เพื่อการกุศล นิ่มป่าแดง...ตามอ่านประสบการณ์จริง

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย numthip, 14 มิถุนายน 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. R-LEK

    R-LEK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    437
    ค่าพลัง:
    +1,627
    อยากแชร์ครับ ไม่ทราบว่าได้ไหมครับ
     
  2. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    อนุญาต...
     
  3. พ่อประดู่09

    พ่อประดู่09 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,378
    เกาะเสม็ด

    [​IMG]

    เรื่องเล่า : ตามรอยท่องตำนานฯ

    ตอน : ตามรอยพระอภัยมณีฯ

    หยุดไปหลายวันเพราะไม่รู้ว่าจะเล่าอะไรดี นึกถึงแอฟริกาก็น่าเล่า เพราะมีเรื่องเล่าได้พอสมควร นึกถึงศรีลังกา ก็ลืมใส่เรื่องความเชื่อเรื่องเครื่องราง

    ของขลังไป มานั่งนึกถีงตอนที่ปู่ชอบเล่าให้คนอยากฟังหรือถูกขยั้นขยอให้เล่าให้ฟัง มีอยู่ตอนหนึ่งที่ฟังบ่อยๆคือตอนที่พระอภัยมณี รำพันว่า "เหมือน

    อิเหนาเผาเมืองเรื่องยังมี เรายังดีกว่าอิเหนาเป็นเท่าไร" ปู่มักจะเน้นว่า พระอภัยพาสุนทรภู่เข้าคุก แล้วก็แจกแจงเหตุผลว่าทำไม? มีคนถามว่า

    สุนทรภู่ไม่รู้หรือว่า ถูกจ้องมองถูกจ้องจับผิดอยู่ ปู่ก็บอกว่าน่าจะรู้แต่คิดไม่ถึงเลยเขียนไป จึงถูกกล่าวหาว่าเอาตัวเองเข้าไปเปรียบเทียบกับเจ้า และ

    ยังกล่าวเหมือนว่าดีกว่าเจ้า คือรู้แต่คิดไม่ถึงฯ สังเกตุได้จากตอนแต่งนิราศฯ คิดถึงพระอภัยมณีก็ต้องคิดถึง"เกาะเสม็ด" ตอนที่เกาะเสม็ดยังเป็นสาว

    บริสุทธิ์ ผมเคยได้ไปเดินเล่นและวิ่งขึ้นไปสุดยอดภูเขา เพื่อเอาคะแนน นั่นมันก็นานมา 47 ปีแล้ว ถ้าเป็นคนเราก็เปรียบเทียบได้โดยไม่ต้องไป

    เห็น คือสาวบริสุทธิ์มองตรงไหนก็ดีไปหมด ถ้าสาวไม่บริสุทธิ์ก็ตำหนิกันไปสุดแต่จะสรรหา เช่นกล่าวหาว่า "ลักษณะของหญิงสาวที่ไม่บริสุทธิ์

    ได้แก่ ไหปลาร้าพร่อง น่องหย่อน จอนเบี่ยง เสียงสั่น ถันเหลว เอวโกรก สะโพกแบะ แดะแด้ แส่จริต ผิดวิสัยฯลฯ" แต่เป็นเกาะเลยบอกยากว่า

    เสียความบริสุทธิ์ มันเป็นอย่างไร ผมเองมักคิดในใจเสมอเวลาเห็นความเป็นธรรมชาติถูกทำลายและอ้างว่าว่ามันทำให้เศรษฐกิจดี แต่ไม่น่าดู อยาก

    เห็นมันทั้งน่าดูและเศรษฐกิจก็ดี ในช่วงที่มีข่าวท่อน้ำมันแตกทะลักสู่ทะเลเมื่อไม่นานมานี้ ผมอยู่ระหว่างเฝ้าไข้แม่บ้านที่โรงพยาบาลแถวๆ บางนา ผม

    ดู ทีวี มีทั้งนักวิชาการ ผู้เกี่ยวข้องออกมาแถลงการณ์ ล้วนแล้วแต่ยืนยันว่าไม่น่ามีปัญหา เพราะได้ทำการขจัดคราบน้ำมันเรียบร้อยแล้ว ตามวิธีการที่

    แถลงมา ผมบอกแม่บ้านผมแม่บ้านของโรงพยาบาลและพยาบาลว่า ผมห่วงว่าน้ำมันจะขึ้นไปบนฝั่ง และคราบน้ำมันจะฝังกับพื้นทราย ทุกคนที่ฟังผม

    พูดบอกเหมือนกันว่า เขาจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหา พอรุ่งขึ้นอีกวันก็เป็นไปอย่างที่ผมพูดไว้ เพื่อนผมที่อยู่ลาดบัวหลวง โทรมาบอกผม

    ว่า เฮ้ย...เป็นอย่างที่เพื่อนบอกเลยว่ะ...ผมเขียนเรื่องนี้ ไม่ว่าใคร...เพราะไม่มีใครผิด...ถ้าเป็นผม...ผมคงจะทำแบบเขา...ผมคิดถึงประโยคภาษา

    อังกฤษ ที่คนโง่ภาษาอังกฤษอย่างผมถูกยัดเยียดมา เช่น Put the like man on the like job หรือ Put the right man/woman to the

    right job และ Put the right job on the right man สรุปก็คือเลือกคนให้ถูกกับงาน อย่าลืมว่า ผมออกตัวไว้แล้วว่า ถ้าเป็นผมอยู่ใน

    สถานการณ์อย่างนั้นก็คงทำอย่างนั้น และเพิ่มให้อีกนิด แต่ผมจะประเมิณว่า น้ำมันจะขึ้นฝั่งหรือฝังทรายตามที่ผมบอกแม่บ้านและเพื่อนกับพยาบาล

    ทำไม?...ก็ผมเคยเห็น การขจัดคราบน้ำมันหรือน้ำมันแบบนี้มาแล้ว...และสุดท้ายน้ำมันก็โผล่ขึ้นมา...???!!!

    สถานการณ์น้ำหกน้ำมันล้นในโลกนี้มีหลายครั้งหลายหน จัดการได้ก็มี ไม่ได้ก็มี ตอนปี 1990 ที่อิรักบุกคูเวต ผมได้ความรู้เกี่ยวกับการขจัดคราบ

    น้ำมันที่อิรักปล่อยน้ำมันของคูเวตลงทะเล ของคณะทำงานของยุโรป ผ่านหนังสือ"พบโลก"(จัดทำโดยคุณ ลลนา พานิช ไม่ทราบว่าปัจจุบันยังมี

    หนังสือนี้อยู่หรือไม่)ตอนนั้นประเทศไทยยังไม่มีองค์กรขจัดคราบน้ำมันที่จะเรียกว่าเต็มรูปแบบคงไม่มี ทำให้ผมรู้จักเรือขจัดคราบน้ำมันและการทำงาน

    ขององค์กรในยุโรป รู้เรื่องการทำงานของเรือขจัดคราบน้ำมันกับขจัดน้ำมันหกล้นในทะเล และยังได้ความรู้เพิ่มเติมอีกว่า น้ำมันที่อยู่ในน้ำทะเลจะถูก

    ย่อยสลายหรือถูกกินโดยแบคทีเรีย และถูกกินโดยแพลงตอนต่อไป คือจะสลายไปในที่สุด แต่ระยะเวลายาวยิ่งนัก มีการประเมินว่า ถ้าจะใช้

    แบคทีเรียมาช่วยย่อยสลายน้ำมันของคูเวตที่อิรักปล่อยลงทะเล ต้องใช้แบคทีเรียถึง 600 ล้านตัน(อาจะแค่ 600ตัน) แต่ ณ ขณะนั้นโลกเราทั้งโลก

    ทำได้แค่ปีละ 50 ล้านตัน(อาจจะแค่ 50 ตัน ผมไม่แน่ใจว่ามีคำว่าล้านอยู่ด้วยหรือไม่ส่วนตัวเลขไม่ผิด) จนมาถึง เดือน ธันวาคม 1991 ศุนย์ฝึก

    พาณิชย์นาวีของเราเริ่มเปิดหลักสูตร เรือบรรทุกน้ำมัน เรือบรรทุกแก๊ส และเรือบรรทุกเคมี ระดับพื้นฐาน ผมเป็นนักเรียนชุดแรกที่ได้เข้ารัการอบรม

    เรียกว่าเป็นนักเรียนที่เข้ารับการอบรม ก่อนรุ่น 1 เพราะตอนนั้นหลักสูตรจัดเป็นการเริ่มต้น เพื่อให้เรือไทยสามารถประกอบธุรกิจกับต่างชาติเขาได้ ก็

    ได้บรรดาครูอาจารย์จากสถาบันต่างๆ มาให้ความรู้และถกเถียงกัน เพื่อหาหนทางให้หลักสูตรของเราเข้มแข็งยิ่งขึ้น หลังจากนั้นบรรดาอาจารย์ของพวก

    ผมท่านก็ได้มาเป็นคณะกรรมการ IESG หรือ Oil industry envirorment safty group .....

    ทำไมผมถึงกล้าพูดว่าคราบน้ำมันหรือน้ำมันจะขึ้นฝั่ง หนึ่งคือ ผมอยู่และรู้จักน้ำยาขจัดคราบน้ำมันมาสามสิบกว่าปี สองผมได้เคยใช้มาหรือใช้ให้คน

    เอาไปใช้มาสามสิบกว่าปี ส่วนคนที่ออกมาอธิบายเป็นฉากๆ ผมไม่แน่ใจว่าเคยใช้มาจริงๆสักกี่ครั้ง หลักการของน้ำยาขจัดคราบน้ำมันก็คือ(ขอเขียนให้

    เข้าใจง่าย)ทำให้เม็ดน้ำมันแตกตัว จาก 1 เป็น 2 จาก 2 เป็น 4 ไปเรื่อยๆ จนละเอียดพอและจมน้ำได้ และจะจมอยู่ในระดับความลึกตามที่ท่านผู้รู้

    ออกมาพูด เช่น 2 เมตร หรือ 3 เมตร ตามคุณสมบัติที่ผลิตมา คือก็แค่จมน้ำแต่ไม่ได้ย่อยสลายไป จนเด็กลูกเรือใหม่ๆบางคนที่ผมเคยใช้ให้ทำงาน

    มักจะเรียกให้เข้าใจง่ายว่า น้ำยาฆ่าน้ำมัน คือพอเขาใช้แล้วเขาเห็นน้ำมันหายไป แต่ต่อมาพวกเขาต้องรู้เพราะเรามีหลักสูตรบังคับ....น้ำยาขจัดคราบ

    น้ำมัน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า oil dispersant หรือ Dispersant oil ใช้ในกรณี oil spill หรือน้ำมันหกกระจาย คือไม่ใช่จำนวนมากๆ คือจำนวน

    เล็กๆน้อยๆ........

    มาดูกันทางด้านภูมิศาสตร์และสภาพแวดล้อม ในวันที่เกิดเหตุ ดวงอาทิตย์อยู่ซีกโลกเหนือ น้ำในอ่าวไทยหมุนตามเข็มนาฬิกา ลมในอ่าวไทยพัดเข้า

    หาฝั่ง ลักษณะพื้นท้องทะเลก็ลึกตั้งแต่ เป็น "0" เมตร จากชายฝั่งหรือชายหาด และลึกขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็น 10 เมตร 20 เมตร ฯ เป็นลำดับไป จน

    ออกทะเลลึก.........

