากฎให้ชัดขึ้นทุกๆ วัน ภาพนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน โดย Michael Jäger of

    Jauerling Austria แสดงถึงหางคู่ที่สวยงาม

    หางข้างหนึ่งคือ หางไอออน ยาวไปด้วยแก๊สไออนที่เกิดขึ้นจากการเป่าออกไปของลมสุริยะ หาง filament ไอออน

    จะชี้ไปยังฝั่งเกือบจะตรงกันข้ามกับดวงอาทิตย์

    อีกหางเป็นหางของฝุ่น Like Hansel and Gretel ที่เวลาไปยังหลงเหลือร่องรอยของหางไว้ ISON จะทิ้งรายของ

    ฝุ่นไว้เมื่อมันเคลื่อนผ่านระบบสุริยะ เทียบกับน้ำหนักโมเลกุล น้อยๆ ในหางมัน แต่หางที่เป็นฝุ่นจะน้ำหนักมากและ

    ยากกว่าที่ลมสุริยะจะเป่าผ่าน หางที่เป็นฝุ่นเหมือนกับว่าจะยังอยู่แต่จะตกลง แต่หางฝุ่นมันทำให้เราสามารถเห็น

    วงโคจรของมันและมันจะไม่ไปทิศตรงกันข้ามกับดวงอาทิตย์เหมือนกับหางที่เป็นไอออน

    ตอนนี้ดาวหางกำลังเคลื่อนตัวผ่านกลุ่มดาว Virgo ในทิศตะวันออกก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น และมันจะสว่างไหว ใน

    มาตราวัดความสว่างที่ 8 แต่ตอนนี้ยังริบหรี่ที่จะมองได้ด้วยตาเปล่า แต่จะเพิ่มขึ้นหลังจากนี้พอที่จะมองจากสนาม

    หลังบ้านได้ วันที่น่าสนใจคือ ถ้าคุณไปที่กล้องดูดาว GOTO และใส่พิกัดลงไป โดยเฉพาะวันที่ 17 และ 18 เมื่อ

    ดาวหางนี้เคลื่อนตัวผ่านดาวที่สว่างไหวชื่อดาว Spica จะเห็นภาพที่สวยงาม


    COMET ISON SPROUTS A DOUBLE TAIL: Amateur astronomers are getting a better look at Comet

    ISON as it dives toward the sun for a Nov. 28th close encounter with solar fire. As the heat rises, the

    comet brightens, revealing new details every day. This photo, taken Nov. 10th by Michael Jäger of

    Jauerling Austria, shows a beautiful double tail:

    One tail is the ion tail. It is a thin streamer of ionized gas pushed away from the comet by solar wind.

    The filamentary ion tail points almost directly away from the sun.

    The other tail is the dust tail. Like Hansel and Gretel leaving bread crumbs to mark their way through

    the forest, ISON is leaving a trail of comet dust as it moves through the solar system. Compared to

    the lightweight molecules in the ion tail, grains of comet dust are heavier and harder for solar wind

    to push around. The dust tends to stay where it is dropped. The dust tail, therefore, traces the

    comet's orbit and does not point directly away from the sun as the ion tail does.

    Comet ISON is currently moving through the constellation Virgo low in the eastern sky before dawn.

    Shining like an 8th magnitude star, it is still too dim for naked eye viewing, but an increasingly easy

    target for backyard optics. Amateur astronomers, if you have a GOTO telescope, enter these

    coordinates. Special dates of interest are Nov. 17th and 18th when the comet will pass the bright star

    Spica. Sky maps: Nov. 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18, 19.

    SpaceWeather.com -- News and information about meteor showers, solar flares, auroras, and near-Earth asteroids
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a17.JPEG
      a17.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      20.4 KB
      เปิดดู:
      1,276
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,646
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [​IMG]
    Sun exhibiting the more unusual, erratic behavior in recorded history?
    Posted on November 11, 2013 by The Extinction Protocol

    [​IMG]

    November 11, 2013 – SPACE – Something is up with the sun. Scientists say that solar activity is stranger than in a century or more, with the sun producing barely half the number of sunspots as expected and its magnetic poles oddly out of sync. The sun generates immense magnetic fields as it spins. Sunspots—often broader in diameter than Earth—mark areas of intense magnetic force that brew disruptive solar storms. These storms may abruptly lash their charged particles across millions of miles of space toward Earth, where they can short-circuit satellites, smother cellular signals or damage electrical systems. Based on historical records, astronomers say the sun this fall ought to be nearing the explosive climax of its approximate 11-year cycle of activity—the so-called solar maximum. But this peak is “a total punk,” said Jonathan Cirtain, who works at the National Aeronautics and Space Administration as project scientist for the Japanese satellite Hinode, which maps solar magnetic fields. “I would say it is the weakest in 200 years,” said David Hathaway, head of the solar physics group at NASA’s Marshall Space Flight Center in Huntsville, Ala. Researchers are puzzled. They can’t tell if the lull is temporary or the onset of a decades-long decline, which might ease global warming a bit by altering the sun’s brightness or the wavelengths of its light.

    “There is no scientist alive who has seen a solar cycle as weak as this one,” said Andrés Munoz-Jaramillo, who studies the solar-magnetic cycle at the Harvard-Smithsonian Center for Astrophysics in Cambridge, Mass. To complicate the riddle, the sun also is undergoing one of its oddest magnetic reversals on record. Normally, the sun’s magnetic north and south poles change polarity every 11 years or so. During a magnetic-field reversal, the sun’s polar magnetic fields weaken, drop to zero, and then emerge again with the opposite polarity. As far as scientists know, the magnetic shift is notable only because it signals the peak of the solar maximum, said Douglas Biesecker at NASA’s Space Environment Center. But in this cycle, the sun’s magnetic poles are out of sync, solar scientists said. The sun’s north magnetic pole reversed polarity more than a year ago, so it has the same polarity as the South Pole. “The delay between the two reversals is unusually long,” said solar physicist Karel Schrijver at the Lockheed Martin Advanced Technology Center in Palo Alto, Calif. Scientists said they are puzzled, but not concerned, by the unusual delay. They expect the sun’s South Pole to change polarity next month, based on current satellite measurements of its shifting magnetic fields. At the same time, scientists can’t explain the scarcity of sunspots. While still turbulent, the sun seems feeble compared with its peak power in previous decades. “It is not just that there are fewer sunspots, but they are less active sunspots,” Dr. Schrijver said. However, the sun isn’t idle: After months of quiescence, it unleashed vast streams of charged particles into space five times in as many days last month, and flared again last week. Even so, these outbursts exhibited a fraction of the force of previous solar maximums. -WSJ

    [​IMG]

    Book quote: “The sun’s erratic behavior in solar cycle 24 has been anomalous at best. The sun is not conforming to any previous past models. Predicting what could happen next in the near future has turned into a bit of a guessing game.” -The Extinction Protocol, page 87, 2009

    Sun exhibiting the more unusual, erratic behavior in recorded history? | The Extinction Protocol
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a20.jpg
      a20.jpg
      ขนาดไฟล์:
      437.6 KB
      เปิดดู:
      1,169
    • a21.jpg
      a21.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.5 KB
      เปิดดู:
      1,107
    • a22.jpg
      a22.jpg
      ขนาดไฟล์:
      222.8 KB
      เปิดดู:
      1,218
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,646
    ค่าพลัง:
    +97,150
    'ศาลโลก'ไม่ชี้ขาด'เขตแดน'ภูมะเขือรอด!

    'ศาลโลก'ไม่ชี้ขาด'เขตแดน'ภูมะเขือรอด!โยน'ยูเนสโก'ไกล่เกลี่ย
    มีวีดีโอในเว็บข่าวครับใครอยากชมคลิก ครับ ผมไม่กล้านำวีดีโอมาให้ชม กลัวผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ เพราะต้องไปลอกมาจาก source code ครับ http://www.komchadluek.net/detail/20131112/172532.html

    11 พ.ย.56 นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ แถลงยืนยันความพร้อมการถ่ายทอดสดศาลโลกอ่านคำตัดสินจากกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ต่อกรณีที่กัมพูชายื่นขอตีความเรื่องอาณาบริเวณรอบปราสาทพระวิหาร โดยจะถ่ายทอดสดการอ่านคำพิพากษาผ่านทางเว็บไซต์ของศาล Home | International Court of Justice สามารถรับชมภาพ และรับฟังเสียงจริงในศาล เป็นภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส พร้อมกันนั้้นกระทรวงการต่างประเทศได้จัดแปลเป็นภาษาไทยแบบสดทางโมเดิร์นไนน์ทีวี (ช่อง 9) อีกทั้ง ยังสามารถเลือกรับฟังได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (ช่อง 11) เป็นภาษาไทย

    นอกจากนี้ ยังติดตามได้ทางโซเชียลมีเดีย www.facebook.com/ThaiMFA และ www.twitter.com/mfathai และยังมีการถ่ายทอดทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 92.5 และ AM 891 เป็นภาษาไทย สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 88 เป็นภาษาอังกฤษ สถานีวิทยุ อสมท FM 100.5 และสถานีวิทยุสราญรมย์ AM 1575 เป็นภาษาไทย และยังสามารถรับฟังการอ่านคำตัดสินได้ทางเว็บไซต์ คดีตีความคำพิพากษา คดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505 และ saranrom.mfa.go.th เช่นเดียวกับผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนสามารถรับฟังผ่าน Mobile Application ของ อสมท. คือ MCOT App.

    นายเสข กล่าวต่อว่า ลำดับขั้นตอนการถ่ายทอดการอ่านคำพิจารณาคดี จะเริ่มตั้งแต่เวลา 15.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ทางช่อง 9 และ 11 จะถ่ายทอดรายการพิเศษก่อนการอ่านคำตัดสิน จากนั้นเวลา 16.00 น. ตามเวลาไทยหรือตรงกับเวลา 10.00 น. ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ศาลจะเริ่มอ่านคำตัดสิน คาดว่าใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากศาลอ่านคำตัดสินเสร็จแล้ว จากนั้นประมาณ 20 นาที นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ในฐานะตัวแทนสู้คดีฝ่ายไทย จะให้สัมภาษณ์สด หลังจากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และอีกประมาณ 40 นาที จะมีรายการพิเศษสัมภาษณ์นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก่อนที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ จะแถลงสรุปภาพรวมทั้งหมดอีกครั้ง

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเสข ได้เปิดให้คณะสื่อมวลชนเข้าชมศูนย์ข่าวที่กระทรวงการต่างประเทศจัดขึ้นเป็นการเฉพาะกิจ โดยได้พาชมห้องวอร์รูมกลาง ที่มีไว้ติดตามสถานการณ์และรับการถ่ายทอดสด ซึ่งภายในห้องมีการติดตั้งจอโปรเจกเตอร์ขนาดใหญ่ไว้ 3 จอ จากนั้นพาชมห้องล่ามแปลภาษา ที่มีล่ามแปลทั้งหมด 2 คน ห้องเทคนิคของช่อง 9 และ 11 และห้องถ่ายทอดรายการพิเศษ ที่จัดขึ้นห้องบัวแก้ว กระทรวงการต่างประเทศ

    อย่างไรก็ตาม นายเสข กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มธรรมยาตราได้ออกมาเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ชายแดน จ.ศรีสะเกษว่า เป็นสิทธิสามารถกระทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบประชาธิปไตยและกฎหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งขณะนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับกลุ่มดังกล่าวและประชาชนในพื้นที่แล้ว เพื่อยืนยันว่า จะไม่เกิดการปะทะกันในพื้นที่ชายแดนแน่นอน

    "แม้ในระหว่างนี้ อาจมีข่าวสร้างความสับสนให้ประชาชนได้ ผมขอให้ประชาชนติดตามการถ่ายทอดสดและทำความเข้าใจข้อเท็จจริงที่กระทรวงการต่างประเทศเตรียมเผยแพร่ เพื่อป้องกันการเข้าใจคลาดเคลื่อน และย้ำให้ประชาชนอย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ควรรอฟังคำตัดสิน โดยท่านวีรชัย จะแปลภาษากฎหมาย เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย” นายเสข กล่าว

    ล่าสุด เมื่อเวลา 16.00 น. ศาลโลกอ่านคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารแล้ว โดยกล่าวว่า กัมพูชาได้ยื่นคำร้อง และร้องขอให้ศาลตีความปราสาทพระวิหาร และหลังจากยื่นคำร้องแล้ว กัมพูชาได้อ้างถึงคำร้องธรรมนูญศาล และร้องขอให้มีมาตการชั่วคราว เพราะมีการล่วงล้ำของประเทศไทยเข้าสู่ดินแดนกัมพูชา โดยเมื่อวันที่ 18 ก.ค. ศาลก็มีมาตรการชั่วคราวให้แก่ทั้งสองฝ่ายในปี 2011

    โดยจะขอเริ่มต้นอ่านคำพิพาษาในวรรคที่ 14 ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในเทือกเขาดงรัก ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นพรมแดนสองประเทศคือ กัมพูชาตอนใต้ และไทยตอนเหนือ ในเดือน ก.พ.1904 กัมพูชาอยู่ใต้อารักขาของรัฐฝรั่งเศส ที่เทือกเขาดงรักเป็นไปตามสันปันน้ำ ซึ่งเป็นไปตามการประกาศของคณะกรรมการ เรื่องงานที่เสร็จสิ้่นคือ การเตรียมการและตีพิมพ์เผยแพร่แผนที่ที่ได้รับ ซึ่งภารกิจนั้นมอบให้เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศส 4 นาย ต่อมาในปี 1907 ทีมก็ได้เตรียมแผนที่ 17 ระหว่าง อินโดจีนกับไทย และมีแผนที่ขึ้นมา มีคณะกรรมการปักปันระหว่างอินโดจีนกับสยาม ทำให้พระวิหารตกอยู่ในดินแดนกัมพูชา ปี 1953 ประเทศไทยได้ยึดครองปราสาทในปี 1954 แต่การเจราจาไม่เป็นผล ปี 1959 กัมพูชาร้องต่อศาล และไทยก็คัดค้านตามมา และศาลปฏิเสธการรับฟังของไทย และมีคำพิพาทเกิดขึ้นจริง ซึ่งเทือกเขาดงรักที่เรียกว่า แผนที่ภาคผนวก 1 นั้น อยู่ในกัมพูชา โดยมีผลบังคับระหว่างรัฐประเทศตามที่กัมพูชากล่าวอ้าง แต่ในแง่การมีผลผูกพันเหตุการณ์ระหว่างสองประเทศต้องยืนยันตามสันปันน้ำ

    ศาลพูดถึงข้อปฏิบัติการในคำพิพากษา ตัดสินว่า พระวิหารอยู่ในอธิปไตยของกัมพูชา และไทยมีผลผูกพัน หรือในบริเวณข้างเคียง และมีพันธะกรณีที่ต้องนำวัตถุทั้งหลายที่ได้นำออกไปให้นำส่งคืน หลังจากมีคำพิพากษา 1962 ไทยก็ได้ถอนกำลังออกจากพระวิหาร และมีการทำรั้วลวดหนาม หลังจากที่เป็นไปตามมติครม.ของไทยในวันที่ 11 ก.ค.1962 แต่ไม่มีการตีพิมพ์เผยแพร่

