เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tjs, 14 มิถุนายน 2013.

  1. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    มีคำถามว่าเมื่อเรามีสติแล้วและสามารถตัดหรือดับความนึกคิดปรุงแต่งได้แล้ว ตัวผู้รู้จะยังมีอยู่หรือไม่
    จึงขอช่วยตอบครับ ก่อนอื่นต้องเห็นว่า ทุกข์ สุข เกิดดับที่ใด ที่ใดครับ ที่ใจหรือที่จิต เพราะอะไร เพราะมันเกิดที่จิต แล้วทุกข์ สุขทั้งหลาย มันดับลงที่ใด ก็ที่จิตเช่นกัน แต่จะดับมันต้องเริ่มจากอะไร ต้องตื่นรู้ คือมีสติให้ทรงตัวให้ได้ก่อน พอมีสติรู้ทันแล้ว มันเป็นอย่างไรต่อ คือรู้ทันแล้ว สติไปบังคับจิตหรือไม่ หรือมันปล่อยวางแบบไหน หรือมันบังคับจิตให้หยุดตามคิดให้ตัดทิ้งวางลงทันที สติมันทำหน้าที่แค่รู้เป็นแค่อาการรู้ แต่ที่เหลือเป็นหน้าที่ของจิตจะรับหรือไม่รับอะไรก็อยู่ที่เราฝึกฝน ครับ
    ทีนี้พอสิ่งที่ปรุงแต่งจิตเช่นความนึกคิด เรารู้ทัน จิตเรามันก็ตามทันมันดับความนึกคิดเหล่านั้นได้ทันที อย่างนี้ครับ
    หากจะถามต่อว่า ตัวผู้รู้ที่คือจิตนั้น ยังอยู่ไหม๊ จึงขอตอบว่า ก็ที่มันดับไปนั้นคือ ความนึกคิดปรุงแต่งทั้งหลายมันดับ สุข ทุกข์มันก็ดับ แต่จิตหรือตัวผู้รู้มันไม่ได้ดับไปด้วยนิ แถมตัวรู้คือสติมันก็ยังอยู่ของมันอย่างนั้น ยังตามรู้อยู่เหมือนเดิม ครับ สภาวะที่เกิดมันก็เป็นอย่างนี้ครับ สาธุ
     
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เวลาที่เราฝึกตัวรู้หรือสติ นั้นต้องทำความเข้าใจว่า ความมีสติหรือตัวรู้นั้น มันมีหลายระดับ เป็นความรู้สึกตัวแบบ หยาบๆ ปานกลาง หรือละเอียด ทั้งนี้ความมีสติหรือตัวรู้นั้น มันรู้อยู่กับอะไร ขออธิบายว่า
    1 สติรู้อยู่กับกาย ที่เคลื่อนไหวหรือสงบนิ่ง ต้องฝึกตรงนี้ให้ได้ ตรงนี้จะเป็นรากฐานของสติเบื้องต้น เป็นการรักษาสติอย่างหยาบ แต่มีความสำคัญมาก
    2 สติรู้อยู่กับเวทนา ที่เกิดขึ้นมากระทบกับจิต เป็นการรักษาสติอย่างปานกลาง
    3 สติรู้อยู่กับสัญญา ที่เกิดขึ้นมากระทบกับจิต เป็นการรักษาสติอย่างละเอียด
    4 สติรู้อยู่กับสังขาร ที่เกิดขึ้นมาปรุงแต่งกับจิต เป็นการรักษาสติอย่างละเอียด
    5 สติรู้อยู่กับวิญญาณ ที่เกิดขึ้นมาปรุงแต่งกับจิต เป็นการรักษาสติอย่างละเอียด
    หรือง่ายๆคือสติตื่นรู้อยู่ในรูปและนามที่กระทบกับจิตตน
    เหตุผลที่เราต้องรักษาสติ เพื่ออะไร ทำเพื่ออะไร
    คำตอบคือเราทำเพื่อชำระจิต แล้วตัวสติตื่นรู้ช่วยชำระจิตได้อย่างไร
    ความมีสติตื่นรู้ คือ ต้องตื่นรู้อยู่ในจิต เป็นสิ่งสำคัญ แต่การจะมีสติตื่นรู้ในจิตได้นั้น ก็เพราะต้องอาศัยตัวสติตื่นรู้นี่แหละเข้าไปทำหน้าที่เข้าไปตื่นรู้
    แต่จิตโดยปกตินั้นอาศัยกายคือรูปและนามหรือขันธ์5เป็นเครื่องฉาบทาอยู่ ครอบงำจิตไว้อยู่ ดังนั้น เมื่อเรานำสติตื่นรู้ในขันธ์5ได้ทัน และดับขันธ์5ได้ทัน นั่นคือ สติย่อมวิ่งไปที่สุดถึงภายในคือจิตนั่นเอง เมื่อขันธ์5ดับลงเมื่อไหรเครื่องปิดกั้นฉาบทาจิตไว้ก็ล่วงดับไปเมื่อนั้น สติจึงวิ่งไปตื่นรู้ในจิตได้สำเร็จ หากทำได้เช่นนี้บ่อยๆเป็นปกติ จิตของท่านก็จะเป็นจิตที่ตื่นรู้อยู่เสมอ แต่เป็นจิตตื่นรู้ที่ว่างเปล่าไม่รับอะไร แค่เป็นผู้รู้ตื่นอยู่เฉยๆอย่างนั้นนั่นเองครับ สาธุ
     