    ย้อนไปดูที่ผมค้างไว้ในตอนที่ว่าสุดท้ายน้ำมันก็โผล่ขึ้นมา...???!!! เพราะเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนผมเคยเห็นของจริง คือเรือที่ผมทำงานจอดเทียบท่า

    อยู่ใกล้กับเรือน้ำมันขนาดเล็กลำหนึ่ง ในกรุงเทพฯ ในดึกของคืนนั้นประมาณเที่ยงคืน เรือลำนั้นทำน้ำมันเตาล้นลงแม่น้ำ ติดกับชายฝั่งเจ้าพระยาของ

    ท่าเรือนั้น โชคดีขณะนั้น(เฉพาะขณะนั้น)เป็นเวลาที่น้ำขึ้นเต็มที่และกำลังหยุดนิ่ง ก็มีการระดมสรรพกำลังขจัดคราบน้ำมันโดยน้ำยาดังกล่าว ปรากฎว่า

    คราบน้ำมันไม่หลงเหลือให้ตรวจพบ จนวันใหม่ตั้งแต่เช้าก็เฝ้าดูกันตลอด ไม่ปรากฎว่าจะมีคราบน้ำมันให้เห็น คงมีแต่โคลนแต่เลนให้เห็นตามปกติ

    พอช่วงเลยเที่ยงวันเจ้าหน้าที่ทางราชการได้มาทำการตรวจตามที่ได้รับรายงาน ในขณะที่เจ้าหน้าที่มาดูเริ่มแรกก็ไม่มีอะไร แต่พอน้ำทะเลเริ่มหนุน

    ขึ้น น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาก็เริ่มเอ่อขึ้น ที่ผิวหน้าของโคลนของเลนปรากฎว่าค่อยๆ มีน้ำมันผุดขึ้นมา มันโผล่มาฟ้องเจ้าหน้าที่ว่ามันยังอยู่...คงไม่

    ต้องบอกผลลัพธ์จากทางราชการ...ว่ากันไปตามกฎหมาย ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก็อย่างที่ผมบอกไป น้ำยาขจัดคราบน้ำมันไม่ได้ทำลายความเป็น

    น้ำมัน เพียงแค่ทำให้น้ำมันจม ตราบใดที่ยังไม่ถูกย่อยสลายก็ยังเป็นน้ำมันอยู่ การที่เราเอาน้ำยาขจัดคราบน้ำมันไปฉีดทำให้มันจม ก็เข้ากับคำที่

    กล่าวกันบ่อยๆว่า เอาขยะซุกไว้ใต้พรม ขยะมันไม่ได้ไปไหน มันพร้อมที่จะโผล่มาลอยหน้าลอยตาฟ้องเรา ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็พอจะ

    เปรียบเทียบได้ดังนี้คือ น้ำมันที่เกิดจากท่อแตกจำนวน 50,000 ลิตร เปรียบได้กับศพ 50,000 ศพ ไม่ว่าเราจะทำให้จมหรือไม่จม ถ้ากระแสน้ำ

    และกระแสลมพัดออกทะเล ศพเหล่านั้นก็จะถูกสัตว์ทะเลกัดกินหรือย่อยสลายเหมือนกับโดนแบคทีเรียย่อยน้ำมัน แต่ถ้ากระแสน้ำกระแสลมพัดเข้า

    ฝั่ง ถ้าเราปล่อยให้ศพลอยน้ำอยู่ แล้วค่อยๆเก็บศพเท่าที่จะเก็บได้ (การจัดเก็บน้ำมันมีอุปกรณ์หลักคือ Bloom and Skimmer) จำนวนศพก็จะ

    น้อยลง เราเห็นศพว่าเคลื่อนที่ไปทางไหน เรายังพอจะจัดการอะไรได้บ้าง เช่นพยายามเบี่ยงเบนทิศทาง หรือเอา Bloom กั้นน้ำมันกั้นไว้ ถึงจะมี

    คลื่นมีลมทำให้กั้นไม่อยู่ทั้งหมด แต่ก็กั้นได้บ้าง และทำการกั้นดักเป็นชั้นๆ ไป จะทำสัก 3 ชั้น หรือ 4 ชั้น เท่าที่มีอุปกรณ์ การที่มี Bloom กันไว้ก็

    จะชลอเวลาการเคลื่อนที่เข้าหาฝั่ง เพิ่มระยะเวลาในการเก็บน้ำมัน แต่ ณ วันนั้นเรารีบทำให้มันจม พอมันจมเราก็จัดการอะไรไม่ได้ มันก็เหมือนศพที่

    เราทำให้จมน้ำ เคลื่อนเข้าหาฝั่งหรือไปไหนเราก็มองไม่เห็น ได้แต่คาดเดา ศพที่จมน้ำกระเพื่อมเข้าหาฝั่ง พอระดับความลึกเท่ากับพื้นท้องทะเลก็

    เริ่มฝังตัวในทรายหรือโคลนที่เป็นพื้นท้องทะเล และก็ทำตัวเหมือนทหารยกพลขึ้นบก คือขึ้นไปบนฝั่งตามหาดทราย น้ำทะเลขึ้นก็ขึ้นสูงขึ้นไปตาม

    น้ำ น้ำทะเลลงก็ฝังตัวปะปนกับทราย ก็เป็นไปอย่างที่เห็นในข่าว การฉีดน้ำยาขจัดคราบน้ำมัน ก็คือการกวาดขยะเอาไปซุกไว้ใต้พรม...ไม่มีใคร

    ผิด...เพราะไม่มีใครคิดว่าจะเป็นอย่างนั้น...แต่ที่ผมคิดอีกแบบหนึ่งก็เพราะผมเคยเห็นของจริง อย่างที่เล่าไป ผมไม่ได้เห็นแล้วผ่านไป แต่ผมเอา

    เก็บมาคิด จึงมีความเข้าใจระดับหนึ่ง ถ้าถามว่าในบ้านเมืองเรามีความสามารถที่จะจัดเก็บน้ำมันที่ล้นลงทะเลได้ไหม? ก็ตอบได้เลยว่า...ได้ในระดับ

    หนึ่ง เพราะกรมขนส่งทางน้ำของเรามีเรือประเภทนี้อยู่ คือเรือเด่นสุทธิ และเรือชลธารานุรักษ์ แต่มีศักยภาพแค่ไหนผมไม่รู้ เพราะผมก็เลิกลาวงการ

    มานานเหมือนกัน เคยเห็นมีการซ้อมกันเป็นประจำ แต่อย่างที่ผมบอกไป เราซ้อมกันก็แค่สถานีขจัดคราบน้ำมัน คือน้ำมันหกกระจายเพียงเล็กน้อย

    oil spill ไม่ใช่จำนวนเป็นหมื่นๆลิตร เพราะมันเหนือการคาดคิด....

    คนอยู่หน้างานในวันนั้น...เขาทำอย่างนั้น...ถ้าเป็นผมก็คงทำอย่างนั้น เพราะคนที่เคยเห็นหรือได้อ่านหนังสือ"พบโลก"อย่างผมจะมีกี่คน ส่วนใหญ่เรา

    ก็ทำตามครูบาอาจารย์แนะนำ ครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่เคยพบเหตุการณ์ใหญ่ๆ แบบนี้ แต่ตอนนี้ผมคิดว่าคงมีความเข้าใจกันมากขึ้นแล้ว ถ้ากลับไปได้

    คงไม่มีใครออกมายืนยันว่าทำดีที่สุดแล้ว หรือบอกว่าทำถูกแล้ว เพราะพวกที่ทำงานขจัดคราบน้ำมันของคูเวตที่อิรักปล่อยออกมาล้นทะเล เขาไม่ได้

    ทำแบบนี้ ผมเองก็ไม่ได้รู้เองสักเรื่องเดียว เอามาจากหนังสือทั้งนั้น แต่บังเอิญต้นทุนผมต่ำ ก็ได้แต่เอาใจช่วย สำหรับสมาชิก ผมตั้งใจว่าจะพาลัด

    เลาะอัฟริกาสักนิด แล้วจะพามาอิเหนา แต่ขอนั่งแท็กซี่เข้าป่าแอฟริกาสัก 2 ชั่วโมงก่อน ใครอ่านเรื่องอิเหนาก็คงได้ศัพท์ภาษาอินโดนีเซียเยอะ แต่

    เอาไปซื้อของหรือจ่ายตลาดไม่ได้ มันคนละเรื่องเดียวกัน ผมเขียนเรื่องนี้ทำไม ไม่ใช่อยากแสดงความรู้ แต่ก็อยากให้เป็นแง่คิด ก่อนจะยืนยันหรือ

    เชื่อมั่นอะไร เหลือทางออกไว้ให้ตัวเองบ้าง ดูอย่างอาจารย์ที่ชวนพักพวกออกมาต่อต้านเขื่อน ท่านจะบอกว่าท่านรู้อีกหลายเรื่อง แต่ท่านจะพูด

    เฉพาะที่เกี่ยวกับหน้าที่ของท่านเท่านั้น ท่านก็บอกแล้วว่า เขาสรุปเอาไว้แล้วว่า ถึงจะได้ผลหรือได้ประโยชน์เพียง 1 % เขาก็จะสร้าง มีใครรู้บ้าง

    ครับว่า ถ้าห้างมาบุญครองเปิดไฟครบทุกดวง จะใช้ไฟฟ้าเท่ากับที่... เขื่อนอุบลรัตน์... ผลิตได้... ขอขอบคุณมากครับ ... สวัสดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2013
  4. บรม

    บรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,163
    ค่าพลัง:
    +3,926
    ตอนโต เจ้านายสอนว่า ป่าสร้างได้ สัตว์ป่าสร้างได้ .......

    ......แต่จิตสำนึก.....สร้างไม่ได้..
    (เจ้านายครับเส้นเลือดในสมองเจ้านายน่าจะกระจายนะครับ)
     
  5. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    เมื่อหลายปีที่แล้ว ก่อนจะแต่งเมีย ผมทำงานอย่างสนุกสนาน เพราะมีงานให้ทำเยอะ เจ้านายคนเก่าไฟเขียวอนุญาตให้เราทุ่มเทได้เต็มที่

    มีหลายครั้งที่หัวหน้าฯ ไม่เข้าประชุม แต่ส่งเราเข้าไปแทน เพราะภาษาอังกฤษหัวหน้าไม่กระดิกหูเลย อาศัยว่ามีความชำนาญในงานที่ทำ ชำนาญในการบริหารคน รู้จักเลือกคนให้ถูกกับงาน แล้วก็มาได้ผมที่ทำงานทำคะแนนให้หัวหน้าฯชนิดญี่ปุ่นต้องมาขอดูตัวทั้งผมทั้งหัวหน้าฯ

    แต่นั้นมาหลายปีแล้ว จนลึมไปแล้ว พอเปลี่ยนหัวหน้าคนใหม่ สถานการณ์ก็เปลี่ยน
    สำคัญที่เราปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้แค่ไหน

    ย้อนกลับไปเมื่อ 10ปีก่อน เศรษฐกิจกำลังจะฟื้นจากยุคไอเอ็มเอฟ มีแรงงานจากกัมพูชาเข้ามามากมาย ทั้งถูกกฎหมายและผิด ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่เหมือนกันอยู่อย่าง.... พวกเค้าทำงานหนักและเป็นงานที่คนไทยไม่อยากทำ!

    ผมเป็นหัวหน้าให้ลูกน้องฝ่ายเทคนิค ลูกน้องก็ใช้บริการ subcontract หรือผู้รับเหมาช่วง เป็นงานที่ต้องใช้แรงงานและเทคนิคผสมกัน

    ขั้นตอนการทำงานเลยเกี่ยวข้องกัน ตัวผมแค่ให้เวลากับลูกน้องทำงานไป ติดขัดส่วนใดจึงค่อยเสนอหน้า และหาจังหวะเลี้ยงขนมเลี้ยงเหล้าตอบแทน ที่ช่วยงานเราไม่ให้มีปัญหา

    เรื่องแรงงานผมก็จะห่างๆ เพราะเราไม่ใช่หัวหน้าเค้าโดยตรง ถึงเค้าฟังเราพูดรู้เรื่อง แต่เวลาเค้าจะด่าใคร เราฟังไม่รู้เรื่องแน่

    ในกลุ่มแรงงานผมเห็นคนดี คนหยาบ คนปอน คนเศร้า คนทุกข์ สวยหล่อขี้เหร่คละกันไป แต่ขยันหมดทุกคน

    และมีน้องหญิงอยู่คนหนึ่ง หน้าตาดี และดีมาก ผมมักจะแอบมองห่างๆเวลาเธอทำงานให้พวกผม ผมไม่กล้าเข้าไปคุยด้วย จึงไม่รู้ว่าเธอมีดีมากกว่าจะแบกจะหามทำงานใช้แรง

    แต่เมื่อถึงคราวที่มีนายญี่ปุ่นหรือลูกค้าเข้ามาดูสินค้าที่อยู่ในความรับผิดชอบ ผมก็ต้องเข้าไปคุมงานและอธิบายขั้นตอนสำคัญให้พวกเค้าฟัง

    ระหว่างนั้นมีบางขั้นตอนที่ลูกค้าสอบถาม และผมพยายามจะอธิบายตามสามารถทางภาษา น้องหญิงก็ช่วยให้คำตอบง่ายๆแต่ญี่ปุ่นเข้าใจ ด้วยภาษาอังกฤษของเธอ.....เธอพูดภาษาอังกฤษได้

    เธอพูดได้ดีมาก แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้ในประเทศของเธอหากิน เพราะงานไม่มีให้ทำ
    ต่างจากเด็กไทยที่เรียนจบปริญญา แล้วยังพูดไม่ได้ เก้อเขินกันไปหมด แต่อยากได้เงินเดือนแพงๆ ใช้แรงไม่เอา....

    เรามาเปิดโรงเรียนกันเถอะครับ โฆษณาไว้ว่า เป็นโรงเรียนมาตรฐานสูง ระดับกัมพูชา
    เหมือนโฆษณาส้วม ที่ใช้ยี่ห้อว่า "อเมริกันสแตนดาร์ท"
    แต่เราติดไว้ที่ป้ายโรงเรียน หรือเป็นชื่อโรงเรียนว่า
    "combodia standard"
    "ได้รับการรับรองมาตรฐาน จากกระทรวงศึกษาธิการฯ กัมพูชา"


    สอน3 ภาษา ให้ใช้ภาษาไทยเฉพาะ ภาควิชาวรรณคดี
    ภาษาอังกฤษ เฉพาะวิชาหลัก
    ภาษากัมพูชา เฉพาะประวัติศาสตร์....... เพื่ออนาคต เด็กจบไปแล้ว จะได้ไม่ไปเชื่อประวัติศาสตร์ข้างเดียว หรือไปทำหนังสร้างหนังที่คนไทยเป็นพระเอก เพื่อนบ้านเป็นโจรกันหมด ขายออกเฉพาะคนไทย เพื่อนบ้านซื้อไปดูไม่ลง.....

