ครูเป็นหลักชัยหลักหนึ่งของชีวิต

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 22 ตุลาคม 2013.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,172
    พระอาจารย์ กล่าวว่า "เรื่องของครู โบราณถือว่าเป็นหลักชัยหลักหนึ่งของชีวิต พ่อแม่ให้ชีวิตเรามา สั่งสอนเราให้เอาตัวรอดในเบื้องต้น แต่ครูบาอาจารย์ให้วิชาความรู้ที่จะคุ้มครองตัวเรา คุ้มครองครอบครัว ช่วยในการทำมาหากินและช่วยป้องกันประเทศชาติ

    ดังนั้นสมัยก่อนครูนี้สำคัญที่สุด เขาถึงได้มีการไหว้ครูเพื่อรำลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ ถ้าพวกเราเคยศึกษาคาถา จะมีพระคาถาอยู่บทหนึ่งเรียกว่าโองการมหาทมื่น โอม..กูจะอ่านโองการมหาทมื่น กูจะโยนตัวกูขึ้นไปเป็นกง ไม้ไร่ก็แหลกเป็นผุยผงไปทั่วทั้งสกลชมภู เมื่อกูเอ่ยถึงครูกู ใครจักสู้กูก็มิได้ ครูกูจึงให้กูว่าพระคาถา..ฯลฯ ชัดไหม ? ความมั่นใจในคุณครูบาอาจารย์ที่ปกเกศปกเกล้า ที่อบรมสั่งสอนตัวเองมา ทำให้เกิดความศรัทธาและเชื่อมั่นถึงขนาดนั้น ว่าถ้าเอ่ยถึงครูเมื่อไรก็ไม่มีใครสู้ได้

    ถ้าเราไปดูในวรรณคดีไทยเรื่องต่างๆ จะเห็นว่าเขาเอ่ยถึงครูด้วยความภาคภูมิใจ ด้วยความเคารพจริงๆ อย่าง แสนตรีเพชรกล้า ถือว่าเป็นยอดทหารเอกของล้านนา บอกกับ พลายงาม ว่า พระครูผู้บอกวิทยา ชื่อว่าศรีแก้วฟ้ากล้าแข็ง สถิตยังเขาคำถ้ำวัวแดง ทุกหนแห่งเลื่องลือนับถือจริง เอ่ยถึงครูด้วยความเคารพศรัทธาและภาคภูมิใจสุดๆ ว่าที่ตัวเองเก่งกาจมาได้ทุกวันนี้ ก็ด้วยฝีมือของครูที่ได้อบรมมา"

    "ถ้าไปดูเรื่องของ ไกรทอง ไกรทองอย่างเก่งก็สูงไม่เกิน ๔ ศอก ก็วาหนึ่งใช่ไหม ? ชาละวัน เป็นไอ้เข้ยักษ์ยาวตั้ง ๙ วา ๑๘ เมตรนะจ๊ะ เรือหางยาวยังสั้นกว่าเลย ถ้าไม่มีความเชื่อมั่นในวิชาความรู้ที่ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดมาใครจะไปกล้า แต่ไกรทองไปลอยแพ เสกคาถาเรียกชาละวันขึ้นมา เป็นเรากล้าไหม ? อยู่ห่างฝั่งสัก ๑๐๐ เมตรดีกว่า เรื่องอะไรจะลงไปอยู่กลางน้ำ ไกรทองมองเห็นตะเข้ใหญ่ รุกไล่โบกหางวางร่า บนฝั่งทะลึ่งทะลั่งเป็นโกลา ก็รู้ว่ากุมภาชะลาวัน รู้ว่าตัวแสบมาแล้ว กินหมอตะเข้ไปเป็นสิบแล้ว

    ไกรทองแทนที่จะกลัว ไม่ได้กลัวเลย จ้องชะงักยักคอหัวร่อคิก ถกผ้าขยิกขยิกไม่มีพรั่น โอมอ่านโองการอาจารย์พลัน เป่ากระฉอกระลอกลั่นประจักษ์ตา ความมั่นใจทำให้จิตเกิดสมาธิเกิดพลัง เสกคาถาก็เห็นผลทันตาเลย คราวนี้โดนชาละวันเกยแพล่ม ตัวเองจมน้ำ..เสร็จเขาแน่ๆ ปรากฏว่าไกรทองไม่หนี ถ้าหนีก็ตาย..ลักษณะเดียวกับคนถือดาบถืออาวุธ ถ้าหันหน้าสู้โอกาสรอดยังมี แต่ถ้าวิ่งหนีโอกาสตายเกินร้อย..!

