คุณรู้หรือยัง???? จริงหรือเปล่าน่ะ!!!!

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย จริง?หรือ?, 23 กรกฎาคม 2013.

  1. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    VOYAGER 1 again


    [​IMG]

    .
     
  2. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    อันนี้เรื่องจริง ไม่ล้อเลียน

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]

    .
     
  3. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ “วอยเอเจอร์ 1” วัตถุฝีมือมนุษย์ชิ้นแรกที่สามารถเดินทางทะลุจักรวาล
    วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน 2556 เวลา 20:44 น.
    [​IMG]
    สาระน่ารู้เกี่ยวกับยานสำรวจระบบสุริยะ "วอยเอเจอร์ 1" ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญให้แก่มวลมนุษยชาติ ด้วยการเป็นวัตถุจากโลกชิ้นแรก ที่สามารถเดินทางออกนอกระบบสุริยะจักรวาล

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 15 ก.ย. ว่าเมื่อ 36 ปีที่แล้ว องค์การบริหารการบินแห่งชาติ ( นาซา ) ของสหรัฐ ปล่อยยานสำรวจวอยเอเจอร์ 1 ออกเดินทางไปสำรวจความเร้นลับและเวิ้งว้างของระบบสุริยะ โดยกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นเอาไว้เพียง 5 ปี แต่ยานยังคงเดินทางต่อไปได้ จนกระทั่งถึงเมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา ยานวอยเอเจอร์ 1 สร้างประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ให้แก่มวลมนุษยชาติ ด้วยการเป็นสิ่งประดิษฐ์โดยมนุษย์ชิ้นแรก ที่สามารถเดินทางพ้นขอบนอกสุดของระบบสุริยะอย่างเป็นทางการ แล้วเดินทางต่อไปสำรวจกาแล็กซี่อื่นได้สำเร็จ

    ซึ่งนี่คือเกร็ดน่ารู้โดยสังเขปเกี่ยวกับยานวอยเอเจอร์ 1 และยานพี่น้อง คือ "วอยเอเจอร์ 2"

    จุดเริ่มต้นของเดินทางอันเด็ดเดี่ยว
    ยานวอยเอเจอร์ 2 ออกเดินทางก่อนเมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2520 จากฐานปล่อยจรวดในศูนย์อวกาศเคนเนดี บนแหลมคันนาเวอรัล ในรัฐฟลอริดา ด้วยจรวด “ไททัน-เซนทอร์”
    ยานวอยเอเจอร์ 1 ออกเดินทางเมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2520 จากฐานปล่อยจรวดในศูนย์อวกาศเคนเนดี บนแหลมคันนาเวอรัล ในรัฐฟลอริดา ด้วยจรวด “ไททัน-เซนทอร์” เช่นกัน

    การเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ในห้วงจักรวาล
    ยานวอยเอเจอร์ 1 และ 2 เดินทางไปร่วมกันไขปริศนาและค้นหาความจริงเกี่ยวกับดาวเคราะห์ที่โคจรอยู่บริเวณชั้นนอกของระบบสุริยะ ไม่ว่าจะเป็นดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน ตลอดจนดวงจันทร์บริวารของดาวเคราะห์ทั้งหมดนี้รวม 48 ดวง และความลับเกี่ยวกับวงแหวนของดาวเสาร์ และสนามแม่เหล็กรอบดวงดาว

    ยานวอยเอเจอร์ 1 เดินทางเข้าใกล้ดาวพฤหัสบดีที่สุดเมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2522
    ส่วนของยานวอยเอเจอร์ 2 คือวันที่ 1 ก.ค. 2522

    ยานวอยเอเจอร์ 1 เดินทางเข้าใกล้ดาวเสาร์ที่สุดเมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2523 ส่วนของยานวอยเอเจอร์ 2 คือวันที่ 25 ส.ค. 2524

    หลังจากนั้นยานวอยเจอร์ 1 เบนเส้นทางมุ่งหน้าสู่ขอบระบบสุริยะ ปล่อยให้ยานวอยเอเจอร์ 2 สำรวจดาวเคราะห์ที่เหลือต่อไป ซึ่งเดินทางเข้าใกล้ดาวยูเรนัสที่สุดเมื่อวันที่ 24 ม.ค. 2529 และดาวเนปจูนเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2532

    ยานสำรวจที่เดินทางได้ไกลที่สุดในประวัติศาสตร์
    ยานวอยเอเจอร์ 1 และ 2 เป็นยานสำรวจระบบสุริยะลำดับที่ 3 และ 4 ของโลก ที่สามารถเดินทางผ่านดาวเคราะห์ในระบบสุริยะได้ครบทุกดวง ต่อจากยาน “ไพโอเนียร์ 10” และ “ไพโอเนียร์ 11” แต่ยานวอยเอเจอร์ 1 ทำลายสถิติระยะทางของยานไพโอเนียร์ 10 เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2531

    แผ่นบันทึกภาพและเสียงสีทอง ( โกลเด้น เรคคอร์ด )
    นาซาบรรจุแผ่นโกลเด้น เรคคอร์ด ขนาด 12 นิ้ว เอาไว้ภายในยานวอยเอเจอร์ทั้ง 2 ลำ ซึ่งบันทึกเสียงธรรมชาติ อาทิ เสียงสัตว์ เสียงจากวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้น อาทิ เสียงหวูดรถไฟ และเสียงทักทายใน 55 ภาษาของมนุษย์ ที่รวมถึงเสียงของประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ผู้นำสหรัฐในช่วงที่ยานวอยเอเจอร์ออกเดินทาง รวมถึงภาพสถานที่สำคัญ และธรรมชาติบนโลกอีก 115 ภาพ ซึ่งนาซาเชื่อว่า ในอนาคตอาจมีสิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่นมาพบยานวอยเอเจอร์ แล้วนำข้อมูลจากโกลเด้น เรคคอร์ดไปแปลงเป็นภาษาของตัวเอง

    สถานะปัจจุบันของยานวอยเอเจอร์
    ยานวอยเอเจอร์ 1 เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 3.6 เอยูต่อปี ( 1 เอยู คือระยะทางระหว่างโลกจากดวงอาทิตย์ ประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร ) ขณะที่ยานวอยเอเจอร์ 2 เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 3.3 เอยูต่อปี
    ทั้งนี้ สถิติของนาซาเมื่อวันที่ 15 ก.ย. ระบุว่า ยานวอยเอเจอร์ 1 อยู่ห่างจากโลกราว 18,780 ล้านกิโลเมตร ส่วนยานวอยเอเจอร์ 2 อยู่ห่างจากโลกราว 15,312 ล้านกิโลเมตร

    กำแพงระบบสุริยะ
    ยานวอยเอเจอร์ 1 เดินทางผ่านกำแพงระบบสุริยะ เมื่อเดือนธ.ค. 2547 ขณะที่ยานวอยเอเจอร์ 2 เดินทางผ่านบริเวณเดียวกันนี้ เมื่อเดือนส.ค. 2550

    เฮลิโอสเฟียร์ – ขอบเขตระบบสุริยะ
    เริ่มมีกระแสข่าวออกมาตั้งแต่ช่วงเดือนส.ค. ว่ายานวอยเอเจอร์ 1 เดินทางพ้นขอบเขตระบบสุริยะมาตั้งแต่ ส.ค. แต่นาซายืนยันอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา หลังผลวิเคราะห์การสั่นสะเทือนของคลื่นและความหนาแน่นในพลาสมา บ่งชี้ชัดเจนว่ายานวอยเอเจอร์ 1 เดินทางเข้าสู่อาณาเขตมวลสารระหว่างดวงดาว หรือ “อินเตอร์สเตลลาร์ มีเดียม” อันเคว้งคว้างแล้ว และนับจากนี้เป็นต้นไป ยานวอยเอเจอร์ 1 จะเดินทางต่อไปในทิศทางใด หรือจะพบกับสิ่งใดบ้าง เป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม เชื้อเพลิงของยานวอยเอเจอร์ 1 ซึ่งผลิตจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่อาศัยแร่พลูโตเนียมในการสร้างพลังงาน เพียงพอสำหรับการใช้งานได้เต็มที่ถึงปี 2568

    เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ “วอยเอเจอร์ 1” วัตถุฝีมือมนุษย์ชิ้นแรกที่สามารถเดินทางทะลุจักรวา
     
  4. mazda626

    mazda626 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +221
    แวะเข้ามาเป็นกำลังใจให้คุณในนิมิตรนะคะ ที่นำข่าวสารข้อมูลดีๆที่น่าสนใจต่างๆมาเผยแพร่บอกกล่าวให้กับพวกเราชาวพลังจิตทุกท่าน:cool::cool:
     
  5. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    สิ่งดีๆ แนวคิดดีๆ สำนึกดีๆ จึงเกิดโครงการดีๆ ที่เราควรยินดี และเผยแพร่