    เด็กที่จบจากโรงเรียน หนุ่มทิพย์วิทยา มาตรฐานกัมพูชา ที่มี ผอ.ศนิวาร บริหาร รับประกันได้ว่า "มีวันนี้ เพราะครูใหญ่ไม่ให้"
    ไม่ให้ขายเกรด จนกลายเป็นคนไม่มีคุณภาพ แยกแยะบทบาทหน้าที่ของตัวเองไม่ออก

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=LC503tF1eJ0]โฆษณาทีวีต้านคอรัปชั่น - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2013
  6. Daverko

    Daverko เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,661
    ค่าพลัง:
    +8,902
    โอนค่าน้ำมันที่ค้างอยู่แล้วค่ะ ยอด 1,500 บาท วันนี้ 6/10/56 เวลา 9.31
    ลืมใส่เศษสตางค์ให้อีกแล้ว ขออภัยค่ะ
     
  7. พ่อประดู่09

    พ่อประดู่09 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,378
    เรื่องเล่า : เล่าเรื่องขำๆ จากหนังสือเรียนสมัยเก่าฯ

    ตอน : นิทานร้อยบรรทัด

    เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 56 ได้ไปกราบนมัสการพระอาจารย์พิจารณ์ฯ และได้ดูการทำพิธีพุทธาภิเษกฯ ขาไปผ่านไปทางบางบาล ได้เห็นสภาพน้ำท่วมทุ่ง

    นา ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อนโน้นก็ถือเป็นเรื่องปรกติ ถ้าพบเจอบ้านแบบเก่าที่หลงเหลือไว้ให้ดู ก็จะบอกแม่บ้านว่าบ้านแบบนี้เขาไม่เดือดร้อน เพราะเป็น

    สภาพแท้จริงของคนแถวนี้ ยกเว้นคนที่ไปต่อเติมชั้นล่างให้ดูเหมือนว่าเป็นบ้าน 2 ชั้น กับนาไร่ที่แลดูว่าน้ำท่วมก็เป็นการท่วมแบบ 2 ประเภท คือ

    ประเภทที่ลงทุนทำแล้วท่วม กับอีกประเภทหนึ่งเป็นนาที่หลังจากเก็บเกี่ยวรอบที่แล้ว แล้วเจ้าของนาไม่ทำต่อเพราะเสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วม จึงปล่อย

    ไปตามธรรมชาติ การทำแบบนี้ถ้าน้ำท่วมก็ไม่เสียหายอะไร แต่ถ้าน้ำไม่ท่วมก็ได้แต่ไม่มากนัก ซึ่งแม่บ้านผมทราบดีเพราะได้เคยไปเยี่ยมเพื่อนผมที่

    ลาดบัวหลวงเขาอธิบายให้ฟัง สำหรับพิธีที่ทางวัดโพธิผักไห่ ดำเนินไปเรียบร้อยดี แถมยังมีคณะแสวงบุญจากค่ายกันตนามาร่วมทำบุญ คิดว่าหนุ่ม

    ทิพย์คงจะประชาสัมพันธ์ให้ ผมไปหาข้าวทานที่ข้างๆวัด มีแม่ค้าขายข้าวผัดชื่อเจ๊ช่วยมาผัดให้กิน แกก็บอกว่าขายไปอย่างนั้นแหละแก้เหงา แก

    ถามผมว่าเป็นคนที่ไหน ก็บอกกล่าวไป แกก็บอกว่าแกแก่กว่าผมนิดหนึ่ง เพราะแกอายุ 69 ปีแล้ว และบอกว่ารู้จักแถวบ้านผมดี แกเล่าว่าสมัย

    เด็กๆ แกพายหัวเรือเตี่ยแกแจวท้ายเรือไปขายของ แถวบ้านดาบหน้าสงกรานต์ ขายของที่วัดไทรยืด งานปิยะมหาราช และไปขายที่วัดน้ำพุ วัดสี่

    ร้อย งานลอยกระทง งานวัดนางในเป็นงานประจำปี แกเล่าว่าสมัยแกเด็กๆ เขาจะกีดกันเรื่องที่ขายของกัน แกยกตัวอย่างว่า แกรู้ว่าที่บ้านดาบมีงาน

    สงกรานต์ที่จัดใหญ่มาก แกกับเตี่ยจะไปขายของ มีคนรู้จักมาบอกว่าอย่าไปเชียวนะ ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่า"บ้านดาบ" แต่ไม่รู้เป็นอย่างไรเตี่ยแก

    อยากไป พอไปจริงๆ เข้า...โถ...คนบ้านดาบใจดีจะตาย เตี่ยแกบอกว่า...ไม่เคยเจอคนที่ไหนใจดีแบบนี้...อีบอกให้เรากลัว...อีจะได้มาขายคน

    เดียว...บ้านดาบนี้หนุ่มทิพย์เคยถามผมว่า...ทำไมถึงชื่อบ้านดาบ...ผมตอบว่าไม่รู้...และไม่รู้จริงๆ และไม่เคยสนใจเพราะคิดเสียว่าเป็นสามัญ

    นาม.........

    เมื่อออกจากวัดโพธิผักไห่เพื่อเดินทางไปเยี่ยมนมัสการหลวงปู่สมฯ เวลาก็เย็นมากแล้ว อยากไปเยี่ยมหลวงพี่พยุงฯวัดโพธิ์เอน ก็เกรงว่าเวลาจะมีให้

    หลวงปู่น้อยไป หนุ่มทิพย์ถามผมว่า มีธุระอะไรจะแวะไหม? ก็ตอบว่า...อยากแวะไปใช้สมภารอาจารย์พยุงฯ ให้ใช้วิชาหาผ้ายันต์หลวงพ่อกร่ายให้

    สักจำนวนหนึ่ง ถ้าได้จะเอามาแจกสมาชิกขาประจำ แต่คงต้องมาในโอกาสหน้าจะเหมาะกว่า เมื่อได้เยี่ยมหลวงปู่แล้วก็สบายใจในระดับหนึ่ง หลวงปู่

    แข็งแรงมากกว่าที่เห็นกันตอนอยู่สถาบันทรวงอก ที่เหลือก็คงต้องว่ากันไปตามอาการ ก็ขอบคุณ...คุณธวัชชัยฯไว้หลายรอบ ทำกันเสียตั้งแต่ยังเป็น

    ดีกว่าไปเห็นกันตอนตาย เห็นแล้วผมบอกกับสมาชิกทุกท่านที่เป็นห่วงหลวงปู่ไว้นะโอกาสนี้เลยว่า...คุณธวัชชัยฯ...เป็นคนดีที่คบได้.......

    เมื่อกลับออกจากวัดก็ไปนั่งกินข้าวกัน แล้วเดินทางกลับพร้อมๆกับคุณวินัยฯ ระหว่างทางก็คุยกับหนุ่มทิพย์และแม่บ้านว่า ห่วงเด็กๆ เรื่องเรียนหนังสือ

    แล้วอ่านไม่ออก ซึ่งแม่บ้านผมปรกติก็ดูข่าวเป็นประจำ ดูมากกว่าดูละครอยู่แล้ว แม่บ้านบอกว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ ก็เห็นอวดรู้กันนักว่ามีแบบมี

    แผนดี ก็ตอบไปรวมๆ ว่าเขาก็อาจจะคิดว่าเดี๋ยวโตไปก็รู้เอง ตอนสอบทำยังไง...แม่บ้านผมถาม...ผมก็ตอบได้ชัดเจน...ไม่รู้...ถ้าจะให้เดาก็น่าจะ

    อ่านข้อสอบให้เด็กฟัง...แล้วให้เด็กตอบ...โดยมีพยาน...เหมือนกับเวลาปรับความผิดตามกฎหมาย...หนุ่มทิพย์ก็แทรกขึ้นมาว่า...เขาอ่านหนังสือแตก

    เพราะ...หนังสือการ์ตูน...และหนังสือเรื่องแปลก ตามด้วยหนังสือพระ...เพราะอ่านแล้วมันชอบก็เลยอ่านเรื่อยมา...ผมแทรกให้ว่า...ตัวผมอ่านหนังสือ

    ได้ก่อนเข้าเรียน แต่ก็มีหลายเรื่องทำให้ได้เรื่องได้ราวก็จากการเรียนวิชาสมัยนั้นเรียกว่าวิชา"อ่านเอาเรื่อง" แม่บ้านถามว่าเรียนอย่างไร ก็ยกตัวอย่าง

    เช่น เติมคำในช่องว่าง ครูก็จะใบ้ให้บ้างว่า ไปดูกลอนจากท่อนนี้ถึงท่อนนี้นะ...แล้วเวลาออกข้อสอบก็จะเว้นว่างไว้แล้วให้นักเรียนเติมคำ มันก็ทำ

    ให้นักเรียนต้องเตรียมตัว ก็ต้องอ่านต้องท่องจำมาบ้าง และอีกอย่างหนึ่ง...ไม้เรียว...มันขู่อยู่...มันอายคน...ถ้าสอบตก...ซ้ำชั้น...เพื่อนไปแล้วเรายัง

    อยู่ห้องเดิม...อาย...แม่บ้านผมแกจบ ป.4 แค่นั้นเอง แต่ไปบอกใครๆ ไม่มีใครเชื่อ...ผมพูดต่อว่า...พวกอาขยานก็เหมือนกัน...มันช่วยให้เราจำและ

    มันนำให้เราอยากที่จะท่องหนังสือ...แม่บ้านผมแกคงลืมไปแล้ว...จึงถามขึ้นว่า...อาขยานเป็นอย่างไร...? ผมก็แกล้งเขาโดยยกตัวอย่างเช่น...

    Cock a doo dle do

    My lady lost her shoes

    My master's lost his fiddle sticks

    And does not Know what to do

    แม่บ้านผมเฉยๆ ไม่ขำด้วย ผมรู้สึกผิดก็แก้ตัวว่า นี่เป็นตัวอย่างที่พ่อเรียนมาตอนอยู่ ม.1 หรือ ป. 5 สมัยนี้ พ่อเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ ก็ตอนเข้า ม.1

    หรือ ป. 5 นี่แหละ พ่อไม่กลัวเวลาเรียนภาษาอังกฤษ ก็เพราะเราท่องอาขยานได้นี่ หนุ่มทิพย์...แทรกขึ้นว่า คนโตๆ เรานี่แหละ...เดี๋ยวนี้บางคน

    เว้นช่องไฟก็ไม่เป็น เว้นวรรคก็ไม่เป็น...(ไม่รู้ว่าผมหรือเปล่า...บางทีผมก็ลืมหรือเข้ามาแก้ช้าไป...)ผมเห็นแม่บ้านเงียบ...ก็เลยยกตัวอย่างอาขยาน

    เป็นภาษาไทย โดยเริ่มว่า ตัวอย่าง.......

    เมื่อนั้น เจ้าเงาะแสนกลคนขยัน

    พิศโฉมพระธิดาลาวัณย์

    ผุดผาดผิวพรรณดังดวงเดือน

    งามละม่อมพร้อมสิ้นทั้งอินทรีย์

    นางในธรณีไม่มีเหมือน

    แสร้งทำแลเลี่ยงเบี่ยงเบือนให้ฟั่นเฟือนเตือนจิตคิดปองฯ

    แม่บ้านผมนั่งเงียบสักพักหนึ่ง...รถใกล้จะออกถนนบางนาตราด...อยู่ๆ..เขาก็พูดขึ้นว่า...อ๋อ...นิทานร้อยบรรทัด...แล้วก็ท่องแจ้วๆ...ตั้งหลายตอน...

    ผมน่ะลืมไปเกือบหมดแล้ว...หนุ่มทิพย์บอกให้หยุดก่อน...เขาขอเข้าไปรับแม่บ้านเขาก่อน...เมื่อรับแม่บ้านหนุ่มทิพย์แล้ว ก็เดินทางมาส่งผมที่บ้าน

    พอรถตั้งหลักที่ถนนใหญ่ได้...หนุ่มทิพย์ก็พูดไปหัวเราะไปและว่า...รินเธอฟัง...แล้วบอกซิว่าเธอจำได้ไหม? แล้วบอกให้แม่บ้านผมท่องใหม่...

    เขาพูดว่า...ไหน?เอาใหม่ซิ...นิทานร้อยบรรทัด...เอาแบบเมื่อกี้นี้...แม่บ้านผมก็เริ่มใหม่แต่เป็นตอนใหม่เสียด้วย....