    ทั้งนี้ ศาลระบุว่า กัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาหลังจากที่คำพิพกษา เป็นต้นมา ในมุมมองของไทยคือ ได้ออกจากบริเวณปราสาทและไทยได้กำหนดฝ่ายเดียวว่า เขตพระวิหารอยู่ที่ใดซึ่งตามคำพิพากษาในปี 1962 ได้กำหนดตำแหน่งเขตปราสาท ที่ไทยต้องถอนและได้จัดทำรั้ว ลวดหนาม ปราสาทไม่ได้เกินไปกว่าเส้นกำหนดตาม กัมพูชาประท้วงว่า ไทยถอนกำลังออกไปนั้นก็ได้ยอมรับว่า ปราสาทเป็นของกัมพูชาจริง แต่กัมพูชาได้ร้องว่า ไทยสร้างรั้วรุกไปในดินแดนกัมพูชาซึ่งไม่เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลและในมุมมองของกัมพูชาต้องการเสนอยูเนสโก แสดงให้เห็นว่า ทั้งสองมีข้อพิพาทในความหมายและขอบเขตในคำพิพากษาปี 1962 จริง

    ศาลได้ดูสาระข้อพิพาทเพื่อให้แน่ใจว่า เป็นไปตามขอบเขตอำนาจศาล ม.60 ตามธรรมนูญศาลหรือไม่และเห็นว่าสองฝ่ายขัดแย้งกัน ซึ่งในข้อพิพาท 1962 ที่บอกว่า คำพิพากษามีผลบังคับใช้เป็นเส้นแบ่งเขตแดนสองประเทศ การพิจารณาครั้งนี้ศาลพิจารณาในจุดยืนของฝ่ายที่แสดงออกมาคือ ตามคำขอของกัมพูชา คือ มีสถานที่และได้ต่อสู้เพื่อขึ้นทะเบียนมรดกโลกก็มีมุมมองต่างกันของขอบเขตและบริเวณ ดินแดน

    โดยข้อที่ 1 ปราสาทอยู่ในดินแดนกัมพูชา ท้ายที่สุดศาลก็ได้ดูเรื่องปัญหาที่สองฝ่ายเห็นต่างคือ พันธกรณีการถอนกำลังออกจากปราสาท ในดินแดนของกัมพูชา และให้ข้อพิพากษาเรื่องการสื่อสารการเข้าใจของสองประเทศในการนำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดกโลกและการปะทะแสดงว่า มีความเข้าใจที่แตกต่างกันจริง คำพิพากษามีความสำคัญ 3 แง่ คือ คำพิพากษาไม่ได้ตัดสินว่า มีข้อผูกพันเป็นเขตแดนระหว่างสองประเทศหรือไม่ 2.มีความสัมพันธ์กรณีความหมายและขอบเขตของวลีที่ว่า บริเวณใดเป็นของกัมพูชา และ 3.มีข้อพิพาทในกรณีให้ไทยถอนกำลัง คือ เป็นเป็นไปตามข้อปฏิบัติข้อที่สอง

    เมื่อกัมพูชาได้ร้องขอ ศาลจึงรับคำร้องขอของกัมพูชา ศาลเห็นว่ามีข้อพิพาทของทั้งสองฝ่าย ตามข้อ 60 ของธรรมนูญศาล ด้วยเหตุนี้ศาลจึงมีอำนาจรับไว้พิจารณา ศาลจึงคำนึงถึงข้อ 60 ทำให้ขอบเขตมีความชัดเจนขึ้น ด้วยเหตุนี้ศาลจึงต้องดูอยู่ภายใต้ขอบเขตเคร่งครัด ไม่สามารถหยิบเรื่องที่ได้ข้อยุติไปแล้ว ดังนั้น การพิจารณาขอบเขตและความหมายจึงยึดถือข้อปฏิบัติที่ผ่านมา ซึ่งประเทศไทยได้ต่อสู้ว่า หลักการกฎหมายห้ามไม่ให้ศาลตีความเกินการตีความในปี 1962 และได้ถูกกล่าวย้ำในข้อต่อสู้ของคู่ความ อย่างไรก็ตาม ศาลไม่สามารถตีความที่ขัดแย้งกับคำพิพากษาในปี 1962 ได้ และกัมพูชาเห็นว่า ข้อสรุปในปี 1962 ทำให้เห็นว่า ศาลได้วินิจฉัยประเด็นต่างๆ ตามข้อวินิจฉัยในปี 1962 และขณะนั้นได้ใช้ข้อ 74 เป็นข้อบังคับในขณะนั้น ซึ่งไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษา และบทสรุปเป็นเพียงบทสรุปของคำวินิจฉัย ไม่ถือเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อหลักปฏิบัติ

    ประเทศไทยยังได้กล่าวอ้างถึงพฤติกรรมของปี 1962 และเดือน ธ.ค. 2008 ที่มีเหตุการณ์ปะทุขึ้นมา คำพิพากษาไม่ถือว่า เป็นสนธิสัญญา หรือตราสารที่ผูกพันคู่ความ การตีความที่อาจจะมีผลกระทบกับพฤติกรรมต่อๆ ไป ดูได้จากสนธิสัญญา ณ กรุงเวียนนา การตีความ จะดูว่าศาลได้พิพากษาอะไร ขอบเขตและความหมายไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงไปของพฤติกรรมของคู่ความ และการตีความศาลจะไม่พิจารณาในประเด็นนั้น มีลักษณะ 3 ประการในคำพิพากษา 1962

    1.พิจารณาว่า เป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของปราสาทพระวิหาร และศาลไม่มีหน้าที่ปักปันเขตแดน ศาลจึงกลับไปดูคำพิพากษา 1962 โดยดูในคำคัดค้าน ว่า เป็นเขตอำนาจอธิปไตยมากกว่าเขตแดน ดังนั้น ข้อเรียกร้อง 1-2 ของกัมพูชาในภาคผนวก 1 ศาลจะรับเท่าที่เป็นเหตุ โดยไม่มีการกล่าวถึงภาคผนวก 1 หรือสถานที่ของเขตแดน ไม่มีการแนบแผนที่ในคำพิพากษา ประเด็นต่างๆ ที่คู่ความได้กล่าวอ้างก็มีความสำคัญในการกำหนดเขตแดน

    2.แผนที่ภาคผนวก 1 ประเด็นที่แท้จริงคือ คู่ความได้รับรองแผนที่ภาคผนวก 1 และเส้นแบ่งเขตแดน ที่เป็นผลจากคณะกรรมการปักปันเขตแดน และมีผลผูกพันหรือไม่ ศาลได้ดูพฤติกรรมของคู่ความในการเสด็จของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงนุภาพ ไปเยี่ยมชมปราสาทพระวิหารก็เหมือนการยอมรับโดยอ้อมของสยามในอธิปไตย ถือเป็นการยืนยันของประเทศไทยในเส้นแบ่งแดนภาคผนวก 1 ในปี 1908 และ 1909 ยอมรับในแผนที่ และยอมรับว่า เส้นแบ่งเขตแดนเป็นเส้นแบ่งเขตแดนที่นำไปสู่การยอมรับว่า ปราสาทพระวิหารอยู่ในกัมพูชา ทำให้แผนที่ภาคผนวกอยู่ในสนธิสัญญา จึงเห็นว่าการตีความสนธิสัญญาจึงต้องชี้ขาดว่า เขตแบ่งตามแผนที่ 1

    3.ศาลมีความชัดเจนว่า ศาลดูเฉพาะบริเวณปราสาทฯ เท่านั้น ซึ่งเป็นบริเวณที่เล็กมาก และในปี 1962 กัมพูชากล่าวว่า ขอบเขตพิพาทนั้นเล็กมาก และถ้อยแถลงอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรขัดแยังกันในปี 1962 และทันทีหลังจากมีคำพิพากษา ศาลได้อธิบายว่า ปราสาทพระวิหารอยู่ทางตะวันออกของเทือกเขาดงรัก ในทางทั่วไปถือว่า เป็นเขตแดนของทั้งสองประเทศ ศาลเห็นว่า ปราสาทอยู่ในอธิปไตยของกัมพูชา แต่ต้องกลับมาในบทปฏิบัติการ 2 และ 3 ที่เห็นว่า ผลของคำพิพากษาที่ 1 ตำรวจที่ปฏิบัติการในปราสาทพระวิหารหรือบริเวณใกล้เคียงไม่มีการพูดถึงการถอนกำลัง และไม่มีการกล่าวถึงว่า หากถอนกำลังต้องถอนไปที่ใด พูดเพียงปราสาทและบริเวณใกล้เคียง ไม่มีการกำหนดว่า เจ้าหน้าที่ใดของไทยต้องถอน พูดเพียงว่าเจ้าหน้าที่ที่เฝ้ารักษาการหรือดูแล ศาลจึงเห็นว่า จะต้องเริ่มจากดูหลักฐานที่อยู่ต่อหน้าศาล และพยานหลักฐานเดียวคือ พยานหลักฐานที่ฝ่ายไทยได้นำเสนอ ซึ่งได้มีการเยือนไปยังปราสาทในปี 1961 แต่ในการซักค้านของฝ่ายกัมพูชา พยานเชี่ยวชาญของไทยบอกว่า มีแค่ผู้เฝ้ายาม 1 คน และตำรวจ มีการตั้งแคมป์ และไม่ไกลมีบ้านพักอยู่ และทนายฝ่ายไทย กล่าวว่า สถานีตำรวจอยู่ทางใต้ของแผนที่ภาคผนวก 1

    ต่อมาปี 1962 กัมพูชาได้เสนอข้อต่อสู้ว่า จะต้องใช้เส้นสันปันน้ำในการปักปันเขตแดน แต่ศาลเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องใช้สันปันน้ำ ซึ่งฝ่ายไทยเห็นว่า สำคัญ เพราะการแบ่งเส้นต่างๆ มีความใกล้เคียงกันสันปันน้ำ การที่สถานีตำรวจตั้งใกล้สันปันน้ำ เป็นไปตามมติ ครม. เมื่อศาลสั่งให้ไทยถอนกำลัง ก็น่าจะมีความประสงค์ให้เจ้าหน้าที่ต่างๆ ตามคำเบิกความของไทย เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่า มีเจ้าหน้าที่อื่นใด จึงเห็นว่าควรยาวไปถึงสถานที่ตั้งมั่นของสถานีตำรวจ เส้นแบ่งเขตแดนตามมติ ครม. จึงไม่ถือว่า เป็นเส้นแบ่งเขตแดน ศาลจึงเห็นว่า ชัดเจนมากตามภูมิศาสตร์ ที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้มีหน้าผาที่ชัน และตะวันตกเฉียงเหนือก็เป็นที่ที่อยู่ในเทือกเขาดงรัก หุบเขาทั้งสองนี้เป็นช่องทางที่กัมพูชาสามารถเข้าถึงปราสาท ดังนั้น การทำความเข้าใจใกล้เคียงพระวิหาร ศาลจึงเห็นว่า เขตแดนกัมพูชาทางเหนือไม่เกินเส้นแบ่งเขตแดนตามภาคผนวก 1 และไม่ได้ระบุระยะที่ชัดเจน

    ศาลเห็นว่า เขตแดนกัมพูชาทางเหนือไม่เกินเส้นแบ่งภาคผนวก 1 ไม่ได้ระบุว่า เส้นทางชัดเจน แต่ชัดว่า ด่านตำรวจที่อยู่ใกล้เคียงกับแผนที่ภาคผนวก 1 ศาลพิจารณาพื้นที่จำกัดด้านตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือ ว่า ถือเป็นพื้นที่กัมพูชา ศาลไม่สามารถรับคำจำกัดความเรื่องบริเวณใกล้เคียงที่ครอบคลุมชะง่อนผาและครอบคลุมกัมพูชาไม่ถือว่าภูมะเขืออยู่ในพระวิหาร ถือว่าพระวิหารเป็นส่วนหนึ่งของจว.นี้ แต่ก็ถือว่า ภูมะเขือเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องของกัมพูชาและขณะเดียวกันเล็กกว่าจะครอบคุลมทั้งพระวิหารและภูมะเขือ และภูมะเขือไม่ได้เป็นบริเวณสำคัญที่ศาลจะพิจารณา ไม่มีหลักฐานที่จะเสนอว่า มีเจ้าหน้าที่ทหารหรือกำลังไทยในบริเวณนั้น และไม่มีการพูดว่า ภูมะเขือมีส่วนสำคัญที่ไทยต้องถอนกำลัง

    การตีความที่จะกำหนดจุดต่าง ๆ ศาลได้พิจารณาว่า ศาลไม่ได้กำหนดสันปันน้ำ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ศาลจะพิจารณา เนื่องจากศาลได้กำหนดว่า อาณาบริเวณปราสาทพระวิหารเท่านั้น

    หลังการพิจาณาสรุปว่า คำพิพากษาปี 1962 ศาลไม่ได้พิจารณาที่กว้าง ดังนั้นไม่ได้มีความตั้งใจพิจารณาว่าพื้นที่ใกล้เคียงหรือภูมะเขืออยู่ในไทย การพิจารณา ปี 1962 ตามที่มีการร้องขอในกระบวนการพิจารณาได้มีการพิจารณาในส่วนของเขาพระวิหารด้านใต้ ตะวันออกใต้ ตะวันตกเฉียงใต้ ที่มีชะง่อนหน้าผา สองฝ่ายตกลงว่า พื้นที่อันนั้นอยุู่ในกัมพูชา และตะวันออกเฉียงเหนือ มีแนวโน้มลาดชันน้อยกว่าที่เป็นสิ่งแยกเขาพระวิหารออกจาภูมะเขือ ก่อนลาดลงสู่พื้นที่ราบกัมพูชา ศาลพิจารณาว่า ภูมะเขืออยู่นอกพื้นที่ข้อพิพาท และปี 1962 ไม่ได้บอกว่า อยู่ในไทยหรือกัมพูชาชะง่อนหน้าผาพระวิหารและภูมะเขือ มีพื้นที่ที่เริ่มสูงขึ้น เป็นเส้นของแผนที่

    อย่างไรก็ตาม สองฝ่ายไม่สามารถหาทางออกแต่ฝ่ายเดียวได้ คำพิากษา 1962 ศาลพิจารณาเรื่องวัดที่เกี่ยวข้องในข้อบทปฏิบัติการข้อสามและจะทำให้เข้าใจข้อบทปฏิบัติการ ข้อพิจารณาในขณะนั้น เป็นเรื่องของอธิปไตย ศาลจึงได้ตัดสินใจในข้อปฏิบัติการที่ 1 ว่า พระวิหารอยู่ในกัมพูชา ไทยมีหน้าที่ถอนกำลังทาหร และอื่นๆ ออกไปจากพื้นที่ของกัมพูชาในแถบพระวิหารและเรื่องข้อปฏิบัติที่สามที่ครอบคลุมพื้นที่ขยายเกินขอบเขตพระวิหาร