    ต้นกล้าชาวนาตัวน้อยอนุรักษ์วิถีไทย
    วันอังคารที่ 17 กันยายน 2556 เวลา 13:03 น.
    [​IMG]
    นายกเทศมนตรีตำบลปากแพรก จัดโครงการ ต้นกล้าชาวนาตัวน้อยอนุรักษ์วิถีไทย

    เมือวันที่ 17 ก.ย. นายปราโมทย์ อุ่นจิตสกุล นายกเทศมนตรีตำบลปากแพรก อ.เมืองกาญจนบุรี เปิดเผยว่า ประเทศไทยถือเป็นแห่งหนึ่ง ในแหล่งอารยธรรมของข้าว ในประวัติศาสตร์มีหลักฐานว่าบรรพบุรุษของเรามีการปลูกข้าวมากว่าหลายพันปี มีการสะสมภูมิปัญญาในการปลูกข้าว และวิถีการดำรงชีพของชาวนาไทย ที่เกิดจากประสบการณ์ที่มีการไตร่ตรอง การสะสมความรู้ ลองผิด ลองถูก มาหลายยุคหลายสมัย เนื่องจากเป็นวิถีชีวิตที่สอดรับกับ ภูมิประเทศของไทย ทั้งยังมีการพัฒนาปรับตัวให้สอดคล้องในการดำรงชีวิต ในระบบนิเวศ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นระบบนิเวศ ความรู้ทางด้านการเกษตร ความรู้ด้านอาหาร ความรู้ในแง่ของการจัดการที่ดินเพื่อการใช้ประโยชน์ ฯลฯ ดังนั้นเพื่อเชื่อมโยงให้เด็กและเยาวชนรุ่นหลังได้ตระหนักในการการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยและภูมิปัญญาท้องถิ่น งานการศึกษา สำนักปลัดเทศบาลตำบลปากแพรกจึงได้จัดโครงการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมไทยและภูมิปัญญาท้องถิ่น (สาธิตวิธีการปลูกข้าว) นำเด็กเล็กจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กกว่า จำนวน 120 คน ศึกษาวิถีชีวิตในการปลูกข้าว ประวัติการทำนาของปู่ ย่า ตา ยาย วิธีและขั้นตอนในการปลูกข้าว เช่น การถอนต้นกล้า วิธีดำนา จากสถานที่จริง ณ แปลงนาบ้านวังสารภี หมู่ที่ 4 ตำบลปากแพรก อำเภอเมืองฯ จังหวัดกาญจนบุรี ในวันที่ 20 กันยายน ตั้งแต่เวลา 08.00-12.00 น. ซึ่งเทศบาลตำบลปากแพรกคาดหวังว่าโครงการนี้จะช่วยส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนรุ่นหลังได้เรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น วิถีการดำรงชีพของชุมชนที่ตนอาศัยอยู่ เกิดจิตสำนึกรักบ้านเกิด ช่วยกันดูแลและอนุรักษ์อาชีพการทำนา-ปลูกข้าว ให้เป็นมรดกคู่แผ่นดินไทย สืบไป.


    ต้นกล้าชาวนาตัวน้อยอนุรักษ์วิถีไทย | เดลินิวส์
     
  6. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    สคร.7สั่งคุมเข้มเชื้อไข้หวัดนกจากจีน
    วันพุธที่ 18 กันยายน 2556 เวลา 09:53 น.

    [​IMG]
    สคร.7 สั่งคุมเข้มเชื้อไข้หวัดนกจากประเทศจีน หวั่นเข้ามาระบาดในไทย เตือนสงสัยมีอาการหลังสัมผัสสัตว์ปีก รีบพบแพทย์ หรือสายด่วน 1422

    เมื่อวันที่ 18 ก.ย. นพ.ศรายุธ อุตตมางคพงศ์ ผอ.สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 (สคร.7) อุบลราชธานี เปิดเผยว่า สถานการณ์ไข้หวัดนกสายพันธุ์ เอช 7 เอ็น 9 (H7N9) ที่กำลังระบาดอยู่ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีนในขณะนี้ เป็นการติดต่อระหว่างสัตว์ปีกสู่คน ทำให้มีคนป่วยเสียชีวิตเป็นครั้งแรก ซึ่งการติดเชื้อดังกล่าว ยังไม่ระบุแน่ชัดว่าเป็นการติดต่อจากคนสู่คนหรือไม่ ทั้งนี้จากข้อมูลด้านระบาดวิทยาในพื้นที่รับผิดชอบ 7 จังหวัดภาคอีสาน ประกอบด้วยจ.อุบลราชธานี สกลนคร มุกดาหาร นครพนม อำนาจเจริญ ยโสธร และศรีสะเกษ ยังไม่พบการระบาดของโรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ เอช 7 เอ็น 9 (H7N9) แต่เพื่อความไม่ประมาทได้สั่งให้เจ้าหน้าสาธารณสุข และ อสม. ในแต่ละพื้นที่ เฝ้าระวังป้องกันโรค เพราะหลังจากที่มีการระบาดของเชื้อในประเทศจีน ก็ทำให้หลายฝ่ายเกรงว่าจะระบาดลุกลามไปสู่ประเทศอื่นๆ สำหรับอาการผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่คือปอดอักเสบ มีไข้สูงเฉียบพลัน ไอและติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ จากนั้น 5-7 วัน ปอดจะอักเสบรุนแรง หายใจลำบาก อาจพัฒนาไปสู่กลุ่มอาการทางเดินหายใจลำบากเฉียบพลันอย่างรวดเร็วและเสียชีวิตในที่สุด

    อย่างไรก็ตาม แม้ยังไม่พบเชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์ H7N9 ในประเทศไทย สคร.7 ก็ไม่ได้ประมาท เตรียมความพร้อมรับมืออย่างเข้มงวด โดยเน้นความเข้มข้นในการคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงจากการข้ามด่านพรมแดนประเทศเพื่อนบ้าน และการขนย้ายสัตว์ปีกในพื้นที่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมและเฝ้าระวังโรคติดต่ออุบัติใหม่ต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ค้าสัตว์ปีกและประชาชนทั่วไป และขอความร่วมมือประชาชนในทุกพื้นที่หากพบว่าสัตว์ปีกตาย ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ทันที อย่าสรุปสาเหตุการตายเอาเอง หรือนำซากไก่มาชำแหละเพื่อจำหน่าย หรือรับประทาน หากเป็นไข้ ไอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย เคยสัมผัสสัตว์ปีกให้รีบไปพบแพทย์ หรือสอบถามสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง.

    สคร.7สั่งคุมเข้มเชื้อไข้หวัดนกจากจีน | เดลินิวส์
     
  7. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    มีข่าวมาแจ้งครับ พอดีทราบข่าวจากเพื่อนมา เอามาบอกต่อเพื่อจะได้ระวังกันครับ อาจจะจริงหรือไม่จริง แต่การเฝ้าระวังสำหรับเรื่องนี้ก็ไม่ยุ่งยากอะไรนัก หากทำได้ก็จะเป็นการดีครับ

    "ได้ข่าวจากเพื่อนว่าที่ตึก..(.ชื่อย่อใช้ภาษาอังกฤษ 2 ตัว.)...(ไม่กล้าลงชื่อ) มีไข้หวัดนก H1 N1 ระบาด เพื่อนที่ทำงานที่ตึกเล่าให้ฟังว่าที่ตึกเคลียร์ทุกคนออกหมด เพิ่งถูกไล่กลับบ้าน ถ้าไม่จำเป็นอย่าไปไหน รัฐบาลปิดข่าวแน่นอน ขอให้ดูแลตัวเองให้ดีด้วย พักนี้ที่สาธารณะไม่ควรไป ล้างมือให้สะอาด ถ้าจำเป็นควรใส่หน้ากาก สังเกตอาการด้วย อย่าละเลย"

    ก็ลองดูครับเพื่อนแจ้งมา เราไม่ต้องตื่นตระหนก แต่คอยสังเกตุและเลี่ยงที่สาธารณะที่ผู้คนเยอะได้ก็ดี เพราะอย่างน้อยช่วงนี้ไข้หวัดธรรมดาก็เยอะอยู่ จุดมุ่งหมายที่นำมาแจ้งก็เพื่อว่า หากท่านใดหรือลูกเมีย สามีหรือญาติๆมีอาการป่วยขึ้นช่วงนี้ก็อย่าเพิ่งนอนใจว่าเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดาน่ะครับ สังเกตุอาการให้ละเอียดสักหน่อย และสอบถามสถานที่ ที่ไปล่าสุดมา หากไม่มั่นใจก็ไปหาหมอตรวจให้ละเอียดครับ
     
