หลวงพ่อฤๅษีฯ กับ หลวงปู่ชุ่ม

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย pongio, 5 พฤศจิกายน 2013.

  1. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,851
    "ตามรอยพระบาท" มุ่งนำเสนอเรื่องราวประวัติศาสตร์-ตำนานอันทรงคุณค่า เนื่องแต่การเดินทางเผยแผ่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางสถานที่ ยังเป็นการตามรอยพระบาทของครูบาอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ อย่างครูบาเจ้าศรีวิชัยด้วย เพราะสถานที่นั้น ๆ ครูบาอาจารย์ให้ไปสักการะ บูรณะ พัฒนาไว้ก่อนแล้ว นับเป็นการตามรอยพระบาทสมดังชื่อหนังสืออย่างแท้จริง

    นอกจากนี้ ตอนหนึ่งในหนังสือ ยังได้ตีพิมพ์บทสนทนาระหว่าง หลวงพ่อพระราชพรหมยาน และหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่ม โพธิโก เมื่อครั้งที่ท่านทั้งสอง พบกันที่วัดพระธาตุจอมกิจจิ เมื่อปี พ.ศ. 2518 จึงขออนุญาตพระคุณเจ้าคัดลอกมาบางส่วนมานำเสนอ เพื่อเจริญศรัทธาของสาธุชนรุ่นหลัง ให้ได้ทราบถึงปฏิปทาของพระอริยเจ้าทั้งสอง เสมือนดังได้ไปกราบใกล้ชิด ฟังเรื่องราวต่างๆ ด้วยตนเอง


    "บัดนี้ นับเป็นโอกาสอันดี ที่จะเผยแพร่เทปบันทึกการสนทนาระหว่าง "หลวงพ่อฤๅษีฯ" กับ "หลวงปู่ชุ่ม" โดยมี "หลวงปู่บุญทืม" นั่งอยู่ด้วย ซึ่งคำสนทนาเหล่านี้ยังไม่เคยลงหนังสือเล่มใดมาก่อน

    ณ วัดพระธาตุจอมกิจจิ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2518

    คำสนทนาระหว่าง หลวงพ่อฤๅษีฯ กับหลวงปู่ชุ่ม

    หลวงพ่อฤๅษีฯ - หลวงปู่เล่าประวัติให้ฟังซิครับ

    หลวงปู่ชุ่ม - วันนี้อาตมาขอเจริญพรท่านพระเดชพระคุณเจ้า และทายกทายิกาทั้งหลายทุกท่าน มีท่านพระเดชพระคุณเจ้าเป็นหัวหน้า ที่ได้ออกเดินจะมา อ้า...ตามกันมาทำบุญทำทาน และปรารถนาบุญโชคลาภอันนี้ ก็ได้เข้ามาที่ดอยกิจจินี้ อาตมามีความปลื้มอกปลื้มใจปราโมทย์ด้วยเหตุหลายอย่างหลายประการ พระบรมธาตุในสถานที่นี้อาจจะสำเร็จด้วยคราวนี้ พระเดชพระคุณเจ้านำพวกญาติโยมทั้งหลายเข้ามาในสถานที่นี้ แต่ว่าดอยกิจจิเป็นมาอย่างไร อาตมาก็ยังไม่รู้ซึ้ง อาตมาก็อยู่ในจังหวัดลำพูน คือที่นี่เป็นอำเภอสันทราย จังหวัดลำพูนก็ซ้อนกับเชียงใหม่ ก็ขึ้นมาประจำอยู่ที่นี่ในราวสักเดือนกว่า ๆ แล้ว ก็มาได้สร้างพระบรมธาตุ สร้างศาลา และได้สร้างพระนอนอันนี้

    พระบรมธาตุนี้ ปางเมื่อพระพุทธองค์เราเสด็จมาถึงที่นี่ ครั้งที่หนึ่งจะมาวางประทับเหยียบย่ำที่นี่ก็ไม่มีอันใดจักเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าก็กลับไปโปรดเบื้องหน้าทิศหนึ่ง ครั้นมาครั้งที่สอง ก็เข้ามาในสถานที่นี้ มาลูบหัว ก็ไม่ได้เกศาอะไร พระพุทธเจ้าก็เลยลอยขึ้นด้วยอิทธิฤทธิ์ แล้วก็เปล่งรัศมีออกไปสี่ทิศ มีพระพุทธรูปสี่องค์ องค์ที่หนึ่งที่สองเอาหลังเข้านาบด้วยกัน แล้วเบนหน้าไปสองทิศ คือทิศตะวันตก และทิศตะวันออก องค์ที่สอง ก็เบนหน้าขึ้นเหนือล่องใต้ มีพระอินทร์มารับเอาที่พระเนรมิตนั้นแหละ ฝังลงในพระบรมธาตุเจ้า ลึกอยู่สิบสองศอก เป็นที่สักการบูชาแก่คนและเทวดา ในฐานะที่พระบรมธาตุเจ้านี้เป็นที่พระเนรมิตด้วย อีกอย่างหนึ่ง อาตมาก็จะสร้างพระไสยาสน์ คือพระนอน ก็ยาวสิบสองศอกเท่าพระเนรมิตด้วย อาตมาก็สืบประวัติมาถึงแค่นี้แหละ แล้วก็มีพระอยู่ 3 รูป รูปที่ 1 ก็มาสร้างพระบรมธาตุนี้ ก็เสร็จไป แล้วก็โทรมลงไปอีก ถึงครั้งที่ 2 ที่พระมาสร้างพระบรมธาตุนี้ ก็กลับมาโทรมไป พอถึงครั้งที่ 3 ก็จะมาเป็นใครก็ไม่รู้ละ ก็จะขออาราธนาพระเดชพระคุณเจ้ามาเป็นหลักฐานอยู่ที่นี่

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – ไม่ได้น่ะ เอาคนมาเป็นหลัก มันเป็นไปได้เหรอ

    หลวงปู่ชุ่ม – ครับ

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – ก็มีอยู่แล้ว หลวงปู่ชุ่มนั่นแหละนะ หลวงปู่ก็เป็นหลักอยู่แล้วไม่เป็นไรครับ

    หลวงปู่ชุ่ม – ที่พระบรมธาตุเจ้านี่ อาตมาก็ได้เข้ามาอยู่ในสถานที่นี้ มาพัฒนาอยู่ที่นี้ก็ยังไม่นานสักเท่าไร ก็ได้เดือนกว่า ๆ พระบรมธาตุเจ้าก็เสร็จไป และศาลาหลังหนึ่งก็เสร็จไปแล้ว ก็ยังอยู่พระไสยาสน์นั่นแหละ ยังไม่ลงมือทำ ก็จะทำกันวันนี้ จึงนับว่าเป็นปรารถนานาบุญโชค โชคดี พระเดชพระคุณเจ้าได้นำพวกญาติโยม ทายก ทายิกา เข้ามาในจอมกิจจินี้ ก็นับว่ากระผมก็มีความปลื้มอกปลื้มใจในคราวนี้ ขออนุโมทนาสาธุการทุกสิ่งทุกประการด้วย

    ฆราวาส – เป็นแสงพุ่ง

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – เป็นแสงสว่างขึ้นเหรอ

    ฆราวาส – ครับ

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – เอ... ปรากฏเป็นขึ้นเฉยๆ หรือว่าจะเป็นดวงดาวลอยมีมั่งมั้ย

    ฆราวาส – ก็...มันเป็นแสงพุ่งขึ้นไปนะครับ

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – เออ...งั้นก็ใช้ได้ เคยเห็นเหมือนกัน ที่เป็นแสงพุ่งนี่ก็เคยเห็นที่จังหวัดประจวบฯ ที่เกาะยายฉิม คืนนั้นไปนอนอยู่กลางดึก ฉันตื่นขึ้นมาเห็นแสงสว่างพุ่งขึ้นมา สว่างจัดนะ เออ...ก็ดี ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ ก็เป็นนิมิตน่ะ ในนั้นต้องมีพระบรมสารีริกธาตุ หรือว่าจอมเกศาแน่

    หลวงปู่ชุ่ม – ใช่ครับ

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – ดอยนี่ก็สูง หลวงปู่ทำทางขึ้นมาเองเรอะ

    หลวงปู่ชุ่ม – ทำทางมาเอง กับพวกญาติโยมเขา...

    หลวงพ่อฤๅษีฯ - ครับๆ หลวงปู่ดีแล้วไปได้ไม้ เท้าครูบานะ (ไม้เท้าของครูบาศรีวิชัย) เอ๊ะ.. หลวงปู่ทึมได้อะไรที่ครูบาไว้ครับ..เห็นโลงตั้งข้างนี่

    หลวงปู่บุญทึม - ไม่มีอะไร

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – ไม่มีอะไร..เห็นโลงหีบตั้งข้าง ตั้งอยู่นี่..โลงฝากใคร หรือว่าโลงฝากหลวงปู่ เอาแบบครูบาไว้ได้ บ้านหลังสุดท้ายไว้หลวงปู่ทึม

    หลวงปู่บุญทึม - ได้บ้านหลังสุดท้าย

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – เหมือนบ้านหลังสุดท้ายนั่นนะ หลวงปู่นี่ได้ไม้เท้า

    หลวงปู่ชุ่ม - ได้ไม้เท้า

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – เลยต้องเท้าเรื่อยไปเลย

    หลวงปู่ชุ่ม - ครับ

    ลูกศิษย์ - ตอนนี้รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 11,404 บาทครับ

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – ความจริงนี่ พวกเราไม่ใช่พวกจนๆ นะ..พวกรวย ถ้ากลับไปนี่รวยกันใหญ่นะ ขอให้ทุกคนจงรวยกัน เพราะว่าไปวัดไหนก็ทำบุญกันทุกวัด การทำทานแก่พระอริยเจ้าอย่างหนึ่ง แล้วก็ทำทานเพื่อพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา

    นี่เราบูชาพระพุทธเจ้าโดยตรงกัน เพราะว่าเป็นสถานที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จประทับ ฉะนั้น อานิสงส์ที่จะมีมากเป็นของธรรมดา นี่กลับไปนี่ก็หากว่าใครอยากถูกหวยก็ขอให้ถูกนะ ใครอยากได้ขึ้นเงินเดือนก็ขอให้ได้ขึ้น ใครอยากค้าขายให้ร่ำรวย ก็ขอให้ร่ำรวยสมความปรารถนา แต่ใครได้มากเท่าไรก็ไม่ว่า แบ่งพระครึ่งหนึ่งดีไหมครับ?