    ระฆังดังหง่างหง่าง ฆ้องใหญ่กว้างดังหึ่งหึ่ง

    กลองหนังดังตึงตึง ตีกระดึงดังกริ่งกริ่ง

    นักเลงร้องเพลงพลาง ตรงหน้าต่างไขว่ห้างหยิ่ง

    เอาหลังนั่งเอียงอิง มือถือฉิ่งตีดังดัง

    เด็กเอ๋ยอย่าไหลหลง ดูเรื่อง กง ก กา บ้าง

    ดูไปตั้งใจฟัง เบื้องหน้ายังจะว่า กด

    ...แม่บ้านคุณหนุ่มทิพย์ปรบมือ...แม่จำได้ยังไง...กี่ปีแล้ว...

    แม่บ้านผมตอบว่า...จะห้าสิบปีแล้ว...และต่ออีกว่า...ก่อนนอนต้องอ่านทุกวัน...และต้องอ่านดังๆ ให้คนบ้านตรงข้ามฝั่งคลองเขาได้ยิน พอเช้าๆ ...จะ

    มีคนชมว่า...อ่านเก่งจัง...เสียงใสเชียว....คนถูกชม...เลยต่ออีกทั้งๆ ที่ไม่ได้ขอ...

    อิ่มเอ๋ยอิ่มก่อน รีบจะไปดูละครโขนหนัง

    ทิ้งสำรับคับค้อนไว้รุงรัง เหมาคนอิ่มทีหลังให้ล้างชาม

    การเฝ้าเอาเปรียบกันอย่างนี้ มิดีหนอเจ้าฟังเราห้าม

    คบเพื่อนฝูงจงอุตส่าห์พยายาม รักษาความสามัคคีจะดีเอยฯ

    หนุ่มทิพย์ กับแม่บ้านเขาถามพร้อมๆ กันว่า แม่จำได้ เพราะแม่ท่องทุกวันดังๆ ใช่ไหม...แม่บ้านผมตอบว่า...ใช่ ต้องท่องดังๆ ตรงไหนอ่านไม่

    ออก...ข้ามไปเลย...เรียกเสียงหัวเราะและเสียงเฮ...ได้ทั้งคันรถ...ผมเลยรู้ว่า...ผมมีเรื่องเขียนให้สมาชิกได้อ่านแก้เหงาแล้ว...ทำไมแค่นี้ผมก็เอามา

    เขียน...ก้อ...เผื่อจะมีใครลืมไปแล้วแบบผม หรือ...ก้อ...ผมเพิ่งเห็นแม่บ้านผมเก่งมากวันนี้ นี่ก็ต้องเรียกเอามาปรึกษา...อาขยานใช่แต่จะสอนเรื่อง

    ภาษา สอนการอ่าน การเขียน ยังสอนเด็กให้รู้จักคิด ทั้งเรื่องการปฎิบัติตัวและสมบัติผู้ดีฯลฯ.....ขอขอบคุณมากครับ...สวัสดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2013
  8. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,632
    ขอเสริมในฐานะที่เป็นครู เรื่องอาขยานนี่ช่วยความจำได้จริง ๆ
    ตอนผมเป็นเด็จประถมต้นนิทานร้อยบรรทัดนี่ยังได้เรียนอยู่แต่รู้สึกว่า
    ปีหรือสองปีนี่แหละแล้วก็เปลี่ยนใหม่ นิทานร้อยบรรทัดหายไปจากระบบ
    กลายเป็นหนังสืออ่านเล่นที่มีเรื่องนกกางเขน นิด หน่อย น้อย แล้วก็แปรสภาพไปเรื่อย
    ตามหลักสูตร ปรากฏว่ายิ่งปรับหลักสูตรเด็กยิ่งโง่ลง โง่ลง ยิ่งถ้าเรื่องไหนเป็นวรรณคดี
    เด็กถอดความไม่ได้ สรุปความไม่เป็น ยิ่งอ่านทำนองเสนาะยิ่งเข้าป่าเข้าดง
    สุดแสนจะเยียวยา

    บอกให้ท่องจำอาขยานมาสอบเอาคะแนนไม่ยอมมา ไม่ยอมท่อง ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
    เฆี่ยนก็ไม่ได้เดี๋ยวมีปัญหากับผู้ปกครองเด็กตามมาอีก

    ผมเคยถูกผู้ปกครองเด็กต่อว่าเอาว่าให้เด็กท่องจำอาขยานยาวเกินไป หลายบท หลายเรื่อง เกินความสามารถเด็ก ผมก็งง ๆ ทั้ง ๆ ที่กระทรวงเป็นผู้กำหนดให้ทำโดยแท้
    ผมเลยย้อนถามคืนกลับไปว่า เด็กร้องเพลงได้ไหม ผู้ปกครองคุยโวทันทีว่าได้
    แถมร้องเพราะด้วยทั้งสตริง หมอลำ ฯลฯ

    ผมสวนกลับนิ่ม ๆ ทันทีว่า เวลาเด็กร้องเพลงได้ดูเนื้อไหม ร้องได้เป็นหลายสิบเพลง
    ทำไมถึงจำได้ บางเพลงหาคำสัมผัสคำคล้องจองแทบไม่มี ทำไมถึงร้องได้
    แต่อาขยานนี่เป็นบทกลอนบทประพันธ์ มีคำสัมผัสให้คล้องจองแท้ ๆ จำได้ง่ายกว่าอีก
    กลับบอกว่าท่องไม่ได้ แสดงว่าเด็กไม่ตั้งใจไม่ใส่ใจที่จะทำ ถ้าร้องเพลงได้ก็ต้องท่องจำได้
    ผู้ปกครองอึ้ง นิ่งไปสักครู่แล้วบอกว่า จริงแฮะ ร้องเพลงมันยังร้องได้ แต่ท่องจำมันบอกว่าทำไม่ได้แสดงว่ามันขี้เกียจ ไม่ใส่ใจเหมือนที่ครูพูด ทีนี้เลยหันไปเฉ่งกับลูกแทน

    เฮ้อ ! สนองนโยบายกระทรวงแท้ ๆ แต่กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นเหตุให้เด็กติด ร ติด ๐ กลุ้มครับ
     
  9. nop070

    nop070 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,335
    เสียดายไปกราบเยี่ยมท่านไม่ทัน แต่ก็ดีใจที่ท่านได้ออกจาก รพ.แล้ว
     
  10. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    ผมติดภาระกิจยกระดับป้องกันภัยก่อการร้ายทุกรูปแบบให้กับบริษัทฯ... โลกใบนี้อยู่ยากขึ้นไปทุกวัน งานข่าวงานเขียนอาจจะช้าไปบ้าง ต้องขออภัย ที่ติดค้างเรื่องดวงใครอยู่ จะหาเวลาเข้ามาอ่านให้ ส่วนท่านที่อ่านไปแล้ว หากติดใจสงสัยเรื่องไหน ก็ไต่ถามได้นะครับ จะทยอยตอบตามสามารถ

    สารวัตรวินัย ช่วยผมคั่นเวลา ด้วยเรื่องเล่าเอาเพลิน
    หลวงปู่ฯพูดบ่อย "ของดี ไม่กินก็เน่า เรื่องเก่า ไม่เล่าก็ลืม"

    ถึง น้องทิพย์สุดหล่อ
    จากสารวินัย

    หวัดดีครับหนุ่มทิพย์ วันนี้งานเสร็จเร็ว ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเลยขอแชร์ประสบการณ์ เจอผีให้ฟังครับ
    ผมเข้ารับราชการปี 2530 ครับ ประมาณ พ.ศ.2535 ผมได้ลาบวช 1 พรรษาครับ โดยบวชที่วัดช่องลมนาเกลือ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี ครับ เป็นวัดธรรมยุตครับ เมื่อกำหนดวันบวช ก็จะต้องอยู่วัดก่อนบวช ใส่ชุดขาวแล้วก็เดินบิณฑบาตรกับพระก่อน ( เหมือนฝึกงานครับ ) ก่อนบวชประมาณ 1 สัปดาห์ ก็ไปที่วัดเพื่อนอนค้างที่กุฎีครับ เมื่อไปถึงพบพระเลขาอุปัชฌาย์ได้จัดให้หลวงพี่แดงเป็นพระพี่เลี้ยง และจัดกุฎีให้อยู่ โดยเป็นกุฎีทำด้วยไม้สองชั้นครับ ผมอยู่ชั้นสอง ห้องทางด้านทิศใต้ สังเกตดูชั้นล่างจะเป็นห้องน้ำ ชั้นสองจะมีสามห้อง ห้องหนึ่งผมนอนพัก ห้องกลางและห้องทางทิศเหนือปิดเงียบไม่มีคนอยู่ สรุปว่ากุฎีนั้นมีผมอยู่คนเดียว โดยติดอยู่กับเมรุของวัดครับ หลังจากนั้นได้นำเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ไปทีกุฎี พออาบน้ำเสร็จเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดขาว ก็ไปนั่งสนทนากับหลวงพี่แดงครับ จนกระทั่งเวลาประมาณ 22.00 น. ผมก็ขอลากลับไปนอนที่กุฎี เมื่อมาถึงก็เข้านอนก่อนนอนก็สวดมนต์ไหว้พระ บอกเจ้าที่เจ้าทางตามที่ผู้ใหญ่เคยสอนไว้ แล้วก็ปิดไฟ หลังจากนั้นก็นอน พยายามข่มตาให้หลับแต่ก็ไม่หลับ จนกระทั่งประมาณตี 1 ได้ยินเสียงหญิงชายหลายคนคุยกันดังหงุ่มหง่าม หงุ่มหง่าม แต่ฟังไม่ได้สัพว่าพูดคุยกันเรื่องอะไร แต่ก็ยังอุ่นใจว่าเออเรายังมีเพื่อนที่ยังไม่หลับคุยกันอยู่ใกล้ๆ นะ ผมพยายามเอียงหูฟังว่าเสียงมาจากทางไหน และเราหูฝาดไปเองหรือเปล่า ก็ยังคงได้ยินอยู่เหมือนเดิม นอนฟังประมาณ 30 นาที จึงตัดสินใจเปิดไฟแล้วเดินออกมาดูที่ระเบียง แต่เสียงคุยก็เงียบ ได้ยินแต่เสียงจิ้งหรีด และแมลงร้อง พยายามมองไปรอบๆ ว่ากุฎีอื่น หรือแสงไฟมีใครมานั่งคุยกันหรือไม่ ก็ไม่มีแสงสว่างเลย มือสนิทผมยืนดูอยู่นานก็ไม่ได้ยินเสียงใครคุยกัน จึงได้เข้านอนเหมือนเดิม พอเคลิ้มๆ ก็ได้ยินเสียงคนคุยกันอีกครั้ง ผมพยายามฟังให้ได้ว่าเสียงมาจากทางไหนแน่ พยายามเงี่ยหูฟัง และค่อยๆ ลุกขึ้น และก็เปิดไฟภายในห้อง และเดินลงมาชั้นล่างเปิดไฟอีกเผื่อถ้ามีคนอยู่ใกล้ๆ เค้าก็จะได้เข้ามาทักทายเรา แต่ก็เงียบ ไม่มีกุฎีไหนเปิดไฟเลยมีแต่กุฎีของเราเปิดอยู่แห่งเดียว ยืนรอยู่นานก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย จึงได้ปิดไฟอีกครั้งและเข้านอน ยังไม่ทันหลับเลยได้ยินเสียงคนคุยกันอีกแล้วเหมือนเดิมทุกอย่างครับ คราวนี้ผมไม่อยู่แล้วครับ คิดในใจว่ากูไปดีกว่า จึงรีบกลับบ้านเลยครับ จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น จึงได้เข้ามาที่วัดอีกครั้งและเข้าไปหาหลวงพี่แดง เล่าให้หลวงพี่แดงฟัง หลวงพี่แดงจึงได้เปลี่ยนกุฎีให้ใหม่ และเล่าให้ฟังว่า กุฎีนี้เป็นกุฎีที่คนในตลาดได้สร้างถวายวัดครับ โดยสร้างเป็นสองชั้น ชั้นบนห้องกลาง เป็นห้องที่เก็บกระดูกของบรรพบุรุษที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนห้องทางทิศเหนือและห้องทางทิศใต้ (ที่ผมนอน ) เป็นห้องที่ใช้พักอาศัยของพระภิกษุ และได้พูดอีกต่อไปว่า คิดว่าไม่มีอะไรแล้ว เพราะว่าตอนสงกรานต์พระอุปัชฌาย์ได้ทำบุญใหญ่ให้แล้ว ไม่นึกว่าจะยังอยู่อีก หลังจากนั้นหลวงพี่แดงจึงได้เล่าให้ฟังว่า กุฎีหลังนี้คนที่มาพักจะโดนดีทุกคน ยกเว้นญาติพี่น้องของเจ้าของที่สร้างขึ้น ถึงอยู่ได้โดยไม่เจอดี แต่ผมก็ไม่ได้ถามนะครับว่าคนอื่นที่เค้าเจอกันนะ เจอแบบไหน เจอเหมือนเราหรือเปล่า แต่ถ้ามีโอกาสกลับไปเจอหลวงพี่แดงอีกครั้งก็คงจะถามว่าคนอื่นที่เจอ เจอแบบไหน ทุกวันนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าเป็นเสียงของใครคุยกัน ลุกขึ้นมาดูต้องสามครั้งแล้ว ถึงได้กลับบ้าน หรือว่าน่าจะเป็นวิญญาณกระดูกที่เก็บไว้ในห้องกลางนั้นหรือเปล่าที่นั่งคุยกัน ขอให้ทุกคนโชคดีนะครับ บุญรักษา

    พ.ต.ท.วินัย ตระกูลไทย สาธุ สาธุ สาธุ
     
  11. เติบโต

    เติบโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    819
    ค่าพลัง:
    +5,298
    สวัสดีครับ เพื่อนสมาชิกคณะหนุ่มทิพย์และนิ่มป่าแดง
    เมื่อวันงานวัดโพธิ์ผักไห่ 6 ตุลาคม 2556 เป็นอย่างไรบ้างครับ หากพี่ท่านใดไปหรือมีรูปถ่ายนำมาเผยแพร่นำมาลงให้เพื่อนสมาชิกได้รับทราบด้วยนะครับ ผมติดภาระกิจ ไม่สามารถไปร่วมงานได้ แต่ก่อนวันงานได้ร่วมทำบุญกับพระอาจารย์พิจารณ์ไปส่วนหนึ่ง เสียดายที่วันงานไปไม่ได้...
     