  8. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ไข้หวัดใหญ่ H1N1

    ทำความรู้จัก "หวัด 2009" และรับทราบสถานการณ์ปัจจุบัน

    ไข้หวัดชนิดนี้ เดิมถูกเรียกว่า "ไข้หวัดหมู" ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อตามสถานที่แพร่ระบาดเริ่มแรกเป็น "ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่แพร่ระบาดในประเทศเม็กซิโก" และปัจจุบันองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศชื่อเรียกโรคนี้อย่างเป็นทางการว่า "ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ชนิด A H1N1"


    ไข้หวัดดังกล่าวเป็นไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่จากเชื้อไวรัสชนิด A สายพันธุ์ H1N1 ที่มีสารพันธุกรรมของไวรัสของคน หมู และนกผสมกัน แต่มีความแตกต่างจากไข้หวัดดั้งเดิมที่พบในหมูที่เกิดขึ้นได้ตามฤดูกาล อีกทั้งลักษณะสายพันธุ์ ไม่คล้ายคลึงกับไข้หวัดใหญ่ในคน ไวรัสสายพันธุ์นี้เป็นการกลายพันธุ์ของเชื้อในตัวคน ไม่ใช่จากหมูสู่คน สาเหตุที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เนื่องจากคนไม่มีภูมิต้านทานโรคชนิดนี้ตามธรรมชาติ และวัคซีนสำหรับโรคนี้จะต้องใช้เวลาหลายเดือนในการพัฒนาขึ้นมา

    ลักษณะการติดต่อของหวัด 2009 นี้ เป็นการติดต่อจากคนสู่คน ไม่ใช่จากหมูสู่คน ไม่เหมือนไข้หวัดนก มีการแพร่ติดต่อเช่นเดียวกับโรคไข้หวัดใหญ่ในคนโดยทั่วไป คือ เชื้อนั้นจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย แพร่ไปยังผู้อื่นโดยการไอ หรือจามรดกันในระยะใกล้ชิด หรือติดจากมือและสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ และเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา เช่น การแคะจมูก การขยี้ตา มักพบในคนที่แข็งแรงช่วงอายุ 20-40 ปี ส่วนประชาชนที่บริโภคหมูก็ไม่ต้องกลัว เพราะหากปรุงสุกก็ไม่มีอันตรายอะไร

    อาการของผู้ที่ติดโรคนี้จะคล้ายคนเป็นไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกาย ไอ มีน้ำมูก นอกจากนี้ ในผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ หากติดเชื้อจะทำให้มีอาการที่รุนแรงขึ้นได้ ขอย้ำเพื่อไม่ให้ตื่นตกใจ ผู้ที่มีอาการไข้หวัดธรรมดา ปวดหัว ไม่ต้องมาพบแพทย์ ยกเว้นรายที่มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกาย ขอให้มาพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษา ซึ่งหากค้นพบผู้ป่วยได้เร็ว แยกโรค แยกผู้ป่วยไม่ให้กระจายเชื้อ โดยสวมหน้ากากอนามัยและให้ยาทามิฟลู หรือโอเซลทามิเวียร์ภายใน 48 ชั่วโมงที่มีไข้ ส่วนใหญ่รอดชีวิต

    ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ระบุว่าความรุนแรงของหวัด 2009 จะน้อยกว่าไข้หวัดนกที่ไทยเคยเผชิญมาก่อนหน้านี้ โอกาสผู้ป่วยเสียชีวิตจากไข้หวัดนกมีสูงถึง 60% ในขณะที่ผู้ป่วยไข้หวัด2009 จะมีโอกาสเสียชีวิตประมาณ 6% คือรุนแรงน้อยกว่าประมาณ 10 เท่า

    นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขยังได้ออกประกาศแนะนำถึง
    วิธีปฎิบัติตัวเพื่อ ป้องกันโรคดังกล่าว สรุปได้ว่า โรคนี้ยังไม่มีระบาดในประเทศไทย ดังนั้นกลุ่มเสี่ยงหลักคือบุคคลที่เดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งหากผู้ที่อยู่ในข่ายดังกล่าว
    มีอาการคล้ายเป็นหวัด ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจจะดีที่สุด ส่วนผู้ที่ไม่ได้มีความเสี่ยงในการเดินทางออกนอกประเทศ แต่มีอาการคล้ายเป็นหวัดหรือเป็นไข้หวัดใหญ่ ก็ควรจะพบแพทย์เช่นกัน และควรแจ้งรายละเอียดความเสี่ยงต่างๆ เช่น พบปะพูดคุยกับชาวต่างชาติ หรือไปอยู่ในกลุ่มคนที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยอีกทางหนึ่ง ส่วนบุคคลที่ปกติดี ควรออกกำลังกายเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรค และป้องกันหวัด 2009 ด้วยการหลีกเลี่ยงสถานที่มีคนมากๆ และคาดหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อโรค

    สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยในปัจจุบัน เมื่อวันที่ 12 พ.ค. ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขไทยแถลงข่าวอย่างเป็นทางการว่า ก่อนหน้านี้มีผู้ติดเชื้อ 2 ราย โดยติดจากประเทศเม็กซิโก โดยหลังจากไทยได้ตรวจและยืนยันผลว่าผู้ป่วยทั้ง 2 ติดเชื้อหวัด 2009 แน่นอนแล้ว ก็ได้ส่งไปตรวจในห้องปฏิบัติการที่สหรัฐฯ อีกครั้ง ซึ่งก็ได้ยืนยันผลเช่นเดียวกัน จึงได้ให้การรักษาด้วยการให้ยาต้านไวรัสแล้ว ขณะนี้ทั้ง 2 รายได้หายจากโรคหวัด 2009 เป็นที่แน่นอน จากการตรวจสอบผลในห้องปฏิบัติการพบว่าไม่มีเชื้อดังกล่าวอยู่ในร่างกาย จึงได้ให้กลับบ้านและยืนยันว่าสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่าง ปลอดภัยแน่นอนแล้ว

    และจากกรณีที่มีคนไทยติดเชื้อหวัด 2009 จำนวน 2 รายแรกนี่เอง องค์การอนามัยโลก จึงได้จัดลำดับให้ไทยเป็นลำดับที่ 33 ของการพบผู้ติดเชื้อไข้หวัด 2009 สำหรับสถานการณ์โรคไข้หวัด2009 ทั่วโลก องค์การอนามัยโลกรายงานในเช้าวันที่ 12 พ.ค. ตามเวลาในประเทศไทย พบผู้ป่วย 30 ประเทศ จำนวน 4,694 ราย เสียชีวิต 53 ราย (เม็กซิโก 48 ราย สหรัฐอเมริกา 3 ราย แคนาดา 1 ราย คอสตาริกา 1 ราย) ประเทศใหม่ที่พบผู้ป่วย คือ นอร์เวย์ ส่วนประเทศที่มีรายงานผู้ป่วยเพิ่ม ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนนาดา สเปน สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส โคลอมเบีย เอลซัลวาดอร์ สวีเดน บราซิล และปานามา



    ข้อมูลจาก ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล
     
  9. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    "ซีพี" ยันอาคาร สนญ. สีลม ไม่มีเชื้อ H1N1 แพร่ระบาด แจงกรณีพนักงานเป็นไข้หวัดใหญ่
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กันยายน 2556 15:31 น.

    "ซีพี" ยอมรับพนักงานป่วยเป็นไข้หวัดจริง แต่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล แต่ไม่ใช่ไข้หวัดนก H1N1 ตามที่เป็นข่าว ขณะเดียวกันได้ปิดพื้นที่ฉีดสเปรย์ฆ่าเชื้อแล้ว เป็นไปตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่ พร้อมย้ำ อาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ สนญ.สีลม ไม่มีการแพร่ระบาดโรค อย่าแน่นอน

    นางสุธนา หงษ์ทอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สำนักกิจกรรมสื่อสารองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า ตามที่มีการส่งข้อความเมื่อค่ำวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า มีการระบาดของไข้หวัดนก H1N1 ในอาคารซี.พี.ทาวเวอร์นั้น จากการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด ขอเรียนข้อเท็จจริงว่า อาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ สีลม ไม่มีการระบาดของไข้หวัดนก H1N1 ในวันที่ 19 กันยายน 2556 ขณะที่ช่วงบ่ายมีเพียงพนักงาน 1 คน ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลและพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ซึ่งขณะนี้อาการดีขึ้นและพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน

    ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่พยาบาลและฝ่ายอาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ สีลม ได้ปิดพื้นที่บริเวณที่พนักงานคนนั้นทำงานอยู่ เพื่อทำการฉีดสเปรย์ฆ่าเชื้อทันที ซึ่งเป็นไปตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่ของเครือเจริญโภคภัณฑ์
    [​IMG]
     
  10. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    "บิล เกตส์"ยอมรับ "Ctrl+Alt+Del" คือ "ความผิดพลาด"
    วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2556 เวลา 12:25 น.