    หลวงปู่ชุ่ม - ครับ

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – อันนี้เป็นอานิสงส์จริงๆ นี่เราทำกันนี่ไม่มีอะไรเป็นสัญลักษณ์ ไม่มีอะไรเป็นเครื่องแลกเปลี่ยน ไม่ใช่ว่าทำบุญหวังโน่นหวังนี่ เราทำกันมาก็เพราะว่าท่านบอกว่า ที่นี่ท่านจะสร้างเป็นวิหารทาน เราก็ทราบอยู่แล้วว่า วิหารทานนี่มีอานิสงส์สูงสุดในด้าน อามิสทาน ทั้งปวง แล้วก็สำหรับผู้รับทานก็เป็นพระบริสุทธิ์ หากว่าท่านไม่บริสุทธิ์ ท่านก็ตกนรกไปเองนะ พวกเราไม่ต้องห่วง จะตายมั๊ยล่ะหลวงปู่น่ะ?

    หลวงปู่ชุ่ม - ไม่ตายน่ะ

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – ไม่ตาย..อ้าว..แล้วไม่ตาย..นี่แสดงว่าบริสุทธิ์นะ

    หลวงปู่ชุ่ม - ทุก..ทุกๆ วันนี่กระผมก็หนีไปจากนรก

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – หา...!

    หลวงปู่ชุ่ม - อยากใคร่ไปพระนิพพาน

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – หา...! (หลวงพ่อแกล้งงง)

    หลวงปู่ชุ่ม - หนี..หนีไปจากนรก อยากใคร่ พระนิพพานด้วย

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – อ๋อ..อย่างนั้นเหรอ!

    หลวงปู่ชุ่ม - ครับ

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – ระหว่างนี้หนีนรก....อยากไป...นิพพาน

    หลวงปู่ชุ่ม - นิพพาน

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – ไปยัง..ไปยังครับ?

    หลวงปู่ชุ่ม - หา...! (หลวงปู่แกล้งงงบ้าง)

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – จะไปหรือยังล่ะ?

    หลวงปู่ชุ่ม - อ้อ..ยังอยู่รอญาติโยมทั้งหลายมามากก่อน

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – นี่ก็จะไปนะนี่ อ้อ...

    หลวงปู่ชุ่ม - จะเอาพวกญาติโยมไปด้วยกัน เป็นหมู่เป็นฝูงด้วย

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – ครับ ๆ อ๋อ...

    ลูกศิษย์ - สาธุ...!

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – ได้ไปแน่นะ?

    หลวงปู่ชุ่ม - ครับ

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – นี่ก็ต้องเป็นเรื่องธรรมดา

    หลวงปู่ชุ่ม - ใช่

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – พระพุทธเจ้าตรัสว่า การคบคนเช่นใด ย่อมเป็นเหมือนคนเช่นนั้น ถ้าเราคบพระอริยเจ้า เราก็จะได้เป็นพระอริยเจ้าด้วย ถ้าเราคบสัตว์นรก เราก็ได้เป็นสัตว์นรกด้วย แต่นี้หลวงปู่ท่านบอกว่า ท่านหนีจากนรกจะไปนิพพาน เมื่อท่านไปได้ พวกเราไปไม่ทันก็ช่วยกันดึงสบงไว้ ทำไมล่ะ..ดึงจีวรไม่แน่น่ะ พอ มีสบงไปได้นะ ถ้าพวกเราไปดึงสบงเข้าไว้ก่อน ไม่กล้าไปล่ะ นางฟ้าตามชั้นอยู่กราว ก็เขาผ่านน่ะ ผ่านสวรรค์นะ

    หลวงปู่ชุ่ม - ครับ

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – เอ้อ..ถ้าฉะนั้น..เป็นอันว่าการบำเพ็ญกุศลวันนี้นะ ตอนนี้รู้สึกว่าอันนี้เรา จะพูดอานิสงส์ ต้องจัดเป็นอานิสงส์ใหญ่มาก เพราะว่าเราไม่มีเจตนาเดิมไว้ก่อน การทำบุญนี่ ถ้าเราตั้งท่าทำ..เตรียมการทำนี่..เขาบอกว่าอานิสงส์ที่จะพึงได้นั้น ก็คือได้ด้วยกิจปกติเกี่ยวกับการงาน ถ้าบุญประเภทใด ทำด้วยอาการฉับพลัน โดยไม่มีการเตรียมการไว้ก่อน ท่านบอกว่าจะเป็นบุญได้ลาภลอย อย่างพวกถูกล็อตเตอรี่ หรืออยู่ๆ ชาวบ้านเขาเอาเงินมาให้ บอกลาภให้ บอกการค้าให้ อย่างนี้ไม่คิดขึ้น นี่เป็นผล เคยสังเกตมาตั้งแต่เด็ก หลวงพ่อปาน เคยบอกมา บางทีเห็นหน้าขอท่านก็ไม่เห็น ขอทานไม่เข้ามาขอก็เรียกเข้ามารับ หนักๆ เข้าเวลาเราจะไปทางไหนมันจะอดตาย กลับได้มากกว่าที่คิดว่าจะพึงได้ ผลไม่ได้ตั้งใจ จะได้มันเอง นี่ก็เป็นอานิสงส์ นี่ก็เหมือนกัน สถานที่นี้ก็ดี ที่อื่นใดก็ดี ที่เรามาตั้งใจนมัสการ เราไม่ได้คิดว่าจะมาทำบุญกันเท่าไหร่ โดยเฉพาะสถานที่นี้ เราไม่เคยตั้งใจกันมาเลยว่าจะมา แล้วเมื่อมากันแล้ว ทุกคนก็มีศรัทธาด้วยกำลังจิตที่ศรัทธาแท้ เพราะว่าในฐานะเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่แสดงว่าพวกเรานี่ เคยพบกันมาก่อน เป็นญาติมิตรกันมาก่อน และเคยร่วมบำเพ็ญบารมีกันมาในกาลก่อน..ใช่ไหมหลวงปู่?

    หลวงปู่ชุ่ม - ใช่

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – ถึงได้มาพบกันเข้าแล้วก็ตั้งใจ บำเพ็ญกุศลอย่างนี้เรียกว่า “ทำบุญกุศลด้วยอาการของการฉับพลัน” ฉะนั้น อานิสงส์ที่จะพึงได้ ก็ได้ในฉับพลันเหมือนกัน เข้าใจว่าไปคราวนี้ ทุกท่านถูกหวยหมด ถ้าไม่ถูกมาบีบคอหลวงพ่อชุ่มก็แล้วกัน..!

    หลวงปู่ชุ่ม - เอาเป็นประกันที่ดี

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – อ้า..ถือว่าเป็นอานิสงส์ใหญ่ นี่เป็นเรื่องจริงนะ การทำบุญฉับพลัน ให้ผลฉับพลันจริงๆ การฝืดเคืองใดๆ จะปรากฏ ให้สังเกตดูไว้ ถ้าทำบุญแบบนี้ การหา..ความเป็น อยู่จะคล่องตัวขึ้นมาทุกทีๆ แล้วหนักๆ เข้า เราไม่คิดว่าเราจะพึงได้ขนาดนี้ เราไม่คิดว่าจะเคยพบ เราก็จะได้พบ

    อย่างนี้อาตมาเองประสบมากับตัวเอง คือตั้งแต่บวชพรรษาแรก เขาเรียกว่าทำบุญล่อนจ้อนทุกปี เหลือไตรชุดเดียว แล้วก็ของทุกอย่างออกพรรษาแล้วไม่ให้มันเหลือ ต่อมาในระหว่างนี้ สวดมนต์เย็นก็ไม่ไหว เทศน์ก็ไม่ไหว แต่ก็ไม่อดตาย บรรดาญาติโยมสงเคราะห์ นี่ก็เพราะอาศัยอานิสงส์ปัจจุบันที่ทำ ก็ทำบุญอาการฉับพลัน

    ฉะนั้น บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่านที่มากันในคราวนี้ หรือคราวก่อนก็ดี การกระทำทุกอย่าง อาตมารู้สึกว่าเป็นที่พอใจมาก เพราะปฏิบัติเป็นปฏิปทาเดียวกันอย่างที่อาตมาได้ทำมา ฉะนั้น ผลบุญอันใดที่อาตมาได้ทำมาแล้ว ได้รับผลในปัจจุบันคือว่าไม่อดตายนี่ฉันใด อาตมาก็หวังอย่างยิ่งว่า บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ก็คงมีการคล่องตัวเช่นเดียวกัน

    หลวงปู่ชุ่ม - วันนี้อาตมาก็มีความปลื้มอก ปลื้มใจกับพวกญาติโยม ทายกทายิกาทั้งหลาย ได้เดินสัญจรมาทำบุญในคราวนี้ เพราะพระเดชพระคุณเจ้าเป็นหัวหน้าพวกทายกทายิกา ทั้งหลายเข้ามาที่ดอยจอมกิจจิ และได้เอาจตุปัจจัยมาถวายพัฒนาทางขึ้น คราวนี้ขอคุณพระศรีไตรรัตนะทั้ง 3 ประการ ตั้งอยู่กระหม่อมจอมขวัญแห่งบรรดา ทายกทายิกา เพื่ออยู่ชุ่มเนื้อเย็นใจ คิดหาอันใดก็สมบูรณ์ทุกสิ่งทุกประการ ทำการทำงานอันใด ก็ขอหื้อสมดังคำปรารถนาทุกอย่างทุกประการเทอญ

    ลูกศิษย์ - สาธุ..!

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – เวลานี้ก็ปรากฏว่าเหลืออีก 5 นาที 16.00 น. เห็นจะลาหลวงปู่กลับได้แล้วสินะ สตุ้ง..สตังค์..หลวงปู่เอาหมดแล้ว นี่ขืนอยู่.. ดีไม่ดีก็ต้องแก้กางเกงไว้ให้อีกทีละยุ่งเลย.. ที่นี่มีความสำคัญ...

