แม่ของแผ่นดิน (โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย pongio, 5 สิงหาคม 2013.

  1. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,851
    เนื่องในวโรกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ

    จากหนังสือ พระเมตตา เล่มที่2
    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน


    เพื่อให้ทราบในจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สำหรับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ นี่พระองค์ทรงพอพระทัย ในการสวดมนต์มาก และก็สวดมนต์วันหนึ่ง เป็นชั่วโมง ๆ พระองค์ทรงตรัส ว่า เวลาหลวงพ่อมานี่พระองค์หญิงทรงแสดง ปรากฏชัดเหลือเกิน ทรงตรัสว่า

    มาบางคราวส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปหมด ดิฉันคิดว่า ใครเขาทำน้ำหอมหกไว้ที่ไหน หาเท่าไรก็ไม่พบ แต่ว่ากลิ่นน้ำหอมตลบไปหมด พอรุ่งเช้าทราบข่าวจากคนบอกว่า สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงใช้ ให้ข้าหลวง ๒ คน ไปเอาพระพุทธรูป ที่พระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต ทรงโปรดมาก รักมาก ปรากฏว่า ข้าหลวงหยิบขึ้นมา เห็นไฟฟ้าดับ ๒ ครั้ง แต่ว่าสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงประทับอยู่ใกล้ ๆ ไม่ทรงเห็นไฟฟ้าดับ

    เรื่องนี้จะเป็นเรื่องเท็จจริงประการใด เป็นเรื่องของคนส่ง ข่าว แต่ว่าข่าวที่แสดงออกทั้งอาการ กลิ่นที่หอมฟุ้ง จนกระทั่งไม่สงสัย หอมจัดนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงมีพระราชเสาวนีย์มาเอง แล้วต่อมาสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ก็ทรงขอให้บันทึกเทปพระสูตรถวาย พระองค์มักจะทรงถ่อมอยู่เสมอว่า ดิฉันมีปัญญา เพียงแค่นี้ มีกำลังเพียงเท่านี้ ขอฟังเพียงพระสูตร

    แต่ความจริงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านก็ทรงตรัสว่า สมเด็จพระบรมราชชนนี ก็ดี พระราชินีก็ดี ลูกหญิงสิรินธรก็ดี เขาว่าเขาไม่ได้ทำอะไรกัน เขาว่าเขาไม่ได้ปฏิบัติ แต่ความจริง ผมเห็นว่าเขากำลังปฏิบัติอยู่ อาตมาก็รับรอง เพราะทราบพระราชจริยาวัตรของทั้ง ๒ พระองค์ดี

    ความจริงการปฏิบัติพระกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัท อย่างสมเด็จพระบรมราชินีนาถนี่ พระองค์ทรงอยู่ในศีลาจารวัตรเป็นอย่างดี อันนี้จะมาโมเมว่า มายกย่องพระราชินีอีกแล้วซิ ความจริงเรื่องการยก ย่องใครนี่ ถ้าไม่เป็นของจริง พระไม่โอเคด้วย (โอเคนี่ ภาษาอะไรก็ไม่ทราบ) พระไม่เห็นชอบด้วย เรื่องอะไรจะมานั่งยกย่องกัน เราพูด กันตามความเป็นจริง พระไม่มองเห็นฐานะของบุคคล ในฐานะผู้ทรงยศ พระจะต้องไม่มองฐานะของบุคคลในฐานะที่มีเงินมาก พระ จะต้องพูดตามความเป็นจริงที่มีอยู่

    ฉะนั้น เมื่อสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระองค์ทรงมีพระราชจริยาวัตร ปฏิบัติอยู่ในเขตพระกรรมฐาน คำว่ากรรมฐาน แปลว่าทำกรรม ในฐานะเป็นที่ตั้งอยู่ในความดี กรรมฐานไม่ใช่แปลว่าหลับตา จะมานั่งหลับตา ถ้าดีเวลาหลับตา ลืมตาขึ้นมาด่าชาวบ้าน อีกกี่แสนชาติ มันก็ไม่เกิดผล แล้วก็จิตใจก็หมกมุ่นไปด้วยอารมณ์ที่เป็นโลภะ โทสะ โมหะ ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์เลย