    สำหรับอธิปไตยเหนือพื้นที่ก็จเป็นบริเวณที่อยู่ใต้อธิปไตยของกัมพูชาอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ และพื้นที่ดังกล่าว เป็นคุณลักษณะของข้อพิพาทปี 1962 เรื่องอธิปไตยที่ศาลพิจารณาคือ คาบเกี่ยวทั้งที่พูดถึงในวรรคแรกและสาม ศาลสรุปว่า พื้นที่ที่พูดถึงในวรรค 1 และ 3 ปราสาทพระวิหารอยู่ในกัมพูชาและถือว่า เป็นการอ้างถืงวรรคสองและสามและพูดถึงบริเวณพระวิหาร ที่มีการร้องขอให้พิจารณา

    "ไทยได้รับว่า ไทยมีหน้าที่ตามกฏหมายที่จะเคารพ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ที่ไทยบอกว่า เป็นพื้นที่อธิปไตยกัมพูชา สองฝ่ายต้องทำตามพันธกรณี ทั้งสองมีหน้าที่แก้ไขปัญหา ข้อพิพาทด้วยวิธีการอื่น ภายใต้การทำงานสองฝ่ายไทยกัมพูชาต้องคุยกันเอง ยูเนสโกต้องดูแลในฐานะดูแลมรดกโลก ก็สรุปว่า วรรคหนึ่งข้อบทปฏิบัติการทั้งหลาย กัมพูชามีอธิปไตยเหนือชะง่อนผาที่ต้องมีไว้ตาม 1962 ไทยต้องถอนทหารทั้งหมดออกไป ตามย่อหน้า 108 เป็นส่วนบทปฏิบัติการ ซึ่งศาลมีมติเอกฉันท์ว่า ศาลมีอำนาจรับฟังการตีความตามวันที่ 15 มิ.ย.1962 คือ กัมพูชามีอำนาจตามอธิปไตยในพระวิหาร ไทยต้องมีพันธกรณีถอนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ผู้เฝ้า"

    ...................................
    (หมายเหตุ : ภาพจากแฟ้มข่าว)
    คมชัดลึก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2013
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,646
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Piyacheep S.Vatcharobol
    5 ชั่วโมงที่แล้ว
    เดือนธันวาคมนี้แล้วนะครับ ที่ดวงอาทิตย์จะสลับขั้งเหนือใต้เสร็จสมบูรณ์ ทำให้เกิดผลกระทบต่อโลกโดยตรง เพราะนอกจากรังสีคอสมิคที่เพิ่มขึ้น(น้ำความชื้นเพิ่มขึ้น)แล้ว ปฏิกิริยาดวงอาทิตย์จะเกิดพิ่มมากขึ้นด้วย

    [​IMG]

    ปฏิกิริยาดวงอาิทตย์เกิดเพิ่มขึ้น หมายถึงพิบัติภัยเพิ่มขึ้น

    ลองนึกภาพนะครับว่า ขณะปัจจุบันนี้ ดวงอาทิตย์มีปฏิกิริยาขั้วบวก ๒ ขั้ว ขั้งลบ ๒ ขั้ว

    [​IMG]

    เมื่อดวงอาทิตย์สลับขั้วสมบูรณ์ ก็จะเหลือเพียงขั้งบวก-ลบอย่างละ ๑ ขั้วเท่าเดิม

    การเคลื่อนย้าย การรวมขั้ว มีการเคลื่อไหว มีการปลดปล่อยพลังงานมหาศาล พลังงานนั้นรุนแรงมากเพียงใดอย่างลืมอ่านโพสที่ผ่านมานะครับ X 1.1

    "When that reverses it effects us here on Earth because not only do we see more cosmic rays, but there's also more activity on the sun," Hoeksema said. "That activity comes in and it affects the Earth's magnetic field."

    Kongpop U-yen ได้แชร์ลิงก์
    http://www.mnn.com/earth-matters/space/stories/suns-magnetic-field-will-flip-soon
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Capture1.JPG
      Capture1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      11.9 KB
      เปิดดู:
      1,205
    • Capture.JPG
      Capture.JPG
      ขนาดไฟล์:
      38.9 KB
      เปิดดู:
      909
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2013
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,646
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ก้องภพ อยู่เย็น
    11 พฤศจิกายน
    วันที่ 10 พฤศจิกายน เวลา 10 UT เกิดเหตุการณ์ปะทุที่ดวงอาทิตย์ ส่งพลังงานออกมาในทิศทางที่-ตรงกับโลก- เหตุการณ์นี้ยังส่งพลังงานรังสี X-ray ในระดับสูงออกมา ในขณะที่ปริมาณจุดดับที่ผิวดวงอาทิตย์ลดลงจากก่อนหน้านี้ จากการคำนวณพบว่าพลังงานจะเดินทางมาถึงโลกในวันที่ 12 พฤศจิกายน เวลา 18:39 UT +/- 6 ชั่วโมง ท่านทีสนใจถึงผลกระทบครั้งนี้ต่อโลกโปรดติดตามได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน ครับ

    ข้อมูลเพิ่มเติมมีดังนี้

    - ภาพถ่ายมุมกว้างที่ดวงอาทิตย์ โดยโลกอยู่ทางด้านซ้ายมือของภาพ http://stereo.gsfc.nasa.gov/browse/2013/11/10/ahead_20131110_cor2_512.mpg

    - โมเดลจำลองการแพร่กระจายของคลื่นพลังงานมุมกว้าง http://www.solarham.net/archive/nov10_2013_stream.gif

    - ภาพถ่ายที่ดวงอาทิตย์ มุมมองจากโลก http://spaceweather.com/images2013/10nov13/x1_anim.gif?PHPSESSID=3nbhqlimm05jqtkhtbqbdrflk4

    - ตารางคำนวณคาดการณ์พลังงานที่จะเข้ามาตรงกับโลกในช่วงนี้ iNtegrated Space Weather Analysis System ( iSWA ) : iswax : Version 1.14.1 [MHStinger]

    - ปริมาณ X-ray ที่ตรวจวัดได้จากนอกโลกในช่วงนี้ 3-day GOES X-ray Flux Monitor

    - ปริมาณจุดดับดวงอาทิตย์ ESA Daily Sun Spot Number
    [​IMG]


    ก้องภพ อยู่เย็น ตามความเห็นผมโดยคร่าวๆแล้ว พายุสุริยะนั้น จะสามารถเหนี่ยวนำให้เกิดทั้งการแกว่งตัวของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กบนโลก โดยการแกว่งตัวของสนามไฟฟ้าเห็นตัวหลักและสนามแม่เหล็กเป็นตัวรอง ภัยธรรมชาติบนโลกจะเกิดขึ้นแบบใดนั้นจะต้องอาศัยปัจจัยบนโลกมาประกอบเสมอ โดยเฉพาะเรื่องระดับความชื้นของน้ำในชั้นบรรยากาศครับ ถ้าระดับความชื้นสูงเป็นค่าตั้งต้น ผลจะออกมาในรูปแบบของพายุฝนเป็นหลัก ถ้าความชื้นต่ำผลจะออกมาในรูปแบบของปฏิกริยาใต้ผิวโลก เช่นแผ่นดินไหว หรือภูเขาไฟระเบิดครับ

    นอกจากนั้น ยังทำให้เกิดความแปรปรวนเกี่ยวกับระบบสื่อสาร และระบบไฟฟ้าบนโลกได้ ในกรณีที่มีปฏิกริยาขนาดใหญ่ แต่จะไม่เกิดบ่อยครั้งเท่ากับภัยธรรมชาติรูปแบบอื่นๆครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Capture.JPG
      Capture.JPG
      ขนาดไฟล์:
      49.6 KB
      เปิดดู:
      910
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,646
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Piyacheep S.Vatcharobol
    5 ชั่วโมงที่แล้ว
    ต้องอพยพออกจากกรุงโตเกียว

    สรุปง่ายๆนะครับว่าหมอท่านนี้ตรวจคนไข้อยู่ในกรุงโตเกียว พบอาการผิดปกติต่างเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆทั้งในเด็กผู้ใหญ่ และได้ข้อสรุปว่าเกิดจากรังสีนิวเครียร์จากโรงไฟฟ้าฟูกุชิม่าที่กระจายมาถึงโตเกียวทั้งในอากาศและรูปแบบต่างๆ

    ยืนยันถึงปฏิบัติการพิเศษที่เริ่ม ๑ พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งวางแผนต้องเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ตุลาคมปีหน้า คือย้ายเตาปฏิกรณ์นิวเครียร์ไปสู่ ที่ ที่ปลอดภัย ซึ่งยังไม่ได้ระบุรายละเอียดต่อสาธารณะชน

    แต่โครงการเจาะสำรวจโลกส่วนที่ลึกที่สุดใต้ทะเลลงไปอีก ๑๐ กิโลเมตร หลายท่านคาดว่าน่าจะเป็นเป้าหมายในการฝั่งเตาปฏิกรณืนิวเครียร์นี้ รองจากการนำไปฝั่งที่ขั้วโลกเหนือ เพราะทั้ง ๒ กรณีสามารถใช้น้ำและความเย็นมาช่วยลดการระบายความร้อนและหน่วงการแตกตัวของนิวเครียร์ได้

    ๒ ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ ๖ เดือนที่ผ่านมานี้ แผ่นดินไหวในจุดสำคัญที่จะมีผลต่อเตาปฏิกรณ์นิวเครียร์ที่เชื่อมโยงกับการมุดตัวลงใต้น้ำของแผ่นทวีปญี่ปุ่นเกิดถี่และถือว่าเข้าขั้นวิกฤติ ทำให้ญี่ปุ่นต้องย้ายนิวเครียร์เจ้าปัญหานี้ออกไปเป็นการด่วนโดยความยินยอมพร้อมใจจากสหประชาชาติที่ไม่เป็นข่าว

    การปกปิดข้อมูลนี้ยังรวมไปถง เจ้าหน้าที่อาสาที่เข้าไปทำงานช่วยกู้โรงไฟฟ้านิวเครียร์ที่ทยอยล้มป่วยและเสียชีวิตจากการรับรังสีต่อชั่วโมงมากเกินไป ที่รัฐบาลญี่ปุ่นถือว่าเป็นวีรบุรุษของชาติ

    นอกจากนี้ ฝนอุกาบาตจะตกลงในซีกโลกเหนือมากกว่าซีกโลกใต้ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่องค์กรนิวเครียร์ระหว่างประเทศต้องเร่งหาทางแก้ปัญหาช่วยญี่ปุ่นให้ได้นะครับ

    Dr. Shigeru Mita, Mita Clinic in Tokyo: Our patients mostly come from Tokyo, Chiba, Kanagawa, Saitama, and other Northern Kanto areas. The pediatricians’ general textbook says that reference value of neutrophil [the most abundant type of white blood cells, essential part of immune system] for healthy children (6-12 years old) is [...] 4000, but it has shifted to 2500. It is lower than the threshold value of 3000. I think this points at a serious problem. [...]

    In the summer of 2011, there were many children with bloodshot eyes; and what we saw most were children with dark circles under the eyes. [...] we are seeing more cases of sinusitis accompanied with mild case of asthma continuing for longer periods. And when these children spend some time in the West, they get better. If at all possible, I would like them to move away from East Japan. [...]

    [...] radioactive substances coming from Fukushima Daiichi nuclear power plant have reached Tokyo, and huge amounts of contaminated waste is being burned here as well, I cannot deny the possibility that we are inhaling radioactive substances contained in the air. Again, let me repeat that after the nuclear accident, enormous amounts of nuclear substances were released in the environment. Therefore, if we see an increase in symptoms that are different from the ones we’ve seen before, we physicians should “first consider the effects of radioactivity.” [...]

    This is eventually what is going to happen but not before the embarrassed establishment sickens and kilss thousands. Pride is not a virtue in this case. They need to open up and tell the world how bad it really is so that they can get some help. The Japanese are some of the most prideful people in the world. They need to suck it up this time and stop the cover up. Stop the incompetance and ask for and get help or we will all pay for it. -Mort

    Japanese Physician Calls For Evacuation Of Tokyo | Alternative
     
  12. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ย้ายเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เอาไปทิ้งที่ขั้วโลกเหนือ เหอเหอ
    ชาตินี้ก็ไม่จบเรื่อง ชาวบ้านที่ไม่ใช่ชาวยุ่นจะเดือดร้อนเพราะยุ่น
    อีกเยอะมาก

    ตรูว่าย้ายคนญี่ปุ่น ทั้งประเทศไปสร้างเมืองอยู่ที่ขั้วโลกเหนือง่ายกว่า
    ย้ายเตาปฏิกรณ์พังๆรั่วๆ ใช้ทุนต่ำกว่า เสี่ยงน้อยกว่า
    ชาวบ้านเสียวน้อยกว่า

    แต่ไม่ว่าจะย้ายคน หรือย้ายเตาไป งานนี้ชาวบ้านไม่รู้อิโหน่อิเหน่
    ต้องเดือดร้อนอีกยาววววววววว!!!
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,646
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [​IMG]

    นารายณ์สี่กร

    ผมพยายามจะจดจำให้ได้ เทพศาสตราวุธหนึ่งในสี่พระกรของพระนารายณ์นั้นมีอะไรบ้าง แต่พอจะจำจากคำกลอนเก่า “อันนารายณ์นั้นมีสี่หัตถา ทรงตรีคทาจักรสังข์”

    พอไปอ่านลิลิตโองการแช่งน้ำ สมุทโฆษคำฉันท์ คำพากย์รามเกียรติ์...ตรี...หายไป กลายเป็น ธรณี ธริษตรี และธาตรี ซึ่งหมายถึง “แผ่นดิน”
    บางฉบับ...หนึ่งในสี่อาวุธหายไป เปลี่ยนเป็น “ปัทม” ดอกบัว

    ในหนังสือทิพยนิยาย จากปราสาทหิน (สำนักพิมพ์เมืองโบราณ) คุณอรุณศักดิ์ กิ่งมณี เขียนถึงพระวิษณุ หรือพระนารายณ์ว่า เป็นหนึ่งในเทพตรีมูรติผู้ยิ่งใหญ่ในศาสนาฮินดู

    พระพรหมผู้สร้างโลก พระวิษณุผู้รักษาโลก และพระศิวะผู้ทำลายโลก

    พระวิษณุมีชายาคือพระนางลักษมี เทพีแห่งโชคลาภ มีพญาครุฑเป็นพาหนะในภาวะปกติ เมื่อโลกถูกทำลาย เรียกว่าสิ้นกัลป์ พระวิษณุจะบรรทมเหนือพญาอนันตนาคราชในเกษียรสมุทร

    ปกติรูปเคารพพระวิษณุจะเป็นเทพเศียรเดียว มีสี่กร ถือเทพศาสตราวุธหลายอย่าง แต่ที่พบเสมอคือ จักร สังข์ คทา และดอกบัว

