เวลาตายสำหรับคนที่ชอบทำบุญมากๆมีสิทธิขึ้นสวรรค์มากกว่าหรอครับ....

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Sir-Pai, 8 พฤศจิกายน 2013.

  1. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    คืออ่านหนังสือธรรมะมาเล่มหนึ่งครับ เขากล่่าวว่า การทำทาน ศีล ภาวนา เรื่อยๆจะเป็นหัวหอกสำคัญในการต่อสู้กรรมไม่ดีเพื่อเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ ฉะนั้นการที่เราทำบุญ (ทาน ศีล ภาวนา) มากๆ จะทำให้โอกาสไปสวรรค์สูงขึ้นหรอครับ ??

    ขอความคิดเห็นหน่อยนะครับ :)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ลองมองกลับกัน

    คนที่ทำ ชั่ว มากๆ ทำ อกุศลมาก ๆ มีโอกาสจะไปนรกสูงขึ้นหรอป่าวครับ

    ลองพิจารณาดูครับ

    .
     
  3. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    การทำบุญที่ท่านกล่าวมานี้ ต้องเป็นการกระทำที่ถูกต้องจึงจะได้บุญครับ..ต้องใคร่ครวญการให้..ใคร่ครวญก่อนให้..พระองค์นี้วัตรหลอกลวงชาวบ้าน กินเหล้า-เสพเมถุน ในกุฏิลับหลังญาติโยม พระองค์นี้ พูดโกหกต่อหน้าสื่อมวลชน หลายครั้งหลายหน นี่เป็นธรรมเอกศิลข้อมุสา..ข้อเดียวนี้ก้ไม่ควรไปทำบุญด้วยแล้วคัรบ
    การสะสม-เงิน-ทอง ..ยังตัดสีกาไม่ขาด บวชพระไม่มีวัตรปฏิบัติ มุ่งแสดงธรรมตามห้างสรรพสินค้า ตั้งมูลนิธิ หาเงินบังหน้า ไม่โปรดญาติโยมที่ยากจน-ที่ไม่มีปัญญาขึ้นห้างซึ่งเป็นที่อโคจร อโคจร-เอาธรรม มาขายกิน ขายลิขสิทธิ์ให้โรงพิมพ์แลกเงิน ทำบุญอ้างติดกัณเทศน์ อ้างเป็นค่าใช้จ่าย-อ้างเป็นเงินค่าซ่อมแซมปรับปรุงวัด..สมยอมเป็นมิจฉาชีพ..ไม่ใช่ผู้สละโลก ไม่ใช่บรรพชิต..เพราะชอบคลุกคลี สะสม หาเงิน เป็นต้นครับ
    เราแสดงธรรม ตามสามารถแล้ว การไตร่ตรองธรรม แจ้งธรรม ตัวใครตัวมัน ครับ สาธุ
     
  4. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ทำบุญมากที่ว่า ต้องทำด้วยจิตเมตตา กรุณา คือทำด้วยจิตเป็นกุศลจริงๆเท่านั้นนะครับ ถ้าตัวเองไม่ได้อยากจะทำ แต่ทำเอาหน้า หรือเห็นเขาทำกลัวเสียหน้าก็ทำตามเขา ก็ไม่ได้บุญ


    สมมุติว่า มีทางเส้นหนึ่ง ยาวมากๆ สุดลูกหูลูกตา มองไม่เห็นสุดทาง
    ทางเดินไปข้างหน้ามีแสงสว่างจ้า ส่วนทางเดินไปข้างหลังดูมืดหม่นอับแสง
    แต่ละคนมีกำลังวิ่งหรือเดินไปได้ไม่เท่ากัน เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ไม่ถึงปลายทางเสียที ก็เหนื่อย แล้วจึงหยุด ต่างกันที่ ใครจะไปได้ไกลแค่ไหน แล้วจึงหยุด และอยู่ที่จะไปข้างหน้า หรือจะไปข้างหลัง ผู้ที่มีกำลังกายกำลังใจย่อมไปได้ไกลกว่าฉันใด ผู้ทำบุญหรือบาปมาก ก็มีกำลังไปได้ไกลฉันนั้น เพียงแต่บุญกับบาป มุ่งตรงไปคนละทางกันเท่านั้น

    เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว หากสวรรค์มีความประณีตหลายระดับ
    ก็อยู่ที่กำลังบุญของเราที่มีในจิต ว่าจะพาเราไปถึงสวรรค์ที่ประณีตได้แค่ไหน
    แต่ถ้าเรายังเน้นสร้างบุญเป็นมหากุศลหมายเอาสวรรค์ที่ปราณีตที่สุด
    ต่อให้ไปถึงที่ที่เราคิดว่าเป็นสุดปลายทาง แต่ปรากฏว่ามันก็ยังไม่ใช่
    รู้ตัวอีกที เราก็วกกลับมาอยู่ที่จุดเริ่มต้นแล้วเริ่มต้นเลือกว่าจะเดินไปข้างหน้า
    หรือจะเดินไปข้างหลังใหม่อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง ไม่จบสิ้น
    เพราะเส้นทางแห่งบุญและบาป ไม่มีจุดจบ ไม่มีปลายทาง
    คุณจะลงนรก หรือจะขึ้นสวรรค์ ไม่ว่าจะประณีตแค่ไหน
    สุดท้ายก็ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่
    มาเลือกกระทำตน เพื่อสร้างบุญหรือสร้างบาปใหม่อยู่ดี
     
  5. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    ที่ถามนี่ไม่ได้หมายสวรรค์นะครับ กลัวตกนรกครับ ตกอบายภูมิหมดโอกาสในการสร้างบุญบารมียาวเลย เป็นอย่างอื่นยังได้บ้างนะครับ
     
  6. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    อย่าได้เข้าใจผิดไปเลยครับ
    ผมพิมไปไม่ได้มีเจตนาจะตำหนิท่านหรือกระไรหรอกครับ
    ผมแค่ใช้โพสของท่านเป็นหนทางผ่าน
    ในการกระจายความรู้ความเข้าใจเป็นธรรมทาน
    มิได้หมายความท่านจะเอาแต่สวรรค์ครับ
    ถ้าทำให้เข้าใจผิดขออภัย
    แต่พูดแนวรวมๆ เพื่อเป็นธรรมทานแก่ผู้เข้ามาอ่านทั้งหลาย

    สำหรับคำตอบของคำถามของท่านก็คือ ยิ่งทำบุญมาก ก็ได้ไปสวรรค์ชั้นสูงขึ้นครับ
    นอกนั้นของแถมแจกจ่ายผู้อ่านเป็นธรรมทานครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2013
  7. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    การหมั่นทำบุญทุก ๆ วัน ในเวลาเดิม ๆ ไม่จำเป็นต้องทำบุญมาก ๆ จ่ายเงินเยอะ ๆ

    แต่ต้องเป็นการทำบุญทำทานบ่อย ๆ ใช้เงินทำบุญตามกำลัง สวดมนต์ทุก ๆ คืน ทุก ๆ เช้า

    ... เมื่อดวงจิตสุดท้ายจะเปลี่ยน มักจะคิดถึงบุญที่ทำ

    กายสังขารเคยฝึกเคยทำกุศลบ่อย ๆ ดวงจิตจะคิดถึงพระคิดถึงบุญ

    เวลาตายก็จะไปภพดีไปสิ่งที่จิตนี้คิดถึง
     
  8. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    =========================

    ข้อความดังกล่าวสีแดงจะเป็นจริง ต้องตีแผ่ให้ชัดเจนว่า การทำบุญมากนั้น ต้องหมายรวมถึง การเจริญภาวนา ให้มากๆด้วย สวรรค์ชั้นสูงอันได้แก่ชั้นมหาเทพ พรหม และมหาพรหม ไปด้วยด้วยกำลังสมาธิภาวนานะครับ

    หรือกล่าวให้ชัดว่า บุญกริยาทั้งสิบมีอานิสงค์อย่างไร ศีลมีอานิสงค์อย่างไร ภาวนามีอานิสงค์มากอย่างไรไปสู่สวรรค์สมบัติ และที่สุดคือนิพพานสมบัติครับ สาธุ
     
  9. Youkai

    Youkai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,683
    ทำบุญบ่อย ๆ มีโอกาสไปสวรรค์มากกว่า เพราะเมื่อทำบุญจะรู้สึกปลื้มปิติในบุญนั้นทุกครั้งที่ระลึกถึง จิตจะติดในบุญกุศลที่ทำ จึงมีโอกาสไปสวรรค์มากกว่าคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2013
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    [​IMG]

    จะมองแบบนั้นก็ได้ มองว่า ทำดีได้ไปสวรรคิ์ ทำชั่วตกนรกโลกันต์
    โดนหอกแหลมแทงทุกวัน ทุกวัน ....