  3. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =========
    อุปมาว่า หากท่านทรงสติให้เกิดที่กายได้ ผลคือจิตว่าง หากท่านทรงสติให้เกิดที่เวทนาได้ ผลคือจิตว่าง หากท่านทรงสติให้เกิดที่สัญญาได้ ผลคือจิตว่าง หากท่านทรงสติให้เกิดที่สังขารได้ ผลคือจิตว่าง หากท่านทรงสติให้เกิดที่วิญญาณได้ผลคือจิตว่าง กลับกัน หากท่านทรงสติที่จิตเป็นจิตตื่นรู้ได้สำเร็จ ผลคือ กายเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ก็ว่างด้วย ว่างทั้งหมดว่างทั่วทั้งหมื่นโลกธาตุคือว่างทั้งภายในและภายนอก นั่นแหละคือที่สุดแห่งความว่าง ครับ สาธุ
     
  4. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เมื่อเราฝึกสติ ตื่นตัวอยู่เสมอ จนเป็นปรกติ เป็นมหาสติแล้ว จิตที่ทรงมหาสติ นี้จัดว่าเป็นจิตที่ทรงสมาธิ สมาธิที่ว่าเป็นสมาธิในการตามรู้ตื่นรู้อยู่เป็นปกรติ เป็นการแน่วแน่อยู่ในการตื่นตัวอยู่เสมอ มีสติอยู่เป็นปรกติ หากทำได้อย่างนี้เมื่อไหร่ สติมันมีกำลังมาก เป็นมหาสติแล้ว มันก็สามารถรู้ดับละปล่อยวางได้ทั้งหมดครับ คือเราไม่สนใจอะไรทั้งนั้นรูปนามทั้งหลายเป็นทุกข์ ต้องดับตัดละออกให้หมด สุดท้ายมีเพียงความว่างเปล่า เพราะมหาสติรู้ทันรู้ทั่วดับทุกอารมณ์ที่เกิดกระทบ จึงเป็นความว่าง เป็นมหาสิตที่อยู่กับความว่างนั่นเองเพราะไม่รับอะไรเป็นอารมณ์ อีกแล้วครับ สาธุ
     
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    การฝึกปฏิบัติธรรมมีลักษณะดังนี้คือ
    1 กายเคลื่อนไหวจิตสงบนิ่ง คือสมาธิกรรมฐานในการเดินจงกรม
    2 กายสงบนิ่งจิตสงบนิ่ง คือสมาธิกรรมฐานในการนั่งสมาธิ
    3 กายเคลื่อนไหวจิตเคลื่อนไหว คือวิปัสนาในการเดินจงกรม
    4 กายสงบนิ่งจิตเคลื่อนไหว คือวิปัสสนาในการนั่งสมาธิ ครับ