    จักรมีอีกชื่อวัชรนาถ หรือจักรสุทรรศน์ เป็นจักรที่พระเพลิงมอบให้เมื่อครั้งที่พระนารายณ์ไปช่วยให้พระเพลิงไปเสวยป่าฑณฑพตามปรารถนา
    ตำนานบางเล่มเล่าต่างออกไป วิษณุสร้างจักรขึ้นเอง จากรัศมีความร้อนของสุริยเทพ เป็นเครื่องหมายแทนดวงอาทิตย์ และวงโคจรรอบจักรวาล
    สังข์อีกชื่อ ปาญจะชันยะ เดิมเป็นเปลือกหอยสังข์หุ้มกาย ปัญจชน อสูร ต่อมาถูกพระกฤษณะ อวตารปางหนึ่งของพระวิษณุตามไปสังหาร นำเปลือกหอยอสูรมาเป็นศาสตราวุธ

    สังข์เป็นสัญลักษณ์ของน้ำ ชีวิต และความอุดมสมบูรณ์ ทั้งยังเป็นเครื่องเป่าประกาศขับไล่สิ่งชั่วร้าย

    เริ่มต้นของเหตุการณ์อันเป็นมงคล

    คทาอีกชื่อ เกาโมทก พระเพลิงมอบให้พร้อมจักรวัชรนาถ คทาบ่งบอกฐานะผู้คุ้มครอง สร้างระเบียบ ลงโทษผู้ทำความชั่วร้าย โดยเฉพาะเหล่าอสูรซึ่งเป็นศัตรูกับเทพเจ้า

    ดอกบัวคือสัญลักษณ์ของโลกและการสร้างโลก บางครั้งดอกบัว ก็จะเป็นวัตถุรูปกลมๆ ในฝ่ามือ ซึ่งก็คือภู หมายถึงแผ่นดินอันเป็นสัญลักษณ์แทนโลกได้เช่นกัน

    ตามเทวสถานฮินดู ทั้งในอินเดียและเอเชียอาคเนย์โบราณ รวมปราสาทหินในเขมร ไทย นิยมจำหลักภาพเล่าเรื่อง วิษณุอนันตศายินปัทมนาภิน หรือวิษณุบรรทมเหนืออนันตนาคราช บังเกิดดอกบัวผุดขึ้นจากพระนาภี

    คัมภีร์ฮินดูหลายเล่มกล่าวถึง “นารายณ์บรรทมสินธุ์”ว่า เกิดขึ้นเมื่อครั้งโลกถูก (พระอิศวร) ทำลายจมอยู่ใต้น้ำ บรรดาเหล่าพระพรหม และฤาษีที่อยู่ในโลกเบื้องบน ได้อ้อนวอนพระวิษณุให้สร้างโลกขึ้นมาใหม่

    พระวิษณุทำโยคะนิทรา บังเกิดดอกบัวทองดอกหนึ่งผุดขึ้นจากพระนาภี มีพระพรหมประทับอยู่บนนั้น

    และพระพรหมก็จะทำหน้าที่สร้างโลกและสรรพสิ่งต่างๆในโลกขึ้นมาอีกครั้ง

    ผมอ่านตำนานการสร้างโลกของฮินดูตอนนี้แล้ว ก็ขอเดาเอาว่า เมื่อโลกเกิดปัญหา มนุษย์ก็สร้างอาวุธใส่มือพระวิษณุ ยุคหนึ่งมีปัญหาหนึ่ง ก็ใส่อาวุธเพื่อใช้แก้ปัญหาหนึ่ง สมัยต่อมาปัญหาเปลี่ยนไป อาวุธก็เปลี่ยนตาม

    หลายบ้านเมืองในโลกวันนี้ มีปัญหาสารพัด พระวิษณุท่านคงเหนื่อยกับการใช้สี่เทพศาสตรา...เข้าจัดการปัญหา ใช้ตรี คทา จักร แล้ว เมื่อจัดการเรียบร้อยท่านก็คงประกาศชัยชนะด้วยการเป่าสังข์

    บ้านเมืองของเราทะเลาะกัน ทำสงครามเข่นฆ่ากันมานาน...หาวิธีปรองดองไม่ได้สักที จึงดูจะมีคนบางพวกบางเหล่า...เรียกร้องให้พระวิษณุเสด็จออกมาเป่าสังข์ ดูเหมือนพวกเราจะลืมเลือนกันไปเสียนาน...เสียงสังข์เป็นอย่างไร

    ทุกเรื่องราวไม่ว่าดีหรือร้าย การสร้างโลก การคุ้มครองโลก การทำลายโลก ที่ยกให้เป็นเรื่องขององค์เทพทั้งหลาย ที่จริง...เกิดจากมนุษย์
    มนุษย์ที่มีอำนาจ ก็คือองค์เทพ จะชี้ให้ใครเป็นหรือชี้ให้ใครตาย...ชี้ได้ทั้งนั้น.


    กิเลน ประลองเชิง

    นารายณ์สี่กร - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • narai.jpg
      narai.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.3 KB
      เปิดดู:
      1,065
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,646
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ก๊าซซีโอทูผู้ร้ายก่อเหตุแผ่นดินไหว
    เวิลด์วาไรตี้ : ก๊าซซีโอทูผู้ร้ายก่อเหตุแผ่นดินไหว

    [​IMG]

    อากาศเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ และเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ต้องใช้ก๊าซชนิดต่างๆที่ผสมปนเปอยู่ในอากาศเป็นเครื่องดำรงชีวิต เช่นมนุษย์ใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานในเซลล์ แม้แต่แบคทีเรียก็ยังใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญอาหาร แม้ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กบางชนิดเช่น แบคทีเรียที่อยู่ใต้ดินหรือใกล้ปล่องภูเขาไฟจะใช้ก๊าซชนิดอื่นอย่าง ซัลเฟอร์ไดออกไซด์เป็นแหล่งพลังงาน แทนที่จะใช้ออกซิเจน ก็เป็นเพราะว่าสภาพการดำรงชีวิตที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง

    เมื่อสิ่งมีชีวิตเผาผลาญอาหารด้วยออกซิเจน ก็จะเกิดคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ซึ่งคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ ซีโอทู นี้มักจะถูกมองว่าเป็นก๊าซพิษ ไม่พึงประสงค์ จึงมีความพยายามในการนำไปใช้ในที่ที่ห่างไกลจากสิ่งมีชีวิต เช่นการทำน้ำแข็งแห้ง และใช้อุดบ่อน้ำมันที่ถูกสูบไปจนแห้งแล้วในรัฐเท็กซัส

    แต่การขุดเจาะน้ำมันก็คือการทำให้สมดุลธรรมชาติทางกายภาพเสียไป เพราะเป็นการนำของเหลวที่อยู่ใต้ดินออกมาจากโพรงที่อยู่ใต้ดิน ดังนั้นการอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นก๊าซเข้าไปในโพรงนั้น อาจจะทำให้โครงสร้างใต้ดินเกิดพังถล่มลงมาจนเกิดเป็นแผ่นดินไหวให้สัมผัสได้เช่นเดียวกัน

    ซึ่งความคิดดังกล่าวได้รับการยืนยันจากผลการวิจัยของนายเหว่ย กัง นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยธรณีวิทยาจีน ในกรุงปักกิ่งและนายคลิฟฟ์ ฟรอลิช นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส ในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ที่นำเอาข้อมูลการเกิดแผ่นดินไหวในบริเวณรัฐเท็กซัสจากสถานีตรวจวัดชั่วคราว 6 แห่งมาประมวลหาสาเหตุของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในรัฐที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้

    โดยการวิจัยเก็บข้อมูลการเกิดแผ่นดินไหว 93 ครั้งระหว่างเดือนมีนาคม 2552 ถึงเดือนธันวาคม 2553 ที่ชี้สาเหตุได้ว่าแผ่นดินไหวดังกล่าวมีสาเหตุเชื่อมโยงไปถึงการอัดก๊าซซีโอทูลงในบ่อน้ำมันคอกเดลล์ ใกล้เมืองสไนเดอร์ รัฐเท็กซัส ในรายงานฉบับดังกล่าวยืนยันว่าการอัดก๊าซซีโอทูลงในบ่อน้ำมันที่แห้งแล้วเป็นสาเหตุให้เกิดแผ่นดินไหวระดับ 3 ริกเตอร์ขึ้นไป

    ก่อนหน้านี้ก็มีรายงานการเกิดแผ่นดินไหวที่มีสาเหตุจากการอัดน้ำลงไปทดแทนน้ำมันในบ่อน้ำมันที่แห้งแล้วในช่วงปี 2518-2525 แต่เงื่อนไขในการเกิดแผ่นดินไหวจากกระบวนการอัดน้ำกับก๊าซซีโอทูลงไปในบ่อน้ำมันในช่วงทศวรรษ 2543 นั้นแตกต่างกัน

    ซึ่งหากบ่อน้ำมันที่ถูกอัดก๊าซซีโอทูลงไปนั้นเป็นสาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหว ชาวเท็กซัสก็เสี่ยงที่จะเผชิญกับแผ่นดินไหวระดับต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกมาก เพราะเพียงบริษัท ออกซิเดนทัล ปิโตรเลียม ผู้ขุดเจาะน้ำมันเพียงบริษัทเดียวและใช้เทคนิคนี้ ระบุว่าบริษัทใช้เทคนิคอัดก๊าซซีโอทูลงไปในบ่อน้ำมันในช่วงที่บ่อน้ำมันใกล้แห้งเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำมันดิบให้ไหลออกมามากขึ้นถึง 60% ของบ่อน้ำมันทั้งหมดที่บริษัทขุดเจาะ และแหล่งน้ำมันคอกเดลล์ เป็น 1 ใน 7,000 แหล่งน้ำมันบนที่ราบเพอร์เมียน ในเขตเวสต์เท็กซัสเท่านั้น ... ดีไม่ดีอาจเกิดเหตุธรณีสูบจากผลงานของมนุษย์ขึ้นสักวัน

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      63.6 KB
      เปิดดู:
      818
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,646
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เหยื่อโดรน..วันฟ้าใสไม่สวยงามอีกต่อไป : คอลัมน์เปิดโลกวันอาทิตย์

    [​IMG]

    กระแสกดดันให้สหรัฐอเมริกาเพิ่มความโปร่งใสและสำนึกรับผิดชอบกับการบาดเจ็บล้มตายของชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่จากการส่งอากาศยานบังคับระยะไกลไร้พลขับ (โดรน) ไปสังหารผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายข้ามโลก เพิ่มขึ้นทุกขณะ แม้ประธานาธิบดีบารัก โอบามา สัญญาไว้เมื่อพฤษภาคมว่า จะเพิ่มความโปร่งใสของการใช้ปฏิบัติการนี้ให้มากขึ้น แต่จนถึงปัจจุบันยังเป็นคำสัญญาที่ว่างเปล่า

    โดรน เป็นอาวุธหลักที่สหรัฐใช้ในสงครามต่อต้านก่อการร้าย ในยุคของประธานาธิบดีโอบามา โดยอ้างว่า เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพและแม่นยำในการสกัดกั้นภัยคุกคาม ขณะที่กระแสต่อต้านในประเทศมีไม่มากนัก หากเชื่อตามโพลล์พบว่า ชาวอเมริกันเห็นด้วยหรือไม่ก็อาจเชื่อตามที่รัฐบอก เพราะไม่ต้องเปิดสงครามใหญ่ที่พวกเขาเอือมระอา และไม่ต้องส่งทหารไปตาย

    แต่ชาวอเมริกันส่วนที่ไม่ได้สนใจข่าวโลกอาจพลาดไปว่า ปฏิบัติการนี้คร่าชีวิตชาวบ้านผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ทั้งยังทำให้ชีวิตของเพื่อนร่วมโลกอีกมากต้องเปลี่ยนไปอย่างคาดไม่ถึง ตราบใดที่ยังมีเพชฌฆาตนามว่าโดรนบินวนเวียนอยู่บนท้องฟ้า ดังคำบอกเล่าสุดสะเทือนใจจากครอบครัวของครูปากีสถานคนหนึ่ง จนทำให้ล่ามสะอื้นไห้ระหว่างแปลภาษาอูรดูร์ ให้นักการเมืองสหรัฐจำนวนหนึ่งได้รับฟัง ที่แคปปิตอล ฮิลล์ หรือรัฐสภาสหรัฐ เมื่อวันอังคารที่ 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของการได้รับฟังจากปากพลเรือนที่เป็นเหยื่อโดรน

    นายอลัน เกรย์สัน ส.ส.เดโมแครต จากรัฐฟลอริดา ที่ต่อต้านสงครามอิรักและอัฟกานิสถาน ได้เชิญ ราฟิค อูร์ เรห์มาน ครูโรงเรียนประถมในหมู่บ้านห่างไกล ในจ.วาซีริสถานเหนือ ใกล้ชายแดนอัฟกานิสถาน ที่สูญเสียมารดา นางมัมมานา บีบี วัย 67 ปี จากการโจมตีของโดรนในสวนใกล้บ้าน ในเช้าวันฟ้าใส 24 ตุลาคม 2555 พร้อมด้วยลูกชาย ซูบาอีร์ ขณะนี้อายุ 13 ปี กับลูกสาว นาบิลา วัย 9 ขวบ ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์วันนั้น มาบอกเล่าเรื่องราวที่สภา โดยการประสานของกลุ่มสิทธิมนุษยชน รีพรีพ (Reprieve) ในอังกฤษ และนายโรเบิร์ต กรีนวอล์ด จากมูลนิธินิว เบรฟ ซึ่งเป็นผู้กำกับเรื่อง Unmanned: Americas Drone Wars สารคดีว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวนายเรห์มาน

    เรห์มาน กล่าวผ่านล่ามว่า หลังจากสูญเสียมารดา ได้พยายามหาคำตอบว่า ทำไมมารดาของเขาจึงเป็นเป้าโจมตี สื่อบางแห่งรายงานว่า เป็นการโจมตีรถยนต์ แต่แถวบ้านผมไม่มีถนน บางสื่อรายงานว่า เป็นการโจมตีบ้านหลังหนึ่ง แต่ขีปนาวุธตกลงในทุ่งหญ้าใกล้ๆ ไม่ใช่บ้าน และสื่อทุกแห่งรายงานว่า มีสมาชิกกลุ่มหัวรุนแรง 3-5 รายถูกสังหาร

    แต่ความจริงคือ คนเดียวที่ถูกสังหารวันนั้น คือมารดาของเขา

    เรห์มาน กล่าวว่า มารดาคือสายใยที่ยึดโยงครอบครัว (เขาใช้สำนวนภาษาอูร์ดู ที่เปรียบมารดาคือ เชือกร้อยไข่มุกไว้) นับจากขาดสายใยเส้นนั้น ชีวิตของพวกเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกคนรู้สึกโหวงเหวง หลงทางและหวาดกลัว การมีอยู่ของโดรนยังทำให้ญาติพี่น้องเหมือนตัดขาดครอบครัวไปโดยปริยาย ลูกของเขาไม่ได้พบกับลูกพี่ลูกน้อง ไม่มีใครกล้าไปมาหาสู่อีกต่อไป เพราะกลัวว่าจะถูกโดรนสังหารไปด้วย