    แต่ในการ " ภาวนา " ในแง่ของ นักภาวนาในธรรมวินัยนี้

    เราจะเอามาเป็น " กำลัง " เห็นการทำงานของ " พลัง " มันเป็นพลัง
    ที่ใช้ในการละเลงงานศิลป มันต้องมีจิตวิญญาณตั้งตรง สู่นิพพาน

    การทำบุญ ทำทาน ทำจาคะ มันจะเป็น พลัง !!

    เปรียบเหมือน คนเราทำงานเก็บเงินไว้ในแบงค์มากพอ มากพอจนรู้สึก
    ว่ามีหลักประกัน หลังจากนั้น พ่อตาตาย แม่ยายเตะ ไฟไหม้บ้าน เมียทิ้ง
    ลูกไม่เหลียวแล แขนขาหัก หูแหว่ง จมูกขาด ตาบอด ได้เพื่อนชั่ว มันจะ

    .....นิ่งสนิท

    ไม่แส่ส่าย ไม่ทุกร้อน เพราะ มันเหมือนมี ต้นทุน เริ่มใหม่ได้

    แต่ เริ่มใหม่บนหนทางที่ รับวิบากนานาประการ ไปแล้ว หรือ ยังไม่ได้รับก็เถอะ !

    จะเห็นว่า การทำทาน ทำจาคะมากๆ เพื่อเป็น ต้นทุน มันเป็น งานศิลป ที่ ก๊อปปี้

    ก๊อปปี้อะไร ก๊อปปี้ " ขันติ พะโล " " ก๊อปปี้ ตบะ "

    พอ ก๊อปปี้แล้ว คนฉลาดในธรรม จะรู้ว่า เอ้ย นั่นมันความ สงบ สงัด ซึ่ง ระลึกได้
    น้อมเข้ามาได้ โดยไม่ต้อง อาศัย อุบายกระจอก อย่างทาน จาคะ

    แต่ใช้ ปัญญาอันยิ่ง ใคร่ครวญ โยนิโสมนสิการเข้ามา ซึ่ง มันทำได้ จากการ
    เฝ้นธรรมให้เป็น เฝ้นจิตให้เป็น สลัดคืนบางสิ่งบางอย่าง ให้เป็น แล้วมันจะ
    รวยยิ่งกว่า เอาเงินเก็บไว้ในแบงค์ สร้างวิมานเอาไว้ในอากาส มันพ้น และ
    วิสุทธิกว่านั้นแบบ หาอะไรมาเปรียบไม่ได้ ไม่มีอะไรไปจะหยั่งลงในความ
    บริสุทธินั้นได้......มันงดงาม มันสุดยอด
     
  11. sirigul

    sirigul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +2,515
    มันสำคัญตอนจิตจะดับมากกว่า ต่อให้ทำบุญสุงมากขนาดไหน แต่ตอนจิตจะดับนี่คิดถึงอกุศลนิดเดียวไปอบายภูมิก่อน ตรงข้ามกับผู้ไม่เคยสร้างบุญกุศลเลย ก่อนจะตายคิดถึงพระพุทธเจ้า มีในประวัติคือมีเศรษฐีท่านหนึ่ง ไม่เคยทำบุญสร้างบุญกุศลเลย ทานก็ไม่เคยบริจาค พระพุทธเจ้าเสด็จเดินมาก็ไม่เคยยกมือไหว้ อีตอนจะตายนี่ญาติพี่น้องไม่มีใครสน จ้องจะแย่งสมบัติอย่างเดียว เค้าเลยได้คิดว่า ทรัพย์สมบัติมีเยอะแยะ ตายแล้วก็ไปไม่ได้ พ่อแม่ญาติพี่น้องก็พึ่งไม่ได้ เพราะไม่ได้ตายไปกะเราด้วย ก่อนจะตายคิดถึงพระพุทธเจ้านิดเดียว ก็ไปสวรรค์ก่อน เพราะก่อนตายนี่จิตคิดถึงพุทโธหรือพระพุทธเจ้าก็ไม่มีสิทธ์ไปอบายภูมิแน่นอน เดี๋ยวท่านยมมีความผิดที่ปล่อยให้คนท่องพุทธลงอบายภูมิ ท่านต้องส่งไปสวรรค์ก่อน หมดบุญค่อยมาว่ากันใหม่
     