    ทั้งหลายเหล่านี้คือสิ่งที่นักรบธรรมต้องฝึกให้ครบทำให้เป็นเมื่อทำได้แล้วให้พิจารณาว่าจริตของตนเป็นอย่างไร สมาธิเกิดง่ายสงบง่ายรวมจิตได้เร็ว ปัญญาเกิดได้ ก็ให้เลือกวิธีที่ตนถนัดเพื่อการชำระจิตให้เจริญก้าวหน้ารวดเร็วยิ่งๆขึ้นไปครับ สาธุ
     
  6. รสธรรม

    รสธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +808
    คุณก้องคะมีเรื่ิองรบกวนถามค่ะ คือมีแมวมาตายในห้องเครื่องรถแคทน่ะค่ะ น่าจะเสียหลายวันแล้วรู้เพราะส่งกลิ่นเหม็น แคทสวดมนต์ อุทิศบุญและแผ่เมตตาให้ ไม่ทราบว่าเค้าได้รับมั้ยคะ แล้ววิญญาณเค้าจะติดอยู่ในรถมั้ย (ทะเบียน กข 168)ไม่ได้กลัวแต่ว่าอยากให้เค้าได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีค่ะ คุณก้องมีข้อแนะนำอะไรเพิ่มมั้ยคะ
     
  7. Jasmin99999

    Jasmin99999 วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    971
    ค่าพลัง:
    +3,331
    เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปฏิธรรมและฝึกสติปัฏฐานค่ะ... ทำให้มีกำลังใจในการปฏิบัติเพิ่มขึ้น ซึ่งปกติดิฉันจะภาวนาแล้วหลุดบ่อยๆตามที่คุณ tjs ได้กล่าวมาเลยค่ะ แต่เวลาไม่หลุดก็จะมีบ้างคือตอนนั่งรถนานๆแล้วภาวนาไปจนหลับ พอตื่นขึ้นก็ยังภาวนาอยู่ต่อๆไปเลย แต่เวลาที่ดิฉันรู้สึกว่าเหมาะในการภาวนาก็ตอนตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วนอนไม่หลับ กับตอนภาวนาท่องจำบทสวดมนต์ พร้อมกับกำกับลมหายใจเข้าออกช้าๆจะช่วยให้สติจดจ่อกับคำภาวนา และรู้สึกว่ารวมสมาธิได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นการนอนภาวนา
    ระยะหลังๆชักหลับง่าย โดยเฉพาะเวลาภาวนาบทพาหุงฯทีไร สวดไม่จบหลับก่อนทุกที แบบนี้ถ้าอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรและสัมภเวสีล่วงหน้า แล้วเราสวดภานายังไม่จบ เขาจะได้รับบุญหรือเปล่าเอ่ย?!?
     
  8. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    สุภะ มาจากคำว่าสุภาพ แปลว่ามีสภาพอันงดงามสวยงาม ดังนั้น อสุภะ จึงแปลตรงกันข้ามว่า มีสภาพอันไม่สวยงาม รวมกับกรรมฐานจึงแปลว่า การอาศัยสภาพความไม่สวยงามเป็นฐานที่ตั้งอันแน่วแน่ของจิตอาศัยอยู่ เพื่อให้จิตคุ้นเคยและยอมรับจนเกิดปัญญารู้แจ้งในสัจจธรรมความจริง ว่ารูปกายเรานี้ ต้องเน่าเปื่อยบวมพองมีหนอนชอนไช สลายไป สมัยก่อนพระสาวกท่านขอ นำศพของผู้ป่วย มาพิจารณา ก็จะเห็นตั้งแต่ ตอนตายใหม่ๆ สภาพร่างกายเป็นอย่างไร พอผ่านไปอีกวันเป็นอย่างไร จนมีปัญญาเห็นชัดเจนว่า อันรูปธาตุ ดินคือเนื้อและกระดูกที่เริ่มสลายเน่าเปื่อย ธาตุน้ำคือน้ำและของเหลวในกายที่กำลังแยกตัวไหลเยิ้มออกมา ธาตุไฟ อันคือความร้อนอบอุ่นของกายที่ดับลง ธาตุลมคือลมหายในหรืออากาศในกายที่หมดไป ว่าธาตุแต่ละตัวแยกออกจากกายออกมาตามลำดับขั้นเป็นอย่างไร สามารถอธิบายได้อย่างละเอียด ครับ สุดท้าย ร่างกายเราที่ประกอบด้วยธาตุทั้ง4 ก็แตกสลายกลับคือสู่ธรรมชาติดังเดิมของมันไม่ใช่ของเราครับ สาธุ
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ============