    [​IMG]

    "บิล เกตส์" ผู้ก่อตั้ง "ไมโครซอฟท์" กล่าวด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกว่า การกดปุ่ม "Ctrl+Alt+Del" พร้อมกัน เป็นผลแห่ง "ความผิดพลาด" ของบริษัท "ไอบีเอ็ม"
    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 27 ก.ย. เมื่อคอมพิวเตอร์ของคุณเกิดอาการรวน แทบทุกคนต้องเคยกดปุ่ม "Ctrl+Alt+Del" พร้อมกัน เพื่อปิดหน้าจอที่เกิดอาการค้าง หรือรีสตาร์ทเครื่องใหม่ แต่การกด 3 ปุ่มนี้พร้อมกันที่ "ช่วยชีวิต" ผู้ใช้ระบบปฏิบัติการ "วินโดว์ส" ทั่วโลก เป็นสิ่งที่ "บิล เกตส์" ยอมรับเป็นครั้งแรกว่ามาจาก "ความผิดพลาด"

    เกตส์ วัย 57 ปี ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท "ไมโครซอฟท์" ให้สัมภาษณ์ในงานระดมทุนการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เมื่อวันเสาร์ ว่าเดิมทีเขาต้องการให้มีการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว แต่วิศวกรของบริษัท "ไอบีเอ็ม" ซึ่งทำงานร่วมกับเขา คือเดวิด แบรดลีย์ กลับ "ขัดใจ" เขาถึง 2 ครั้ง เริ่มจากการให้มีการประมวลผลคำสั่งผ่านปุ่ม 3 ปุ่ม ไม่ใช่ปุ่มเดียว และยังเป็น "Ctrl+Alt+Del" ไม่ใช่ "Ctrl+Alt+Esc" อย่างที่เขาต้องการ

    อย่างไรก็ตาม เกตส์กล่าวอย่างติดตลกว่า เขาเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน ว่าวิธีการ "พื้นบ้าน" แบบนี้ จะกลายเป็นหนึ่งใน "สูตรสำเร็จ" ของผู้ใช้ระบบวินโดว์สที่เขาคิดค้นขึ้น แม้วินโดวส์มาไกลถึงระบบ 8.1 แล้ว ดังนั้น แต่ไมโครซอฟท์จะยังคงการกด 3 ปุ่มนี้พร้อมกันเอาไว้ต่อไป และจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง

    ก่อนหน้านี้ในปี 2554 แบรดลีย์เคยขึ้นเวทีบรรยายในงานปาฐกถาเดียวกับเกตส์ เขากล่าวว่า ไม่ได้ตั้งใจจะให้มีการใช้วิธีกด 3 ปุ่มพร้อมกันแบบนี้ เนื่องจากเป็นวิธีที่ใช้เฉพาะในหมู่นักพัฒนาเท่านั้น แต่กระนั้นเขายังยืนยันว่า แม้การกด "Ctrl+Alt+Esc" จะสามารถกดพร้อมกันได้ในมือเดียว แต่เสี่ยงทำให้เกิดการกดโดยไม่ได้ตั้งใจมากกว่าการกดร่วมกับปุ่ม Del ที่ต้องใช้สองมือ

    "บิล เกตส์"ยอมรับ "Ctrl+Alt+Del" คือ "ความผิดพลาด" | เดลินิวส์
     
  11. iamprateep

    iamprateep เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    448
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,685
    ฮ่าฮ่า ... ชีวิตผมเองเคยมีช่วงเวลาที่ตัดสินใจผิดไป
    อารมณ์ผมเองตอนนั้น เป็นแบบว่า "เฮ้ย อะไรนี่" ... หรือ"ว๊า ไม่น่าเล้ย" ...
    ช่วงนั้นคิดถึงปุ่ม Undo มากที่สุดเลยครับ ... อยากยกเลิกการกระทำล่าสุดมันทิ้งไปน่ะ ...


    ... "จะยากหรือจะง่าย อยู่ที่ใจเราเอง" ...
    ... "โลกไม่ได้เป็นไปตามที่ใจเราอยากจะให้เป็น แต่มันเป็นไปตามสัจจะที่มันจะต้องเป็นตามเหตุตามผลนั่นล่ะ" ...


    ... "รักกันใว้เถิด" ...

    ^_^

    ................................................................
     
  12. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    ด้วยความกังวลว่าคืนนี้ฝนจะตกตามคำพยากรณ์

    ข้าวที่เกี่ยวไว้จะตากฝนแฉะหรือไม่ เลยทำให้ต้องเดินสำรวจท้องฟ้า และเมฆหมอก ตามประสาคนแก่ แฮ่ๆ

    เวลาประมาณทุ่มเศษ สังเกตดูท้องฟ้ามีกลุ่มเมฆปกคลุมดวงจันทร์เป็นรูปเหมือนดวงตาคน พระจันทร์ข้างขึ้น ๗ ค่ำดูขมุกขมัว ทำมุม ๖๐ องศา ทิศตะวันตก

    รู้สึกแปลกที่เกิดวงพระจันทร์ทรงกลดขึ้นได้ ในวันจันทร์เสี้ยว

    เพราะที่ผ่านมาชอบแหงนดูจันทร์ทรงกลดเฉพาะวันเดือนเพ็ญ ๑๔ - ๑๕ ค่ำ

    เลยเข้าใจไปว่า จันทร์ทรงกลดได้เฉพาะวันพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น

    นับว่าเป็นความรู้ใหม่ ถือโอกาสแบ่งปันสมาชิกในวันเบาเบา ค่ะ
    .................................................................................

    พระจันทร์ทรงกลด กลางคํ่าคืน

    [​IMG]

    ในหลักทางวิทยาศาสตร์ การเกิดพระจันทร์ทรงกลดเป็นหลักการเดียวกันกับการเกิดพระอาทิตย์ทรงกลด
    คือเกิดมาจากการสะท้อนของแสง และการหักเหของแสงของพระจันทร์เมื่อกระทบเข้ากับเกล็ดน้ำแข็งเล็ก ๆ ของละอองไอน้ำชั้นบนของบรรยากาศ
    มันจะทำให้เกิดภาพของพระจันทร์ขยายขนาดโตขึ้นซ้อนกันกับดวงจันทร์จริงและมีรังสีของแสงสีรุ้งกระจายอยู่โดยรอบสวยงามมาก


    ดังนั้น พระจันทร์ทรงกลดจึงเกิดขึ้นในคืนที่ท้องฟ้ามืดสนิท
    จะทำให้เห็นปรากฏการณ์ของรังสีทรงกลดของพระจันทร์ได้อย่างชัดเจน
    แตกต่างกับพระอาทิตย์ทรงกลดเพราะถ้าวันใดท้องฟ้าโปร่งใสปราศจากเมฆหมอกหรือละอองไอน้ำแล้วจะไม่เกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดขึ้นได้เลย


    ในหลักความเชื่อของคนไทย การเกิดจันทร์ทรงกลดนับเป็นเรื่องมงคล จากการที่ไม่มีให้เห็นบ่อยครั้ง และผู้คนก็นับถือพระจันทรเป็นเทวดาบนสรวงสวรรค์ จึงถือเป็นเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์
    เมื่อเกิดจันทร์ทรงกลดขึ้นจึงมักมีการโยงไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของบ้านเมืองเสมอ ดังเช่นจันทร์ทรงกลดครั้งที่ผ่านมา


    จันทร์ทรงกลด จะเห็นได้ก็เฉพาะผู้ที่แหงนหน้ามองท้องฟ้าบ่อย โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ท้องฟ้าปลอดโปร่ง มีโอกาสเห็นอาทิตย์ทรงกลดในเวลากลางวัน และดวงจันทร์ทรงกลดในเวลากลางคืน บ่อยครั้ง

    [​IMG]

    เชื่อว่าหลายคนคงไม่ค่อยได้รู้จัก พระจันทร์ทรงกลด สักเท่าไหร่ โดยมากจะคุ้นหูกับ พระอาทิตย์ทรงกลดเสียมากกว่า เนื่องจากเกิดขึ้นในเวลากลางวันจึงมีผู้คนพบเห็นบ่อยกว่า(ทั้งพระอาทิตย์และพระจันทร์ทรงกลดไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่)

    พระจันทร์ทรงกลด หรือในสากลเรียกว่า Moon Holoes

    คือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่แสนงดงาม โดยจะปรากฏแสงเรืองรอง1-2วงล้อมรอบดวงจันทร์

    บางครั้งอาจมีแสงเรือง เป็นแนวโค้งหลากหลายรูปแบบปรากฏให้เห็น ซึ่งหากเทียบกับพระอาทิตย์ทรงกลด

    แม้ว่าพระจันทร์ทรงกลดจะมีลักษณะของสีสันและรังสีจางกว่า ทว่า ผู้คนกลับชอบดูพระจันทร์ทรงกลดมากกว่าพระอาทิตย์ทรงกลด เพราะหาดูได้ยากกว่า