    ในรายงานขององค์การนิรโทษกรรมสากลที่ออกมาหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ระบุว่า นางบิบี เป็น 1 ในพลเรือน 900 คนที่เสียชีวิตจากการโจมตีของโดรนในปากีสถาน และการใช้โดรนของสหรัฐอาจเข้าข่ายเป็นอาชญากรรมสงครามในบางกรณี (แต่กระทรวงกลาโหมปากีสถานให้ตัวเลขในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า นับจากปี 2551 โดรนสหรัฐโจมตี 317 ครั้ง สังหารกลุ่มหัวรุนแรงกว่า 2,160 ราย กับพลเรือน 67 คน และบอกด้วยว่าปีที่แล้วกับปีนี้ไม่มีพลเรือนเสียชีวิต)

    คำบอกเล่าที่สะเทือนใจสุดมาจาก ซูบาอีร์ ลูกชายของเรห์มาน ซึ่งขณะนั้นอายุ 12 ปี

    เด็กชายเห็นย่าเสียชีวิตในวันที่ควรเป็นวันฉลองเทศกาลอีดิลฟิตรี วันที่น่าจะมีแต่ความสุขสนุกสนาน หลังสิ้นสุดเดือนรอมฎอน

    ซูบาอีร์ เล่าว่า "วันนั้นเป็นวันฟ้าสดใส ย่าและพวกเราชอบสีท้องฟ้าแบบนี้มาก ขณะช่วยย่าในสวนผักอยู่นั้น เห็นและได้ยินเสียงโดรนบินเหนือศีรษะ แต่ก็ไม่ได้กังวล เพราะพวกเราไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ทันใดนั้น โดรนยิงขีปนาวุธลงมา พื้นดินสะเทือน ควันสีดำลอยฟุ้ง กลิ่นฉุนมาก พวกเราวิ่งหนี หลายนาทีจากนั้น โดรนยิงลงมาอีก จากนั้นคนในหมู่บ้านวิ่งออกมาช่วยเหลือและพาพวกเราไปโรงพยาบาล พวกเราทรมานทั้งคืนที่โรงพยาบาล และเข้ารับการผ่าตัดในเช้ารุ่งขึ้น นั่นคือการฉลองเทศกาลอีดิลฟิตรีของเรา"

    หลานชายกล่าวอย่างเศร้าสร้อยว่า "ย่าของผม ไม่เคยเป็นศัตรูของใคร ย่าใจดีและช่วยเหลือคน ช่วยทำคลอดให้แม่หลายคนในหมู่บ้าน ทุกเย็นจะบอกให้เด็กๆ ไปรวมตัวกันและเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ ชีวิตของย่า เรื่องเก่าๆ ของครอบครัว เรื่องในหมู่บ้าน ย่ามีเรื่องเล่ามากมายจนผมเลือกเรื่องโปรดไม่ถูกเลย ผมคิดถึงเรื่องเล่าเหล่านั้น"

    "เวลานี้ ผมอยากให้ฟ้าครึ้มมัวมากกว่า เพราะโดรนจะไม่บิน เมื่อใดที่ฟ้าใสเป็นสีฟ้า โดรนจะกลับมาพร้อมกับความหวาดผวา เด็กๆ ไม่เล่นกันบ่อยเหมือนก่อนแล้ว และไม่ไปโรงเรียน พวกเราเรียนหนังสือไม่ได้ตราบใดที่โดรนยังบินมาอยู่แบบนี้"

    การผ่าตัดเอาสะเก็ดระเบิดออกจากขาของซูบาอีร์ใช้เงินสูงมาก เขาจึงถูกส่งตัวกลับไปบ้านก่อน รอจนพ่อรวบรวมเงินได้มากพอ ซึ่งผ่านไปเป็นเดือน

    เรห์มาน ผู้เป็นพ่อ กล่าวว่า แม้ว่ารัฐบาลปากีสถานยอมรับและยืนยันต่อมาว่า มีการโจมตีจริง แต่รัฐบาลบอกว่าไม่ใช่ความรับผิดชอบและเขาไม่เคยได้รับความช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลลูก สรุปง่ายๆ ไม่มีใครสนใจ ก่อนปิดท้ายด้วยการวิงวอนสหรัฐและชาวอเมริกันปฏิบัติต่อพวกเขาแบบเท่าเทียม "ขอให้รัฐบาลของพวกท่านปฏิบัติต่อพวกเราชาวปากีสถานเป็นมนุษย์ที่มีสิทธิพื้นฐานคนหนึ่งดังที่ท่านปฏิบัติต่อพลเมืองของตนเอง การสังหารอย่างไม่เลือกหน้าจะต้องยุติ และจะต้องคืนความยุติธรรมแก่ผู้ได้รับผลกระทบ"

    เมื่อถูกถามว่า อยากบอกอะไรกับประธานาธิบดีโอบามา พ่อลูกสองกล่าวว่า หากมีโอกาสได้พบก็อยากจะบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาและครอบครัว เป็นเรื่องผิด อยากขอให้ท่านได้หาหนทางยุติอย่างสันติ เชื่อว่ารัฐบาลอเมริกันและปากีสถานน่าจะทำงานร่วมกันเพื่อสันติภาพได้

    มารดาของเขาไม่ใช่เหยื่อผู้บริสุทธิ์รายแรกที่ถูกโดรนสังหาร เท่าที่ทราบมีอีกหลายสิบคนที่เป็นชนเผ่าธรรมดาเหมือนกับเขา ที่ถูกฆ่าตาย และหลายครอบครัวในชุมชนของเขาและพื้นที่โดยรอบ ล้วนสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก มีทั้งเด็กและผู้หญิงในรอบหลายปีมานี้ "พวกเขาทุกข์ทรมานเช่นกัน ผมอยากให้พวกเขาได้มีโอกาสมาบอกเล่าเรื่องราวให้พวกท่านฟังเหมือนกับผม จนกว่าจะถึงวันนั้น ผมถือโอกาสนี้พูดในนามของคนเหล่านั้นว่า โดรนไม่ใช่คำตอบ"

    ........................
    (เหยื่อโดรน..วันฟ้าใสไม่สวยงามอีกต่อไป : คอลัมน์เปิดโลกวันอาทิตย์ : โดย...อุไรวรรณ นอร์มา )

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      52.2 KB
      เปิดดู:
      779
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,646
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เวิลด์วาไรตี้ : ชัยชนะของนักสิ่งแวดล้อมในเวนิส

    ข้างหลังภาพเรือสำราญยักษ์ลอยลำผ่านอาคารบ้านเรือนจากยุคไบแซนไทน์และคูคลองในเมืองเวนิสอันสวยงาม คือการต่อสู้ระหว่างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่แข่งกันดูดเงินจากกระเป๋านักท่องเที่ยว กับชาวเมืองเวเนซียนและนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่พยายามรักษาเมืองแห่งสายน้ำแห่งนี้ไว้อย่างยั่งยืนมานานหลายปี ท่ามกลางการจราจรทางน้ำที่คับคั่งขึ้นเรื่อยๆ

    ฝ่ายล็อบบี้ด้านการท่องเที่ยวทรงอิทธิพล ย้ำว่าการอนุญาตให้เรือสำราญพานักท่องเที่ยวราว 2 ล้านคนไปยังเวนิสต่อปี ช่วยสร้างงานหลายหมื่นตำแหน่ง นำรายได้หลายล้านเข้าประเทศ ขณะฝ่ายอนุรักษ์ก็พยายามชี้ให้เห็นผลกระทบจากเรือใหญ่ต่อเมืองแห่งสายน้ำอันเปราะบาง คุณภาพน้ำ ควันเสีย และนำบรรยากาศแบบลาสเวกัสเข้าไปยังเมืองแห่งศิลปะและสถาปัตยกรรมงดงามไม่แพ้ใครในโลก

    ในยามเศรษฐกิจตกสะเก็ด ฝ่ายหาเงินน่าจะเสียงดังกว่าเก่า แต่ดูเหมือนฝ่ายหลังจะพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก เมื่อรัฐบาลอิตาลีเห็นพ้องกับทางการท้องถิ่นว่าจะเริ่มจำกัดจำนวนเรือขนาดใหญ่ภายในปีหน้า โดยตั้งแต่เดือนมกราคม 2557 เรือขนาดระวางขับน้ำกว่า 4 หมื่นตัน จะได้รับอนุญาตให้ผ่านคลองกุยเดคคา เข้าไปยังหน้าจตุรัสเซนต์มาร์ค จะลดเหลือ 20% ส่วนเรือขนาด 9.6 หมื่นตัน จะไม่ได้รับอนุญาตเลยภายในพฤศจิกายนปีหน้า เรือสำราญเหล่านี้บางลำบรรทุกผู้โดยสารถึง 5,000 คน และบางสูงถึง 13 ชั้น โดยระหว่างนี้รัฐบาลกำลังขุดคลองใหม่เพื่อเข้าถึงจุดชมวิวหลักได้อีกทางหนึ่ง

    ปัจจุบัน เรือสำราญสามารถลอยลำเข้าไปอยู่ในระยะเพียง 300 เมตรจากจตุรัสเซนต์มาร์ค กลางเมือง เพื่อให้คนบนเรือได้ชื่นชมภูมิทัศน์อันน่าตื่นตะลึง

    อย่างไรก็ดี ชัยชนะที่ฝ่ายอนุรักษ์ได้มาในวันนี้ มาจากอาการหวาดผวาของคนทั้งประเทศมากกว่าเรื่องของการอนุรักษ์ หลังจากโศกนาฏกรรมเรือสำราญ คอสตา คองคอร์เดีย อับปางนอกเกาะกิกลิโอ เมื่อปีที่แล้ว ทำให้มีผู้เสียชีวิต 32 คน ฉายภาพว่าการให้เรือใหญ่เข้าใกล้ชายฝั่งอันตรายขนาดไหน

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,646
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พิษไห่เยี่ยน'ปินส์'เสี่ยงโรคระบาด!

    [​IMG]

    'ฟิลิปปินส์' เสี่ยงผู้ประสบภัยจากพายุ 'ไห่เยี่ยน' เสียชีวิตระลอกสองจากโรคระบาด

    12 พ.ย. 56 หายนะจากภัยพิบัติพายุไห่เยี่ยนพัดถล่มฟิลิปปินส์ อาจทำให้ประเทศเผชิญวิกฤตการแพทย์ และการสูญเสียชีวิตประชาชนระลอกสองจากโรคระบาด และประธานาธิบดี ประกาศภาวะภัยพิบัติแห่งชาติ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างเร่งด่วน

    หน่วยกาชาดสั่งเตรียมถุงบรรจุศพมากถึง 10,000 ใบ เพื่อรองรับจำนวนผู้เสียชีวิตที่อาจสูงถึงหมื่นคนอย่างที่วิตก แม้ว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตที่่ยืนยันอย่างเป็นทางการยังอยู่ที่ราว 1,000 คน ในขณะที่หน่วยกู้ภัยสามารถกู้ศพผู้เคราะห์ร้ายเพิ่มขึ้น ซึ่งหน่วยกู้ภัยวิตกว่ากำลังเสี่ยงเกิดการเสียชีวิตระลอกสองในพื้นที่ประสบภัย เนื่องจากขาดแคลนอาหารและน้ำดื่ม ตลอดจนแหล่งน้ำสะอาดถูกปนเปื้อน และระบบสุขอนามัยใช้การไม่ได้ ทำให้วิตกว่าจะเกิดโรคระบาด และการติดเชื้อต่างๆ อีกทั้งยังมีจำนวนผู้บาดเจ็บอีกจำนวนมาก และกลุ่มแพทย์ไร้พรมแดนบอกว่า สิ่งสำคัญอันดับแรกของการฟื้นฟู คือ ควบคุมอัตราการติดเชื้อของโรคติดต่อให้น้อย และให้วัคซีนป้องกันแก่ประชาชน

    ด้านประธานาธิบดีเบนิกโน อาคิโน่ ประกาศภาวะภัยพิบัติแห่งชาติ เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลสามารถนำงบประมาณฉุกเฉินออกมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว ให้อำนาจกองทัพในการรักษาความสงบเรียบร้อย และให้ภาครัฐสามารถควบคุมราคาสินค้าไม่ให้พุ่งทะยานขึ้นสูงในช่วงที่ประเทศประสบความเสียหายครั้งใหญ่จากพายุไห่เยียนที่พัดถล่มเมื่อวันศุกร์

    ขณะที่ทางการเองเร่งส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ให้ครอบคุลมมากที่สุด เพื่อช่วยเหลือประชากรกว่า 9 ล้านคน ใน 41 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบ และอีกหลายแสนคนที่ไร้ที่อยู่อาศัย เพราะพายุ และสตอร์ม เซิร์จ พัดถล่มบ้านเรือนพังราบเป็นหน้ากลอง ทำลายถนนหนทาง และสนามบิน ทำให้ความช่วยเหลือเข้าไปได้ค่อนข้างช้ากว่าที่ควรจะเป็น อาหารและน้ำดื่มยังคงขาดแคลนอย่างหนักในหลายจุด ทำให้เกิดการปล้นสะดมขึ้น และบางคนต้องไปขุดคุ้ยหาเศษอาหารเพื่อประทังชีวิต นอกจากนี้ชาวบ้านในบางพื้นที่เขียนข้อความขนาดใหญ่บนถนนเพื่อเรียกร้องขอความช่วยเหลือ เพื่อหวังให้เครื่่องบินลำเลียงสิ่งของบรรเทาทุกข์ได้มองเห็น

    จนถึงขณะนี้มีอย่างน้อย 22 ชาติประกาศให้ความช่วยเหลือแก่ฟิลิปปินส์แล้ว เช่น กองทัพสหรัฐส่งเสบียงเข้าไปแล้วส่วนหนึ่ง ส่วนโครงการอาหารโลก หรือ WFP ก็เร่งส่งอาหาร โดยเน้นไปที่ขนมปังให้พลังงานสูงราว 44 ตัน และของใช้จำเป็นเข้าไปในพื้นที่เมืองตาโคลบันที่ได้รับความเสียหายหนักที่สุด

    ตั้งด่านตรวจ-ประกาศเคอร์ฟิว ยับยั้งการปล้นสะดม

    รัฐบาลฟิลิปปินส์ ระบุว่า ได้ส่งยานยนต์หุ้มเกราะหลายคัน รวมถึงตั้งด่านตรวจและประกาศเคอร์ฟิว เพื่อยับยั้งการปล้นสะดมในเมืองตาโคลบัน ที่เผชิญหายนะอย่างหนักจากซูเปอร์ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน

    เมืองตาโคลบัน ตั้งอยู่ใจกลางเกาะเลย์เต ได้ประสบภัยพิบัติจากพายุไต้ฝุ่นไห่เหยียน ที่มีความรุนแรงระดับ 5 ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 10,000 คน จากรายงานของสหประชาชาติ ระบุว่า เมืองทาโคลบัน ที่มีประชากรอาศัยอยู่ 220,000 คน ต้องเผชิญกับการปล้นสะดมที่เลวร้ายที่สุด จากการที่ผู้รอดชีวิตจำนวนมาก ต้องการอาหารและเวชภัณฑ์จนต้องออกไปปล้นสะดมและรื้อค้นขบวนรถบรรทุกและเป็นอุปสรรคต่อความพยายามบรรเทาทุกข์