    หลวงปู่ชุ่ม - ใช่ครับ ตอนกระผมมาพักอยู่ นี้ ได้อยู่เดือนกับสิบหกวันครับ

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – สงสัยว่า พระมหากัจจายนะ จะมานะ

    หลวงปู่ชุ่ม - อะไร?

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – สงสัยว่าพระมหากัจจายนะจะมาบ่อย

    หลวงปู่ชุ่ม - ใช่

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – เมื่อกี้เห็นผ่านไป ตอนมาแล้ว พระมหากัจจายนะท่านเป็นนักเทศน์อยู่นี่

    หลวงปู่ชุ่ม - ใช่

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – นะครับ..ก็เพราะเป็นพุทธภูมิเก่า ไปไหนมักจะเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ เป็นแดนเก่าแน่ เพราะว่าตอนที่หลวงปู่ให้พร ผ่านมาให้เห็นหลายองค์ องค์หนึ่งรู้สึกขาวใหญ่ ใส..สวยดี สงสัยจะเป็นพระมหากัจจายนะ

    หลวงปู่ชุ่ม - ครับ

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – ความจริงก็จะเริ่มเป็น ปฏิรูปเทสจริงๆ (คำว่า “ปฏิรูปเทส” คือเป็นสถานที่อันเหมาะสม) ถึงได้มองเห็นเพราะเป็นรัศมี จริงๆ คิดถึงไหว้พระพุทธเจ้าที่ไหนก็ถึง ไหว้ในส้วมก็ถึง..ถึงไหมครับ?

    หลวงปู่ชุ่ม - ใช่ครับ

    หลวงพ่อฤๅษีฯ – เออ..เจริญสุขๆ นะ เป็นอันว่าการเดินทางในวันนี้ ทำบุญแล้วทั้งหมดเกือบแสนบาท...

    บทสนทนาจากในหนังสือ “ตามรอยพระพุทธบาท” จบลงเท่านี้
     
  2. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,851
    มีเรื่องน่าแปลกบางประการที่ปรากฏชัดในเวลาต่อมา คือสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของหลวงพ่อพระราชพรหมยานกับหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่มนั้น ยากยิ่งจะหยั่งคำนวณได้

    ตามความเป็นจริงทางโลก ท่านเพิ่งพบกันครั้งแรกในปี พ.ศ. 2518 และหลังจากนั้น ก็ติดต่อกันไปอย่างใกล้ชิดสนิทสนมยิ่ง ทั้งทางศาสนกิจต่างๆ และการบำเพ็ญสาธารประโยชน์โปรดประชาชนผู้ยากไร้ ทหารตำรวจผู้เสียสละกล้าหาญตามชายแดนไทย ดังจะได้นำเสนอเพิ่มเติมต่อไป

    ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ครูบาเจ้าชุ่มกับ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเพิ่งพบกันในปี พ.ศ. 2518 แต่ครูบาเจ้าชุ่มท่านกลับสามารถ “รับรอง” ให้ลูกศิษย์ของท่านไปหา “หลวงพ่อใหญ่ วัดท่าซุง” ได้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 (คือตั้งแต่ยังไม่ได้รู้จักกันในทางโลกนั่นเอง) หลวงพ่อบุญรัตน์ยังเคยกล่าวถึงคณาจารย์ของท่านด้วยความเคารพนับถือว่า

    “สมัยก่อนนั้นท่านเล่นฤทธิ์กันอย่างครึกครื้นบันเทิงธรรมจริงๆ อย่างเช่น เมื่อสมัยที่หลวงปู่คำแสนทั้ง 2 องค์ยังอยู่นั้น หลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านจะเป็นกรรมการคอยตรวจสอบ หลวงปู่คำแสนใหญ่ส่งของอะไรลอยไปหาหลวงปู่คำแสนเล็ก หลวงปู่คำแสนเล็กเข้าฌานมาหาหลวงปู่คำแสนใหญ่ และบางครั้งก็นั่งสมาธิไปเรียกหลวงปู่ครูบาชุ่มจากวัดวังมุย บอกว่าหลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านมาอยู่ที่วัดดอนมูลแล้ว สมัยนั้นหลวงปู่คำแสนทั้ง 2 องค์ หลวงปู่ครูบาชุ่ม หลวงปู่ธรรมชัย และหลวงปู่ชัยวงศ์ หลวงพ่อฤๅษี แทบจะไม่ต้องใช้หนังสือหรือจดหมายบอกข่าวกันเลย เพราะสมาธิจิตทุกองค์ติดต่อกันได้หมด...”

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ท่านก็เคยเล่าถึงความ “พิเศษ” อันเกี่ยวเนื่องกับพระอริยเจ้าสายเหนือไว้ด้วยตนเองหลายแห่ง เช่น ในหนังสือ “คำแสนนุสรณ์” ที่ท่านจัดพิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ของ หลวงปุ่คำแสน คุณาลังกาโร

    “เมื่อมีโอกาสพบกันครบคณะคือ หลวงปู่คำแสน หลวงปู่ชุ่ม หลวงปู่ทืม การพบกันคราวนั้นเป็นการพบกันอย่างบังเอิญ ไม่มีใครเจือปนอยู่เลย พบกันแบบนักบวชซุกซน ไปชนกันเข้าโดยที่มิได้ตั้งใจ แต่ละท่านต่างก็ปรารภเหตุและผลในการปฏิบัติรู้สึกดีใจที่ทุกท่านเปิดเผยความจริงอย่างไม่มีอะไรปิดบัง เรื่องนี้พูดให้ฟังไม่ได้

    ต่อมาท่านก็ทำสนุกให้ดู โดยหลวงปู่ชุ่มเริ่มต้นก่อน โดยท่านกล่าวหาว่าหลวงปู่คำแสนว่า ‘มีดีแต่ชอบคุดดี’

    เมื่อโต้เถียงกันอยู่ครู่หนึ่งหลวงปู่คำแสนก็สรุปสั้นๆ ว่า ‘เราโตแล้ว อย่าเล่นอย่างเด็กเลย’

    ท่านหนึ่งในที่นั้นก็พูดว่า ‘คนที่ไร้ความสามารถเท่านั้นที่เขาจะพูดอย่างนี้ คนที่มีความสามารถไม่มีใครเขาพูดอย่างนี้ เพราะเวลานี้มีด้วยกัน ๔ คน’

    หลวงปู่คำแสนท่านยิ้ม ไม่ยอมพูดอะไรทั้งหมด ท่านหาเรื่องคุยเรื่องอื่น

    เมื่อคุยกันไปสัก 2 นาที ปรากฏว่าหลวงปู่คำแสนหายไปจากที่คุย กายหายแต่เสียงยังปรากฏ คุยกันตามปกติแต่มองไม่เห็นตัว ต่อมาปรากฏว่าหลวงปู่ชุ่มก็กายหายแต่เสียงมี สำหรับหลวงปู่ทืมก็กลายเป็นหนุ่มขาวสวยกว่าปกติมาก ผู้เขียนงงเต็มที ในที่สุดเวลาผ่านไปสัก 5 นาที ก็มีสภาพปกติ

    ถามท่านว่า ‘หลวงปู่ทั้งสามเล่นกลแบบไหนครับ’

    ท่านก็ตอบว่า ‘เล่นแบบเด็กอมมือ’

    ท่านถามว่า ‘คุณทำไมไม่เล่น’ ผู้เขียนก็กราบเรียนท่านตามความจริงว่า ‘เล่นไม่เป็น ไม่เคยฝึกวิชากล’ แล้วต่างคนต่างก็หัวเราะ

    หลวงปู่ชุ่มท่านต่อว่า ‘หลวงน้องเอาเปรียบหลวงพี่ คนอย่างนี้บาปหนัก’

    จึงกราบเรียนท่านว่า ‘บาปมันหนักมันก็วิ่งตามผมไม่ทัน ผมสามารถหนีมันพ้น เท่านี้ผมสบายใจแล้ว’ ท่านทั้งสามก็หัวเราะพร้อมกัน…”
     
  3. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,851
    ฐานะของความเป็น “พี่น้อง” นี้ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ยังได้เล่าไว้ในแหล่งอื่นๆเช่น ในเรื่องเกี่ยวกับ “แก้วจักรพรรดิ” อันเป็นต้นแบบ “แก้วมณีรัตนะ” ของวัดท่าซุง อีกเรื่องหนึ่งที่ดูจะเป็นเรื่องซึ่งขึ้นสู่ระดับคลาสสิกไปแล้ว ด้วยว่าผู้ศรัทธาต่างหยิบยกมาเล่าถึงอย่างไม่รู้เบื่อ คือตอนที่คณะของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน กับหลวงพ่อหลวงปู่อีกหลายองค์ เช่นหลวงปู่คำแสน ครูบาธรรมชัย ครูบาวงศ์ หลวงพ่อสิม รวมทั้ง หลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่มได้ร่วมกันไปปฏิบัติศาสนกิจใน “พิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สมเด็จพระพุทธมหามงคลบพิตร” ที่ ต.น้ำน้อย อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2519 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ พร้อมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์อีกหลายพระองค์ เสด็จฯ มาเป็นประธานในพิธี

    หลังจากเสร็จพิธีแล้ว คณะศรัทธาญาติโยมได้นิมนต์พระอาจารย์ที่ร่วมในพิธีอีกหลายองค์ ไปเที่ยวน้ำตกทรายขาว อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ซึ่งมีการบันทึกไว้ว่า

    “น้ำตกทรายขาว เป็นเทือกเขาใหญ่สูงสุดที่สำคัญมากในปัตตานี ในอดีตเคยมีการทำเหมืองทองคำที่เขาลูกนี้ คณะหลวงปู่หลวงพ่อที่ไปเที่ยวน้ำตกทรายขาวเป็นอันมาก ปรารภกันว่า สถานที่แห่งนี้ หลวงปู่ทวดเหยียบทะเลน้ำจืด เคยมาบำเพ็ญสมณะธรรมในอดีตกาลนานโพ้น และเมื่อประมาณ 60 - 70 ปีที่ล่วงมานี้ เคยมีผู้มาขุดหาแร่ทองคำทำเหมืองทองมาแล้ว แต่ได้เลิกร้างไปในเวลาต่อมา เพราะว่าทองคำในดินได้หมดไป