    อีกทั้งรังสีที่แผ่กระจายออกก็สวยงาม สบายตากว่าพระอาทิตย์ทรงกลดอันร้อนแรง ทั้งยังสามารถดูพระจันทร์ทรงกลดได้ด้วยตาเปล่า

    ซึ่งหากเป็นพระอาทิตย์จะมีข้อห้ามคือไม่ให้จ้องมองไปที่ดวงอาทิตย์ตรง เพราะอาจเกิดอันตรายกับดวงตาได้

    [​IMG]

    ว่าแล้วก็อย่าลืมเจียดเวลาจากการงานอันวุ่นวายในชีวิตประจำวัน หันมาชื่นชมความงามธรรมชาติกันบ้าง

    ขอบคุณ ข้อมูลจาก Mthai.com
     
  13. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]
    สทน. พัฒนารังสี รักษาโรครูมาตอยด์



    วันพุธ 5 กุมภาพันธ์ 2557
    รูมาตอยด์ คือ โรคข้ออักเสบชนิดหนึ่ง ที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย ส่วนใหญ่จะรักษาไม่หายและถ้าได้รับการรักษาช้าอาจทำให้ข้อถูกทำลายได้ แต่หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น ผู้ป่วยก็สามารถจะอยู่กับโรคนี้ได้อย่างมีความสุข

    นางสาวนิภาวรรณ ปรมาธิกุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. บอกว่าปกติการรักษาโรครูมาตอยด์ทำได้ 3 วิธี วิธีแรก คือ รักษาโดยการผ่าตัด แต่มีข้อเสีย อาจทำให้กระดูกผุกร่อน และโรคสามารถกลับมาเป็นใหม่ได้อีกครั้ง วิธีที่สอง คือ รักษาโดยการใช้ยา ซึ่งมีข้อจำกัดในการใช้ เนื่องจากถ้าใช้ยาที่มีขนาดเกินขีดกำหนด จะมีผลเสียต่อระบบภายในร่างกาย

    และ วิธีสุดท้าย คือ การรักษาด้วยเภสัชรังสี โดยรังสีสามารถเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อโดยรังสีจะสามารถทำลายเนื้อเยื่อส่วนที่เกิดการอักเสบ และสามารถใช้ในการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและระยะเรื้อรังได้

    ซึ่งล่าสุดสทน. โดยความร่วมมือของนักวิจัยด้านเภสัชรังสีและศูนย์ไอโซโทปรังสี ประสบความสำเร็จในการวิจัยและผลิตเภสัชรังสี เพื่อรักษาโรครูมาตอยด์

    โดยสามารถผลิตเภสัชรังสี สำหรับรักษาโรคดังกล่าวได้ถึง 2 ตัว ได้แก่ ซาแมเรียม-153 เฮชเอ (153Sm-HA) และ อิตเทรียม-90 ซิเตรท คอลลอยด์ (90Y-citrate colloid) ซึ่งจัดเป็นยาฉีดเพื่อใช้สำหรับการนำมารักษาโรครูมาทอยด์ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและระยะเรื้อรังได้ตามลำดับ

    ด้านนางอังคนันท์ อังกุรรัตน์ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์คุณภาพ ศูนย์ไอโซโทปรังสี บอกว่า ซาแมเรียม-153 เฮชเอ เป็นยาฉีดที่มีความบริสุทธิ์ทางเคมีรังสีมากกว่า 90% มีความคงตัว 2 วัน มีความเป็นกรดเบส (pH) = 4-7 มีความปลอดเชื้อ และปลอดพิษ

    ส่วน อิตเทรียม-90 ซิเตรท คอลลอยด์ เป็นยาฉีดที่มีลักษณะเป็นสารคอลลอยด์สีขาวขุ่น โดยมีความบริสุทธิ์ทางเคมีรังสีมากกว่า 95% มีความคงตัว 15 วัน มีความเป็นกรดเบส (pH) = 5.5-7 มีความปลอดเชื้อ และปลอดพิษ

    เนื่องจาก อิตเทรียม-90 ซิเตรท คอลลอยด์ มีลักษณะเป็นคอลลอยด์ ซึ่งเป็นข้อดีสำหรับการฉีดสารดังกล่าวเข้าข้อต่าง ๆ และช่วยให้การกระจายตัวของยาไปยังบริเวณเยื่อหุ้มไขข้ออักเสบได้ทั่วถึง ทำให้มีประสิทธิภาพของการรักษาได้ดี

    แต่อย่างไรก็ตามสนท.บอกว่า อิตเทรียม-90 มีข้อเสียคือ ให้เฉพาะอนุภาคบีตา เพราะฉะนั้นในการติดตามและวัดปริมาณของรังสีจะทำได้ยากกว่า ซาแมเรียม-153 ซึ่งให้รังสีแกมมาและบีตาพร้อมกัน

    แต่การวัดปริมาณรังสีฮิตเลียม -90 สามารถแก้ไขโดยอาศัยการวัดเนื่องมาจากการเกิดรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าทดแทนได้ ซึ่งมีผลทำให้การรักษาโรครูมาตอยด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพดีขึ้น .

    นาตยา คชินทร

    nattayap.k@gmail.com
     
  14. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    นินจาวิ่งบนน้ำ - รอบรู้ไอที รอบโลกเทคโนโลยี

    [​IMG].

    [​IMG]

    [​IMG]

    วันพุธ 5 กุมภาพันธ์ 2557
    สมัยก่อนเวลาที่เราดูหนังกำลังภายใน เห็นพวกจอมยุทธ์หรือนินจาตัวเบาเดินหรือวิ่งบนผิวน้ำได้ ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยตั้งคำถามในใจว่ามนุษย์เราสามารถทำอย่างนั้นได้จริงหรือเปล่า และถ้าทำได้จริง จะอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อย่างไร

    บางคนก็ว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกำหนดจิตใจให้นิ่งสงบและว่างเปล่าเพื่อทำให้ตัวเบา บางคนก็บอกว่าเป็นเรื่องของมายากลโดยมีสะพานที่จมน้ำซ่อนอยู่ข้างใต้ เอาไว้ให้นักมายากลวิ่งบนสะพานนั้น บางคนก็บอกว่าเป็นเรื่องของผีสางเทวดาที่เหนือธรรมชาติไปเลยก็มี แต่ถ้าเรามามองกันในมุมของวิทยาศาสตร์ บนโลกของเรามีสิ่งมีชีวิตตัวเล็กหลายชนิดที่สามารถวิ่งบนผิวน้ำได้โดยที่ตัวมันไม่จมลงในน้ำ ยกตัวอย่างเช่น กิ้งก่าบาซิลิสก์ และจิงโจ้น้ำ

    คุณผู้อ่านคอลัมน์วันพุธของผมเคยสงสัยไหมครับว่าสัตว์เหล่านี้วิ่งบนน้ำได้อย่างไร ถ้าอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์เลยก็คือ สัตว์เหล่านี้อาศัยแรงตึงผิวของน้ำในการช่วยพยุงตัวครับ เนื่องด้วยตัวของพวกมันเองนั้นก็เบามากเสียจนแทบจะไม่มีน้ำหนัก ทำให้แรงตึงผิวของน้ำที่แม้จะมีน้อยมากแต่ก็ยังเพียงพอที่จะช่วยพยุงตัวสัตว์เหล่านี้เอาไว้ได้ ประกอบกับสัตว์บางชนิดก็ใช้การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วมาก ๆ ช่วยเสริม แต่ละก้าวที่เหยียบลงไปบนผิวน้ำนั้น ไม่ใช่ว่าขาของมันอยู่บนผิวน้ำหมดนะครับ ขาของมันก็จมลงไปในน้ำระดับหนึ่งเหมือนกัน แต่ด้วยแรงพยุงของน้ำประกอบกับความเร็วในการวิ่ง ทำให้ขาที่เพิ่งจะจมน้ำไปแค่นิดเดียวถูกยกให้วิ่งก้าวต่อไปแล้ว แบบนี้พอดูเร็ว ๆ แล้วก็เหมือนกับว่ามันวิ่งลอยไปบนผิวน้ำได้นั่นเอง

    คำถามถัดมาคือ ถ้ามนุษย์เราสามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงได้เหมือนกิ้งก่าบาซิลิสก์หรือจิงโจ้น้ำ เราจะสามารถวิ่งบนผิวน้ำได้ไหม คำตอบก็คือเป็นไปได้ครับ เคยมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ชิ้นหนึ่งของสหรัฐอเมริกาเขาคำนวณว่า ผู้ชายหนัก 80 กิโลกรัมถ้าจะวิ่งไปบนผิวน้ำได้ต้องวิ่งให้เร็วอย่างน้อย 106 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมเทียบให้เห็นภาพนะครับ ว่าตอนสมัยก่อนวิ่งสอบรด. 800 เมตร ให้ใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที 15 วินาที กว่าผมจะวิ่งผ่านก็เล่นเอาเหนื่อยเอาการ แต่ถ้าใช้ความเร็วระดับวิ่งบนน้ำนี้ ก็ต้องวิ่ง 800 เมตรให้ได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งนาที ซึ่งเวลาขนาดนี้ต่อให้ไปดูสถิตินักกีฬาวิ่งระดับโลกก็ยังไม่มีใครทำได้