    เขาบอกว่า ไกรทองเข้าชิดติดชนัก อยู่ห่างไม่ได้ อยู่ห่างจระเข้ได้เปรียบ แต่พอเข้าใกล้ตัวเองถือหอกยาวกลับเสียเปรียบ ไกรทองเข้าชิดติดชนัก จมน้ำสำลักไม่ยักหนี ทิ้งชนักควักมีดกรีดกุมภีล์ เชื่อดีต่อสู้ไม่รู้รา

    เชื่อดี คือเชื่อในความรู้ที่ครูบาอาจารย์สอนมา เชื่อในความสามารถที่ตนเองฝึกฝนมา เชื่อในคุณความดีของครูบาอาจารย์ว่าปกป้องคุ้มครองตัวเองได้ ตรงนี้ไปตรงกับ เวสารัชชกรณธรรม ที่ พระพุทธเจ้า ท่านตรัสเอาไว้ว่า ธรรมที่ทำให้คนกล้า มีศรัทธา ศีล วิริยะรัมภะ พาหุสัจจะ สติ ปัญญา

    แต่ว่าตัวศรัทธา คือความเชื่อมั่น ท่านบอกว่าความเชื่อมั่นประกอบไปด้วยความเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย ว่าพระรัตนตรัยดีจริง เป็นที่พึ่งกำจัดทุกข์กำจัดภัยได้จริงๆ เชื่อมั่นในคุณครูบาอาจารย์ เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเชื่อมั่นในตัวเอง"


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ตุลาคม 2013
  2. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,172
    .
    "สรุปว่า เรื่องของครูบาอาจารย์ ในสมัยก่อนเขาถือว่าเป็นหนึ่งในสรณะ (ที่พึ่งที่ระลึก) ในชีวิต ถึงเวลาจะใช้วัตถุมงคลก็นึกถึงครูบาอาจารย์ก่อน อย่างพวกเรา ถึงเวลาก็นึกถึงหลวงปู่หลวงพ่อก่อน คราวนี้คนสมัยโบราณ เวลาเขาเชื่อเขาเชื่อแบบเต็มร้อย ที่เชื่อแบบเต็มร้อยเพราะว่า สมัยก่อนสภาพจิตของเขากิเลสไม่ได้มากเหมือนสมัยนี้ สมัยก่อนความต้องการพื้นฐานก็คืออาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เท่านั้นเอง ไม่ต้องมีอินเตอร์เน็ต มือถือ รถยนต์

    สมัยนี้กิเลสท่วมทับมากขึ้น ความเชื่อถือที่กำลังใจยึดจึงน้อยลง เหมือนน้ำประปา โดนต่อแยกไปหลายๆ ท่อ ก็ไหลเบาลง แต่สมัยก่อนท่อต่อท่อแยกไม่ค่อยมีก็ไหลแรง แบบเดียวกับ ขุนแผน สมัยเด็ก ยังเป็นพลายแก้วอยู่ อยากจะเรียนวิชา ในเมื่ออยากจะเรียนวิชาก็ไปหาแม่คือ นางทองประศรี พระสงฆ์องค์ใดวิชาดี แม่จงพาลูกนี้ไปฝากท่าน ให้เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ อธิษฐานบวชลูกเป็นเณรไว้ นางทองประศรีก็ดีใจ อยู่ๆ ลูกจะบวช

    ครานั้นนางทองประศรีผู้มารดา ได้ฟังลูกว่าหาขัดไม่ อันสมภารที่ชำนาญในทางใน ท่านขรัววัดส้มใหญ่ แลดีครัน วัดส้มใหญ่ปัจจุบันอยู่ตรงบ้านหนองขาว เขตอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เจ้าคิดนี้ดีแล้วแก้วแม่อา แม่จะพาไปฝากขรัวบุญท่าน จะได้รู้การณรงค์คงกระพัน ให้เหมือนกันสืบต่อพ่อขุนไกร ชัดไหม ? เรียนต้องได้ เรียนต้องสำเร็จ เหมือนสมัยนี้เรียนต้องจบ ส่งลูกไปเรียนต้องได้แน่นอน มั่นใจขนาดนั้นเลย

    แสดงว่าสมัยก่อนใครไปเรียนต้องสำเร็จ สมัยนี้เราเคยชินว่าเรียนแล้วต้องจบปริญญา อาจจะมีติดยา รีไทร์ ท้องก่อนแต่งบ้าง แต่ส่วนใหญ่จบ แต่สมัยโน้นไปเรียนเรื่องของอภิญญาต้องสำเร็จ พ่อแม่มั่นใจขนาดนั้น ในเมื่อมีความมั่นใจ มีความเชื่อมั่นขนาดนั้น ทุกอย่างที่เป็นของยากในสมัยนี้ ก็เป็นของง่ายในสมัยโน้น จึงเลือกครูเลือกอาจารย์ได้เลยว่าท่านไหนเก่งก็ไปเรียน"

    "สมัยอาตมาเด็กๆ หลวงปู่หลวงพ่อที่เก่งกล้าสามารถมีอยู่รอบบ้านเลย บ้านอยู่แถวกำแพงแสน ก็ต้อง หลวงปู่อินทร์ วัดสระพัง ขยับมาหน่อยก็ หลวงปู่แตง วัดดอนยอ หลวงปู่เต๋ วัดสามง่าม ขยับไปอีกนิด หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา หมดยุคนี้แล้วก็ต้อง หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ หมดรุ่นนี้แล้วก็เป็น หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม นี่แค่นครปฐมอย่างเดียวนะ ก่อนหน้านี้อีกตั้งเท่าไร

    หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก หลวงพ่อบุญ วัดกลางบางแก้ว รุ่นอาตมาทัน หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ตอนเรียนอยู่ ป.๕ - ป.๖ ยังมีใบโฆษณาพระของท่านส่งไปที่โรงเรียน ให้ทำบุญบูชาวัตถุมงคล เพื่อที่จะทำพิพิธภัณฑ์หลวงปู่บุญ ตอนนั้นองค์ละ ๑๐ บาท เด็กอย่างอาตมาเห็นว่าแพงเป็นบ้าเลย สมัยนี้ไปดูสิ ไม่มีเป็นหมื่นเป็นแสนจะบูชาได้ไหม ?

    ขยับไปสุพรรณบุรีมีใคร หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก ดุสุดๆ ดุชนิดที่ใครตะโกนว่าหลวงพ่อแดงมาแล้วนี่ เด็กแสบเด็กซนแค่ไหนก็วิ่งหนีกระจายเลย หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ รอบบ้านรอบวัดเลยนี่ ๒ จังหวัด ออกมาทางกาญจนบุรี ก็มี หลวงพ่อสอน วัดทุ่งลาดหญ้า หลวงพ่อนารถ วัดศรีโลหะฯ

    ถ้ารุ่นเก่าจริงเก่งจริงของกาญจนบุรีก็ต้อง หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว หลวงปู่ยิ้มนี่นอกจาก รัชกาลที่ ๕ เสด็จไปถึงวัดแล้ว เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ยังฝากตัวเป็นลูกศิษย์ หลวงปู่ยิ้มมีลูกศิษย์ลูกหาดังระเบิดอย่าง หลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ หลวงปู่ดี วัดเหนือ หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ ครูบาอาจารย์แต่ละคน ลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วหลวงปู่ที่ท่านเป็นผู้ผลิตครูบาอาจารย์จะโด่งดังขนาดไหน ?

    สมัยนั้นใครไปเรียนวิชากับหลวงปู่ยิ้ม ท่านทดสอบเลย เอาเทียนไปคนละต้น ไปนั่งภาวนาเพ่งไส้เทียนให้ขาด ถ้าไส้เทียนไม่ขาด ไม่ต้องมาขอเรียน แปลว่าอย่างน้อย ๆ ต้องมีพื้นฐานกสิณ ถ้าไม่ใช้พลังจิตก็ต้องประเภทใช้กสิณไฟเผาเลย เพราะถ้าไม่มีพื้นฐาน วิชาที่ท่านถ่ายทอดไปก็ไม่มีผล พระปิดตาหลวงปู่ยิ้มจึงเป็นหนึ่งในเบญจภาคีพระปิดตาเนื้อผง"

    "ถัดจากหลวงปู่ยิ้มมาก็รุ่น หลวงปู่เหรียญ หลวงปู่เปลี่ยน หลวงปู่ดี หลวงปู่ใจ นี่เป็นรุ่นลูกศิษย์ รุ่นเก่าของทางนครปฐมก็มี หลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ หลวงปู่ทา วัดพะเนียงแตก ท่านมีลูกศิษย์คือ หลวงปู่แช่ม วัดตาก้อง

    หลวงปู่ทา วัดพะเนียงแตก เขาขอให้ หลวงปู่แช่ม ช่วยดูแลกิจการคณะสงฆ์ ท่านรับภาระปกครองสงฆ์ไม่ไหว..แก่แล้ว ไปขอให้ หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ที่เป็นลูกศิษย์ ช่วยดูแลแทนที หลวงพ่อแช่มพอได้ข่าวว่าหลวงปู่ทาจะมา ก็เอากาน้ำชามา ขัด ๆ ถู ๆ เสก ๆ เป่า ๆ ต้มน้ำชารอไว้ หลวงปู่ทาเดินจากวัดพะเนียงแตกฝ่าทุ่งไปถึง ก็นิมนต์ขึ้นมานั่งพัก กราบพระอุปัชฌาอาจารย์ ถวายน้ำร้อนน้ำชา

    หลวงปู่ทาฉันเสร็จก็เดินกลับ ลืมว่าตัวเองจะมาทำอะไร..ต้องอย่างนั้น เรียนวิชามาต้องเล่นครูได้ ล่อนะจังงังเข้าไป ครูทำอะไรไม่ถูก กลับไปถึงวัดนึกขึ้นมาได้ "ไอ้แช่มเล่นกูเสียแล้ว" สอนวิชาไปแท้ๆ เอามาสอยครูเสียเอง เราจะเห็นว่าขนาดครูสอนมา เอามาเล่นครูกลับยังไหว..!"


    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖


    ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3864&page=4



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 ตุลาคม 2013
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...