    ผู้รอดชีวิต รายงานว่า มีแก๊งหลายแก๊งออกอาละวาดขโมยสินค้าประเภทเครื่องใช้ในครัวเรือน เช่น โทรทัศน์ และเครื่องซักผ้าจากธุรกิจขนาดย่อม // นายมาร์ โรซาส รัฐมนตรีมหาดไทย ระบุว่า ได้ส่งยานยนต์หุ้มเกราะซิมบา ไประงับเหตุการปล้นสะดม และช่วยฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย หลังจากส่งทหารและตำรวจหลายร้อยนายเข้าไปก่อนหน้านี้

    นายโรซาส ยังบอกผ่านสถานีวิทยุ DZMM ด้วยว่า การส่งยานยนต์หุ้มเกราะ ซิมบ้า เข้าไปยังพื้นที่ประสบภัย ก็เพื่อแสดงให้ผู้คนได้เห็น โดยเฉพาะพวกที่ไม่ประสงค์ดี ที่จะได้รู้ว่า ทางการได้กลับเข้าควบคุมความสงบเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ยังมีการตั้งด่านตรวจ เพื่อป้องกันไม่ให้ฝูงชนไปรุมล้อมรถบรรทุกที่ขนส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ด้วย

    ซูเปอร์ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในพายุที่รุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ได้ทำให้อาคารบ้านเรือนพังราบ ไฟฟ้าดับและท่อประปาแตก จากคลื่นที่สูงราวกับสึนามิและลมกระโชกแรง ทำให้ผู้รอดชีวิตไม่เหลืออะไรติดตัวเลย ความหิวโหยทำให้พวกเขาออกปล้น เช่น ชายคนหนึ่งใช้มีดขนาดใหญ่ปล้นเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ที่มีแต่เวชภัณฑ์

    การมีตำรวจและทหารเข้าไปประจำการ อาจช่วยปรับปรุงสถานการณ์ให้ดีขึ้น ขณะที่รัฐบาล ได้ประกาศเคอร์ฟิวในเมืองตาโคลบัน ตั้งแต่เวลา 22.00 น. จนถึง 06.00 น. ตามเวลาในท้องถิ่น แต่ทางการได้มีข้อยกเว้นสำหรับคนที่ไม่สามารถกลับไปบ้านได้ในระหว่างเคอร์ฟิว เนื่องจากบ้านพวกเขาถูกพัดหายไป แต่จะได้ผลสำรวจพวกแก๊งที่ออกอาละวาดยามวิกาลเพื่อปล้นสะดม


    ภัยพิบัติจาก 'ไห่เยี่ยน' บดบังเวทีประชุมโลกร้อน

    การประชุมภาคีกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ หรือ COP ครั้งที่ 19 เริ่มเปิดฉากขึ้นที่กรุงวอร์ซอของโปแลนด์เมื่อวาน โดยมีตัวแทนจากเกือบ 200 ประเทศเข้าร่วมประชุม และร่วมสงบนิ่งไว้อาลัย 3 นาทีแก่ผู้เสียชีวิตในภัยพิบัติพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนพัดถล่มในฟิลิปปินส์ ที่คาดว่าอาจมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 10,000 คน

    นายแยป ซาโน ผู้แทนของฟิลิปปินส์ กล่าวต่อที่ประชุมทั้งน้ำตา โดยบอกว่า เรายังไม่อาจทราบชัดเจนถึงขนาดความเสียหาย แต่เบื้องต้นประเมินว่าจะสร้างหายนะครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน ไม่อาจคิด และน่าสะพึงกลัว และพายุได้สร้างความเสียหายแก่เมืองบ้านเกิดของครอบครัวเขาด้วย

    นอกจากนี้เขาบอกด้วยว่า เขากำลังรอฟังข่าวเกี่ยวกับชะตากรรมของญาติๆ ในครอบครัว แต่สิ่งที่ทำให้เขามีกำลังใจเข้มแข็งขึ้น และรู้สึกโล่งอกขึ้น เมื่อพี่ชายติดต่อมาว่าเขารอดชีวิต และเขาจะร่วมอดอาหารตลอดการประชุมนานสองสัปดาห์ที่นี่ เพื่อร่วมเป็นกำลังใจให้กับพี่ชายที่ไม่ได้รับประทานอะไรเลยช่วงหลายวันนับจากพายุพัดถล่ม และเขาจะไม่ทานอาหารจนกว่าจะเห็นความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก

    นอกจากนี้เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีหลังการแถลงนาน 10 นาทีในที่ประชุมด้วยว่า แม้เป็นเรื่องยากที่จะกล่าวโทษว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติแต่ละครั้งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก รวมถึงกรณีของพายุไห่เยี่ยนด้วย แต่ฟิลิปปินส์ก็ไม่อาจยอมรับได้ว่าในอนาคตจะเกิดพายุระดับซูเปอร์ไต้ฝุ่นอีกจนเป็นเรื่องปกติ

    ส่วนประเด็นสำคัญของการประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่เชื่อว่าเป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก และที่ประชุมกำลังพยายามร่างสนธิสัญญาลดปล่อยการก๊าซเรือนกระจกเพื่อให้บรรลุข้อตกลงได้ภายในปี 2558 แต่คาดว่าจะยังไม่สามารถได้ข้อสรุปที่เป็นการตัดสินใจประเด็นสำคัญ


    ----------------------------
    (หมายเหตุ : ที่มาภาพ : AFP)

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      91.6 KB
      เปิดดู:
      838
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,646
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อมตะสุนทรพจน์ วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

    เอกอัครราชทูต วิญญู แจ่มขำ

    “……-and that government of the people,
    by the people, for the people, shall not
    perish from the earth.”