    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้เอ่ยขึ้นว่า "จะเป็นไปได้ล่ะหรือ ? ที่สายแร่ทองคำจะหมดไปได้ง่าย ๆ จากภูเขาทรายขาวนี้ น่าจะ ‘เพ่ง’ ดูใต้พื้นดินลึกลงไปว่า ยังมีแร่ทองคำเหลืออยู่บ้างหรือเปล่า”

    แล้วหลวงพ่อทุกองค์ที่ไปเที่ยวน้ำตกทรายขาวก็ได้ใช้พลังสมาธิ "เพ่ง" สำรวจดูใต้ผืนแผ่นธรณีในบริเวณนั้น

    หลวงพ่อชุ่ม โพธิโกเพ่งดูแล้วครู่หนึ่งก็บอกว่า “พบแร่ทองคำอยู่ลึกมากเหลืองอร่ามไปหมดเป็นตัน ๆ มากมายเหลือเกิน มนุษย์ยังไม่สามารถขุดค้นลงไปได้ถึง”

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ "เพ่ง" ดูบ้าง ก็เป็นทองคำอยู่ลึกลงไปใต้ดินเช่นเดียวกันกับที่หลวงพ่อชุ่มได้เพ่งเห็นทองคำเหมือนกัน

    แต่หลวงพ่อสิม พุทธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว ได้เพ่งดูแล้ว กลับมองไม่เห็นทองคำที่อยู่ใต้ดิน ท่านได้เห็นแต่มือดำ ๆ ใหญ่โตมาก เป็นมือมีห้านิ้วคล้ายมือมนุษย์แต่ใหญ่โตเท่าภูเขาเลากาอยู่ใต้ดิน

    หลวงปู่หลวงพ่อเหล่านั้นเมื่อได้ฟังคำตอบของหลวงพ่อสิม แล้วก็หัวเราะกันใหญ่ คือพวกท่านมีอารมณ์เพลิดเพลินสนุก นึกอยากจะหยอกล้อกันเล่นนั่นเอง ครูบาธรรมชัยจึงยกมือขึ้นแล้วบอกให้หลวงพ่อสิมเพ่งดูอีกครั้ง

    เมื่อหลวงพ่อสิมเพ่งดูลงไปใต้ดินก็พบว่า มือลึกลับใหญ่โตนั้นหายไป แล้วได้พบแร่ทองคำจำนวนมากมายอยู่ใต้ดินเหลืองอร่ามไปหมด หลวงพ่อสิมเลยหัวเราะใหญ่ เพราะได้รู้ว่า มือลึกลับใหญ่โตที่ปิดแร่ทองคำใต้ดินไว้เมื่อสักครู่นี้นั้น คือมือของครูบาธรรมชัยนั่นเอง หลวงพ่อสิมเลยกล่าวชมเชยยกย่องครูบาธรรมชัยเป็นการใหญ่ว่า เก่งมาก ๆ ๆ สามารถเอามือปิดกั้นขุมทองคำทั้งขุมไว้ได้ไม่ให้ท่านเห็น

    ครูบาธรรมชัยได้กราบขอขมาหลวงพ่อสิมที่ล่วงเกินล้อเล่นในครั้งนี้

    หลวงพ่อสิมหัวเราะชอบใจบอกว่า ไม่ถือ ๆ ๆ สนุกดี

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำถามหลวงพ่อสิมว่า ทำไมทองคำจำนวนมหึมานี้คนถึงขุดลงไปไม่พบ

    หลวงพ่อสิมหลับตาใช้ญาณหยั่งรู้อยู่ครู่หนึ่งก็ลืมตาตอบว่า

    “เมื่อถึงเวลาทองจำนวนนี้จะปรากฏขึ้นมาเอง เป็นทรัพย์ในดินของประเทศชาติ เป็นของคู่บุญญาบารมีของรัชกาลต่อไป ตอนนี้เทวดายังไม่ยอมให้ทองคำจำนวนนี้ปรากฏ เพราะยังไม่ถึงเวลา”

    หลวงพ่อชุ่ม โพธิโก กล่าวว่า

    “ทองคำที่นี่มีมากก็จริง แต่ยังเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับทองคำที่มีอยู่ในผืนแผ่นดินไทยอีกหลายแห่ง ต่อไปในอนาคตประเทศชาติของเราจะร่ำรวยใหญ่ ประชาชนก็จะร่ำรวยมีสุขตามดวงเมืองที่เจริญรุ่งโรจน์”

    ครูบาธรรมชัยหลับตาใช้ญาณหยั่งรู้บ้าง ท่านกล่าวว่า

    “ทองคำที่น้ำตกทรายขาวนี้เป็นของอาถรรพณ์ที่ฝังลึกอยู่ใต้ดินป้องกันไม่ให้ข้าศึกษาศัตรูมาครองได้ ข้าศึกศัตรูที่บังอาจล่วงล้ำก้าวข้ามขุมทองแห่งนี้เข้ามาจะพบกับความวิบัติฉิบหายในที่สุด”
     
  4. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,851
    ปัจฉิมวัยของหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่ม โพธิโก

    หลวงตาวัชรชัย หรือ พระครูภาวนาพิลาศ เป็นศิษย์ใกล้ชิดอีกท่านของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ผู้ได้เคยมีโอกาสใกล้ชิดและอุปัฏฐากหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่ม ในช่วง พ.ศ. 2518 และได้เขียนหนังสือระลึกถึง “พระสุปฏิปันโน” ทั้งหลายที่เป็นสหธรรมิกกับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำไว้ในหนังสือชื่อ “บนเส้นทางพระโยคาวจร” นามปากกา “สายฟ้า” เป็นหนังสือที่เขียนถึงพระอริยเจ้าหลายท่านได้อย่างซาบซึ้ง และก่อให้เกิดศรัทธาปสาทะต่อท่านเหล่านั้นได้ในทันที

    จึงขออนุญาตนำความบางตอนจากเนื้อหาเกี่ยวกับ “หลวงปู่ชุ่ม” มาเสนอ ณ โอกาสนี้

    “หลวงปู่ชุ่ม...หรือครูบาชุ่มของชาวหริภุญชัย เป็นศิษย์เอกขนานแท้ของของพระคุณหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย พระมหาโพธิสัตว์สงฆ์ผู้เป็นประดุจเทพเจ้าของชาวลานนาทั้งผอง ที่ว่าเป็นศิษย์เอกขนานแท้ ก็เพราะครูบาศรีวิชัยเป็นผู้ประทานกำเนิดบวชเป็นสมณะให้ ครั้นตอนครูบาศรีวิชัยมรณภาพลงไป หลวงปู่ชุ่มองค์นี้แหละ...ที่เป็นทายาทผู้รับมรดกครอบครองไม้เท้าและพัดหางนกยูงอันเป็นตราสัญลักษณ์ ประจำองค์ครูบาศรีวิชัย แสดงถึงคุณธรรมที่ท่านปฏิบัติได้ถึงขนาดนั้นแหละ และที่สำคัญท่านมาเกี่ยวข้องกับพ่อเรา (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง) ตั้งแต่อดีตชาติ คือเป็นพี่ชายพ่อเรา คู่กับหลวงปู่คำแสนเล็ก สามองค์นี้แหละลูกหลานเอย... ที่เป็นต้นกำเนิดการสถาปนาแผ่นดินไทยสมัยเชียงแสน นานนักหนามาแล้วโน่น...

    อดีตพูดถึง...ก็พิสูจน์แบบมนุษย์ให้คนทั้งหลายยอมรับยาก ก็ไม่เอาตรงนั้น... เอาตรงท่านทั้งสอง คือพ่อเรากับหลวงปู่ชุ่มพบกัน ก็ตอน พ.ศ. 2517 ต่างองค์ก็ต่างอายุเกิน 60 ปีแล้ว พ่อก็นิมนต์ หลวงปู่ให้มางานฉลองวัดประจำปี 2518 - 19 - 20 ทั้งสามปีนี่แหละ ที่ผู้เขียนได้ย้ำประทับภาพอมตะแห่งขุนเขาุชุ่มบุญบารมีองค์นี้ไม่มีลืม

    ปี 2518... ปีแรกที่หลวงปู่ชุ่มมาวัดท่าซุง ท่านก็มากับสามเณรน้อยอายุ 8 ปีรูปหนึ่ง พักอยู่กุฏิทรงไทยหลังที่ 6 ต้องบอกกันก่อนว่าเรื่องของหลวงปู่ชุ่มเขียนยากที่สุด เพราะท่านไม่ค่อยพูด ท่าทางเคร่งขรึมมั่นคงเยือกเย็น ก็เหมือนภูเขาชุ่มน้ำคลุมไปด้วยป่าเขียวสดอีกชั้นหนึ่ง นั่นแหละ ! ผู้เขียนไม่มีโอกาสได้ประจ๋อประแจ๋ ถามนั่นถามนี่เหมือนกับหลวงปู่่องค์อื่น คงได้แต่ดูแลปรนนิบัติ เหมือนชื่นชมทิวทัศน์ป่าเขาลำธารน้ำใสยังไงยังงั้น... ไม่ค่อยจะได้เนื้อนาหาเรื่องมาเขียนเล่าถนัดใจนัก ก็เล่าบอกตามลำดับมาก็แล้วกัน

    พ่อบอกว่า...หลวงปู่ชุ่มเป็นพระอรหันต์ทรงปฏิสัมภิทาญาณ เวลาท่านมองเรานี่ มองเหมือนมองผ่านอากาศ โธ่เอ๋ย... จะให้ความสำคัญกับเราสักนิดเหมือนยิ้มกับลูกหมาก็ไม่ได้ นี่เป็นจริยาอาการปกติของท่าน ผู้เขียนนึกไปโน่น นึกถึงอากาสานัญจา วิญญานัญจา อากิญจัญญา เนวสัญญานาสัญญา... แปลว่าอะไรก็ไม่รู้ล่ะ อรูปฌานทั้ง 4 นั่นแหละ ใจท่านคงทรงอารมณ์นั้นๆ แหละจนชิน เวลาไม่มีธุระจะพูดคุยกับผู้คน ก็อย่างนั้นแหละ มองอะไรเป็นอากาศ ไม่มีเหลือเลย จะว่าจำได้ รู้จักมักคุ้นก็ไม่ใช่ โอย...ผู้เขียนเกรงหลวงปู่องค์นี้มาก จะว่าไม่รู้จักไม่สนใจก็ไม่ได้ เพราะเวลาท่านจะเอาธุระกับเรา ตาอย่างนี้มีประกายหมายมั่น เสียงติดดุ ๆ เอาด้วย...