    ตรวจดูแล้วไม่อยู่ครับ เขามีวิบากกรรมของเขาเขาใช้หมดแล้ว เขาจึงต้องไปยังที่ใหม่ของเขาครับ ส่วนบุญที่ทำให้เขาก็ย่อมได้รับครับ จึงได้ไปอยู่ยังที่สบายของเขาครับ
     
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ===========

    เวลาเราสวดมนต์ภาวนา ให้อธิฐาานก่อนว่า ด้วยบุญกุศลที่กำลังจะเกิดจากการสวดมนต์ภาวนานี้ ขออุทิศให้สรรพจิตวิญญาณ ขอให้อนุโมทนาบุญได้ทันทีขอบุญนี้จงสำเร็จแก่ทันตามปราถนาทุกประการ

    เสร็จแล้วเมื่อเราภาวนาไป จะทรงสมาธิได้ต่อเนื่องหรือไม่ ไม่สำคัญแต่บุญย่อมเกิดขึ้นแน่นอนไม่มากก็น้อย พอเราสวดมนต์ภาวนาเสร็จแล้ว จะทำได้มากหรือน้อยก็ไม่เป็นไร แต่เรามีจิตใจเมตตาอุทิศให้อีกรอบหนึ่งครับ

    เช่นนี้ก็มั่นใจได้ว่า
    1 จิตหรือเทวดาส่วนหนึ่งที่มาหาเราเจอเราเขาแม้ไม่สามารถอยู่จนเราภาวนาเสร็จเพราะเขาอาจมีกิจภาระหรือถูกควบคุมมา มีเวลาจำกัด เขาก็สามารถอนุโมทนารับบุญทันที
    2 จิตส่วนที่สามารถอยู่อนุโมทนากับเราได้จนจบ ตรงนี้ก็จะได้ทั้งขึ้นทั้งล่องครับ ก็แล้วแต่ กำลังของเขาและของเราจากการปฏิบัติครับ

    จึงขอแนะนำอย่างนี้ครับ สาธุ
     
  11. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    มีสหายถามมา จึงขอเล่าให้ฟังครับ

    เรื่องการ เปิดบุญ เบิกบุญ การโอน การอุทิศ ด้วยวิธีการโดยเราอาศัยอำนาจบารมีขออำนาจของพระรัตนตรัยนั้นสามารถกระทำได้ การกระทำวิธีนี้อาศัยการที่เราทำความดีทุกอย่างทั้งอดีตและปัจจุบัน ส่งหรือโอนบุญได้

    ในความคิดของกระผม และด้วยประสพการณ์ที่ผ่านและสั่งสมมานั้น สามารถกระทำได้ ครับเป็นวิธีการที่ดี
    แต่สิ่งสำคัญคือ การที่จะทำอย่างนี้ได้ ต้องอาศัยความพร้อมดังนี้
    1 ศีลพร้อม
    2 จิตใจยึดมั่นต่อพระรัตนตรัยมั่นคง
    3 มีพื้นฐานของสมาธิที่ดีควรแก่การใช้อำนาจจิตเปิดบุญส่งบุญ โอนบุญ

    หากสามข้อนี้ไม่ผ่าน ย่อมไม่สามารถกระทำได้ บุญที่ทำไว้ในอดีตไม่สามารถดึงกลับมาได้ หรือแม้แต่บุญใหม่ ไม่สามารถส่งออกไปได้

    ในพุทธกาลเห็นกล่าวไว้แค่ตอนพระเจ้าพิมพิสาร กรวดน้ำ ให้เปรตที่เป็นญาติ
    ดังนั้น หากยังไม่พร้อมทั้งสามข้อที่กล่าวมา การกรวดน้ำจึงให้ผลที่มั่นใจแน่นอนที่สุดครับ