    วันอังคารที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖ (ค.ศ. ๒๐๑๓) นี้ เป็นวันครบรอบ ๑๕๐ ปี ที่บุรุษนามอุโฆษท่านหนึ่งได้กล่าวคำสดุดีทหารรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกาหรือเรียกกันในสมัยนั้นว่าสหภาพ (รัฐภาคเหนือ ๒๕ รัฐ) ซึ่งเสียชีวิตจากการรบต้านทหารของรัฐภาคใต้ ๑๑ รัฐที่ประกาศแยกตัวออกไปตั้งสมาพันธรัฐ-อเมริกา ที่สมรภูมิเมืองเก๊ทที้สเบอร์ก (Gettysburg) เมืองเล็ก ๆ ทางทิศใต้ ของมลรัฐเพ็นน์ซิลเวเนีย (Pennsylvania) ปัจจุบันอยู่ใน Adams County ระหว่างสงครามกลางเมืองที่ขับเคี่ยวกันนานถึง ๔ ปี (๑๒ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๘๖๑-๒๒ มิถุนายน ค.ศ. ๑๘๖๕/พ.ศ. ๒๔๐๔-๒๔๐๘) จากความขัดแย้งเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งเรื่องการใช้แรงงานทาสผิวดำ ในพิธีฉลองป่าช้าและฝังศพทหารเหล่านั้นเป็นทางการ ณ บริเวณก่อสร้างสุสานแห่งชาติประจำเมืองเก๊ทที้สเบอร์กแห่งใหม่ ซึ่งวันนั้นเป็นช่วงบ่ายวัพฤหัสบดีที่ ๑๙ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๘๖๓ (พ.ศ. ๒๔๐๖) โดยก่อนหน้านั้น ๔ เดือนครึ่ง (วันที่ ๑-๓ กรกฎาคม) ทั้งในและรอบนอกเมืองแห่งนี้ได้กลายเป็นสนามรบที่ทหารทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันดุเดือด แต่ทหารของฝ่ายสมาพันธรัฐ ฯ ได้แตกพ่ายถอยไป
    ปลายปี ๑๘๖๒ (พ.ศ. ๒๔๐๕) บุรุษท่านนั้นในฐานะประมุขประเทศและหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งกล้าตัดสินใจทำสงครามปกป้องสหรัฐอเมริกาในสมัยนั้นให้คงอยู่เป็นสหภาพไว้ ได้วิงวอนรัฐสภาสนับสนุนการประกาศปล่อยทาสประมาณสามล้านห้าแสนคน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ค.ศ. ๑๘๖๓ (พ.ศ. ๒๔๐๖) ทำให้รัฐฝ่ายใต้โกรธแค้นและกลมเกลียวกัน ส่วนรัฐฝ่ายเหนือก็แตกแยก ทหารแข็งข้อและหนีทัพ การรับสมัครทหารใหม่ทุกแห่งล้มเหลว เพราะต่างสบถว่า พวกเขาไม่ต้องการเสี่ยงชีวิตเพื่ออิสรภาพของพวกนิโกร และทำให้พวกนั้นเขยิบฐานะทางสังคมมาทัดเทียมกัน แต่บรรดาทาสผู้ชายที่ได้รับการปลดปล่อยต่างมา สมัครเป็นทหารช่วยฝ่ายรัฐบาลสู้รบ และในปลายปี ๑๘๖๔ (พ.ศ. ๒๔๐๗) ท่านได้รับเลือกตั้งเป็นประมุขประเทศอีกวาระหนึ่ง แต่ท่านมีชีวิตหลังพิธีสาบานตนเพื่อรับตำแหน่งวาระที่ ๒ ในเดือนมีนาคมปีถัดไปได้ไม่นาน ก็ถูกชายหนุ่มนักแสดงละครผู้เห็นใจรัฐฝ่ายใต้วางแผนจะจับตัวท่านไปให้พวกฝ่ายใต้ก่อนหน้านี้ ๒ ครั้งแล้วเพื่อต้องการสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง ในที่สุดก็วางแผนลอบยิงท่านขณะท่านนั่งดูละครตลกกับภริยาในโรงละครฝอร์ด กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อค่ำคืนวันศุกร์ที่ ๑๔ เมษายน ค.ศ. ๑๘๖๕ (พ.ศ.๒๔๐๘) ซึ่งตรงกับวันศุกร์ประเสริฐหรือกู๊ดไฟรเดย์ ที่พระเยซูคริสต์เจ้าทรงถูกตรึงไม้กางเขนพอดี
    เอ็บบราแฮ็ม ลิงคอล์น ประธานาธิบดีคนที่ ๑๖ ของสหรัฐอเมริกา คือบุรุษที่ยืนกล่าวคำสดุดีในวันนั้น มิใช่เพียงไว้อาลัยทหารรัฐบาลกลาง และจารึกอุทิศสำหรับสุสานใหม่เท่านั้น แต่เพื่อชี้ให้เห็นประโยชน์ของการปกครองระบอบประชาธิปไตยว่าเป็นสิ่งที่มีค่าสูงส่ง ควรแก่การพลีชีวิตแลก ทั้งยังกระตุ้นความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลของประชาชนตั้งแต่นั้นมาตราบจนถึงทุกวันนี้ด้วยวลีสรุปที่ประทับใจว่า……-and that government of the people, by the people, for the people, shall not perish from the earth. ทำให้คำสดุดี ๓ วรรค ยาว ๑๐ ประโยค ความ ๒๖๖ คำ ใช้เวลาพูดประมาณ ๒ นาฑี ได้รับยกย่องให้เป็นอมตะสุนทรพจน์บทหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ทั้งได้รับการสลักจารึกไว้ที่ผนังหลังอนุสรณ์รูปปั้นนั่งของท่านในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. อีกด้วย
    เมื่อการรบที่เมืองเก๊ทที้สเบอร์กจบลง ทหารทั้ง ๒ ฝ่ายบาดเจ็บและตายมากกว่า ๕๑.๐๐๐ คน มีหญิงชาวบ้านตายเพียง ๑ คน เพราะถูกกระสุนปืนเจาะผ่านประตูครัวขณะอบขนมปัง ชาวเมืองผู้รอดชีวิตต่างช่วยกันซ่อมแซมบ้านเมือง ดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บรวมทั้งทหาร และได้ฝังศพทหารไว้ในบริเวณสู้รบเป็นการชั่วคราว บางครั้งก็ต้องฝังรวมกันหลายศพ หลายวันต่อมามีฝนตก น้ำฝนจึงชะดิน ทำให้เห็นซากศพโผล่ขึ้นมา นาย Andrew Curtin ผู้ว่าการรัฐเพ็นน์ซิลเวเนีย จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการสร้างสุสานแห่งใหม่เพื่อฝังศพทหารฝ่ายรัฐบาลให้สมเกียรติ โดยมอบหมายนาย David Wills ทนายความ เป็นผู้ดูแลโครงการดังกล่าว และหาซื้อที่ดินบริเวณที่สู้รบ พร้อมกับแต่งตั้งคณะกรรมการระหว่างรัฐรณรงค์ หาทุน จนสามารถซื้อที่ดินได้ขนาด ๑๗ เอเคร่อ แล้วมอบหมายนาย William Saunders ภูมิสถาปนิก ออกแบบก่อสร้าง ทั้งนี้รัฐบาลกลางจัดหาโลงศพให้
    ต่อมาวันที่ ๒๓ กันยายน นาย Wills ได้ส่งหนังสือเชิญนาย Edward Everett (๑๑ เมษายน ค.ศ. ๑๗๙๔-๑๕ มกราคม ค.ศ. ๑๘๖๕/พ.ศ. ๒๓๓๗-๒๔๐๘) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์ นักปาฐกถาผู้มีชื่อเสียง นักการเมือง นักการทูต นักการศึกษาของมลรัฐ Massachusetts ให้เกียรติมาแสดงปาฐกถาในพีธีดังกล่าวในวันที่ ๒๓ ตุลาคม แต่นาย Everett ได้ขอเวลาเตรียม คณะกรรมการ ฯ จึงได้เลื่อนไปเป็นวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ พฤศจิกายน
    ตามมรรยาทและความเหมาะสมแล้ว ประธานาธิบดีลิงคอล์นควรได้รับเชิญให้เป็นผู้กล่าวหลักในพิธี แต่คณะกรรมการ ฯ กลับมองข้ามและเชิญท่าน พอเป็นพิธีเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน โดยไม่คิดว่าท่านจะมาร่วมงานได้ เพราะอาจมีภารกิจมากและคงไม่สามารถเตรียมคำกล่าวที่เหมาะสมกับพิธีการนั้นได้ แต่แล้วคณะกรรมการ ฯ ต้องประหลาดใจ เมื่อประธานาธิบดี ฯ ตอบรับจะมาร่วมพิธี นาย Wills จึงเขียนหนังสือเชิญท่านในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารประเทศ กล่าวอะไรสักเล็กน้อยภายหลังปาฐกถา(“It is the desire that, after the Oration, you, as Chief Executive of the Nation, formally set apart these grounds to their sacred use by a few appropriate remarks”) พร้อมกับเชิญท่านมาพักที่บ้านของตนด้วย ซึ่งท่านก็ตอบรับ นอกจากนั้นยังได้เชิญคณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภาทั้ง ๒ ประเภท นายพลมี้ด ผู้ว่าการรัฐต่าง ๆ คณะทูตานุทูต ผู้สื่อข่าว แต่มีผู้ตอบรับมาร่วมพิธีไม่กี่คน
    สาเหตุที่ประธานาธิบดี ฯ ตอบรับที่จะไปร่วมพิธีและพูดอะไรบ้างที่เมืองเก๊ทที้สเบอร์กตามคำเชิญนั้น เพราะท่านเห็นว่าถึงเวลาที่ต้องพูดอะไรบ้างเกี่ยวกับสงคราม ทั้งเป็นโอกาสที่จะแสดงความเป็นปึกแผ่นจากการทำสงคราม และกระชับความสนับสนุนทางการเมืองในรัฐเพ็นน์ซิลเวเนีย เพราะก่อนหน้านี้ ได้มีหนังสือพิมพ์ต่างๆ ขอให้ท่านเขียนชี้แจงเรื่องสงครามกับมาตรการเพื่อสันติภาพ นอกจากนั้น โดยที่บุคลิกของท่านเป็นผู้มีอารมณ์ขัน หนังสือพิมพ์รายวันพยายามบิดเบือนและโจมตีท่านทุกวันว่าท่านชอบพูดและร้องเพลงตลก ๆ ในสนามรบขณะที่ทหารส่วนหนี่งกำลังฝังศพทหารที่เสียชีวิต เพื่อให้ท่านได้รับความอัปยศอดสู ท่านได้ตัดสินใจขณะที่ลูกชายอีกคนในบรรดาลูก ๔ คน กำลังป่วยหนักพอดี หลังจากที่ได้เสียลูกไปแล้ว ๒ คน ท่านต้องอดทนอย่างสงบ และเห็นเป็นโอกาสดี ที่จะทำให้ให้ศัตรูเงียบเป็นโอกาสดีทำเพื่อท่านจะสามารถแสดงความคารวะผู้เสียสละชีวิตอย่างสมเกียรติ แต่ถึงแม้ได้รับคำเชิญในช่วงเวลาจวนแจ แต่ท่านก็คิดคำนึงหาถ้อยคำ ที่จะพูดให้เหมาะสมอยู่ทุกขณะ และบันทึกด้วยลายมือลงบนกระดาษสีน้ำเงินซีด หัวเรื่อง address delivered at the dedication of the cemetery at Gettysburg เขียนร่างไปได้ ๘ ประโยคแล้วเก็บไว้ในหมวกตอนส่วนบน เพื่อจะสามารถปรับปรุงและแก้ไขจนพอใจได้ทุกเวลา
    ตั้งแต่วันที่ ๒๗ ตุลาคม ได้มีการเคลื่อนย้ายศพทหารกว่า ๔,๗๗๐ นาย จากสุสานแห่งเก่ามาฝังที่สุสานแห่งใหม่ ขณะที่การก่อสร้างเวทีสำหรับนั่งและพูดใกล้เสร็จแล้ว ประธานาธิบดีลิงคอล์นและคณะเดินทางด้วยขบวนรถไฟพิเศษจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มาถึงสถานีรถไฟเมืองเก๊ทที้สเบอร์กซึ่งมีประชากรราว ๑,๕๐๐ คน ในตอนหัวค่ำวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน จากนั้นก็พากันเดินไปบ้านของนาย Wills ซึ่งอยู่ตรงข้ามจตุรัสเมือง และรับประทานอาหารค่ำร่วมกับนาย Everett และบุคคสำคัญอีกหลายคน ในคืนวันนั้นอากาศแจ่มใส ดวงจันทร์เต็มดวง มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในเมืองเป็นหมื่น คนที่หาที่พักไม่ได้ก็หาที่พักข้างถนนและบริเวณที่จัดพิธี บางกลุ่มก็เดินคล้องแขนและร้องเพลง John Brown’s Body ส่วนผู้คนที่รู้ว่าประธานาธิบดีมาพักอยู่ที่บ้านนาย Wills ก็พากันเดินผ่านร้องทักทายท่าน ท่านออกมาพูดทักทายเล็กน้อยและขอตัวกลับไปเพื่อเตรียมคำกล่าว หลังจากนั้น นาย Wills เข้ามาพบเพื่อชี้แจงพิธีการในวันรุ่งขึ้น ต่อมาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้นำโทรเลขแจ้งข่าวว่าลูกชายอาการดีขึ้นแล้ว และเวลา ๒๓.๐๐ น. ได้ไปพบนาย William H. Seward รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งพักอยู่บ้านของนาย Robert Goodloe Harper ที่อยู่ติดกัน เพื่ออ่านร่างคำกล่าวที่เขียนได้ครบ ๑๐ ประโยคดัง ๆ ให้เขาฟังและช่วยวิจารณ์ ณ ที่นั้น Baltimore Glee Club ของ National Union Musical Association ได้ร้องเพลง We Are Coming, Father Abra’am ขับกล่อมด้วย
    หลังอาหารเช้าวันรุ่งขึ้น ประธานาธิบดีลิงคอล์นยังวุ่นอยู่กับการเกลา คำกล่าว จนกระทั่งนาย John G. Nicolay เลขานุการ มาที่ห้อง แต่ท่านก็ยังเขียนอะไรต่อ จนกระทั่งมีการขัดจังหวะอีกหลายครั้ง ท่านจึงเข้าขบวนขี่ม้า ด้วยชุดสากลเข้ม หมวกปล่องไฟ และถุงมือขาว มุ่งไปยังบริเวณสุสานใหม่ร่วมกับบุคคลสำคัญ ชาวเมือง บรรดาแม่หม้าย และวงดุริยางค์ทหาร เมื่อเวลา ๙.๓๐ น. ตามรายทางมีเสียงปืน ใกล้บริเวณงานมีทหารยืนตั้งแถวรับประธานาธิบดี
    หลังจากวงดุริยางค์ทหารเรือบรรเลงเพลงจบลง นาย Everett ซึ่งเข้ามาช้ากว่ากำหนด ๑ ชั่วโมง ก็ได้รับเชิญให้แสดงปาฐกถา ปราชญ์ผู้เจนเวทีลุกขึ้นยืนและก้าวมาข้างหน้าเวที ทอดสายตาข้ามหมู่ชนไปยังท้องทุ่งเขียวขจีเคลือบสีทอง หันหน้ากลับมามองสวนผลไม้ ๒ ข้างทาง แล้วเริ่มอารัมภบทว่า “Standing beneath this serene sky, overlooking these broad fields now, reposing from the labors of the waning year, the mighty allegiances dimly towering before us, the graves of our brethren beneath our feet, it is with hesitation that I raise my poor voice to break the eloquent silence of God and Nature. But the duty to which you have called me must be performed; -grant me, I pray you, your indulgence and your sympathy.” จากนั้นก็พรรณาถึงประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยกรีก ลักษณะของสังคม และการก่อร่างสร้างชาติ ก่อนกล่าวลงท้ายว่า “But they, I am, will join us in saying, as we bid farewell to the dust of these martyr-heroes, that wheresoever throughout the civilized world the accounts of this great warfare are read, and down to the latest period of recorded time, in the glorious annals of our common country, there will be no brighter page than that which relates the battle of Gettysburg.” วง Baltimore Glee Club ก็ขับร้องเพลงสวดที่นาย Benjamin Brown French จากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประพันธ์ขึ้นเพื่อโอกาสนี้
    ๑ ชั่วโมง ๕๗ นาฑี ที่นาย Everett กล่าวปาฐกถา ๕๘ วรรค ๑๓,๖๐๗ คำ บางคนบอก ๒ ชั่วโมงกว่า หนังสือพิมพ์ทุกฉบับลงพิมพ์ปาฐกถาของเขาทุกคำ แต่เนื่องจากประธานาธิบดีลิงคอล์นได้มีโอกาสอ่านปาฐกถาของนาย Everett ก่อนแล้ว ท่านจึงเตรียมตัวก่อนที่ปาฐกถาจะจบ กระนั้นก็ยังหวาดหวั่นว่าคงไม่ได้เตรียมคำกล่าวที่ดีถึงขนาดมา นั่งขยับตัว และหยิบต้นฉบับ คำกล่าวที่เขียนด้วยลายมือออกจากกระเป๋าเสื้อนอก สวมแว่นตาเพื่ออ่านทบทวน เมื่อเพลงจบลง ผู้ประกาศได้เชิญท่านกล่าวคำสดุดี ท่านยืนขึ้นและก้าวไปหน้าเวที มือข้างหนึ่งจับกระดาษคำกล่าวอยู่ในมือ อีกมือยกรับเสียงปรบมือ และกล่าวคำพูดที่เหมาะสมเล็กน้อยตามที่ผู้เชิญขอด้วยสำเนียงชาวใต้และอาการสงบประมาณ ๒ นาฑี นักหนังสือพิมพ์คนหนี่งได้บันทึกว่า ท่านประธานาธิบดีเข้มแข็ง เชื่อมั่นตัวเอง อากัปกิริยาสบาย ๆ และกล่าวประโยคคำพูดไม่ถึงโหล นาย Charles Hale ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ Boston Advertiser จดคำพูดของท่านได้ทุกคำว่า
    “Four score and seven years ago our fathers brought forth on this continent a new nation, conceived in liberty, and dedicated to the proposition that all men are created equal.
    Now we are engaged in a great civil war, testing whether that nation, or any nation so conceived and so dedicated, can long endure. We are met on a great battlefield of that war. We have come to dedicate a portion of that field, as a final resting place for those who here gave their lives that that nation might live. It is altogether fitting and proper that we should do this.
    But, in a larger sense, we can not dedicate, we can not consecrate, we can not hallow this ground. The brave men, living and dead, who struggled here, have consecrated it, far above our poor power to add or detract. The world will little note, nor long remember what we say here, but it can never forget what they did here. It is for us the living, rather, to be dedicated here to the unfinished work which they who fought here have thus far so nobly advanced. It is rather for us to be here dedicated to the great task remaining before us-that from these honored dead we take increased devotion to that cause for which they gave the last full measure of devotion-that we here highly resolve that these dead shall not have died in vain-that this nation, under God, shall have a new birth of freedom-and that government of the people, by the people, for the people, shall not perish from the earth.”
    (แปดสิบเจ็ดปีแล้ว บรรพชนของพวกเราได้ก่อตั้งประชาชาติใหม่แห่งหนึ่ง บนทวีปนี้ที่คำนึงถึงอิสรภาพและอุทิศให้แก่หลักการที่ว่าคนทุกคนได้รับการสร้างสรรค์มาเท่าเทียมกัน
    บัดนี้ พวกเราได้เข้าพันตูกันในสงครามกลางเมืองที่ใหญ่หลวงครั้งหนึ่ง เพื่อทดสอบว่าประชาชาตินั้นหรือประชาชาติใดก็ตามที่คำนึงถึงและอุทิศให้แก่หลักการที่ว่านั้นจักสามารถยืนยงได้ตลอดไปไหม พวกเรามาพบกัน ณ สนามรบ ที่ใหญ่ยิ่งแห่งหนึ่งของสงครามนั้น พวกเราได้มาทำพิธีอุทิศพื้นที่ส่วนหนึ่ง ของสนามรบนั้นในฐานะสถานที่พักผ่อนสุดท้ายสำหรับบรรดาผู้ซึ่งได้พลีชีพที่นี่ เพื่อว่าประชาชาตินั้นคงจะดำรงอยู่ โดยรวมแล้วถือเป็นเรื่องเหมาะสมและถูกกาลเทศะที่พวกเราควรกระทำเช่นนี้
    แต่เมื่อพินิจพิเคราะห์ให้ลึกซึ้งขึ้น พวกเราไม่สามารถจะทำพิธีอุทิศ พวกเราไม่สามารถจะจารจารึก พวกเราไม่สามารถปลุกเสกให้พื้นที่นี้ศักดิ์สิทธิ์ได้ ท่านผู้กล้าหาญทั้งหลาย ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และสิ้นชีพไปแล้ว ซึ่งได้ต่อสู้ที่นี่ ได้จารจารึกมันไปแล้วเหนือกว่าพลังอันต่ำต้อยของพวกเราจะเพิ่มหรือลดลงได้ โลกจะบันทึกนิดหน่อย และจะจดจำเรื่องที่พวกเราพูดกันที่นี่ไม่นาน แต่โลกไม่สามารถลืมสิ่งที่พวกเขาได้กระทำที่นี่ได้ สำหรับพวกเราผู้ยังมีชีวิตอยู่ต่างหาก ที่ควรอุทิศตัว ณ ที่นี้ให้แก่งานที่ยังไม่เสร็จสิ้นซึ่งบรรดาท่านทั้งหลายผู้ได้ต่อสู้ที่นี่ ได้กระทำล้ำหน้าไปไกลอย่างสง่างามแล้ว พวกเราต่างหากที่ควรอุทิศตัว ณ ที่นี้ให้แก่ภารกิจยิ่งใหญ่ที่คั่งค้างอยู่เบื้องหน้าพวกเรา-ว่าจากผู้วายชนม์ที่ทรงเกียรติเหล่านี้ เราขอเพิ่มพูนความเสียสละให้แก่อุดมการณ์ซึ่งบรรดาท่านเหล่านั้นได้เสียสละเต็มที่ไปแล้ว-ว่าพวกเราที่นี่ขอตั้งปณิธานว่าผู้วายชนม์เหล่านี้จะไม่ได้เสียชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์-ว่าประชาชาตินี้ ภายใต้พระผู้เป็นเจ้า จะมีเสรีภาพเกิดใหม่-และว่าการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน จะไม่สาบสูญไปจากโลก)
    ฝูงชนต่างฟังประธานประเทศของตนกล่าวคำสดุดีอย่างตั้งใจและปรบมือให้ประโยคคำพูดที่ถูกใจเป็นระยะ อีกหลายคนที่ไม่เคยเห็นและฟังเสียงของประธานาธิบดีมาก่อนแต่ยืนอยู่ไกลก็คิดว่านั่นแค่เพียงอารัมภบทเท่านั้น ต่อไปจะได้ฟังเนื้อหาดังที่นาย Everett ใช้เวลาพูดอีก กลับประหลาดใจที่เห็นท่านกลับไปนั่งแล้ว หรือว่าท่านลืมพูดให้จบกระมัง จึงฉงน ผิดหวัง และลืมปรบมือให้ผู้คนส่วนมากคงไม่ตระหนักว่าสาระที่ประธานาธิบดีลิงคอล์นได้กล่าวไปเมื่อบ่ายวันนี้จะกลายไปคำพูดที่สำคัญหรืออมตะสุนทรพจน์ในภายภาคหน้า แต่ผู้ที่ร่วมพิธีต่างก็เป็นสักขีพยานโดยปริยาย
    ประธานาธิบดีลิงคอล์นได้ใคร่ครวญคิดและบรรจงเขียนคำกล่าว เพื่อพิธีการนั้นอย่างรอบคอบ เริ่มต้นด้วยการนับระยะเวลาตั้งแต่ปี ๑๗๗๖ (พ.ศ. ๒๓๑๙) ที่บรรพชนประกาศอิสรภาพจากจักรวรรดิ์บริทิชและร่วมกันก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาขึ้น จนถึงปีปัจจุบัน ๑๘๖๓ (พ.ศ. ๒๔๐๖) ที่ท่านยืนกล่าวคำอาลัย นับได้ ๘๗ ปี โดยย้ำหลักเสมอภาคของผู้คนตามที่ระบุไว้ในคำประกาศอิสรภาพ จากนั้นก็ป่าวประกาศว่าสงครามกลางเมืองเป็นการสู้รบที่ต้องการให้ประเทศที่ถูกแยกตัวไปบางส่วนคงคืนมาอยู่เป็นประเทศเดียวกันดังเดิมเสมือนมีเสรีภาพเกิดใหม่ รวมทั้งรำลึกและยกย่องผู้เสียสละที่นี่ กับกระตุ้นผู้คนให้พากันดำเนินภารกิจต่อจากผู้เสียสละอย่างเต็มที่ และให้มั่นใจว่าระบบการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบผู้แทนของประเทศนี้จะดำรงอยู่ต่อไป