  12. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +3,084
    ลองอ่านดูครับ ท่านไผ่ สักวันละหน้า สองหน้า หนังสือ หนีนรก ของหลวงพ่อครับ

    http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=289
     
  13. พิชญากร

    พิชญากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    909
    ค่าพลัง:
    +5,261
    ...ทำบุญไว้มากๆ ย่อมดีกว่า ทำบาปมากๆ สำหรับผู้ที่คิดจะสร้างบุญบารมีนั้น ก็ต้องทำให้ครบถ้วนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ทาน ศีล และภาวนา

    ...หากไม่ต้องการจะตกนรก สิ่งที่จะปิดกั้นประตูนรกได้ก็คือ ศีล ศีลจะระงับการกระทำที่เป็นเหตุให้เกิดการละเมิด หากเราไม่ก่อเหตุ ผลที่ก็ย่อมไม่มี

    ...นอกจากนี้ จิตสุดท้ายก่อนตาย จะต้องนึกถึงบุญ ถึงความดีที่เราได้ทำ สิ่งสำคัญคือ เราไม่รู้หรอกว่า..เราจะตายตอนไหน วันไหน

    ...ดังนั้น เราจะต้องมีสติระลึกรู้เสมอ จิตมีสภาพเกาะ เราเกาะสิ่งไหน เมื่อตายก็ไปภพภูมินั้น

    (น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ เห็นเวลาขึ้นรถ ทำอะไรต่อมิอะไร มือไม่เคยขาดมือถือ จิ้มๆอยู่นั้น หากตายในขณะนั้นพวกเขาจะไปไหนกัน เวียนว่ายไม่รู้จบ)
     
  14. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ทาน คือ การทำเพื่อลดการยึดติดจิตใจสบายทำบ่อยๆ จิตใจเราก็เบา

    ศีล คือ เมื่อจิตเราเบาแล้วเราก็รักษาศีลได้โดยไม่เหนื่อย ไม่เหนื่อยบ่อย จิตใจก็เหมาะกับงาน

    ภาวนา เมื่อจิตที่เหมาะกับงานเขาก็ให้เราภาวนาก็จะมีสติ

    พอมีสติ เราก็จะมีสมาธิดีขึ้น เมื่อสมาธิดึขึ้น ปัญญาก็เกิด

    ผู้มีบุญ คือ ผู้ที่มีความสุขจิตใจเบา ๆ
     
  15. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    เรื่องจิตสุดท้ายน่ะจริงครับ แต่เอาสมัยก่อนกับสมัยนี้มาเปรียบไม่ได้นะครับ เพราะกิเลสยั่วยุมันต่างกัน ถามว่าถ้าเราฆ่าสัตว์บ่อยๆ ทำทุกวัน ฝันก็ยังฝันว่าฆ่าสัตว์เลย (กรณีที่ทำเป็นอาชีพ) พอทำบ่อยๆเข้า จิตมันจับอารมณ์ พอจะตายก็ไปนึกถึงกรรมชั่วนั้น

    คนสมัยก่อนโน้น ไม่ได้ทำบุญเลย แต่ก็ไม่ได้สร้างกรรมหนักเหมือนสมัยนี้ คนสมัยก่อนหาเช้ากินค่ำ และก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่ได้บุญ พวกเขารักเพื่อนพี่น้องเพื่อนบ้านญาติมิตร ถึงกันหมด ขาดเหลืออะไรก็มีน้ำใจแบ่งปันกัน มีความสุขแบบพอเพียง จิตที่มีความสุขรู้จักแบ่งปันมันก็เป็นบุญทั้งนั้นแหละครับ

    ถามว่า ทำไมถึงบอกว่าให้ทำบุญมากๆจะได้ไปสวรรค์
    ๑.การทำบุญมาก ทำให้เราเริ่มห่างจากบาป
    ๒.ทำบุญบ่อยๆให้จิตติดใจกุศล เวลาตาย จิตสุดท้ายจะได้นึกถึงได้ เพราะสมัยนี้ ไม่มีพระพุทธเจ้าที่จะมาคอยเตือนสติเราก่อนตายดอกครับ
    ๓.ให้ทานมา อานิสงส์ก็มาก อานิสงส์นี่แลจะให้ได้ไปสวรรค์ระดับสูงขึ้น (ต้องแยกบุญกับอานิสงส์นะครับ คนละส่วนกัน บุัญคือตั๋วให้ไปสวรรค์ได้ อานิสงส์คือรางวัลในสวรรค์ ถ้าสร้างมามากก็ได้มา ได้อยู่ชั้นสูงๆ)