    ทีนี้..เอาเรื่องหลวงปู่ชุ่มโดยตรง เล่าเป็นเกร็ด ๆ ไปเลย คืนแรกที่มาถึง ท่านก็นั่งพักสบายที่ชั้นล่าง ก็มีศิษย์ผู้ใหญ่ของพ่อคนหนึ่ง จำได้ว่าชื่อคุณพงษ์ คุณากร เข้ามากราบหลวงปู่ พอเขากราบ ความปีติกระมังทำให้ตัวเขาลอย ลอยจริง ๆ ลอยขึ้นมาสักศอกหนึ่ง หลวงปู่ชุ่มจับหัวกดลงไปกับพื้น ก้นแกก็ลอยโด่ง ปากก็ออกเสียงเหมือนคำราม สักครู่ก็ราบกราบกับพื้นได้ หลวงปู่ว่า "ดี ดี ใช้ได้" แล้วก็มองคุณพงษ์กับผู้เขียนเหมือนมองอากาศตามเดิม ท่านคงเห็นเป็นขั้นตอนเล็ก ๆ ของภาวะพระกรรมฐาน

    แต่ผู้เขียนนี่...ขนลุกผึ่งทั้งตัวเลย มันมีจริงนี่หว่า ปีติตัวลอยได้นี่ มองหลวงปู่มั่นหมายเลยว่าจะถามอะไร ให้พูดอะไรบ้าง แต่ไม่เปิดโอกาสเลย นั่งเคี้ยวหมากเฉย นั่งค้อมไหล่ตาจับพื้น ปากเคี้ยวเหมือนเคี้ยวกิเลส เคี้ยวขาดเลย นึกออกไหม ?

    เดี๋ยวก่อน ! ลืมเล่าตอนท่านเข้าไปนั่งปรกพุทธาภิเษกวัตถุมงคล หลวงปู่อะไรล่ะ..ทางเหนือน่ะ หลายองค์นั่งเรียงกัน สักครู่หลวงปู่จากล้านนาไททุกองค์ รีบลุกขึ้นห่มจีวรพาดสังฆาฏิใหม่แบบภาคกลาง ค่อย ๆ ทำ งามตานัก แล้วนั่งลงหลับตาต่อ ไอ้เราก็สงสัยกัน ตอนหลังหลวงปู่ชุ่มเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ปานวัดบางนมโค มาปรากฏกายตรงหน้าท่าน ตั้งท่าท้าชกจรดมวยใส่ท่าน เสียงหลวงปู่ปานพูดว่า

    "พระอะไรนี่ แต่งตัวไม่เหมือนชาวบ้านเจ้าของถิ่นเขานี่"

    พอหลวงปู่ภาคเหนือห่มเสร็จแล้ว หลวงปู่ปานก็ยกมือไหว้เป็นเชิงโมทนาขอขมาโทษทำนองนั้น พอมาถามพ่อ พ่อหัวเราะเสียงดังเลย

    "ข้าเห็นหลวงพ่อปานแต่แรกแล้ว ที่ท่านทำอย่างนั้น เพราะท่านเป็นพระโพธิสัตว์บารมีเต็ม รอเวลาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เรื่องระเบียบวินัยจารีตนี่ ท่านต้องเคร่งครัด ที่ท่านยกมือไหว้ ก็เพราะหลวงปู่ชุ่ม หลวงปู่คำแสน เป็นพระอรหันต์นับคุณธรรมปัจจุบัน หลวงปู่ก็ชื่อว่าบริสุทธิ์เต็มภูมิแล้ว ส่วนหลวงพ่อปานยังอยู่ชั้นดุสิต ยังไม่ใช่พระอริยะ ต้องรอเป็นพระพุทธเจ้าเสียก่อน จึงจะเหนือกว่า"

    อย่างที่บอกแล้วว่าหลวงปู่ชุ่มเป็นพระปฏิสัมภิทาญาณ เป็นพระอรหันต์ที่มีญาณหยั่งรู้ประมาณไม่ถูก ยกตัวอย่างก่อนที่ในหลวงจะเสด็จ นี่ขอเล่าควบ ๓ ปี ที่หลวงปู่มาวัดท่าซุงเลย แต่ในหลวงเสด็จ 2 ปี คือปี 18 กับ 20

    ปี 18 นี่ เททองหล่อรูปหลวงพ่อปานกับหลวงพ่อใหญ่

    ปี 20 ตัดลูกนิมิต และยกฉัตรศาลาจัตุรมุขหน้าพระอุโบสถ (ผู้เขียนนี่ท่าสติปัญญาจะอ่อน ขาดตอน เล่าเปะปะ ปี 18 พ่อตั้งปะรำให้ในหลวงและพระบรมราชินีประทับทำพิธีเททอง พอในหลวงกลับ ก็สร้างศาลาจัตุรมุขแทนตรงนั้นเพื่อเป็นราชานุสรณ์ เมื่อท่านมาตัดลูกนิมิตปี 20 อีก ก็เลยเชิญท่านยกฉัตร ยอดจัตุรมุขเสียเลย)

    เอ้า! เล่าต่อ...ก่อนในหลวงจะเสด็จตัดลูกนิมิต ตอนนั้นหลวงปู่ชุ่มกำลังฉันเพลอยู่ ท่านหันมาพูดกับผู้เขียนว่า

    "วันนี้ ในหลวงฉันก๋วยเตี๋ยวบนเรือบินนะ..."

    เล่าให้ท่านเจ้ากรมเสริมฟัง (พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์) ท่านตาลุกเลย บอกว่า

    “จริง...จริง ราชองครักษ์ที่ตามเสด็จบอก” เจ้ากรมเสริมเล่าว่า ในหลวงเดินทางมาวัดท่าซุง เวลาจำกัด รับสั่งให้ซื้อก๋วยเตี๋ยวใส่ปิ่นโตเสวยบนเฮลิคอปเตอร์ แล้วลงต่อรถยนต์ที่นครสวรรค์เข้าวัดท่าซุง

    บอกแล้วว่าเล่ายาก...จะขอสรุปผ่านงานทั้งสามปีไปเพราะกิจกรรมสงเคราะห์ญาติโยม ระหว่างช่วงงานก็เหมือนกับหลวงปู่องค์อื่นโน่น...ส่งจิตคิดตามไปที่วัดวังมุย ลำพูนเลย ท่านก็กลับวัดวังมุยไป พ่อกับหลวงปู่ท่าน จะคุยตกลงกันด้วยวาจา หรือด้วยใจ ก็อย่าไปรู้รายละเอียดของท่านเลย เอาเป็นว่าหลวงปู่ชุ่มจะ 'นั่งหนัก' หรือภาษาบาลีเรียกว่า 'เข้านิโรธสมาบัติ' เป็นเวลา 7 วัน เพื่อจะให้พ่อพาศิษยานุศิษย์ไปทำบุญเพิ่มบารมีกัน

    โอย...ตอนนี้ฟ้าจะถล่มทลาย ลูกหลานพ่อ ผู้เขียนด้วย ต่างก็ฮือฮาสาธุการ จัดหาสิ่งของเงินทองกันโกลาหล ล้นศรัทธา พอถึงเวลา (นี่จะเขียนหรือจะเทศน์ สำนวนมันจะมากไปหรือเปล่า) ก็เดินทางตามพ่อไป รถบัสกี่คันหนอ...ถึงลำพูน ฝนตกรินเป็นสายไม่ขาดเม็ด ต้องพักถ่ายผู้คนขึ้นรถสองแถว จากวัดจามเทวีไปวัดวังมุย คงจะเหมาสองแถวหมดเมืองลำพูนกระมัง พี่อรรณพ (พันตำรวจเอกพิเศษ อรรณพ กอวัฒนา) เป็นผู้จัดการอำนวยความสะดวกทั้งหมด ทางเข้าวัดวังมุยก็แคบ ฝนก็รินไหล แต่ผู้คนก็เดินทางไปถึงวัดวังมุยแบบทุลักทุเลเฮฮากันได้ทั้งหมด

    หลวงปู่ชุ่มท่านเข้านิโรธสมาบัติในป่าช้า* ใกล้วัด ปลูกกระท่อมล้อมสายสิญจน์ กั้นรั้วกันผู้คนเข้าไปรบกวน พ่อขึ้นไปรอหลวงปู่บนกุฏิรับรอง ผู้เขียนเข้าไปจัดจีวรสิ่งของที่นำไปร่วมถวายมากมาย โบสถ์แทบแตก พระคุณหลวงปู่คำแสนเล็ก นั่งยิ้มเย็นใจคอยอยู่ในโบสถ์

    _____________________________________________

    * ป่าช้า – ในที่นี้หมายถึง “วัดห่าง” คือวัดวังมุยเก่าที่รกร้างไป

    ณ ที่นั่นเอง...ในกาลเวลาขณะนี้เอง...ที่หลวงปู่ชุ่มเคลื่อนเสลี่ยงคานคนหามออกจากกระท่อม เมื่อตอนถอนจิตจากนิโรธสมาบัติ ฝนก็กลายเม็ดเป็นฟูฝอยละเอียดเนียนสายตาฉ่ำอารมณ์นัก คลื่นศรัทธามหาชนก็ร้องกระหึ่มโมทนา แย่งกันแข่งกันโยนดอกไม้ ธนบัตรปัจจัยขึ้นไปบนเสลี่ยงพระอริยสงฆ์ แม้โลกธรรม ลาภ สรรเสริญ ท่วมท้นเสลี่ยงอย่างไร หลวงปู่ชุ่มก็นั่งสงบเย็นใจ ประคองจิตรับรู้ศรัทธาเหล่านั้น ไม่มีอาการหวั่นไหว

    องค์หนึ่งนั่งเหนือเสลี่ยงชัย ฉ่ำละอองฝน ห้อมล้อมด้วยฝูงชนดุจดาวล้อมเดือน

    อีกองค์หนึ่งนั่งยิ้มสงบคอยอยู่ในพระอุโบสถ รอเวลาโมทนามหาทาน ที่จะถวายบูชาครูบาน้อง

    อีกองค์หนึ่ง...องค์ที่ผู้เขียนกลัวที่สุด รักเหลือแสน กำลังกระทำสีหนาทลีลามาเป็นองค์ประธานในพิธี

    ท่านผู้อ่านเอย...สามองค์พี่น้อง ที่เวียนว่ายบำเพ็ญบารมีมาจนครบจบกำลังแล้ว สามดวงประทีปแก้วกำลังจะมาร่วมในเขตพัทธสีมาพุทธเขตเดียวกัน เพื่อให้ลูกหลานได้ชื่นชมสมปรารถนา...