  12. helium

    helium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    848
    ค่าพลัง:
    +2,124
    พูดถึงวันงานเสียดายมาก ตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นจะนั่งรถตู้ไปร่วมด้วยแน่ๆ ด้วยเหตุผลสามประการ คือเจอเกจิอาจารย์ที่ศรัทธา ,เจอพี่นิ่มพี่หนุ่มทิพย์และพี่เวปพลังจิต ,เจอพี่รักไร้พ่ายพี่ๆเวปญาณทิพย์ ถือเป็นโอกาสดีมากสำหรับผมที่สามคณะนี้ที่ผมเคารพรักได้มาพร้อมกัน แต่ดันมีธุระด่วนกะทันหัน บุญไม่ถึงหรือกรรมฉุด รอคอยโอกาสต่อไป...
     
  13. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    ผมได้สมเด็จ7ชั้นมาแล้ว แต่เป็นสมบัติของพี่ธวัชชัย เพราะมีรอยจารมาเมื่อสมัยหลวงปู่ฯยังแข็งแรง

    ผมให้หลวงปู่ฯได้สัมผัสพระฯก่อนแล้ว แต่คงไม่มีกำลังจะถ่ายทอด
    เหลือแต่สมเด็จหลังยันต์พุทรอบโลก จะนัดมารับหรือจะให้จัดส่งไปรษณีย์ก็แจ้งนะครับ
     
  14. RGD

    RGD เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +468
    เผอิญว่าช่วงนี้ผมต้องอยู่ต่างจังหวัดครับ คุณหนุ่มทิพย์พร้อมเมื่อไหร่ค่อยจัดส่งก็ได้ครับ ขอบคุณครับ
     
  15. พ่อประดู่09

    พ่อประดู่09 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,378
    แผนที่คลองรังสิตฯ บางส่วน
    [​IMG]
    เรื่องเล่า : เคยแผ่วผ่านกับคนทำงานที่เกี่ยวกับวัตถุโบราณ

    ตอน : ขอตั้งหลักที่คลองรังสิต

    ผมเคยเกริ่นไว้ตอนหนึ่งว่าอยากจะเขียนให้ถึงการแผ่วผ่านเข้าไปในเรื่องราวของวัตถุโบราณหรือโบราณวัตถุ ไม่ใช่ผมชอบหรือผมมีความรู้เรื่องพรรค์นี้

    มากอะไรหรอก เป็นแต่เพียงผมเคยคุยกับคนที่ทำงานในด้านนี้แล้ว ทำให้ผมเปลี่ยนนิสัยที่คิดว่าตัวเองแม่นตำราแล้วจะถูก ทำให้ผมรับฟังคนมากขึ้น

    แม้ในใจจะยังเชื่อตัวเองอยู่ และพอนานๆ เข้าก็ทำให้เห็นว่า เรื่องเล่าขานจนเป็นตำนานหรือเป็นประวัติศาสตร์ มีหลายอย่างที่มีข้อเท็จจริงไม่เหมือน

    กัน การไม่เชื่อแบบฟันธงเป็นเรื่องดีสำหรับผม ผมชอบวิธีคิดของนักโบราณคดีชอบติดตามอ่านบ้าง อยากอ่านเรื่องของท่าน"พระบิดาแห่งประวัติ

    ศาสตร์ และโบราณคดีของไทย" หรือ ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล โดยไม่มีเรื่องหนึ่งเรื่องใดที่ชอบเป็นพิเศษ แต่ชอบตรงที่เวลาลูกศิษย์

    เขียนถึงท่าน ความเป็นครูอาจารย์ของท่าน ผมเคยถามลูกชายผมว่า "เคยไปเยี่ยมครูที่เคยสอนตอนเรียน ม.ต้น บ้างไหม?" ลูกผมเป็นเด็กดีมากๆ

    ตอบผมว่า"ไม่เคย...ไม่รู้จะไปเยี่ยมทำไม ไม่มีอะไร...?! " เรียนกันมาสอนกันมาตั้งนับสิบปี ไม่มีอะไรประทับใจกันเลยหรือ นักเรียนก็เรียนขนาดได้

    เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งขัน คะแนนสอบก็สอบได้ที่ 1 ตลอด ความประพฤติดี แต่ไม่มีความผูกพันธ์ ครูก็ต้องดีและดีมากด้วย เพราะสอนเด็ก

    ได้ขนาดนั้น ความผูกพันธ์มันหายไปไหน หรือมันหายไปกับคำว่าครูที่เปลี่ยนมาเป็น"จาน" นี่ก็เรื่องหนึ่ง มันเกี่ยวอะไรกับคลองรังสิตฯ เรื่องประวัติ

    คลองรังสิตฯ คงไม่กล่าวถึงเพราะรู้กันดี ทำไม? เมื่อเจ้าพระยาเสนาบดี กระทรวงเกษตราธิการ ทูลรายงาน ร.6 ทำนองว่า(ผมใช้คำว่าทำนอง :

    เพราะตำราตอนเรียนมหาวิทยาลัย หาไม่เจอ)มีหลายครอบครัว ทั้งเมืองนนทบุรี,ปทุมธานี,สมุทรปราการ พ่อ,แม่ ออกไปหาของกินทิ้งคนแก่ไว้เฝ้า

    บ้าน พอกลับมาบ้านบางคนไม่มีอะไรติดมือกลับมา คนแก่อดจนเป็นลมตายก็มี อะไรทำนองนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ร.6 ไม่ทรงเชื่อ

    เพราะพระองค์ทรงคิดว่าเมืองไทยใหญ่อุดมฯ ข้าวปลาอาหารต้องสมบูรณ์ อย่าไปโทษว่าพระองค์เอาแต่โขนหนัง ต้องโทษคนรายงานกับคนรอบ

    ข้าง เพราะคนรอบข้างพระองค์ท่านนาไร่ดีไปหมด แต่ชาวบ้านนาล่ม ความจริงปีนั้นเรียกว่าข้าวยากหมากแพง ตอนแล้งก็แล้งมาก ถึงตอนที่ต้องการ

    น้ำทำนา ก็มามากจนล้นท่วม คนโบราณเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เขาแก้น้ำท่วมด้วยการหาทางให้น้ำไปให้พ้น จะไปลงทะเลหรือไปไหนก็หาทางให้ไป

    เพราะเก็บไว้เดี๋ยวเอาไม่อยู่ ผิดกับยุคนี้หาทางกั้นเอาไว้กักเอาไว้ "ต้องทำเขื่อน" ถ้าปีไหนน้ำท่วมจนเขื่อนพัง ก็โทษว่าเป็นเพราะระบายน้ำในเขื่อน

    ไม่ทัน จากการที่ ร.4 ท่านบวชนาน พบปะชาวบ้านชาวพระจำนวนมาก พระองค์มีข้อมูล(ไม่ใช่ข้อทูล)มาก ข้อมูลต่างๆ ถูกรวบรวมผ่านมาจนถึง ร. 5

    ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าพระองค์ทรงเสด็จประพาสต้นฯ ไปทุกหนทุกแห่งส่วนใหญ่เป็นทางน้ำ ข้อมูลจึงถูกรวบรวมมากขึ้น ซึ่งข้อมูลทุกๆ อย่างล้วนแล้ว

    แต่ผ่านพระเนตรกระกรรณของพระองค์ท่าน โดยไม่ต้องผ่านการเพ็จทูลมากนัก เพราะทรงสำรวจตรวจสอบด้วยพระองค์เอง ดังนั้นในปี 2431 จึงทรง

    ตัดสินพระทัยให้ขุดคลองรังสิต(อย่าไปตั้งแง่คิดว่า...ขุดคลองให้นาเจ้านายกับนาขุนนางเท่านั้น : คิดเสียว่าเป็นต้นแบบ) ปี 2433 ก็เริ่มขุด ย้อนไป

    ถึงตอนที่ว่า ร.6 ไม่เชื่อว่าคนไทยจะไม่มีข้าวกินตามรายงานของเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิราช ถ้าเป็นเราๆ ท่าน ก็คงคิดแบบนั้นเหมือนกัน เพราะไม่

    ว่าจะทรงถามใครในหมู่คนใกล้ชิดที่ทำนาว่า นาไร่เป็นอย่างไร? ก็จะได้รับคำตอบว่า"ดีพระเจ้าค่ะ"ก็เพราะนาของท่านเหล่านั้นส่วนใหญ่อยู่แถวๆ

    นั้น คือมีคลองรังสิตฯ ข้าวปลาดีไม่มีเสียหาย..........................

    ผมเขียนไว้นานแล้วจำตอนไม่ได้ว่าตอนไหน? ผมเคยเขียนไว้ว่า ถ้านั่งเครื่องบินดูจะรู้ว่าคลองรังสิติ ดูเหมือนซี่หวีที่ใช้หวีผม วันนี้เลยเอารูปบางส่วน

    มาให้ดู ถามว่าวันนี้แถวรังสิตจะมีน้ำท่วมไหม?...คลองที่ขุดไว้แต่เดิม กว้าง 8 วา ลึก 3 วา(ยกเว้นคลอง 6 วา)เดี๋ยวนี้กว้างเท่าไร ลึกเท่าไร? คลองรัง

    สิตฯเป็นทั้งที่เก็บน้ำและระบายน้ำ บรรดานาเจ้านายจึงไม่ท่วม ทุกวันนี้น้ำท่วมหลายพื้นที่ เห็นทหารทำงานโดยการระบายน้ำหรือหาทางระบายน้ำ

    พอน้ำลดแล้วแทนที่จะคิดหาทางระบายน้ำไว้ล่วงหน้าหรือหาที่เก็บน้ำโดยไม่ต้องเวณคืนที่ดิน คือขุดคลองให้กว้างและลึกตามต้นแบบ กลับมาคิดกัน

    แต่เขื่อนฯ บุญใดๆ ที่ผมมีมาและยังมีอยู่ขอยกให้ศสินฯ เอาไปเป็นพลัง..........เพราะคุณไม่ได้ค้านอย่างเดียวคุณเสนอทางออกให้ด้วย คือ การ

    ระบายน้ำ.....เราก็รู้ว่าเขื่อนนั้นสร้างเพื่อชลประทานหรือการเกษตร แต่ต้องดูจำนวนด้วย เขื่อนไม่ได้สร้างมาเพื่อไฟฟ้า เพราะเขื่อนทั้งประเทศไทย

    ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 5 % ของจำนวนที่เราใช้ทั้งหมด แต่การอ้างเรื่องการผลิตไฟฟ้าก็ทำให้กู้เงินได้ฯ ขอขอบคุณท่านอดีตนายกชาติชาย ฯ ท่านพูด

    ไว้ในสภาว่า...พูดความจริงกันเสียทีเรื่องเขื่อนสร้างเพื่ออะไร...? ผมเอาคลองรังสิตฯมาเป็นต้นแบบว่า ถ้าการระบายน้ำดี...ไม่มีน้ำท่วม ที่มันท่วมกัน

    ตอนนี้เพราะไม่มีที่ระบายหรือมีไม่พอ.................