    ปล. อย่าคิดหวังว่า จะคอยนึกถึงสิ่งดีดีตอนจะตาย จนละเลยการทำความดี
    ขนาดความฝัน เรายังเลือกฝันไม่ได้ ในสมาธิเราก็ควบคุมจิตฟุ้งซ่านเห็นภาพต่างๆไม่ได้ ก่อนตายอย่าหวังว่าเราจะควบคุมจิตสุดท้ายได้ง่ายๆ ถ้าไม่ผ่านการฝึกจิตระดับฌานสูงๆ ฉะนั้น ถ้าเราคิดว่าเรื่องของฌานมันไกลตัว คงทำไม่ได้เป็นแน่ อย่างน้อยก็เน้นสร้างกุศลกรรม ทำความดีให้มาก ทำให้จิตบริสุทธิ์ มีความสุขอยู่เสมอ จะเป็นการดีที่สุดครับ


    ส่วนเรื่องภาวนาพุทโธ แล้วไม่ลงนรก ยมบาลไม่กล้าตัดสินคนภาวนาลงนรก เพราะเกรงบารมีพุทธองค์
    อย่างนี้ไม่สมเหตุสมผล เป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคล เป็นเพียงกุสโลบายของพระสงฆ์รุ่นเก๋า
    เพื่อให้เราหมั่นภาวนาเท่านั้น อย่าไปยึดมั่นจริงจัง หรือคิดว่าจะเป็นอย่างนั้นเลยครับ
    คนที่ภาวนาพุทโธแล้วไม่ลง ไม่ใช่ไม่ลงเพราะภาวนาว่าพุทกับโธ แต่รอดเพราะมีการฝึกภาวนามามาก
    ตอนตายจิตมันสงบจิตมันนิ่ง ไม่ใช่ว่าเพิ่งภาวนาครั้งแรกแล้วจะทำให้จิตนิ่งได้นะครับ
    ท่าไม่ฝึกไม่ปฏิบัติ ยังไงก็ไม่รอดครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2013
  16. ZIGOVILLE

    ZIGOVILLE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +792
    จะขออนุญาตเล่าประสบการณ์ตรงๆเกี่ยวกับความตายให้ฟังเล่นๆครับ

    เรื่องที่ 1. ประมาณ 2 ปีที่แล้ว เกิดอุบัติเหตุจากการเล่นฟุตซอล ทำให้กระดูกข้อเท้าซ้ายแตก เอ็นเท้าชำรุด บาดเจ็บหนัก ตกกลางคืนมันเจ็บปวดมากจนลมหายใจหายไป จนจิตเข้าสู่ภวังค์ ไม่รับรู้ความรู้สึกจากร่างกาย (ตอนนั้นยังไม่ได้ฝึกสมาธิจริงจัง คิดว่าคงตายแน่ๆทีนี้) ได้ยินเสียงในจิตถามว่า "จะตายแล้ว แล้วจะไปไหน?" ได้ยินเสียงใครไม่รู้ดังไกลๆบอกว่า "กลับไปอยู่กับท่าน...ผู้เป็น...สิ" จิตเลยบอกว่า "ไม่กลับไปไหนทั้งนั้นแหละ จะไปนิพพาน จะตายก็ชั่งมัน" เสียงนั้นก็หายไป...บาดเจ็บคราวนั้นใช้เวลารักษาตัวอยู่ 2 ปี ทุกวันนี้ก็ยังมีเจ็บๆอยู่บ้าง
    บทสรุป: นิทานเรื่องนี้ให้แง่คิดว่า เวลาจะตายจิตสุดท้ายก่อนออกจากร่าง คือผู้พาเราไปยังภพภูมิต่อไป ถือเป็นบททดสอบด่านสุดท้าย ถ้ากำลังใจดีก็ได้ดีกันไป