    คำว่า กรรมฐาน คือว่า ลืมตามาแล้วต้องสร้างความดี จะเห็นน้ำพระทัยของสมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร ฯ ก็ดี ทั้ง ๒ พระองค์นี้ ทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา และกรุณาในพรหมวิหาร ๔ เปี่ยมเลยก็แล้วกัน ไม่ใช่พร่อง บางทีล้น ๆ เพราะพระราชทรัพย์ที่มีอยู่นี่ ไม่พอใจ ยังจ่ายไปก่อน ล้น นี่ไม่ใช่เปี่ยมนะ เรียกว่าล้น ถ้าจ่ายแค่หมด เรียกว่าเปี่ยม นี่หมดไป แล้วไม่มียังจ่าย เรียกว่าล้น ถ้าพูดอย่างนี้ อาตมาก็คงจะล้นเหมือนกัน ไม่มีสตางค์ ก็สร้างวัด สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล บ่อน้ำ เป็นหนี้เขาก่อนยังได้ มันเป็นส่วนสาธารณประโยชน์ ก็คนชอบล้น ล้นอยู่แล้ว ก็ต้องล้นไปอย่างนี้

    สำหรับพระองค์หญิงวิภาวดีก็เหมือนกัน มีหลายท่านว่า ท่านเร็ว เหลือเกินน่ะ ความจริงท่านทำของท่านมานานแล้ว ไม่รู้ว่าทำต่างหาก การจะศึกษาในสมถวิปัสสนา ถ้าเข้าไม่ถึงพรหมวิหาร ๔ เสียตัวเดียว ไม่ต้องไปไหนกันละ อยู่นั่งหลับตาสักเท่าไร มันก็ไม่เกิดผล หากว่าท่านผู้ใด จิตของท่านตั้งอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ละอคติ ๔ อย่าง นี้ดีกว่า เอาความดีขึ้นต้น แค่ฌานสมาบัติ ถ้าใครทำเกิน ๑๕ วัน ซวยเต็มที่ แต่ความจริงอารมณ์ของพรหมวิหาร ๔ นี่ เป็นอารมณ์ที่เลี้ยงศีล ไม่ให้ศีลขาด ศีลจะอ้วน ก็เพราะกินพรหมวิหาร ๔ เป็นอาหาร และวิปัสสนาญาณจะแจ่มใส ก็เพราะกินพรหมวิหาร ๔ มีพรหมวิหาร ๔ เป็นอาหาร

    ถ้าคนใดทรงพรหมวิหาร ๔ อยู่เป็นปกติ ท่านผู้นั้น ก็ชื่อว่าทรงสมถวิปัสสนา เป็นการทรงตัวอยู่แล้ว มันอยู่ที่การปฏิบัติจริง ไม่ใช่มานั่งหลับตา นั่งหลับตา ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง แล้วก็มานั่งคุยกัน อันนั้นไม่ใช่สมถวิปัสสนา เขาเรียกว่าสมถาก ถากไปถากมา วิปัสสนาก็เป็นปัดไปปัดมา ไม่ได้ฟันต้นให้ขาด เพียงแต่ถาก ๆ ปัด ๆ แล้วจะได้ประโยชน์อะไร นี่เราพูดกันตามความเป็นจริง

    อย่างสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ที่ท่านบูชาพระ สวดมนต์ เจ้าฟ้าหญิงสิรินธร ฯ ก็เหมือนกัน คนที่จะสวดมนต์นี่ ถ้าเขาเกลียดพระพุทธเจ้า เกลียดพระธรรม เกลียดพระสงฆ์ สวดมนต์ได้ไหม เรามานั่งคิดกันวิจารณ์กัน เป็นอันว่าสวดมนต์ไม่ได้เกลียด การที่สวดมนต์ได้ แสดงว่ามีความเคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ และถ้าพระองค์ทรงศีลาจารวัตรเต็มที่ ทรงศีลบริสุทธิ์ แล้วเรา จะว่าเป็นอะไรเล่า ไปดูองค์ของพระโสดากับสกิทาคา