    เมื่อปี พ.ศ. 2512 ผมได้ไปงานศพเพื่อนร่วมรุ่นที่จังหวัดนครสวรรค์ คือเพื่อนลาราชการไปบวชให้พ่อให้แม่ พอสึกจากพระขี่มอเตอร์ไซด์พลิกคว่ำ

    บนสะพานเดชาบดินทร์เสียชีวิต ปรากฏว่าพวกผมแทบจะเหมาตู้รถไฟกันไปทีเดียว ขากลับช่วงที่รอเวลารถไฟกลับกรุงเทพฯ ผมนั่งกินเหล้าอยู่กับ

    เพื่อนๆ มีผู้ชายกลุ่มหนึ่งอายุมากกว่าพวกผมเรียก"น้องๆๆ" ยกมารวมกับพี่ โต๊ะน้องพี่จ่ายแล้ว พอยกมารวมกันผู้สูงอายุในกลุ่มนั้นก็แนะนำให้รู้จักกัน

    พอถึงตัวพี่เขา เขาบอกว่าชื่อ พ.จ.อ.ประเสริฐ สุขปรี เป็นทหารเรือรุ่นพี่ผมเยอะ เขาบอกว่าลาออกมาตั้งแต่ ขบถแมนฮัตตันแล้ว ผมยังแปลกใจตัว

    เองว่าทำไมผมถึงยังจำชื่อพี่เขาได้จนถึงทุกวันนี้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเจอกันอีกเลย พี่เขาบอกพวกผมว่า พวกเขาทำงานขุดวัตถุโบราณในเขตภาคเหนือ

    พวกผมทุกคนแทบจะพูดเหมือนกันว่า พี่ก็มีพระดีๆ เยอะซี่...มีแจกน้องๆบ้างไหม(คงทำนองนี้)ส่วนผมจะถามว่า รู้จักหลวงปู่ทิมไหม? พวกพี่เขาจะดู

    ผมอย่างตื่นเต้น...รู้จักท่านเจ้าคุณ....ด้วยรึ..? พวกพี่ทำงานให้กับท่าน ผมจึงเล่าที่มาของผมให้พี่เขาฟัง สิ่งที่ผมได้ในวันนั้นไม่ใช่พระเครื่องราง...

    แต่เป็นความคิดที่ดี...ของข้าราชการดี...และความคิดความอ่านของคนทำงานเกี่ยวกับวัตถุโบราณหรือโบราณคดี พี่เขาบอกว่า พอมาทำงานด้านนี้

    แล้วเกิดความรัก ในสิ่งของที่พบ เหนื่อยแสนเหนื่อยก็หายเหนื่อย ของที่พบทุกชิ้นรักทั้งหมด แต่เป็นการรักแบบแจกจ่ายให้ได้รักกันทุกคน คือเอา

    มาเข้าพิพิธภัณฑ์ พี่เขายืนยันว่าไม่เคยมีความคิดที่จะเอามาเป็นของตัวเอง...นี่กระมัง...ที่ผมยังไม่ลืมทั้งชื่อและนามสกุลพี่เขา และทำให้ผมรักคน

    ทำงานในด้านนี้เป็นต้นทุนมาอย่างยาวนาน....

    เมื่อปี พ.ศ. 2517-2518 น่าจะเป็นช่วงเวลาลมข้าวเบาแผ่วผ่าน เพราะยังจำได้ว่ามันหนาวนิดๆ หรือจะเรียกแบบสุนทรภู่ดีว่า ลมว่าว น่าจะเป็น

    ปลายปี 2517 มีข่าวหน้าหนึ่งของ นสพ.ทุกฉบับติดต่อกันหลายวันว่า มีการพบวัตถุโบราณอายุราว 600 ปี จุดที่ค้นพบคือบริเวณใต้เกาะคราม ที่

    ความลึกประมาณ 80-100 ฟุต คนกลุ่มแรกที่พบคือชาวประมง เมื่อวัตถุที่พบออกมาเพ่นพ่านตามตลาดและนักค้าของเก่า ก็จะต่อไปยังส่วน

    ราชการ มีการสำรวจกันอย่างจริงจัง จนได้ตำแหน่งที่แน่นอน ว่าเป็นการพบของที่อยู่ในเรือสำเภาที่จมมาประมาณ 600 ปีแล้ว ทั้งตัวเรือและสิ่งของ

    มีทรายกลบอยู่ ดังนั้นของจึงไม่กระจัดกระจาย และเรือยังคงสภาพเป็นเรืออยู่ ข้อสันนิษฐานทางประวัติศาสตร์ผมขอผ่านไป ทางกรมศิลปากรก็มีการ

    ดำเนินการกู้สิ่งของเหล่านั้นตามวิชาการ ทางทหารเรือใด้สนับสนุนเรือยกพลขึ้นบกขนาดเล็ก คือเรือที่ใช้ลำเลียงพลขึ้นบก และบรรทุกรถถังได้จำนวน

    หนึ่ง เป็นเรือท้องแบนให้เป็นที่ทำงานของเจ้าหน้าที่จากกรมศิลป์ที่ส่งไป มีการกำหนดเขตห้ามเรือปลาเข้าไปจับปลาบริเวณนั้น มีการวางทุ่นเพื่อบอก

    อาณาเขต แต่ทุ่นที่วางมักจะขาดหายไป ทางการสืบทราบว่ามีกลุ่มคนมาตัดเชือกทุ่นเพื่อทำลายอาณาเขต แล้วก็ส่งคนลงไปดำน้ำค้นหาเวลากลาง

    คืน ถ้าถูกจับได้จะได้บอกว่าไม่รู้ว่าเป็นเขตหวงห้าม เพราะไม่มีทุ่นวางไว้ ตัวผมจึงถูกนายเรียกพบและอธิบายงานให้ฟัง สรุปคือผมในฐานะที่ประจำ

    อยู่แผนกทุ่นระเบิด กฝร. ให้เป็นผู้ดำเนินการตั้งแต่มาเบิกทุ่นไปจากกรมสรรพวุธทหารเรือ 4 ลูก ทำการคำนวนสายยึดให้เหมาะสมกับความลึกของ

    น้ำและความเร็วของกระแสน้ำ เสร็จแล้วให้เป็นผู้รับผิดชอบการทิ้งทุ่นพร้อมทั้งสังเกตการณ์ ลักษณะและขนาดของทุ่นก็เป็นแบบครุ่งทรงกลม เวลา

    วางทุ่นอยู่ในน้ำจะหงายด้านครึ่งวงกลมผ่าอยู่ด้านบน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเมตรเศษๆ พอทิ้งให้อยู่ในตำแหน่งแล้วสามารถให้คนไปนั่งเล่นได้ไม่

    น้อยกว่า 4 คน......... ทีนี้ทุ่นก็ไม่หาย ไม่ขาด ทางกองทัพเรือสนับสนุนหรือให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีกับหน่วยงานนั้น นักดำก็ขึ้นตรง กฝร. ชาว

    บ้านเรียกพวกเขาว่า หน่วย SEAL แต่พวกผมเรียกพวกเขาว่า มนุษย์กบ ทางการอีกชื่อหนึ่งก็เรียกว่า นักทำลายใต้น้ำ นี่ก็จากกันมา 37 ปีแล้ว ไม่

    ทราบว่าจะเปลี่ยนเป็นอะไร มนุษย์กบในขณะนั้นก็เป็นพวกรุ่นพี่ผม ร่นเดียวกับผม และรุ่นน้อง คือเรียกว่ารู้จักกันดี ทำให้ผมสอบถามรายละเอียดได้

    มากมาย ทั้งความเป็นอยู่และสถานะของวัตถุโบราณขณะอยู่ใต้น้ำ พอขึ้นมาบนเรือผมได้เห็นของจริง เห็นการจัดเก็บ เห็นการแยกประเภท ได้พูด

    ได้คุยกับเจ้าหน้าที่โดยตรง ทำให้ผมได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีก ได้รู้จริงๆ ว่าการเรียนประวัติศาสตร์ควบคู่กับการเรียนโบราณคดี จะมีประโยชน์เป็นอย่าง

    มาก จนต่อมาภายหลังผมถึงชอบมุมมองประวัติศาสตร์แบบอาจารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์ และอาจารย์ สุจิต วงษ์เทศ ในเวลาที่เขางมวัตถุโบราณขึ้นมา

    จากท้องทะเล(ของที่งมได้ลองไปหาชมกันเองนะครับ)สำหรับของดีๆ แรกๆผมให้ความสนใจมาก ทั้งสวยงามในรูปทรงและ วิทยาการในด้านการ

    เคลือบสุดยอดจริงๆ และพวกที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็มีเป็นจำนวนมาก พวกที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกองรวมกันสูงร่วมเมตร แต่เชื่อไหมครับว่า

    ผ่านไป 2-3 วันผมจะเห็นวัตถุโบราณที่ถูกประกอบขึ้นใหม่จากชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ผมเห็น คนงมวัตถุโบราณคือมนุษย์กบ แต่คนที่รังสรรค์งานจากชิ้น

    เล็กๆ ที่แตกหักเป็นเจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากรที่ส่งมา วันหนึ่งว่างจากงานประจำวัน ผมได้ไปนั่งคุยกับพวกเขา ผมพูดว่า...แหม...ไม่ยอมทิ้งเลยสัก

    ชิ้นเชียวนะ...ทำได้ยังไง...? พวกเขาตอบผมว่า มันเป็นงานอาชีพน่ะพี่ ผมบอกว่าผมดูไม่ออกเลยว่ามันจะมาเป็นชิ้นใหญ่เป็นถ้วยโถโอชามได้อย่าง

    ไร พวกเขายกตัวอย่างให้ผมฟังว่า พี่เชื่อไหม...ที่โคราช...ที่พวกผมพบเป็นชิ้นหินเล็กๆขนาดนิ้วมือก็มี เป็นลิ่มๆ ก็มีแตกกระจัดกระจายถึงหมื่นชิ้น

    พวกผมใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ได้พระพิฆเณศรที่สลักจากหิน 1 องค์ เขาคงกลัวผมจะเสียใจเลยให้กำลังใจผมโดยบอกว่า มันเป็นงานใครงาน

    มัน พวกผมจะต้องเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ด้วย ถ้าวันนี้พี่กับผมไปเดินเล่นชายหาดกัน พี่เห็นหินก้อนหนึ่งพี่ก็อาจจะเตะมันเล่น แต่ผมจะรีบวิ่งเข้าไป

    เก็บ...เพราะผมดูว่ามันเป็นขวานหินโบราณ หรืออาวุธของคนดึกดำบรรณ์...

    การที่ผมอยู่กับพวกเขามาระยะหนึ่ง ได้พูดได้คุย ได้เรียนรู้กระบวนการ การเรียนรู้ ทำให้ผมรู้ตัวว่าผมไม่รู้ ผมได้แต่เคยอ่านมา ถ้าจะบอกว่าเรียนรู้

    ต้องคนอย่างพวกเขา อย่างเราก็แค่อ่านมาเท่านั้น งานใครก็งานมัน ผมจำไม่ลืม เดี๋ยวนี้รู้แล้วว่าเขียนหนังสือผิดเยอะ ใช้ไม้ยมกผิดบ่อย ผิดแบบรู้

    แต่ตอนพิมพ์กลัวลืมเรื่องที่นึกไว้เลยพิมพ์เอาไว้ก่อน ต้องย้อนไปอ่าน ประถม ก กา และจินดามณีเสียแล้ว ขอขอบคุณมากครับ สวัสดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2013
  16. พ่อประดู่09

    พ่อประดู่09 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,378
    เรื่องเล่า : เล่าเรื่องผีๆ

    ตอน : ผีช้าง,ผีควาญช้าง,รางรถไฟ,ต้นไม้ผีสิงฯ

    [​IMG]

    ขอต่อเรื่องการงมวัตถุโบราณจากซากเรือสำเภาจมเมื่อประมาณ 600 ปีก่อน

    ปล. วัตถุโบราณที่พบบริเวณใต้เกาะคราม เป็นของที่นำออกจากประเทศไทยไม่ใช่นำเข้า แสดงว่าระยะเวลานั้นการทำเครื่องปั้นดินเผาของเราก้าว

    หน้ามากแล้ว มีถ้วยชาม ไหบรรจุเหล้า มีถ้วยหูขนาดเล็กขนาดประมาณผลแอปเปิลขนาดเล็กใช้ใส่เหล้าแล้วปิดด้วยครั่ง เสร็จแล้วนำถ้วยเหล้าบรรจุ

    ลงไหอีกทีหนึ่ง ในหนึ่งไหจะมี 24 ถ้วย มีการพบปืนโบราณขนาดเล็ก ที่สวยงามก็คือภาชนะบางชิ้นที่นำขึ้นมาจะมีต้นปะการังติดอยู่ด้วย มีเครื่อง

    ลายครามหลายชนิด แรกๆ ที่งมขึ้นมาได้จะนำมาเก็บไว้ที่หน่วยงานของทหารเรือก่อน คือเก็บเอาไว้ที่แผนกการเงินของ กฝร.ในขณะนั้น ทำให้ผมมี