    หนทางที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดให้มนุษย์เราสามารถเพิ่มความเร็วในการวิ่งให้ได้ถึงระดับนั้นเป็นเรื่องยากมากครับ ก็เลยมีคนคิดหาหนทางอื่นแทน แทนที่จะไปแก้กันที่ความเร็วในการวิ่งก็มาแก้ที่คุณสมบัติของน้ำหรือของเหลวแทน โดยการสร้างของเหลวชนิดใหม่ขึ้นมา ซึ่งก็ไม่ได้เป็นสารใหม่จากนอกโลกอะไรนะครับ แค่นำของที่มีอยู่แล้วบนโลกนี่ล่ะครับมาผสมกันไปกันมา กลายเป็นของไหลนอกแบบของนิวตัน (Non-Newtonian Fluid) อธิบายให้เห็นภาพง่าย ๆ ครับว่าของไหลนิวตันก็อย่างเช่น พวกน้ำ พวกอากาศนี่ล่ะครับ ส่วนของไหลนอกแบบของนิวตันก็เช่น พวกคล้าย ๆ ยาสีฟัน เป็นต้น

    ซึ่งสารต่าง ๆ ที่เราผสมกันจนกลายเป็นของไหลนอกแบบของนิวตันนี้ จะกลายสภาพเป็นสิ่งที่ต่างจากของเหลวอย่างน้ำไปเลยครับ โดยจะมีคุณสมบัติคือเป็นของเหลวที่ความหนืดไม่คงที่ ถ้าใช้แรงน้อย ๆ ไปกระทำความหนืดก็จะน้อย ถ้าใช้แรงมาก ๆ ไปกระทำความหนืดก็จะมาก ซึ่งอาจจะมากจนถึงจุดที่ใกล้เคียงกับของแข็งได้เลยล่ะครับ เพราะฉะนั้นถ้าเราเดินช้า ๆ บนสารผสมชนิดนี้ เราก็จะจมเหมือนกับเดินบนน้ำหรือของเหลวธรรมดา แต่ถ้าเราใส่แรงไปเยอะ ๆ เช่นวิ่งหรือกระโดด ความหนืดก็จะเพิ่มขึ้นเยอะ จนเกือบกลายเป็นของแข็ง ทำให้เราสามารถวิ่งหรือกระโดดบนสารผสมนี้ได้ ดูเผิน ๆ ก็เหมือนกับว่าวิ่งบนน้ำได้นั่นเองครับ ซึ่งไอเดียนี้มีคนทดลองทำได้แล้วจริง ๆ นะครับ

    เพราะฉะนั้นถึงไม่ใช่นินจา มนุษย์เราก็สามารถวิ่งข้ามสระน้ำด้วยเท้าเปล่าได้เลยครับ ในการทดลองบางกลุ่มถึงกับโชว์เต้นกันบนสระที่ใส่ของเหลวที่ว่านี้ก็มี บางคนถึงกับมาลองปั่นจักรยานข้ามสระกันเลยล่ะครับ งานนี้เรียกว่าปรากฏการณ์คนเดินหรือวิ่งบนของเหลว ไม่ได้เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้อีกต่อไปครับ .



    ผศ.ดร.ชุติสันต์ เกิดวิบูลย์เวช

    หัวหน้าภาควิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)

    วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต

    Chutisant.k@rsu.ac.th
     
  15. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    อยากดูทีวีดิจิทัล ทำอย่างไร

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    เมื่อ “ทีวีดิจิทัล” ใกล้จะเริ่มเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 เมษายน นี้ ในพื้นที่ 4 จังหวัดนำร่องได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ นครราชสีมา และสงขลา

    งานนี้ จะรอช้าอยู่ไย มาเตรียมตัวรับชมทีวีดิจิทัลกันก่อนเมื่อประชาชนที่รับชมทีวีระบบภาคพื้นดิน ( หนวดกุ้ง ก้างปลา ) หากไม่ต้องการเปลี่ยนทีวีเครื่องใหม่ สามารถทำได้ เพียงหากล่องรับสัญญาณทีวีระบบดิจิทัล หรือ กล่องเซต ทอป บ็อกซ์ มาเชื่อมต่อทีวีเครื่องเดิม และเชื่อมต่อกับหนวดกุ้ง ก้างปลา เพื่อรับชมทีวีดิจิทัล

    ส่วนประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนทีวีเครื่องใหม่ ที่มีภาครับดิจิทัลในตัวเครื่อง ให้สังเกตสติกเกอร์ “น้องดูดี” ซึ่งการันตีได้ว่า ผ่านการขออนุญาตนำเข้าและจำหน่าย จากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ก็เชื่อมสายหนวดกุ้ง กางปลา เข้าทีวีดิจิทัลได้ทันที

    ในขณะที่ผู้รับชมทีวีผ่านจานดาวเทียม หรือเคเบิล การรับชมเป็นกล่องเซต ทอป บ็อกซ์ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนกล่อง รับชมได้ทัน ที เนื่องจากช่องฟรีทีวี ต้องทำตามหลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป หรือ มัสต์แครี่ เพื่อให้ทีวีเข้าถึงทุกแพลตฟอร์ม แต่คุณภาพการรับชมก็จะเป็นไปตามมาตรฐานกล่อง และเครื่องรับ

    ทั้งนี้ ประชาชนที่รับชมทีวีดิจิทัล ไม่ต้องปรับจูนช่อง เพราะจะมีการเรียงอัตโนมัติ โดยระบบภาคพื้นดินเริ่มจากหมายเลขช่อง1-12 เป็นกลุ่มช่องสาธารณะ ช่อง13-36 เป็นกลุ่มธุรกิจ และช่อง 37-48 เป็นกลุ่มชุมชน ส่วนผู้ที่รับชมผ่านดาวเทียมและเคเบิล เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ประกอบธุรกิจ จึงเว้นให้ช่อง 1-10 สามารถนำช่องรายการใดมาลงก็ได้ และจากนั้นจึงต่อด้วยช่องทีวีดิจิทัล

    ดังนั้นผู้รับชมจึงจะไม่ยุ่งยากในการปรับจูนช่องทีวีโปรดจำไว้ ! เดลินิวส์ทีวี ออกอากาศทีวีดิจิทัลช่อง 18

    อย่างไรก็ตามราคากล่องเซต ทอป บ็อกซ์ ในตลาดปัจจุบันราคาเฉลี่ย 1,000 -1,100 บาท หรือผู้ประกอบการบางรายจำหน่ายในราคาหลักร้อยจนถึงหลักพัน และมีสเปคให้เลือกตามความต้องการ

    ส่วนทีวีดิจิทัลราคาในขณะนี้อาจจะสูงบ้าง แต่ผู้ประกอบการทีวีบางราย เริ่มมีการเลหลังทีวีเครื่องเก่าจำหน่ายในราคาครึ่งต่อครึ่ง เพื่อเตรียมตัวจำหน่ายทีวีดิจิทัลเต็มรูปแบบ

    พ.อ.ดร. นที ศุกลรัตน์ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์(กสท.) เปิดเผยว่า ในช่วงแรกการเปิดให้บริการจะครอบคลุม 4 จังหวัดก่อน คือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ นครราชสีมา และสงขลา

    หลังจากนั้นในวันที่ 1 พ.ค. 57 จะขยายครอบคลุมอีก 3 จังหวัด คือ อุบลราชธานี สุราษฏร์ธานี และระยอง และในวันที่ 1 มิ.ย. 57 ขยายครอบคลุมอีก 4 จังหวัด คือ สิงห์บุรี สุโขทัย ขอนแก่น และอุดรธานี

    เบื้องต้นถึงเดือน มิ.ย. 57 จะครอบคลุมประชากรทั้ง 11 จังหวัด คิดเป็นประมาณ 10 ล้านคน และจากนั้นผู้ประกอบการโครงข่ายที่ให้บริการส่งสัญญาณทีวีดิจิทัลนั้น ต้องปฎิบัติตามแผนการให้บริการของตนเอง ซึ่งคาดว่า 4 ปี โครงข่ายทีวีดิจิทัลจะครอบคลุมประชากรทั่วประเทศอย่างแน่นอน

    ดังนั้น ประชาชนที่กำลังจะควักเงินเพื่อซื้อกล่องเซต ทอป บ็อกซ์ หรือ ทีวีดิจิทัลเครื่องใหม่ แนะนำตรวจสอบสักนิด ว่าจังหวัดที่ท่านพักอาศัย อยู่นั้นโครงข่ายทีวีดิจิทัลครอบคลุมถึงหรือยัง คาดว่าหลังจากนี้ ราคากล่องและทีวีจะลดลงตามกลไกตลาดและการแข่งขัน

    หากวันใดที่โครงข่ายทีวีดิจิทัลมาถึงพื้นที่ท่านอยู่อาศัย เมื่อนั้นราคากล่องเซต ทอป บ็อกซ์ หรือทีวีดิจิทัล ราคาจะถูกลงก็เป็นได้

    อดใจรอสักนิด รอให้สัญญาณทีวีดิจิทัลมาถึงบริเวณบ้าน แล้วค่อยควักเงินซื้อ จะได้ประหยัดเงินในกระเป๋า

    อยากดูทีวีดิจิทัล ทำอย่างไร? | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์
     
  16. มะลิดำ

    มะลิดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +588
    เห็นภาพ น่ากลัวจัง มีวิธีป้องกันไว้ก่อนบ้างไหม?
     