    จบแล้ว วงนักร้องประสานเสียงได้ร้องเพลงสวดฝังศพ และสาธุคุณ H.L. Baugher ได้อวยพร พิธีการจบลงเวลา ๑๖.๐๐ น. แล้วมีพิธีต่อในโบสถ์ประธานาธิบดีลิงคอล์นกับคณะเดินทางด้วยรถไฟกลับกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อเวลา ๑๘.๓๐ น.
    รุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์ได้ลงข่าวเหตุการณ์ครั้งนี้พร้อมกับปาฐกถาของนาย Everett และคำกล่าวของประธานาธิบดีลิงคอล์น พร้อมด้วยความคิดเห็นต่าง ๆ ที่ยกย่องก็ว่าคำกล่าวของประธานาธิบดี ฯ ๑๐ ประโยค ใช้เวลาเพียง ๒ นาฑี ได้รับการปรบมือเป็นระยะ ๆ ตอนจบได้รับการปรบมือนาน เพราะคำกล่าวของท่านได้สรุปทุกเรื่องที่นาย Everett ใช้เวลาพูด ๒ ชั่วโมง ทำให้คำกล่าวของท่านสั้นเกินไป ช่างภาพเพิ่งมุดเข้าไปในผ้าคลุมกล้องถ่ายรูป ตอนที่ได้ยินท่านกล่าวว่า…by the people, for the people, …ในที่สุดก็ไม่สามารถถ่ายภาพได้ทัน นักหนังสือพิมพ์จากเมืองฟิลาเดลเฟียเขียนวิจารณ์ว่า นาย Edward Everett กล่าวปาฐกถาได้ไพเราะเหมือนนักแสดงละครเจนเวทีซึ่งแสดงได้ยอดเยี่ยม ส่วนประธานาธิบดีลิงคอล์นได้พูดจากความรู้สึกไม่ใช่ด้วยวิธีพูด เพียงคำพูดไม่กี่คำทำให้ผู้ฟังระลึกวีรกรรมเช่นนั้นได้ หนังสือพิมพ์ฝ่ายตรงข้ามได้ยกย่องปาฐกถาของนาย Everett ว่าประณีตและไพเราะ พร้อมกับลงคำกล่าวของประธานาธิบดี ฯ ไว้หน้าใน
    สำหรับประธานาธิบดีลิงคอล์นเองกลับคิดว่าท่านได้ล้มเหลวจากการกล่าวคำสดุดีนี้ เพราะมันดูไม่กินใจผู้คน แม้แต่นาย Everett และนาย Seward รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งนั่งอยู่บนเวทีด้วย ก็คิดเช่นนั้นและรู้สึกเสียใจแทน ขณะเดินทางกลับ ท่านมีท่าทางอ่อนเพลีย รู้สึกปวดหัว จุ่มหัวในอ่างน้ำล้างหน้าและขลุกอยู่แต่ในห้องรับแขกบนรถไฟ วันต่อมานาย Everett ได้เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดีลิงคอล์นเกี่ยวกับคำกล่าวของท่านที่เมืองเก๊ทที้สเบอร์ก (Gettysburg Address) ด้วยความชื่นชมว่า “Permit me also to express my great admiration of the thoughts expressed by you, with such eloquent simplicity and appropriateness, at the consecration of the Cemetery. I should be glad, if I could flatter myself that I came as near to the central idea of the occasion, in two hours, as you did in two minutes.” กระนั้นก็ตาม ตัวท่านเองยังคงเชื่อตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิตว่าท่านได้ล้มเหลวจากการกล่าวคำสดุดีที่เมืองเก๊ทที้สเบอร์ก อย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ถ้าหากพิจารณาในช่วงเวลาสั้น โดยที่ท่านมีนิสัยถ่อมตน มีความรู้สึกโดยสุจริตว่าโลกจะบันทึกนิดหน่อย และจะจดจำเรื่องที่พวกเราพูดกันที่นี่ไม่นาน แต่โลกไม่สามารถลืมสิ่งที่พวกเขาได้กระทำที่นี่ได้ แต่ถ้าหากท่านสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมา ท่านคงประหลาดใจว่าคำพูดที่ท่าน ได้กล่าวไปและคิดว่าไม่กินใจผู้ฟังนั้น ต่อมาภายหลัง ประชาชนได้จดจำคำกล่าวที่สละสลวยนี้ได้มากขึ้นและอย่างขึ้นใจ จนได้รับการยกย่องว่าเป็นอมตะสุนทรพจน์บทหนึ่งของประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ทั้งยังเป็นสมบัติทางด้านภาษาชิ้นหนึ่งของโลก และคาดว่าจะคงเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกนานควบคู่กับเรื่องราวสงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกา

    เรียบเรียงมาเขียนจากเอกสารต่าง ๆ เรื่อง Abraham Lincoln and the Gettysburg Address จาก myLOC.gov (Library of Congress)

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/bPQJ3eo_OeA?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/-9tMoZr0AHM?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/b2KV0s-G0XA?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/_jWlxQdp1Rc?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/4lkiOVlb2hg?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    เขียนโดย Schau-Thai ที่ 01:00 ไม่มีความคิดเห็น:
    ป้ายกำกับ: เรื่องเล่าจากท่านทูต วิญญู แจ่มขำ
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,646
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นายกรัฐมนตรีแถลงการณ์ ภายหลังรับทราบผลคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

    สวัสดีค่ะพี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพรัก

    ตามที่เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2554 กัมพูชาได้ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ “ศาลโลก” เพื่อขอให้ตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 โดยเห็นว่าไทยและกัมพูชามีความเห็นที่ไม่ตรงกันเกี่ยวกับคำพิพากษาของคดีฯ เมื่อปี 2505 ในเรื่องของขอบเขต “บริเวณใกล้เคียงปราสาท” ซึ่งกัมพูชาเห็นว่าต้องเป็นไปตามเส้นเขตแดนระหว่างประเทศในแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ระวางดงรัก นั้น

    คณะดำเนินคดีฝ่ายไทยได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ ได้ต่อสู้ในแง่กฎหมายและตามกติกาสากลอย่างเต็มที่ ดังเป็นที่ประจักษ์ในการให้การทางวาจาฯ ต่อศาลโลก เมื่อเดือนเม.ย. ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลทราบดีว่าภารกิจการต่อสู้คดีฯ ครั้งนี้ เป็นภารกิจที่ท้าทายและยากลำบากมาก เพราะเป็นคดีที่ตีความคำพิพากษาเดิมที่ผ่านมาแล้ว 50 ปี และประเทศไทยจำเป็นต้องกลับไปต่อสู้ที่ศาลอีกครั้งหนึ่งเพื่อมิให้ศาลพิจารณาเพียงเอกสารหลักฐานและคำให้การของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว ดังนั้น คณะดำเนินคดีของประเทศไทยจึงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและประชาชนในทุกด้านอย่างเต็มที่ เพื่อให้ทุกคนสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสบายใจและมีประสิทธิภาพสูงสุด

    บัดนี้ ศาลโลกได้พิจารณาเอกสารหลักฐานของทั้งสองฝ่าย ซึ่งพี่น้องประชาชนทุกท่านคงได้มีโอกาสติดตามการถ่ายทอดสดคำพิพากษา โดยรัฐบาลเห็นว่า เป็นคำพิพากษาที่ให้ความสำคัญกับการที่ทั้งสองประเทศจะต้องเจรจากัน และมีหลายส่วนที่เป็นคุณกับประเทศไทย โดยมีประเด็นหลัก ๆ ดังนี้

    ศาลรับฟังข้อต่อสู้ของไทย และได้ตัดสินยืนยันที่จะตัดสินภายในขอบเขตของคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505

    ศาลรับฟังข้อต่อสู้ของไทย โดยยืนยันว่า คำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505 นั้น ไม่ได้ตัดสินเกี่ยวกับประเด็นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา เพราะเป็นประเด็นที่อยู่นอกเหนือจากคำพิพากษาเดิม ซึ่งหมายความว่า ศาลไม่รับพิจารณาข้อเรียกร้องของกัมพูชาเหนือพื้นที่ 4.6 ตร.กม. และที่สำคัญศาลไม่ได้ตัดสินว่าแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ผูกพันกับไทย โดยผลของคำพิพากษาเมื่อปี 2505

    ศาลรับตีความเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทตามคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505 โดยศาลอธิบายว่าเป็นพื้นที่ขนาดเล็กมาก ซึ่งกำหนดขึ้นตามสภาพภูมิศาสตร์ที่ประกอบขึ้นเป็นยอดเขาพระวิหาร โดยไม่ได้กำหนดเส้นเขตแดน และที่สำคัญไม่รวมพื้นที่ภูมะเขือ ซึ่งในส่วนของพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทนี้ ทั้งสองประเทศจำเป็นต้องหารือกันในรายละเอียดต่อไปโดยกลไกทวิภาคีที่มีอยู่

    ศาลได้แนะนำให้ความสำคัญกับการที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันในกรอนุรักษ์และพัฒนาปราสาทพระวิหารในฐานะที่เป็นมรดกโลก

    ดังนั้น รัฐบาลได้สั่งให้ทีมที่ปรึกษากฎหมายศึกษารายละเอียดและสาระสำคัญของคำพิพากษาเพื่อนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะไปประกอบการพิจารณาดำเนินการของรัฐบาลต่อไป ต่อจากนั้น ไทยและกัมพูชาจะต้องเจรจาหารือภายใต้กลไกที่มีอยู่ระหว่างทั้งสองประเทศ เพื่อให้ได้ข้อยุติที่เป็นที่ยอมรับได้ของทั้งสองฝ่าย และจะคำนึงถึงขั้นตอนและกระบวนการตามกฎหมายและบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

    ในโอกาสนี้ ดิฉันขอเรียนยืนยันว่า การดำเนินการของรัฐบาลจะรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง รวมทั้งเกียรติภูมิของชาติ และความเป็นประชาคมอาเซียน พร้อมกันนี้รัฐบาลได้สั่งการและกำชับให้ฝ่ายทหารและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ยังคงรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณชายแดน รักษาอธิปไตย และดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ เพื่อสันติภาพ สันติสุข และความสงบเรียบร้อย ดังที่ได้ปฏิบัติมาโดยตลอด

    พี่น้องประชาชนที่เคารพรัก

    ประเทศไทยและกัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านกัน ที่นอกจากจะมีพรมแดนติดต่อกันถึงเกือบ 800 กม. ยังเป็นสมาชิกอาเซียนที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันต่อไปเพื่อความสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง อีกทั้งประชาชนไทยและกัมพูชาก็มีความสัมพันธ์ฉันท์ญาติมิตร มีวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ร่วมกันมาช้านาน ดังนั้น ทั้งสองประเทศจึงจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนของทั้งสองประเทศ

    ในนามของรัฐบาล ดิฉันขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทย มีความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะดำเนินการทุกอย่าง โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนพี่น้องคนไทยทุกคนและของชาติอย่างสูงสุด
    เขียนโดย narater ที่ 14:38 ไม่มีความคิดเห็น:

    http://schau-thai.blogspot.com/2013_11_01_archive.html

    โดย Schau-Thai: พฤศจิกายน 2013
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2013
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,646
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รัฐบาลญี่ปุ่นตีแผ่ปัญหา “ผู้สูงอายุ” ตกเป็นเหยื่อความรุนแรง
    เอเอฟพี – ปัญหาผู้สูงอายุถูกล่วงละเมิดกำลังกลายเป็นเรื่องใหญ่ในสังคม

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/mEaRihCLxrQ?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    เมืองปลาดิบ โดยผลสำรวจของรัฐบาลพบว่า การล่วงละเมิดส่วนใหญ่เป็นฝีมือคนในครอบครัวหรือบุคคลภายนอกที่ถูกจ้างมาดูแลบ้าน

    ผลสำรวจระดับชาติซึ่งญี่ปุ่นจัดทำขึ้นเป็นครั้งแรกพบการทำร้ายร่างกายหรือจิตใจผู้สูงอายุที่สามารถยืนยันได้ทั้งหมด 1,699 กรณี ภายในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา

    รายงานจากกระทรวงสวัสดิการสังคมซึ่งเผยแพร่เมื่อวานนี้(11) ระบุว่า เหยื่อร้อยละ 80 ถูกกระทำโดยญาติมิตรหรือคนที่จ้างมาดูแลบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายร่างกาย, การใช้คำพูดดุด่า, การละเลยไม่เอาใจใส่ หรือแม้กระทั่งการขโมยทรัพย์สิน รายงานซึ่งจัดทำขึ้นหลังกฎหมายคุ้มครองผู้สูงอายุเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อปีที่แล้วยังพบด้วยว่า มีผู้สูงอายุหลายรายถูกล่วงละเมิดในสถานสงเคราะห์หรือที่ทำงาน

    เจ้าหน้าที่กระทรวงฯ เตือนว่า ตัวเลขที่ปรากฏในรายงานอาจเป็นแค่ “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” และในความเป็นจริงอาจยังมีเหยื่ออีกมากมายที่ไม่ต้องการเปิดเผยความทุกข์ของตนเอง หรือไม่สามารถขอความช่วยเหลือได้

    “ผู้สูงอายุบางคนอาจพูดไม่ได้ เพราะกลัวถูกไล่ออกจากบ้านที่อาศัยอยู่ หรือกลัวตกงาน” เจ้าหน้าที่กระทรวง ระบุ

    เมื่อไม่นานนี้ สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเคของญี่ปุ่นได้ตีแผ่เรื่องราวของคุณตาวัย 77 ปีคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์คนชรามานาน 13 ปี และถูกทำร้ายร่างกายจนจมูกหัก แขนหัก และบาดเจ็บตามร่างกายอีกกว่า 70 จุด คุณตาไม่สามารถบอกญาติที่มาเยี่ยมได้ เนื่องจากสมองได้รับการกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทางการได้เข้าไปสอบสวนเจ้าหน้าที่สถานสงเคราะห์ดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดทางใต้ของญี่ปุ่นแล้ว

    ผู้จัดการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...