    โอกาสได้เห็นของพวกนี้อยู่นานจนกว่าจะย้ายเข้ากรุงเทพเพื่อนำออกโชว์ จากการทำงานครั้งนี้ ทำให้มีมนุษย์กบป่วย 2 นาย(เท่าที่ผมเห็น)คือมี

    อาการของอัมพฤกษ์เป็นรุ่นพี่ผม 1 คน และเป็นรุ่นน้องที่ผมเคยปกครองเขามา 1 คน สอบถามเพื่อนว่าที่มีข่าวลือว่าน่าจะเกิดจากการไปล่วงละเมิด

    ทรัพย์สมบัติโบราณใช่หรือไม่ เพื่อนที่เป็นมนุษย์กบให้ความรู้ว่า มันเป็นโรคใต้น้ำชนิดหนึ่ง คือเวลาเราดำน้ำลงไปตามความลึก ร่างกายจะสร้างแรง

    ต้านความกดของน้ำที่มาบีบตัวเรา(เขียนให้อ่านแล้วเข้าใจง่าย)คือเหมือนกับจะสร้างฟองอากาศในเส้นเลือด และฟองอากาศนี้จะละลายหายไปตาม

    ความกดของน้ำที่ลดลง แต่ต้องค่อยๆลดลงตามระยะเวลา ถ้าเราขึ้นเร็วเกินไป ฟองอากาศจะไม่ละลายหายไป ฟองอากาศนี้แหละจะทำให้เลือดใน

    เส้นเลือดของเราขาดตอน เพื่อนๆ สันนิษฐานว่า คนที่ป่วยก็มีความรู้นี้อยู่แล้ว แต่ในช่วงอากาศในขวดใกล้หมดอาจจะเห็นของที่สวยมากและอยากจะ

    เอาขึ้นมาให้ได้ในเที่ยวนั้น จึงทำให้อากาศหมดและรีบขึ้นเร็วเกินไป ทำให้ฟองไฮโดรเย่นต์ในเส้นเลือดละลายไม่ทันจึงเหลือฟองอากาศอยู่(ทำนอง

    นั้น) แต่ก็นับว่าก็เกิดโชคในคราวเคราะห์ของคนไทยเรา เพราะ รพ.พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ได้ออกแบบเครื่องมือเพื่อรักษาคนป่วยในคราวนั้น

    คือใช้วิธีสร้างถังจำลองความกดให้คนป่วยเข้าไปอยู่เท่ากับความกดในความลึกที่ดำลงไปทำงานแล้วป่วย แล้วค่อยๆลดลงตามลำดับ ผลการรักษา

    ปรากฏว่าหาย แต่ใช้เวลาเป็นปี เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผมไปนอนให้คุณหมอผ่าตัดที่ รพ.พระปิ่นเกล้า หรือที่ชาวบ้านเรียก รพ.ทหารเรือ แม่

    บ้านผมได้ผ่านไปเห็นสถานที่บำบัดเขียนว่า อุโมงค์ใต้น้ำ และมีคนบอกแม่บ้านผมว่า ป้าใครเป็นแผลหายยากเช่นเป็นเบาหวาน มารักษาในอุโมงค์นี้

    แล้วแผลจะหายเร็ว ที่เอามาเพิ่มเติมก็เพราะว่าอาจจะเป็นประโยชน์กับสมาชิก หากมีคนป่วยเป็นแผลหายยากจะได้ลองไปรักษาดู ผมเดาเอาว่า

    อุโมงค์ใต้น้ำนี้คงจะพัฒนามาตั้งแต่ครั้งรักษาคนป่วยที่เป็นมนุษย์กบชุดที่งมวัตถุโบราณ ชาวบ้านเรียก รพ.ทหารเรือ แต่รับรักษาประชาชนทั่วไปด้วย

    ราคาถูก บริการดี นอกจากเจ้าหน้าที่จะมีวินัยเพราะเป็นทหารหรือข้าราชการพลเรือน ความเป็นมิตรนับว่าดีเยี่ยม ส่วนตัวผมก็ขอขอบคุณทุกท่านที่

    รพ.สมเด็จพระปิ่นเกล้าที่ดูแลผมเป็นอย่างดี เหมือนกับ รพ.เอกชนทั่วไป

    สมัยที่ผมยังเป็นเด็กก็ได้เห็นรถไฟและหัวลำโพง ก็เฉพาะแต่ในภาพยนตร์เท่านั้น เหมือนๆ กับได้เห็นเครื่องบินลงหรือขึ้นจากดอนเมือง ก็ได้จาก

    ภาพยนตร์อีกเช่นกัน พอได้มาเที่ยวกรุงเทพฯ ก็ได้รู้จักหัวลำโพงจริงๆ ได้เห็นรถไฟที่หัวลำโพงจริงๆ แต่ต้องดูห่างๆ เข้าไปดูข้างในไม่ได้ และที่เห็น

    รถไฟกำลังแล่นแบบใกล้ๆ ก็รถไฟสายปากน้ำ ผมเห็นตอนที่เป็นแบบไม่ใช้ไอน้ำแล้ว เพิ่งจะเลิกไปเมื่อ พ.ศ. 2503 ที่จับเอามาเล่าก็เพราะนึกขึ้น

    ได้ว่า ได้นั่งรถไฟไปนครสวรรค์แล้วในตอนก่อน เลยหาเรื่องเขียนต่อให้ต่อเนื่องกัน ที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ผมไม่ยืนยันว่าจริง เพราะผมเองก็ถูกหลอกใน

    เรื่องนี้มาก่อน ในตอนก่อนๆ ที่ผมเล่าเรื่องที่ผมได้ผ่านพบกับผี ผมยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริงในความคิดของผม แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนอื่นเอามาเล่าให้

    ผมฟัง เรื่องเดิมคือผมเห็นในภาพยนต์อะไรสักเรื่องหนึ่งนี่แหละ ในเรื่องนั้นถ่ายทำแบบติดภาพของหัวรถจักรจอดอยู่หน้าชุมทางสถานีรถไฟและมีโซ่

    กั้นล้อมรอบ พอเด็กๆ เอามาเล่าสู่กันฟัง ก็มีผู่ใหญ่เล่าว่าที่เขาเอาโซ่ล้อมไว้เพราะวันดีคืนดีรถไฟคันนั้นจะวิ่งได้เอง ส่วนที่มีพวงมาลัยดอกไม้คล้องไว้

    ก็เป็นการไหว้บูชาขออย่าให้ออกมาวิ่งอีกเลย พอมากรุงเทพฯ ก็ได้ถามป้าว่าจริงไหม? ที่เขาว่ารถไฟที่จอดไว้ออกมาวิ่งเองได้ ป้าก็บอกว่าไม่มีหรอก

    เอามาจากไหน? ก็เล่าให้ป้าฟังว่าได้ยินมาอย่างไร ป้าก็บอกว่าเอ็งถูกหลอกให้นวดให้เหยียบให้เขาน่ะซี คือคนที่เล่าให้ผมฟังเขาจะบอกว่า...เอ็ง

    นวดให้ตาเดี๋ยวตาจะเล่าเรื่องผีรถไฟให้ฟัง แล้วป้าก็บอกต่ออีกว่า...ทำไมไม่ถามพ่อเอ็ง...พ่อเอ็งก็เคยทำงานเป็นคนงานรถไฟมาก่อน ซึ่งผมเองก็ไม่

    รู้มาก่อน ในตอนหลังจึงได้เอามาถาม ก็เลยได้รับฟังมาตามที่จะเล่านี่แหละ และคนเล่าก็บอกว่ามันเป็นเรื่องเล่าต่อๆ กันมา ค่อยๆ ย้อนรอยไปตั้งแต่

    การทำงานเกี่ยวกับการทำรางรถไฟในถ้ำขุนตาน จะมีคนงานโดนรถไฟทับตายเยอะ เพราะขณะที่ทำงานในถ้ำขุนตาลนั้น รถไฟวิ่งได้แล้วและมีการ

    เดินรถตามปกติ ลือกันว่าผีหรือเจ้าพ่อขุนตาลดุ คนงานที่เหนื่อยอ่อนล้านอนเอาหัวหนุนกับรางรถไฟ รถไฟแล่นมาเสียงออกดังแต่คนงานไม่ได้ยิน จึง

    ถูกรถไฟทับหัวตาย ว่ากันว่าถูกผีกดไว้ทำให้ลุกไม่ได้ แต่ปู่บอกว่า...อาจจะเป็นตะคริวหรือไม่ก็เกิดอาการทับเส้นจนขยับไม่ได้เสียมากกว่า และ

    อากาศในถ้ำก็เย็นจัดฯ แต่ก็แปลกตรงที่เมื่อมีการตั้งศาลเจ้าพ่อขุนตานแล้ว เหตุการณ์ต่างๆ ก็หายไป สมัยท่านนายกคึกฤทธิ์ฯ มีตำหนักทรงเจ้าพ่อขุน

    ตานอยู่ที่ราชบุรี รถท่านนายกคึกฤทธิ์ฯผ่านไป ท่านให้รถท่านหยุดที่หน้าตำหนักแล้วท่านลงไปหาเจ้าพ่อขุนตานที่กำลังประทับทรงอยู่ แล้วท่านพูด

    กับเจ้าพ่อขุนตานในร่างทรงว่า "คนเขาตั้งศาลให้อยู่ที่โน่น...ทำไมไม่อยู่...มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...ถ้าขากลับมาเจอที่นี่อีก...จะให้คนไปรื้อศาลทิ้ง

    ซะ..." ผู้ติดตามที่เอาเรื่องนี้มาเขียนให้อ่าน เขียนต่อว่า พอขากลับ...หายลับไปทั้งตำหนักและคนทรง......

    ส่วนเรื่องการสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพฯ-เมืองนครราชสีมา มีเรื่องน่ากลัวพอจะเล่าได้ดังนี้ มีคนงานต้องตายเพราะช้างเกเรกับช้างผีสิง หรือ ผี

    ควาญช้างอยู่บ่อยๆ เล่ากันว่าคนงานที่ถูกช้างกระทืบตายเพราะบางครั้งก็เห็นว่าช้างที่มองเห็นกันนั้น มีควาญอยู่บนคอแต่พอมาใกล้ๆ ก็ไม่มีควาญ ช้าง

    ก็กลายป็นช้างดุร้ายฆ่าคน บางทีก็ได้ยินเสียงคนเดินมากับช้างส่งเสียง"กะหน๊องกะแหน๊ง"(เขาเล่าอย่างนี้จริงๆ)ก็ทำให้นึกว่าเป็นช้างบ้านเลยไม่หลบ

    ไม่หนีเลยถูกช้างป่ากระทืบตาย แม้กระทั่งเมื่อเปิดเดินรถแล้ว บางครั้งก็มีช้างผีสิงมาก่อกวนเช่นยืนขวางทางตั้งท่าจะชนกับรถไฟ โดยเฉพาะที่กล่าว

    ขานกันมากก็คือเจ้าสีดอ ช้างงาเดียว ที่ผมให้ความสนใจมากในการสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพฯ - เมืองนครราชสีมา ก็คือเรื่องของผีหรือนางไม้ต้น

    ตะเคียนใหญ่ ปู่บอกว่า มีเส้นทางช่วงหนึ่งตัดผ่านเข้าไปในป่า(สมัยนั้น)ต้องผ่านต้นตะเคียนใหญ่ นายจ้างฝรั่งจ้างคนงานไทยฟันทีละบาทก็ไม่มีใคร

    เอา คือต้องโค่นต้นตะเคียนเพื่อจะทำทางผ่าน เนื่องจากมีคนตายเพราะลองดีไปตัดเข้า เขาเล่ากันว่าถึงกับ ร. 5 ต้องเสด็จไปเอง(ไม่อยากเขียน

    อย่างนี้เลย)พอพระองค์เสด็จไปถึง ก็ทรงเอาตราแผ่นดินไปติดที่ต้นตะเคียน แล้วประกาศว่า ที่ดินนี้เป็นของฟ้า...บัดนี้ฟ้ามีความจำเป็นต้องใช้ ก็ขอ

    ให้คืนให้กับฟ้า...แล้วไปอยู่ที่อื่น" (ทำนองนี้) ว่ากันว่าอีกน่ะแหละ พอตกพลบค่ำถึงตอนกลางคืน ตลอดทั้งคืน ที่แคมป์คนงาน ทั้งไทยและเทศ

    ต่างก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้โหยหวน อย่างน่าเวทนาและน่าสงสารยิ่งนัก จนค่อนรุ่งเสียงนั้นก็สงบลง และต้นตะเคียนนั้นก็ไม่เหลือ...