    หลวงปู่ชุ่มหนึ่ง...หลวงปู่คำแสนเล็กสอง...พ่อ (หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง) รวมเป็นสามดวงแก้วสังฆรัตนะนี้ ตามที่ฟังพ่อเล่า ก็ทราบว่าท่านเกิดร่วมอุทรเดียวกันมาหลายชาติหนักหนา...แต่ละองค์ก็ทรงลักษณะเป็นพิเศษเฉพาะตน

    หลวงปู่คำแสนเล็กจะเป็นพี่ใหญ่อัธยาศัยรักสงบ ขี้อาย รักน้องจนตนเองประมาณไม่ได้ว่ารักแค่ไหน จะยอมเสียสละทุกอย่างให้น้องได้ แม้จะเป็นบัลลังก์เศวตฉัตรตามสิทธิทายาทอันชอบธรรม ขออย่างเดียวให้น้องได้มีความสุข

    หลวงปู่ชุ่มออกจะดุ มีความเด็ดเดี่ยว ทุ่มชีวิตจิตใจให้กับงานทุกอย่างที่รับผิดชอบ แต่วาสนาเอย..อานุภาพที่เด็ดขาดปานนั้น ก็มีไว้ทำเพื่อน้องที่ท่านรักและชาติตระกูลเท่านั้น จริง ๆ แล้วท่านรักความเป็นอิสระ ไม่ชอบนำคน แต่ก็ไม่ชอบให้คนมานำท่าน เสร็จจากภารกิจใดก็มอบความสำเร็จนั้นให้ส่วนรวม แล้วก็อยู่กับตัวเองและโลกของตัวเอง...อย่างนี้มาทุกชาติ

    ทีนี้มาถึงพ่อ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง เขียนยากหน่อย เพราะอยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด ใกล้เกินไปจนมองเห็นความดีเต็มที่ไม่ได้ หรืออีกอย่างหนึ่งเห็นความดีของพ่อจนบรรยายไม่สาสมใจรักของเรา

    พระดี คนดี ก็เหมือนภาพวาด ฝีมือประณีตสมปรารถนา หากดูใกล้เกินไป ก็จะเห็รตำหนิลายเส้น เงาสีเป็นธรรมดา หากดูไกลเกินไป ก็เห็นความดีจุดเด่นไม่ชัดเจนทั่วถึง

    ต้องอยู่ระยะไม่ใกล้ ไม่ไกลนัก นานๆ ดูที จึงจะเห็นค่าควรถนอม

    พ่อของเราก็เหมือนกัน การดูใกล้ ดูไกล จะเอาไว้พูดตอนที่เป็นเรื่องของท่านโดยตรง ตอน “พระผู้เป็นเนื้อนาบุญ” ตอนนี้จะชวนท่านผู้อ่านดูในระยะพอดี

    โน่น...เห็นพ่อเดินมาจากกุฏิที่พัก จะว่าเข้มแข็งปึงปังก็ไม่ใช่ จะว่าอ่อนโยนเหมือนคนไม่เคยลำบากก็ไม่เชิง ถ้าท่านเคยเห็น สมัยก่อน เขาเรียกสีหะ...ถ้าตัวที่เป็นจ่าฝูงเขาเรียก สีหราช คือราชสีห์ หรือสิงโตในหนังทีวีนั่นแหละ เคยเห็นไหม

    หลวงปู่ชุ่มลอยเหนือศีรษะฝูงชนมาบนเสลี่ยง แต่พ่อเดินผ่านฝูงชนที่จงรักต่อท่านมาแบบธรรมดา แต่กลุ่มบุคคลผู้อิ่มบุญเหล่านั้นกลับเปิดทางให้ท่านเป็นสายน่าอัศจรรย์ เขาเหล่านั้นนั่งประนมมือสองข้างทาง แต่ตาจับจ้องหน้าพ่อด้วยความรักเทิดทูน จะว่าท่านใดได้น้ำใจจากปวงชนมากกว่ากันหนอ ระหว่างท่านลุงผู้ทรงเสลี่ยงกับท่านพ่อผู้กระทำสีหนาทลีลาในช่วงเอื้อมมือถึง ท่ามกลางคนที่ท่านรัก แต่ทั้งสองท่านก็มารวมกันอยู่ในพระอุโบสถวัดวังมุย ในกระแสสายตาที่ชื่นชมของท่านพี่องค์ใหญ่สุด..ท่านลุงคำแสน

    ท่านผู้อ่านเอย...เมื่อทั้งสามท่านนั่งสามเส้ามีพ่อนั่งตรงกลาง เราจึงได้เห็นอำนาจวาสนาบารมีและภาระรับผิดชอบของพ่อ พ่อพูดนำให้ลูก ๆ ที่ตามขบวนไป ให้รู้จักอานิสงส์ของการทำบุญกับพระอรหันต์ที่ออกจากนิโรธ สมาบัติ พ่อพูดไม่มีติดขัด เสียงกังวานกินใจ หลวงปู่คำแสนนั่งยิ้มมองพ่อทำงานแบบ 'โมทนาด้วย ช่วยเหนื่อยแทนหน่อย' หลวงปู่ชุ่มนั่งสงบสำรวม เหมือนนั่งสบายคนเดียวในป่าร่มรื่นในโลกของท่านเอง...

    ต่างองค์ต่างทำหน้าที่ ต่างองค์ต่างเป็นสุขอิสระตามธรรมชาติของตนเอง นาน ๆ ครั้ง ก็หันมามองทางญาติโยมลูกหลานที่มาทำบุญกับท่าน มองยิ้มสนิทใจ เหมือนยิ้มพรมไปบนดอกไม้ที่ท่านได้ปลูกฝังรดน้ำมากับมือ

    ใจเราเอย...ขณะนั้นใจเราอยากจะเป็นพระอรหันต์ อยากบวช อยากยิ้มเย็นสนิทเหมือนท่าน แม้ต้องแลกด้วยทุก ๆ อย่างในโลกที่เราครอบครอง รวมทั้งชีวิตของเราด้วย เราจะยอมแลกกับผ้ากาสาวพัสตร์

    เราปรารถนาจะบวชอุทิศแด่พระรัตนตรัย เราจะเดินตามรอยเท้าพ่อและพระอรหันต์ทั้งหลาย เราปรารถนาพระนิพพาน

    จากวันนั้น..ถึงวันที่นั่งเขียนอยู่นี่กี่ปีแล้วหนอ...(2544) 24 กว่าปีแล้ว เหตุการณ์นั้นแม้จะผ่านไปแล้ว แต่ภาพเหตุการณ์ของบุญวาสนานั้นยังสะอาดแจ่มใส ยังสามารถนึกถึงกลิ่นธูป กลิ่นจีวร กลิ่นน้ำหมาก...

    นี่กระมังที่มีคำโบราณกล่าวไว้ว่า กลิ่นของศีลนั้นหอมทวนลม ขจรขจายไปได้ไกลแสนไกล ยิ่งมาได้ไออุ่นของพระธรรมจากใจของพระคุณเจ้าสามพี่น้องมาอบรมผสมผสานเข้าไปด้วย จึงได้หอมมานานขนาดนี้หนอ

    จากพิธีออกจากนิโรธสมาบัติวันนั้น ผู้เขียนได้พบและปรนนิบัติหลวงปู่ชุ่มและหลวงปู่คำแสนเล็กอีกหลายวาระ ส่วนใหญ่จะเป็นที่ 'บ้านซอยสายลม' ของพวกเรานั่นแหละ จะเล่าสู่กันฟังตามลำดับเหตุการณ์จริง เป็นต้นมา

    ครั้งหนึ่งพ่อทำพิธียกฉัตรจำลองที่พระธาตุจอมกิตติ เมืองเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เหตุผลที่ทำพิธีนั้น ท่านผู้อ่านก็คงจะได้ทราบจากหลวงพี่ชัยวัฒน์แห่งวัดท่าซุงเขียนเล่าและบอกเล่า ขณะนำท่านผู้อ่านไปเที่ยวนมัสการพระธาตุประจำทุกปีอยู่แล้ว ผู้เขียนจะเล่าเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับ 'ความเป็นพระ' ของครูบาชุ่มเท่านั้น

    ก่อนจะเดินทางขึ้นไปทำพิธี เราได้จัดเตรียมการณ์ทุกอย่าง รวมทั้งกำหนดองค์พระสุปฏิปันโนที่จะเข้าร่วมบวงสรวงด้วย ทุกองค์จะต้องเคยเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์กู้ชาติเชียงแสนจากขอมโดยเฉพาะ ก็มี....