  17. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    รู้เท่าทันและป้องกัน โรครูมาตอยด์

    [​IMG]

    โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือ โรครูมาตอยด์ เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังที่รุนแรง และสร้างความทรมานต่อผู้ป่วยเป็นเวลาหลายๆ ปี
    และถ้าได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้องหรือช้าเกินไป สมรรถภาพของข้อจะเสียไป เกิดความพิการ ซึ่งบางครั้งไม่สามารถแก้ไขได้

    สาเหตุการเกิด โรครูมาตอยด์ ยังไม่ทราบแน่นอน เชื่อว่าเริ่มจากมีการอักเสบของเยื่อหุ้มข้อและเยื่อบุชนิดต่างๆ ของร่างกาย
    อันเป็นผลจากการตอบสนองของระบบภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคบางชนิด เชื้อไวรัสหรือสารพิษบางอย่าง และอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์


    [​IMG]

    โรครูมาตอยด์ จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 5 เท่า
    อาการอาจเริ่มปรากฏในช่วงอายุเท่าใดก็ได้ แต่จะพบมากในช่วงอายุ 30-50 ปี
    ถ้าหากเริ่มเป็น โรครูมาตอยด์ ตั้งแต่เด็ก ก็มักจะมีอาการรุนแรงในเด็กจะมีอาการต่างจากผู้ใหญ่


    รู้ได้อย่างไรว่าเป็น โรครูมาตอยด์

    1. มีการอักเสบเรื้อรังของข้อหลายๆ ข้อทั้งสองข้างพร้อมๆ กัน ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 6 อาทิตย์
    2. ข้ออักเสบ พบบ่อยที่บริเวณ ข้อมือ ข้อโคนนิ้วมือ ข้อกลางนิ้วมือ ข้อเข่า ข้อเท้า ซึ่งจะมีอาการปวด บวม และกดเจ็บตามข้อต่างๆ

    ถ้าเป็นมานานจะมีข้อผิดรูปได้ ซึ่งเกิดจากการอักเสบของเยื่อบุข้อ การคั่งของเลือดในบริเวณข้อ ขาดการออกกำลังกายและการทำกายภาพบำบัด
    กินอาหารไม่เพียงพอหรือการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อ

    3. มีอาการข้อฝืด ข้อแข็ง เคลื่อนไหวลำบาก ในช่วยตื่นนอนตอนเช้า มักต้องใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมงจึงจะเริ่มขยับข้อได้ดีขึ้น ในช่วยบ่ายๆ มักจะขยับข้อได้เป็นปกติ

    4. พบอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เบื่ออาหาร กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดเมื่อยหมดทั้งตัว น้ำหนักลด มีไข้ต่ำๆ ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ หลอดเลือดอักเสบปุ่มรูมาตอยด์ใต้ผิวหนัง และภาวะเลือดจาง

    5. ตรวจเลือดพบมีรูมาตอยด์แฟคเตอร์ แต่ผู้ที่เป็นโรคนี้จะตรวจเลือดพบเพียงร้อยละ 50-70 เท่านั้น

    ดังนั้นถ้าตรวจไม่พบรูมาตอยด์ ก็ไม่ได้ หมายความว่าไม่เป็นโรครูมาตอยด์
    แต่ผู้ที่มีปริมาณรูมาตอยด์แฟคเตอร์สูงจะมีอาการรุนแรงกว่า

    6. เจาะน้ำในข้อไปตรวจ

    7. เอกซเรย์ ไม่จำเป็น ยกเว้นในกรณีที่ใช้ประเมินว่าข้อถูกทำลายไปมากน้อยเพียงใด เพราะอาจจะต้องผ่าตัด

    ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง มีอาการเป็นๆ หายๆ สามารถใช้ข้อต่างๆ ได้เกือบเท่ากับคนปกติ

    [​IMG]

    จะมีผู้ป่วย โรครูมาตอยด์ ส่วนน้อยประมาณร้อยละ 20 เท่านั้นที่มีอาการรุนแรง
    ทำให้เกิดความพิการมีข้อบิดเบี้ยวผิดรูปร่างจนใช้งานไม่ได้ และมีผู้ป่วยจำนวนน้อยมาก ที่จะมีอาการอักเสบของอวัยวะอื่นๆ ร่วมด้วย
    เช่น ตา หัวใจ หลอดเลือด ปอดม้าม เป็นต้น


    โรครูมาตอยด์ เป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่ก็เป็นโรคที่สามารถควบคุมอาการได้ แต่ต้องใช้เวลานาน ดังนั้น ผู้ป่วยจะต้องมีความอดทนในการรักษา

    โรครูมาตอยด์ ไม่ควรเปลี่ยนแพทย์หรือเปลี่ยนยาเอง เพราะจะทำให้การรักษาไม่ต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลเสียอย่างมากต่อตัวผู้ป่วยเอง
    โดยเฉพาะเมื่อเกิดความพิการขึ้นแล้ว ก็ไม่สามารถรักษาให้กลับมาเหมือนเดิมได้

    สำหรับข้อที่มีการอักเสบอยู่แล้ว การรักษาจะเป็นการควบคุมโรคไม่ให้เป็นมากขึ้น ดังนั้นข้อก็อาจจะบวม ผิดรูปอยู่เหมือนเดิม ซึ่งไม่ได้หมายความว่าการรักษาไม่ได้ผล

    โรครูมาตอยด์ มีความรุนแรงแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน ดังนั้นแพทย์ก็จะให้การรักษาแตกต่างกันไป โดยเฉพาะในระยะแรกแพทย์อาจต้องปรับเปลี่ยนยาไปมา เพื่อหาว่ายาตัวใดเหมาะสมกับผู้ป่วยคนนั้นมากที่สุด

    ส่วนผลการรักษา โรครูมาตอยด์ จะดีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาที่เป็นโรค ความรุนแรงของโรค การปฏิบัติตัวของผู้ป่วย โรครูมาตอยด์ โดยเฉพาะการทำกายภาพบำบัดของข้อและการใช้ข้ออย่างถูกวิธี


    กินอะไร เลี่ยงอะไร ในโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (rheumatoid)


    จะรับประทานอาหารอะไรได้บ้างที่ไม่มีผลทำให้อาการกำเริบ?


    อาหารที่ไม่มีผลกระตุ้นให้เกิดอาการปวดข้อ ที่มีบทความต่างประเทศแนะนำไว้ ได้แก่

    ข้าวกล้อง

    ผลไม้ที่ผ่านความร้อน หรือทำแห้ง ได้แก่ เชอรี่ แครนเบอรี่ ลูกแพร์ ลูกพรุน (ยกเว้น ผลไม้ตระกูลส้ม กล้วยลูกพีช หรือมะเขือเทศ)

    ผักสีเขียว เหลือง และส้ม ที่ผ่านความร้อน ได้แก่ หัวอาร์ติโช้ค หน่อไม้ฝรั่ง บร็อคโคลี่ ผักกาดแก้ว ผักโขม ถั่วฝักยาว มันเทศ มันสำปะหลัง และเผือก เป็นต้น

    น้ำ ได้แก่ น้ำธรรมดา หรือ โซดา

    เครื่องปรุงรส ได้แก่ เกลือปริมาณปานกลาง น้ำเชื่อมเมเปิ้ล และสารสกัดวานิลา



    ควรหลีกเลี่ยงอาหารอะไรบ้าง?

    อาหารที่มีผลกระตุ้นให้อาการกำเริบ คือ ผลิตภัณฑ์นมทุกชนิด ทั้งจากนมวัวและนมแพะข้าวโพด

    เนื้อสัตว์ทุกชนิด ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวราย ไข่ ผลไม้ตระกูลส้ม มันฝรั่ง มะเขือเทศ ถั่ว กาแฟ



    อาหารอื่นที่อาจจะรับประทานได้ หรือควรจะหลีกเลี่ยงเพิ่มเติม มีอะไรบ้าง?