    ด้วยรับปากเจ้าของเวปไว้ว่า ถ้าว่างก็จะเขียนให้ และเจ้าของเวปก็ว่า อยากให้เขียนแบบไม่เป็นเวปยี่เก เรื่องผีที่ฟังเขาเล่ามีเยอะ แต่เขียนยาก

    และเกี่ยวกับเรื่องเอาพระไปทดลองจะด้วยอาวุธอะไรก็แล้วแต่ ผมจะไม่นำเสนอ เหตุผลส่วนตัวคือไม่ชอบให้ใครทำร้ายพระ เล่าเรื่องผีดีไม่ดีก็อยู่แค่

    ตัวผม ฟังมาอย่างไรเจออย่างไรก็เล่าตามนั้น หรืออย่างมากก็เพียงจะบอกว่าความเชื่ออย่างนี้เคยมีในสังคม จริงไม่จริงใช้วิจารณญาณเอาเอง เคย

    ได้ยินบ้างไหมครับว่า ในอนาคต สัญญลักษณ์ของความเป็นพระจะเหลือแค่"เอาผ้าเหลืองเกี่ยวไว้ที่หู...เพื่อให้รู้ว่าเป็นพระ" ขอฝากพระศาสนากับ

    สมาชิกทุกท่าน ขอให้ช่วยกันดูแล ขอขอบคุณมากครับ และสวัสดีครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2013
  17. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    ขอพักโฆษณาตัวเองหน่อย
    .........................
    ผมน่าจะติดค้างอยู่สองท่าน พรุ่งนี้จะเคลียร์ให้หมด
    แล้วเปิดรับดวงครูอีกซัก 3 ท่าน

    แต่มีข้อแม้นหน่อยครับ 1. ช่วยตอบกลับผมหน่อย ว่าถูกต้องใกล้เคียงอย่างไร
    ผิดบอกผิด ถูกบอกถูก ใกล้เคียงก็ให้รายละเอียดซักหน่อย
    ดวงมันไม่ผิดดอกครับ แต่คนอ่านดวงนะมันอ่านผิด ผมจะได้รู้ว่า ควรจะอ่านอย่างไร

    นักเรียนโหราศาสตร์ จะสุขใจยามที่ก้าวหน้าในสิ่งที่เรียน แต่จะรู้ว่าก้าวหน้าได้ ก็ต่อเมื่อได้อ่านดวงจริงๆนี่แหละครับ

    ผมไม่แนะนำให้ใครเชื่อถือผมนะครับ ถือว่าเป็นครูสอบผมละกัน

    ผมเคยเห็นท่านพระครูอภิสิทธิ์อ่านดวงน้องคนหนึ่ง ท่านฯอ่านได้นุ่มนวลมาก พร้อมกับให้ข้อคิดแบบเทศนาให้ปล่อยวาง และให้กำลังใจดำเนินชีวิต ทำให้ผมนิยมมาก

    ผมไม่ชอบหมอดูที่พูดจาโอ้อวด หรือข่มขู่ให้หวาดกลัว โดยเฉพาะเรื่องสะเดาะห์แก้ชง อะไรทำนองนี้ ดังนั้นหากผมเผลอทำตัวแบบนั้น เพื่อนสมาชิกก็ช่วยตักเตือนผมด้วยนะครับ จะได้ไม่เหลิง

    พรุ่งนี้เที่ยง ใครใจดี ก็แจ้งความประสงค์ให้ผมอ่านดวงหน้ากระทู้นะครับ แต่จัดส่งเวลาตกฟากให้ผมทางพีเอ็ม ระบุแค่ว่า "อ่านดวง"

    ขอแค่ 3 ท่านนะครับ

    .............................

    ผมทายสารวัตรวินัยไปว่าปีนี้ จะได้ร่วมหุ้นลงทุน จะได้อสังหาริมทรัพย์ จะได้ปรับเปลี่ยนตำแหน่ง
    ก็ได้ลงทุนไปแล้วกับลูกพี่ลูกน้อง และได้ซื้อที่ดินร่วมกันไปแล้ว เหลือแต่ตำแหน่งใหม่ ที่จะประกาศในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ ถ้าแม่นขนาด จะชวนสารวัตรเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวเพื่อนสมาชิกที่สะดวกจะไปร่วมยินดีกับท่านด้วยกัน

    .....................

    ระหว่างนี้ ผมยุ่งกับงานที่บริษัทฯ จนไม่มีเรื่องหรือเวลามาเขียนให้ได้อ่านกันนัก
    ถ้าไม่ขอให้เขียนอะไรที่เกี่ยวกับการหยิกบ้านเมืองของประเทศสารขัณฑ์ ก็จะพักหรือเว้นไปบ้าง เพราะต้องตามข่าวเรื่องสุขภาพของหลวงปู่ฯ

    จึงจะขอให้พี่ศนิวาร คุณพ่อประดู่ฯ สารวัตรวินัย ฯลฯ เข้ามาสร้างสาระบันเทิงไปก่อน ใครเป็นแฟนประจำคงจำสำนวนและความถนัดกันได้ ก็ขอเรื่องกันเอง

    ส่วนเพื่อนสมาชิกท่านใด ประสงค์จะระบายอักษรในกระทู้ผม ก็ไม่ขัดข้องนะครับ ขอแค่สุภาพกับไม่ไปขัดระเบียบของทางเวปฯ ก็ยินดี
     
  18. ghostlinux

    ghostlinux เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    667
    ค่าพลัง:
    +3,496
    ผมชอบทั้งเรื่องวัตถุมงคล โหราศาสตร์ ความรู้ที่หลากหลาย เรื่องเล่า ข้อคิดเรื่องต่างๆ ในนี้ครับ

    จีงแวะเข้ามาบอกว่า ผมเข้ามาอ่านหาทั้งสาระและความบันเทิงในกระทู้นี้เสมอครับ
    แค่บางทีไม่ได้พิมพ์คุยเท่านั้น ยังเป็นแฟนติดตามข้อเขียนของทุกท่านที่แวะเวียนมาเขียนในกระทู้นี้ประจำครับ
     
  19. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,632
    เรื่องนางไม้ที่ดงพญาไฟ เคยได้ยินเขาเล่าเหมือนกัน ต่างแต่ ร.๕ ไม่ได้เสด็จเอง เพียงแค่ให้ผู้แทนพระองค์นำพระบรมราชโองการประทับตราครุฑไปอ่านและติดไว้ที่ต้นไม้นั้น ตกกลางคืนก็มเสียงโหยหวนรุ่งเช้าต้นไม้ก็โค่นเอง

    ส่วนการเปลี่ยนชื่อจากดงพญาไฟเป็นดงพญาเย็นเพื่อเป็นการแก้อาถรรพณ์นั้น จะเป็นพระราชดำริของพระองค์หรือไม่นั้นก็ไม่ทราบได้ แต่คนส่วนใหญ่เล่ากันมาจนเชื่อว่าเป็นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕

    ส่วนเรื่องศาสนาเรียวลงจนเหลือแค่ผ้าเหลืองห้อยหู หรือผูกข้อมือนั้น ในคำทำนายฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศล ๑๖ ข้อที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แก่พระเจ้าปเสนทิโกศล น่าจะมีบอกไว้อยู่

    ส่วนใหญ่จะปรากฏในหนังสือใบลานเก่า ๆ ทางภาคอิสานเรียกว่า ทวยฝันพระยาปัตถเวน และในหนังสือ "กาลนับมื้อส้วย" ทางภาคกลางก็น่าจะเป็น พุทธพยากรณ์ ๑๖ ข้อ ไม่ทราบเหมือนกันว่าในเรื่องพระมาลัยจะมีบอกเอาไว้หรือไม่

    แต่ในอรรถฎีกาในพระไตรปิฎกมีบอกเอาไว้เหมือนกัน อ่านมานานชักลืม ๆ ไปบ้าง ความจำชักสับสนเอาจากเรื่องโน้นปนเรื่องนี้ จำได้แค่ว่า เมื่อพระศานาดำเนินไปใกล้ครบ ๕,๐๐๐ ปี พระภิกษุที่ทรงความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎกจะค่อย ๆ หมดไป พระอริยบุคลไม่มี เหลือเพียงสมมุติสงฆ์ คนทั้งหลายไม่ใส่ใจในพระศาสนา พระธรรมที่สำคัญ ๆ เลือนหายเหลือเพียงบทสวดมนต์ที่ต้องใช้ไม่กี่อย่าง พระสงฆ์ในยุคนั้นต้องอยู่ด้วยความลำบาก ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพเหมือนฆราวาส ดังนั้นจึงแต่งกายด้วยชุดฆราวาสแต่มีสัญลักษณ์ให้รู้ว่าเป็นพระคือผ้าเหลืองน้อยห้อยหู(ผ้าเหลืองน้อยห้อยหูู สำนวนเก่าว่าไว้แบบนี้) หรือผ้าเหลืองมัดข้อมือให้รู้ว่าเป็นพระ สบงจีวรจะใช้ก็ต่อเมื่อมีงานพิธี เมื่อเสร็จพิธีก็ถอดเก็บเอาไว้ (ทำนองเครื่องแบบชุดทำงาน) และค่อย ๆ เสื่อมสูญไป

    จากนั้นเทวดาก็จะทดสอบหาผู้รู้ธรรมแกล้วแปลงกายเป็นคนถือทองคำมาถามในหมู่ชนว่า มีผู้ใดรู้พระธรรมคำสอนของพระศาสดาบ้างแม้เพียง หนึ่งพระกถา กึ่งพระกถา หรือเพียงหนึ่งคำก็จะมอบทองให้ หากยังมีผู้รู้พระธรรมคำสอนอยู่ก็จะถือว่ายังไม่สิ้นพระศาสนา แต่หากตระเวนไปตามหมู่ชนต่าง ๆ แล้วยังหาไม่ได้แสดงว่าสิ้นพระศาสนา

    จากนั้นก็จะเกิดธาตุอันตธาน คือพระบรมสารีริกธาตุจากทั่วทุกสารทิศกลับมารวมกันก่อเป็นพระรูปของพระพุทธเจ้าที่ใต้ต้นมหาโพธิ์ ตรัสเทศนาโปรดสัตว์เป็นครั้งสุดท้ายเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน จากนั้นก็สลายไป จึงถือว่าสิ้นพระศาสนา

    หลังจากนั้นชาวประชาเริ่มมัวเมาในอบายมุข เห็นชั่วเป็นดี แก่งแย่งแข่งขัน จิตใจหยาบช้า เทวดาสงสารมนุษย์ก็จะแปลงกายเป็นคนบ้านุ่งผ้าแดงมาป่าวประกาศว่าจะเกิดยุคเข็ญให้ประชาชนหนีออกจากเมืองเข้าป่าเพราะจะเข่นฆ่ากันเอง มนุษย์ที่เชื่อก็หนีออกจากเมืองเข้าป่า พวกไม่เชื่อก็มัวเมาในโลกีย์ต่อไป จากนั้นก็จะเข้าสู่กุลียุคอาหารและน้ำขาดแคลน มนุษย์ทั้งหลายเข่นฆ่ากันเองเหมือนผักปลาแย่งชิงอาหารตลอดจนกินกันเอง เต็มไปด้วยโจรผู้ร้าย ในท่ามกลางฝูงชนที่ฆ่าฟันกัน เทวดาก็จะมาประกาศเตือนสติใครเชื่อก็หนีใครไม่เชื่อก็รบรากันต่อไป หลังจากนั้นเทวดาก็ล้างโลกด้วยน้ำ ด้วยไฟ

    ตั้งโลกใหม่ผ่านยุคเข็ญอีกหลายรอบจนถึงยุคพระศรีอริยเมตตรัย

    ด้วยเหตุที่เชื่อว่าหมดพระสัทธรรมคือสิ้นพระศาสนา จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวพุทธในอุสาคเณย์เกิดธรรมเนียมสร้างพระบรรจุกรุในยุคแรก ๆ สมัยทวารวดี มีพระพิมพ์ปางต่าง ๆ และจารึกพระคาถา เยธัมมา เกิดขึ้นมากมายเพื่อเป็นนิมิตหมายว่าตราบใดยังมีรูปพระพุทธและพระธรรมอยู่ตราบนั้นยังไม่สิ้นพระศาสนา

    และเป็นมูลเหตุให้มีหนังสืออินทร์ตก หนังสือพุทธทำนาย และพระธรรมมิกราชผู้กอบกู้พระศาสนา จนเป็นเหตุให้มีกบฎผีบุญเกิดขึ้นมากมายในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสาน นั้นแล


    ส้วย เป็นภาษาอีสานแปลว่า หดหาย , ขาดกุด , ขาดสิ้น หรือ เรียวเล็กลงไปเรื่อย ๆ จนสุด
     
  20. NEWESTTSEWEN

    NEWESTTSEWEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +2,661
    แสดงตัว อยากให้พี่หนุ่มทิพย์อ่านดวงให้เพิ่มเติมน่ะครับ ไม่แน่ใจว่าจะเข้าเกณฑ์ที่พี่ประกาศรับอาสาให้อ่านดวงชะตาให้หรือเปล่า ถ้าหากซ้ำซ้อนกับของเดิมที่พี่เคยอ่านให้แล้ว ก็ขอสละสิทธิ์ให้ท่านอื่นครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...