    พ่อเรา

    หลวงปู่คำแสนเล็ก

    หลวงปู่ครูบาชุ่ม

    หลวงปู่ครูบาวงศ์ และ

    หลวงปู่ครูบาธรรมชัย

    เหตุผลเป็นเพราะอะไรไม่ต้องเขียนแล้ว พ่อก็อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุสีแดงเป็นประกายดุจเพชรพลอย บรรจุในยอดพระธาตุจำลอง (พระเจดีย์องค์เล็ก ขณะนี้ตั้งอยู่ทางมุมซ้ายด้านในบริเวณพระธาตุจอมกิตติ) นำขึ้นไปจากซอยสายลม จูงเอาลูกหลานที่มากมายและยุ่งบ้างซนบ้าง เหมืือน​​​​​ลิง มีผู้เขียนรวมอยู่ด้วยตัวหนึ่ง ได้ฤกษ์อากาศดีตอนเช้า ก็เอาพระธาตุจำลองประดิษฐานตรงหน้าองค์พระธาตุจอมกิตติ หลวงปู่ครูบาทั้งหลายก็มาตามคำอาราธนาของคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา (พี่อ๋อย) เจ้าของบ้านซอยสายลม แม่งานคนสำคัญสมัย 20 กว่าปีที่แล้ว หลวงปู่ทั้งหลายนั่งตรงพระวิหารคู่พระธาตุ ซึ่งขณะนั้นเป็นศาลาไม้เก่ามาก พ่อก็ทำพิธีบวงสรวงยกฉัตร พอพ่อกล่าวคำบวงสรวงเสร็จก็จะยกฉัตรจำลองติดยอดพระธาตุ พ่อก็หันมาพูดเบา ๆ ว่า

    "ไปบอก..."

    เท่านั้นเอง...หลวงปู่ชุ่มซึ่งอยู่ในกลุ่มครูบาเจ้า...ห่างพ่อขนาดไม่ได้ยินเสียงสั่งนั้นแน่ ก็นำขึ้น

    "ชยันโต โพธิยา...."

    พ่อให้ท่านเจ้ากรมเสริม (พล.อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ คู่บุญพี่อ๋อย) ยกก้านฉัตรติดยอดพระธาตุ แล้วหันมาพูดว่า

    "ต้องอย่างนี้ พระดีต้องอย่างนี้ ต้องฟังคำสั่งพระพุทธเจ้าได้พร้อมกัน ถูกต้องอย่างนี้ !"

    ตกลงก็ไม่ต้องไปบอกให้หลวงปู่ชุ่มขึ้นชยันโต...เพราะท่าน 'รู้' พร้อม ๆ กับที่พ่อรู้จากท่านผู้สั่งเบื้องบน พ่อถึงบอกว่า 'พระดีต้องอย่างนี้' อันที่จริงก็ทั้ง 5 องค์นั่นแหละ เพราะฉะนั้นท่านจึงได้ถูกกำหนดให้มาร่วมพิธีใหญ่ของประเทศชาติได้

    ข้อพิสูจน์ที่เห็นชัด มันจะแจ้งตั้งแต่ก่อนพ่อจะบวงสรวง ตอนที่หลวงปู่ต่าง ๆ ทยอยมาไม่พร้อมกัน หลังจากกราบพระธาตุจอมกิตติแล้ว ทุกท่านหันมากราบองค์เล็กที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอย่างนอบน้อม กราบแล้วกอบเทินหัว ท่านนึกออกไหม นั่นแหละทำอย่างนั้นทุกองค์ ก็ตามเคยเหมือนกัน ที่ผู้เขียนเป็นต้องเข้าไปถามเสียจนได้

    "หลวงปู่กราบอะไร?"

    "หลวงปู่กราบพระบรมธาตุพระพุทธเจ้า แสงสวยเหลือเกิน เป็นบุญมากน้อ.."

    ก็หายสงสัย หายคันหัวใจ

    ตามปกติจริง ๆ แล้ว บ้านซอยสายลมจะมีงานยุ่งเฉพาะตอนที่พ่อมาสอนกรรมฐานเดือนละครั้ง เป็นเวลา ๓ วัน พี่อ๋อยจะเดินสั่งงาน จัดนั่นวางนี่ก่อนพ่อมาเพียง ๒ วันก็เสร็จเรียบร้อย แต่นับจากงานฉลองวัดท่าซุง ปี ๒๕๑๘ เป็นต้นมา การจัดแจงสถานที่ก็มีการเพิ่มเติมขึ้นบ่อยครั้ง เพราะหลวงปู่สุปฏิปันโนทั้งหลายจะโคจรมาพักเจริญศรัทธาตามคำนิมนต์ของท่าน เจ้าของบ้านครั้งละองค์ ก็จัดที่พักไม่ยาก

    บางคราวมาพร้อมกัน ๓-๔ องค์ พี่อ๋อยก็สั่งงานเพิ่ม คือบริเวณที่พวกเรานั่งตรงหน้าท่านเจ้าอาวาสรับแขกทุกวันนี้แหละ เอาราวสลิงมาขึงรูดม่านกั้นเป็นห้อง คูหาละองค์ บางคราวก็จัดกั้นฉากกั้นสายตาตรงพื้นที่จำหน่ายสังฆทานปัจจุบันนี้แหละ หลวงปู่ทั้งหลายท่านไม่ติดความสุขสบายของเสนาสนะอยู่แล้ว แต่ท่านกลับแสดงท่าเป็นสุขสบายใจ สนิทสนมกับเสนาสนะเฉพาะกิจที่พี่อ๋อยสั่ง เนรมิตถวายเสียจริง ๆ

    ยิ่งหลวงปู่ชุ่มกับหลวงปู่คำแสนเล็กละก็...จะนั่งสบายใจยิ้มอมความสงบสุขไว้ เต็มอกเต็มใจเต็มใบหน้า นึกเอาเองเถอะ พระชราภาพแล้ว นั่งหลังค้อมลงแล้ว..ใจปลงปลดโลกธรรม ความทุกข์ออกจากใจเป็นอิสระเบิกบานเสียแล้ว จับท่านไปนั่งตรงไหนก็เป็นสุข ซ้ำพลอยทำให้สถานที่เยือกเย็น คนในที่นั้นก็เป็นสุขอิ่มเอิบบุญไปด้วย อย่างวันนั้นท่านนั่งฉันหมากกัน ๒ องค์น้องพี่ ภายในฉากผ้าคูหาอาศัยสบายอิริยาบถ มีผู้เขียนนั่งประจบประคบนวดอยู่ มาดูพระแท้ฉันหมากดีกว่า....

    เคยได้ยินใครหนอ...พูดว่าพระที่ฉันหมาก นัดยานัตถุ์ยังมีกิเลส ให้เหตุผลที่น่าเอ็นดูว่า ขนาดกิเลสปลายกิ่งแค่หมากกับยานัตถุ์ ก็ยังตัดไม่ได้ จะไปตัดกิเลสโลภ โกรธ หลงได้อย่างไร ก็คงจริงของเขา แต่ของหลวงปู่คำแสนกับหลวงปู่ชุ่มนี่ไม่จริงแน่ โธ่เอ๋ย...นั่งใจเย็น ทรงอิริยาบถกำหนดรู้สบายอารมณ์ หยิบหมากใส่ปากเคี้ยว ฟันก็ไม่ค่อยจะมี บางเคี้ยวก็ต้องตะแคงมุมฟันมุมปากช่วย...หัวเราะขำตัวเอง

    "มันแข็งน่อ..."

    เอ้าหยิบพลูป้ายปูน ช้าเชียว ทั้งสายตาทั้งอารมณ์ทะลุไปไหน ๆ ทะลุนะไม่ใช่ทะลวงเลอะเทอะฟุ้งซ่าน ท่ามือห่อพลูทำเหมือนตะล่อมอารมณ์เป็นคำเดียว ส่งใส่ปากเคี้ยวอารมณ์ กัดกิเลสให้ขาด หลวงปู่ชุ่มเคี้ยวไปครู่เดียวก็หันมาทางหลวงปู่คำแสน

    "มีหมากมั้ย..."

    "มี้..."

    เอ้า...ยื่นกันหยิบกันแค่หมากแห้งซีกเดียว มันไม่พอเคี้ยวพอสูตรผสม เคี้ยวไปก็ยิ้มขำ ยิ้มขอบคุณ ยิ้มตอบรับ ไม่เป็นไรเอาอีกไหม...พอแล้ว ไม่เอาแล้ว เอ้า..บ้วนน้ำหมากกันดีกว่า ปากเคี้ยว..มือหยิบกระโถนรออารมณ์ พอใช้ได้ก็ขับน้ำหมากบ้วน ๒ บ้วน ๓ บ้วน แล้วก็วางกระโถน หลับตาเคี้ยว... องค์หนึ่งนั่งเงยหน้าหลับตายิ้มเย็นเป็นสุข อีกองค์ลืมตามองทะลุพื้นบ้านทะลุโลก ไม่เห็นสนใจน้ำหมากหรือกระโถนที่ท่านวางทิ้งแล้ว

    กิเลสอยู่ตรงไหนหนอ....

    ผู้เขียนก้มกราบชิดเท้าเจ้าประคุณ ไม่มีเหตุผล ไม่ต้องการเหตุผล ใจมันเป็นสุขอิ่มเอิบ

    เนื้อนาบุญแห่งพุทธเกษตรเอย..เพียงพระคุณเคี้ยวหมาก ขับน้ำหมากวางกระโถน ก็บันดาลให้เกิดดอกงอกผลขึ้นในใจผู้เขียน ให้เบิกบานอิ่มเอิบด้วยความหวัง...เราจะต้องได้บวช..เราต้องได้เคี้ยวหมาก เราต้องยิ้มอย่างนี้บ้าง (อันหลังนี่เลวนะ วัดรอยเท้าช้างนะ)

    หลวงปู่ชุ่มนี่ทรงอภิญญาสมาบัติแน่ แต่ไม่เคยเห็นแสดงชัดแจ้งแดงจัดอะไรสักครั้ง มีครั้งหนึ่งที่ท่านมาพักซอยสายลมอย่างนี้แหละ มากัน 4 องค์ ตกค่ำท่านก็จะทำวัตรเย็นกัน....พระคุณเจ้าทางเหนือนี่ ท่านจะคุกเข่าสวดมนต์กัน พอวันแรกผ่านไปก็ต้องรีบแก้ไขปัญหา พื้นกระดานแข็ง เข่าพระแก่คุกบดพื้นก็ต้องเจ็บมาก พี่อ๋อยก็ให้เอาเบาะฟองน้ำมารองเข่าถวายท่าน ....โธ่เอ๋ย วันนั้นหลวงปู่บุดดาก็มาสมทบเหมือนเหาะมาไม่บอกกล่าว มาถึงพอดีกับที่ทั้ง 4 องค์ กำลังจะคุกเข่าบนเบาะ หลวงปู่บุดดาก็จะคุกเข่าบนพื้นแข็ง โอย....หลวงปู่ชุ่มหันมามองตาผู้เขียน ตะคอกเสียงดุเชียว....