    อาหารบางชนิดที่อาจจะกระตุ้นให้อาการกำเริบได้ในบางคน แต่ไม่กระตุ้นอาการในคนกลุ่มใหญ่
    เช่น เครื่องดื่มอัลกอฮอล์ กล้วย ช็อกโกแล็ต มอลต์ ไนเตรต หอมใหญ่ ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง น้ำตาลอ้อย และเครื่องเทศบางชนิด


    ศึกษาเพิ่มเติม : [ame][URL="http://www.slideshare.ne....html"]http://health.kapook.com/view2866.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2014
  18. มะลิดำ

    มะลิดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +588
    ขอบคุณค่ะ คุณน้ำใสใจดี
     
  19. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    เอฟเอโอหวั่น H7N9 ลงใต้สู่อาเซียน
    [​IMG]

    ผู้สื่อข่าวรายงานจากองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) ว่า เมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา เอฟเอโอได้ออกรายงานเตือนการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกสายพันธุ์ H7N9 ในประเทศจีนซึ่งมีผู้ป่วย 290 รายและมีผู้เสียชีวิต 66 ราย ขณะนี้พบว่า มีความเสี่ยงสูงที่การระบาดจะแพร่กระจายข้ามพรมแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากพื้นที่การระบาดขณะนี้อยู่ที่ จ.กว่างซี ซึ่งมีพรมแดนติดกับประเทศเวียดนาม และ จ.ยูนนาน ซึ่งมีพรมแดนติดกับประเทศพม่า ลาว และเวียดนาม

    อย่างไรก็ตาม แม้ในขณะนี้ยังไม่มีรายงานการระบาดของไข้หวัดนกสายพันธุ์ H7N9 ในเวียดนามและในประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออก–เฉียงใต้ แต่เอฟเอโอขอเตือนให้มีการเตรียมแผนรับมือฉุกเฉินหากเกิดการระบาดของไวรัส H7N9 เนื่องจากมีตัวบ่งชี้ว่าไข้หวัดนก H7N9 สามารถระบาดข้ามพรมแดนได้ง่าย เนื่องจากสัตว์ปีกที่ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ จะไม่แสดงอาการป่วยให้เห็น

    นายทฤษฎี ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ไทยได้ติดตามสถานการณ์โรคระบาดไข้หวัดนก ผ่านทางการรายงานขององค์การโรค ระบาดสัตว์มาโดยตลอดทั้งสายพันธุ์ H7N9 ซึ่งระบาดในจีนในขณะนี้และสายพันธุ์ H5N1 ที่ปัจจุบันมีการระบาดอยู่ใน 14 ประเทศทั่วโลก ซึ่งยืนยันว่า ประเทศไทยไม่มีความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก เพราะมีมาตรการรับมือที่เข้มแข็ง เป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานสากลโดยมีทีมงานที่คอยติดตามสถานการณ์การระบาดไข้หวัดในทั่วโลก พร้อมมาตรการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด นับตั้งแต่การแก้ไขปัญหาไข้หวัดนก H5N1 เมื่อปี 2547 โดยมีการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อบริเวณชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน มีการสุ่มตัวอย่างสัตว์ปีกต่อเนื่องและเฝ้าระวังพื้นที่นกอพยพอยู่ตลอดเวลา

    “สำหรับไวรัส H7N9 นั้น เมื่อปี 2556 เอฟเอโอได้จัดประชุมประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ความรู้ในการป้องกัน และไทยก็ได้เข้าร่วมด้วย ยืนยันว่า เรารับทราบสถานการณ์มาโดยตลอดและยังคงติดตามอย่างใกล้ชิด จึงไม่มีสิ่งใดที่น่ากังวล ส่วนสำนักงานใหญ่ของกรมปศุสัตว์ ที่เขตพญาไท ยังปิดทำการ เนื่องจากอยู่ใกล้พื้นที่การชุมนุม แต่งานต่างๆ ยังสามารถปฏิบัติได้ตามปกติ รวมทั้งการติดตามการระบาดของไข้หวัดนก ไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด”.


    ที่มา : ข่าวไทยรัฐออนไลน์
    วันที่ 06 Feb 201
     
  20. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    การนอน..ยาอายุวัฒนะของผู้สูงอายุ

    [​IMG]
    การนอนหลับนับเป็นยาอายุวัฒนะที่สำคัญของคนทุกเพศ ทุกวัย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงวัย การได้นอนหลับอย่างสนิทมีความจำเป็น อย่างมาก เพราะหากเกิดอาการนอนไม่หลับจะส่งผลต่อการทำงานของสมอง ที่จะเกิดปัญหาทั้งในส่วนของร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ นิตยสาร ModernMom ฉบับกุมภาพันธ์นี้จึงได้นำ เสนอเรื่องราวของ “การนอนเพื่อเป็นยาอายุวัฒนะของผู้สูงวัย” โดย นพ.วิโรจน์ ตระการวิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลนครธน ได้กล่าวว่า ภาวะการขาดนอน (Sleep Deprivation) ก่อให้เกิดปัญหามากมาย เพราะจะมีผลต่อการทำงานของสมอง ทั้งในเรื่องการสร้างสารเคมีที่สำคัญ ขบวนการสร้างฮอร์โมนควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย อีกทั้งการสร้างภูมิต้านทานป้องกันเชื้อโรค จะบกพร่อง เสียสมดุล ขาดประสิทธิภาพ

    [​IMG]
    คุณหมอวิโรจน์ กล่าวอีกว่า ผลเสียของการขาดนอนที่เห็นชัดๆ คือ เรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด การตัดสินใจ ที่แย่ลง รวมทั้งขาดพลังในการทำกิจกรรมการงานต่างๆ และยิ่งภาวะขาดนอนเรื้อรังนานเข้าจะก่อให้เกิดโรคร้ายตามมาอีก เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวาน รวมทั้งโรคจิต เครียด ซึมเศร้า การนอนให้พอนั้นจะต้องได้ทั้งปริมาณและคุณภาพ สำหรับในด้านปริมาณ หรือชั่วโมงการนอน จะแปรผันตามอายุ คือ จากสถิติข้อมูลของสถาบันการนอนแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา แนะนำว่า ช่วงวัยเด็กต้อง การปริมาณการนอน วันละ 10-11 ชม. ช่วงวัยรุ่น ต้องนอนวันละ 8.5-9.5 ชม. ส่วนวัยผู้ใหญ่ ต้องนอนวันละ 7-9 ชม. สำหรับผู้สูงอายุนั้น มักไม่มีปัญหาเรื่องปริมาณการนอน เพราะมีเวลาว่างมากกว่ากลุ่มอื่น ดังนั้น ปัญหาการนอนของผู้สูงอายุจึงไปอยู่ที่ คุณภาพการนอนมากกว่า จากสรีระทางกายภาพและจิตใจที่เปลี่ยนแปลงตามอายุ โรคเรื้อรังต่างๆ ที่พบมากขึ้น รวมทั้งกิจกรรมที่ทำในช่วงกลางวันลด น้อยลง การนอนของผู้สูงอายุ จึงมักเป็นการนอนแบบหลับๆตื่นๆ การนอนหลับแบบยาวๆ จะลดน้อยลง และภาวะการนอนไม่หลับสูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วจะนอนหลับต่อยาก
    [​IMG]

    คุณหมอวิโรจน์ ได้แนะนำสิ่งที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุนอนหลับได้ดีขึ้น อาทิ รักษาโรคเรื้อรังที่เป็นอยู่ให้หาย เพราะความเจ็บป่วยจะรบกวนคุณภาพการนอน ควรมีกิจกรรมหรือออกกำลังกายในช่วงกลางวันเพิ่มมากขึ้น อย่านอนกลางวันมาก เพื่อที่จะได้นอนหลับในช่วงกลางคืนได้ดีขึ้น เข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลา ระดับฮอร์โมนควบคุมการนอนจะทำงานได้อย่างมีระบบเป็นปกติ ไม่พึ่งยานอนหลับ เพราะจะทำให้ติดและแก้ยาก ไม่ดื่มน้ำชา กาแฟ แอลกอฮอล์ ใกล้เวลานอน อย่าดูหนังตึงเครียด หรือทำงานหนักที่ใช้ความคิดมากทำให้สมองตื่นตัวและหลับยาก จัดห้องนอนให้ถูกสุขลักษณะ หาสิ่งสุนทรียศาสตร์เพื่อการผ่อนคลายของจิตใจ เช่น ดนตรี โยคะ และศึกษาปฏิบัติธรรม เพื่อการปล่อยวาง.



    ที่มา : ข่าวไทยรัฐออนไลน์ - Site
     

แชร์หน้านี้

Loading...