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระโสดาบัน กับสกิทาคามี เป็นผู้ทรงอธิศีล คือมีศีลบริสุทธิ์ มีองค์คุณธรรมที่ทรงอยู่ จิตใจของพระโสดาบัน ก็มี ๑ เคารพ ในพระพุทธเจ้า ๒ เคารพในพระธรรม ๓ เคารพในพระสงฆ์ ๔ มีศีลห้า บริสุทธิ์ บริสุทธิ์จริง ๆ คือไม่ละเมิดศีลด้วยการจงใจ เผลอเดินไปเหยียบมด เหยียบปลวกตาย โดยไม่เจตนา ไม่เป็นไร

    แล้วก็มานั่งดูว่า สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร ฯ ก็ดี ทั้ง ๒ พระองค์ท่านสวดมนต์ ภาวนา ไหว้พระ เจริญสมาธิ สวดมนต์เป็นสมาธิ ขณะสวดมนต์อยู่ จิตใจเป็นอุปจารสมาธิ พระองค์ทรงมีพระเมตตาปรานี มีข้อหนึ่ง ที่น่าสังเกต ที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ทรงตรัส ห้ามบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย ไปขอของใช้ ของกินจากตระกูล ที่เป็นพระเสข

    พระเสข คือ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ท่านพวกนี้ เป็นผู้มีจิตน้อมไปในกุศล มีพรหมวิหาร ๔ ถ้าไปขอท่าน ๆ ให้ ท่านมีความพอใจในการบริจาคทาน ดูตัวอย่าง นางวิสาขามหาอุบาสิกา พระ โสดาบัน ท่านอนาถบิณฑิกคหบดี พระโสดาบัน ท่านผู้นี้ ต่อมาเป็นพระอนาคามี ท่านที่เป็นพระโสดาบันทั้งหมดนี่ ส่วนมากใจท่านกว้างขวาง อยากจะสงเคราะห์คนที่มีความทุกข์ ให้มีความสุข ถ้ามีอะไรให้ได้ให้

    ตัวอย่าง อนาถบิณฑิก ตอนจนลงไปแสนที่จะจน แต่ทว่าตนเองต้องกินปลายข้าวกับน้ำผักดอง เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไป ก็นิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์ ๕๐๐ ไป ฉันภัตตาหาร มีแค่ปลายข้าวกับน้ำผักดองเป็นอาหารเท่านั้น เห็นกำลังใจของท่านไหม

    ในขณะที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเสวยพระกระยาหาร ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ก็กราบทูลองค์สมเด็จพระพิชิตมารว่า ทานของข้าพระพุทธเจ้าเวลานี้ เศร้าหมองเสียแล้ว เดิมที องค์สมเด็จพระประทีปแก้วมา ข้าพระพุทธเจ้ามีอาหารเลิศถวาย เวลานี้จนลงไป มีแต่ปลายข้าวกับน้ำผักดอง



    พระพุทธเจ้าจึงทรงถามถึงเจตนาว่า เจตนาของเธอครบตามเดิมไหม ท่านบอกว่ากำลังใจครบพระพุทธเจ้าค่ะ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูก่อนท่านมหาเศรษฐี ลูขังวาปณียตังวา ทรัพย์สินที่ให้ จะเป็นของดีก็ตาม ของประณีตก็ตาม ของเลวก็ตาม ถ้าเจตนา สมบูรณ์ ทานนั้นมีผลเลิศ

    นี่เป็นอันว่า ผู้ทรงคุณในความเป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ท่านพอใจในการสงเคราะห์บุคคลให้มีความสุข การให้ทาน ท่านจัดว่าเป็นจาคานุสสติกรรมฐาน การเคารพในพระพุทธเจ้า เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน เคารพในพระธรรม เป็นธรรมานุสสติกรรมฐาน เคารพในพระสงฆ์เป็นสังฆานุสสติกรรมฐาน มีศีลมั่นในศีล ศีลบริสุทธิ์เป็นศีลานุสสติกรรมฐาน มีเมตตา ความรัก มีกรุณา ความสงสาร เป็นพรหมวิหาร ๔ เป็นกรรมฐาน และปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติแต่ในความดี ละอายต่อความชั่ว เกรงกลัว ผลของความชั่วปฏิบัติ แต่ความดี เป็นเทวตานุสสติกรรมฐาน

    ฉะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระราชดำรัสตรัสว่า สมเด็จ พระบรมราชินีนาถก็ดี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร ฯ ก็ดี ทรงกระทำอยู่แล้ว กระผมบอกว่า เขาทำอยู่แล้ว แต่เขาบอกว่าเขาไม่ได้ทำ อันนี้ อาตมาก็ขอรับรองว่าทั้ง ๒ พระองค์ทำแล้ว ในกรรมฐานที่อาตมาพูดมา เป็นอันว่า เรื่อง ภูพิงค์ราชนิเวศน์ เล่ากันจบไม่ได้

    เป็นอันว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระทัยในพระกรรมฐานมาก สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร ฯ ทรงปฏิบัติในกรรมฐานเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ไม่ทรงทราบว่าทรงปฏิบัติ และหลังจากนั้น เวลา ๕ โมงเศษ สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรง เตือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถึง ๔ วาระ อาตมาก็ขอถวายพระพรลา ก่อนจะมาสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณว่า ในตอนเช้าก่อนหลวงพ่อจะกลับ ขอนิมนต์ไปเที่ยวที่วิหารก่อน เพราะพระที่นั่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

    และตอนเช้า สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ก็ทรงให้คนจัดอาหารมาถวาย และเลี้ยงคนทุก ๆ คน พร้อมทั้งอาหารในระหว่างทาง การเดินทาง พระองค์ก็ทรงแจกมา ทุกคนใส่กล่องมา นี่เป็นอันว่า การที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นเจ้าภาพ อาราธนาอาตมาเข้าไปสู่ภูพิงค์ราชนิเวศน์

    วันนั้นถ้าจะถามว่า เรื่องอะไรที่คุยกันมาก ก็ต้องบอกว่าธรรมะอย่างเดียว ไม่มีอะไรเลย มีแต่ธรรมะทุกอย่าง พบกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ไหน พระองค์ต้องทรงปรารภ เรื่องธรรมะปฏิบัติ ไม่ได้เคยเอาบ้านเอาเมือง เอาเรื่องของชาวบ้าน ชาวเมืองที่ไหน มาว่า มานินทา มาตำหนิ ไม่มี พระองค์ไม่ทรงมีพระราชจริยาวัตรอย่างนี้ เที่ยวติคนโน้น ว่าคนนี้ คนนั้น ดีคนนี้ไม่ดี ไม่มี

    พระองค์ทรงมีพระราชหฤทัย เต็มเปี่ยมอยู่ในคุณธรรม อย่างนี้เรียกว่า ทรงทศพิธราชธรรม อย่าไปไล่เข้านะ ทศพิธราชธรรมมีอะไรบ้าง อาตมาไม่บอก เพราะไม่รู้ จำไม่ได้ ทำไมจึงจำไม่ได้ เพราะไม่จำเป็นจะต้องจำ ทำความดีแล้ว ก็แล้วกันไป มัวถือเถรตำราอยู่ก็เลยไม่ต้องได้อะไรกัน

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เรื่องภูพิงค์ราชนิเวศน์ ตอนเช้า อาตมาก็ไปชมวิหาร มีแดน สวยงาม เต็มไปด้วยดอกไม้ พระก็สวย วิหารก็สวย สระน้ำก็ใหญ่ คณะที่ไปก็พากันชื่นบาน เป็นอันว่า เรื่องภูพิงค์ราชนิเวศน์เขต พระราชฐานสำหรับตอนนี้ ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ตอนหลัง ก็ฟังกันในเรื่องของดินแดนภายในพระบรมมหาราชวังต่อไป สำหรับวันนี้ขอ ลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแก่บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี

    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
    ข้าพระพุทธเจ้า pongio
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 สิงหาคม 2013
  2. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    สาธุ สาธุ สาธุ คำสอนจากครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณ พวกผีบ้า จะได้มีสติ สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...