    เรื่องที่ 2. หลังจากบาดเจ็บไม่ถึงเดือน เลยไปบวชพระ ตั้งใจบวช 7 วัน พอดีมีญาติแกเป็นลูกกำพร้า อายุ 40 กว่า ติดเหล้าหนัก เป็นโรคประจำตัว อยากกลับตัวกลับใจ เราเลยร่วมเป็นเจ้าภาพ บวชกัน 2 คน พอบวชได้ 4 วัน แกมรณภาพคากุฏิ (วัด ตจว. กุฏิมุงหญ้า คนละหลังติดกัน)เพราะเลิกสุราแบบกระทันหัน และเป็นวัณโรค...เราเลยเห็นความตายแบบใกล้ชิด ช่วงแรก พยายามฝึกให้ท่านทำสมาธิ "พุทโธๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" แต่แกทำไม่ได้เลย เพราะกำลังใจไม่ได้ และไม่เคยทำ คืนก่อนวันมรณภาพ 1 วัน แกบอกว่า "เมื่อคืนเห็นญาติๆ ที่ตายไปแล้วมาหาแกหลายคนมาก มาทักทาย" เราก็คิดในใจ "เอาล่ะหวา เคยได้อ่านหนังสือหลวงปู่ฤาษีท่านเคยเขียนไว้ว่าคนใกล้ตายจิตจะเปิด จะเห็นวิญญาณ ตรงกันเผง!" ก็พยายามบอกแกว่า “หลวงพี่ๆ อย่าลืมพุทโธนะๆๆ” พอมาตอนเช้า แกอาการหนัก ญาติๆ เลยส่งไปโรงพยาบาลอำเภอ แล้วส่งต่อไปจังหวัด ตอนบ่าย 3 เราทำสมาธิเสร็จ (ตอนนั้นฝึกเองตามประสา เพราะไม่มีคนสอน) ออกจากกุฎิมาเห็นภาพแกปูเสื่อนอนกลิ้งกระแด่วๆ ตรงพื้นข้างๆกุฏิ ไม่ชัดมาก เห็นลางๆ จากตาเนื้อ(ครั้งแรกที่เห็นวิญญาณจากตาเนื้อ หรือว่าเราตาฝาดก็ไม่รู้นะตอนนั้น)...เลยคิดในใจว่า หลวงพี่คงไปแล้ว...ตกเย็นๆ พี่ชายมาบอกว่าหลวงพี่เสียแล้วหมอบอกว่าเสียเวลาประมาณ บ่าย 3 นั่นแหละ...จากคิดบวช 7 วัน เลยได้อยู่ 9 วัน จนงานศพเสร็จ
    บทสรุป: เรื่องนี้ให้แง่คิดว่า อย่าประมาทคิดทำความดีใกล้ตาย จะไม่ทันการณ์

    เรื่องที่ 3. ช่วงฝึกสมาธิจริงจังช่วงแรก ทำสมาธิต่อเนื่อง 1 ชั่วโมงกว่าครั้งแรกในชีวิต ตอนนั้น “จิต” ไม่กลัวตายแล้ว คิดว่าตายก็ชั่งมัน อยากจะรู้เหมือนกันว่า “ความตาย” เป็นยังไง...เลยได้รู้เลย...พอออกจากสมาธิ ลืมตา ก็ลุกขึ้นยืนทันที ปรากฎว่า หน้ามืด ชักกระตุก อยู่ในห้องพระคนเดียว ไม่รู้ขาไปโดนอะไรบ้าง อิรุงตุงนังไปหมด ตอนนั้น จิตไม่รับรู้ร่างกายแล้ว หูดับ เหลือแค่ "จิต" จริงๆ มันมีแสงสว่างด้านหน้าพุ่งเข้ามา คิดว่า “ตายแน่แล้ว ตายช่างมัน” แล้วก็มีเสียงบอกก้องในจิตว่า “ยังไม่ถึงเวลาตาย นี่แหละ การปฏิบัติ ให้เดินทางสายกลาง อย่าตึง หรือหย่อนเกินไป มันจะตายโดยเปล่าประโยชน์ ฯลฯ ” เราก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วก็ค่อยๆเหยียดขาจนหายเป็นปกติ...
    บทสรุป: เรื่องนี้ให้แง่คิดว่า เวลาจะตายมันเป็นยังงี้นี่เอง ก็เลยต้องปฏิบัติตามทางสายกลางของพุทธองค์

    อาจจะยาวหน่อย ขอบคุณที่อ่าน โปรดใช้วิจารณญาณก่อนเชื่อครับ และขออนุโมทนาบารมีกับท่านทั้งหลายครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2013
  17. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    ขอบคุณมากนะครับท่าน hastin ได้อะไรดีๆมีประโยชน์อ่านอีกแล้ว
     
  18. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    ใครเคยได้ยินเรื่องพระนางมัลลิกาที่เท้าไปแหย่นรก 7 วันบ้างครับ ผมอ่านมาจบแล้วแต่จำชื่อคนแต่ละคนไม่ได้กลัวอ้างผิด หลังจาก 7 วันนางไปดุสิตหนิ่ครับ ถึงแม้จะใช้กรรมก่อน แต่ก็มีเทวดามาช่วยให้นางนึกถึงบุญอยู่แต่นางก็ไม่นึกนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...