    “นี่...ยังไงนี่ พระคุณท่านจะนั่งยังไงนี่!”

    ก็ใครจะไปรู้ว่าท่านจะมา ละล้าละลัง เข่าก็จะคุก หลวงปู่ชุ่มเอาเข่าท่านกระทบเบาะ...เจ้าเบาะสีเหลืองลายน้ำตาลใบของหลวงปู่ชุ่ม ก็แล่นมาไม่เห็นเงา ไปรองรับเข่าหลวงปู่บุดดาพอดี! หลวงปู่ชุ่มก็คุกกับกระดานแทน

    ผู้เขียนวิ่งแทบจะชนพี่อ๋อยที่เดินถือเบาะมายื่นให้เอาถวายหลวงปู่ชุ่ม คุกเข่าสบายอิริยาบถแล้ว ค่อยๆ นึก...ใช่อภิญญาหรือเปล่าหนอ หูก็ฟังเสียง 5 พระสงฆ์ อายุรวมกันเกิน ๔๐๐ ปี สวด เสียงสำเนียงไพเราะแบบโบราณ เสียงคำเมืองกระแสคำพระ

    “นะโม๋ ตัดซะ ภะตะวะโต๋ อาระหะโต๋ ซัมม้า ซัมพุด ต๊าดซะ...นะโม...”

    ร้องไห้สนุกดีวันนั้น...

    แล้วก็มาถึงเรื่องสุดท้ายที่จะเล่าให้ฟังกัน

    เรื่องของหลวงปู่ชุ่ม ทำอะไรล่ะ ! ฟังเอาเองดีกว่า คือพอจะใกล้ทิ้งสังขาร หลวงปู่ชุ่มก็บอกความในใจกับท่านเจ้ากรมเสริมและพี่อ๋อย (ท่านพล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ และคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา เจ้าของบ้านซอยสายลม ...เขียนย้ำ กลัวคนรุ่นหลังจะลืม) ว่าท่านเคยเกิดเป็นลูกของท่านพ่อท่านแม่คู่นี้

    แล้วท่านก็ลงไปปักษ์ใต้กับพระคุณพ่อเราในงานสาธารณสงเคราะห์ของศูนย์สงเคราะห์ฯ วัดท่าซุงเรา ก่อนออกเดินทาง ก็บอกท่านพ่อท่านแม่ทั้งสองว่า ไปเที่ยวนี้ก็ต้องลาแล้ว ศพของท่านขอให้จัดที่ซอยสายลม ขอให้โยมพ่อโยมแม่จัดการเผาศพท่านด้วย ถ้าให้ทางวัดลำพูนไปจัดการศพจะเสียเปล่า ถ้าให้โยมพ่อโยมแม่จัดการ กระดูกท่านจึงจะเป็นพระธาตุ เอาไว้ให้คนรุ่นหลัง สักการะทัศนาเพื่อความมั่นคงในคุณพระรัตนตรัยได้

    ...ขอเล่าข้ามไปก่อนว่า เมื่อท่านกลับจากปักษ์ใต้ก็ป่วยเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลอะไรหนอ... มีพี่อำไพ พวงทอง กับพี่หมอยุวดี เป็นผู้รับธุระถวายอุปการะ....

    เอาล่ะ....กลับมาดู ย้อนไปสัมผัสเหตุการณ์ที่พวกเราปรนนิบัติร่างกายพระดีกันเป็นวาระสุดท้าย วันนั้นพอดีเป็นวันที่พ่อไปสอนพระกรรมฐานที่บ้านสายลม ปีไหนหนอ...2521 เวลาประมาณสองทุ่ม พี่อำไพ พวงทอง ก็โทรศัพท์มาบอกว่า หลวงปู่ชุ่มมรณภาพแล้วโดยอาการสงบ... คือลุกขึ้นมานั่งยิ้มสดชื่น สักครู่ก็นอน... สงบนิ่งไปเลย พ่อสั่งให้นำศพหลวงปู่มาตั้งที่บ้านสายลม ตั้งสรงน้ำกันตรงหน้าห้องที่พระสงฆ์พักเวลามาสอนพระกรรมฐาน ตรงที่จำหน่ายสังฆทานนั่นแหละ เอาเตียงมาวางร่าง เอาตั่งมารองขันน้ำสรงมือ

    ร้องไห้กันทำไมหนอ... ท่านคงนอนยิ้มถาม ....ไม่มีใครตอบท่าน มีแต่ต่างก็ตอบสนองความเคารพอาลัยรักของตนเอง เอาขมิ้นมาทาฝ่าเท้า เอาผ้าขาวมาตัดพิมพ์แจกให้ทำบุญกัน... พิมพ์รอยเท้าทำไมหนอ... ท่านคงถาม ทำไมไม่พิมพ์น้ำคำประทับกระแสธรรมไว้ในดวงจิต ....เอาเถิดลูกหลานเอ๋ย ทำอะไรที่มันไม่ผิดศีลแล้วมีความสุขก็ทำเถิด เป็นบันได เป็นกำลัง ให้ก้าวไปสู่จุดที่ปู่เข้าถึงแล้ว จุดที่พ่อเธอเข้าถึงแล้ว เมื่อเธอเข้าถึงด้วยตัวเอง อามิสบูชาทั้งหลาย เธอก็ไม่ต้องทำแล้ว ตอนนี้ทำเถิดลูก ทำไปจนวันตาย.... วันที่ปู่ได้ครอบครองสมใจแล้ว

    ผู้เขียนประจงเช็ดปากหลวงปู่ด้วยกระดาษซับ ตอนนี้ไม่กลัวโดนดุแล้ว ตามีอำนาจดุจสายฟ้าปิดสนิทแล้ว แต่กระแสอัศจรรย์อย่างหนึ่งแล่นเข้ามากระทบใจผู้เขียน

    “ดูรูปปู่บนหัวนอนซี สวยไหม?” สวยครับ งามมาก ยิ้มงามสงบนัก

    “ดูหน้าศพปู่ซิ สวยไหม?” ไม่สวย ปู่พ่นน้ำลายเป็นฟองทำไม ผมเช็ดให้...

    “จะให้ดูไงลูก...ผลสุดท้ายปู่ก็เป็นอย่างนี้ เย็นเฉียบแข็งทื่ออย่างนี้ ทุกคนต้องเป็นอย่างนี้ พ่อเธอก็ต้องเป็นอย่างนี้ ตัวเธอก็ต้องเป็นอย่างนี้ ร่างกายหมดอายุใช้งานแล้ว ก็ไม่มีอะไรดีแล้ว เอามาทำกิจ เอามาโลภ โกรธ หลง อะไรไม่ได้แล้ว เธออย่าประมาทเลย รีบทำความดีเสียให้ถึงพร้อม รีบขจัดขัดล้างความชั่ว มลทินในใจให้หมดไปเสีย มันเป็นของไม่ดี แล้วใจของเธอก็จะผ่องใส ให้มันผ่องใสเสียก่อนตาย จะได้นั่งกินหมาก นั่งยิ้มเย็น นั่งคุยเป็นสุขได้...”

    ครับ...ปู่ หลวงปู่...ลูกขอคุกเข่าปรนนิบัติ ขอมองหน้า ขอดูดซับกระแสใจของหลวงปู่ ของท่านลุงชุ่มโดยไม่ยกมือไหว้ ขอเอามือทำงาน เอาใจกราบเข้าไปในดวงจิตที่เลอเลิศด้วยความเมตตา อันเข้มแข็งดุจแสงสายฟ้าที่สะท้อนเงาลงในแผ่นน้ำอันสงบร่มรื่น ทิ้งร่างนี้ไว้เถิด...ขึ้นไปสถิตเป็นกำลังใจ คอยชี้ทางลูกด้วยเถิด...

    หลวงปู่รู้ไหม...เคยมีใครบอกหลวงปู่ไหม ว่ามีพระดีองค์หนึ่งได้อุบัติมาในโลกมนุษย์ พระองค์นี้ใช้ความสงบอันเด็ดเดี่ยว สอนผู้คนได้โดยแทบไม่ต้องใช้วาจาภาพูด เพียงท่านเดิน ยืน นั่ง นอน ฉันหมาก แม้นอนตายหงายร่าง ก็ยังสามารถสั่งสอนผู้คนให้เข้าใจความจริงที่สวยงามได้ ลูกจะบอกให้ เพราะลูกรู้จักพระองค์นั้น เพราะลูกรักพระองค์นั้น ท่านชื่อ ครูบาชุ่ม โพธิโก พระดีศรีล้านนา หลวงปู่อย่าอิจฉาท่านนะ อย่ามาห้ามไม่ให้ลูกรักบูชาท่านนะ เพราะท่านได้พิมพ์จริยาพระลงไปในใจลูกเสียแล้ว จนตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานก็จะไม่ยอมลบให้เลือนหาย
     
  5. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ

    <font color="#ff0066">เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่ </font><br /> <a href="http://www.facebook.com/BuddhaSattha" target="_blank"><font face="verdana"><font size="5"><font color="#006600"><b>เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา</b></font></font></font></a><br /><font color="#ff0066">และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่านเพื่อเป็นธรรมทาน</font>

    <font color="#006600">เว็บทางนิพพาน</font> <font color="#0000ff">เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น</font><br /><font color="#0000ff">ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน</font><br /><font color="#006600">ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่</font> www.tangnipparn.com

    <font size="5"><font face="Browallia New"><font color="darkorchid"><b>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญ</b></font></font></font> <a href="http://buddhasattha.com/" target="_blank"><font size="5"><font face="Browallia New"><font color="#0066ff"><b>เว็บศูนย์พุทธศรัทธา</b></font></font></font></a><br>
    <a href="http://buddhasattha.com/" target="_blank"><img src="http://buddhasattha.com/wp-content/uploads/2010/09/bgs.jpg" border="0" alt="" title="แวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา"/></a>
     

แชร์หน้านี้

Loading...