    วิธีที่กล่าวมาผมไม่แน่ใจว่าในพระไตรปิฏกมีกล่าวไว้จริงหรือไม่ แต่เป็นวิธีการที่ต้องอาศัยพลังสมาธิแน่วแน่ระดับหนึ่งถึงจะทำได้ครับ ส่วนมากพระอริยะท่านจะใช้วิธีนี้ครับ
    ทั้งนี้อยู่ที่พื้นฐานสมาธิจิตของแต่ละท่านด้วยครับ

    แต่การกรวดน้ำนั้นได้แน่นอนถึงแน่นอน ครับ สาธุ
     
  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ที่สุดแห่ง กายคตานุสติคือ อสุภะกรรมฐาน ที่สุดแห่งอสุภะกรรมฐานคือ มรณานุสติ ที่สุดแห่งมรณานุสติ คือกองรูปดับไป เมื่อรูปดับไป ทุกลมหายใจเข้าออกคือจิตทรงอารมณ์มรณานุสติได้แล้ว กิเลสอย่างหยาบและปานกลาง ย่อมดับลงไปหมดไม่เหลือครับ สาธุ
     
  13. wati

    wati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +190
    สวัสดีค่ะ ขออนุญาตถามค่ะ คือดิฉันมีน้องสาวที่ต่อจากดิฉันเลย เขาเสียชีวิตตั้งแต่อายุได้ 7 วัน เป็นบาดทะยัก ตอนนี้ถ้ามีชีวิตอยู่ก็อายุ 53 ปี ครอบครัวเราก็ลืมๆไปแล้ว แต่เมื่อใกล้ๆวันแม่ปีที่แล้วดิฉันฝันเห็นเด็กเล็กๆเพิ่งเกิดอยู่กับแม่ของดิฉัน ในฝันนั้นเด็กนั้นคือน้องของดิฉัน เขาไม่มีอะไรกินเลย แม่ใช้ให้ดิฉันไปหาอะไรมาให้น้องกิน พอตื่นขึ้นมาก็โทร.ไปถามแม่ว่าเคยทำบุญไปให้น้องบ้างมั้ย แม่บอกไม่เคย แม่ลืม ดิฉันก็ไปทำบุญถวายสังฆทานไปให้แล้วแต่ไม่ทราบว่าเขาจะได้รับรึเปล่าน่ะค่ะ
     
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ========

    เป็นความจริงทุกประการครับ น้องสาวของคุณยังเป็นเด็กสาวผู้น่ารัก โตขึ้นไม่มากนิดหน่อย 53ปีของเรา เทียบกับเวลาของเขาไม่ได้เนิ่นนานอะไรครับ เวลาของเขาเดินช้ากว่าของเรามากครับ
    เรื่องการที่เขาอดยากหิวโหยเป็นความจริงครับ แม้แต่เสื้อผ้าคือเสื้อยังไม่มีจะใส่ แต่ตอนนี้ดูเขาขาวเหลือง น่ารักสวยงาม สมบูรณ์ผ่องใสดีแล้วครับ ขอให้ทำบุญให้เขาเรื่อยๆครับ ตอนนี้น้องสาวคุณจะอยู่กับคุณแม่คุณเพราะเธอเป็นห่วงมาก สุขภาพคุณแม่ไม่ดี และก็ไม่ค่อยมีเวลาได้ทำบุญไม่มีใครพาไป
    น้องสาวคุณจะมาหาคุณช่วงวันพระ ก็อย่าลืมทำบุญให้เรื่อยๆนะครับ ดีแล้วครับ
     
  15. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    มีสหายธรรมถามว่า การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างไร ต้องทำอย่างไรจึงได้ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติธรรม แล้วการข่มใจไม่ทำบาบ การทำทาน การรักษาศีลเป็นการปฏิบัติธรรมหรือไม่
    กระผมจึงได้อธิบายว่า การปฏิบัติธรรม หากอธิบายตามเจตนาของพระพุทธเจ้าที่ท่านสอนไว้นั้น หมายความว่า เป็นการปฏิบัติที่มุ่งเน้นการเข้าไปชำระจิต เป็นการฝึกอบรมจิต หรือเป็นการปฏฺิบัติที่มุ่งสู่การสร้างปัญญาให้เกิดแก่จิต เพื่อความดีงาม เพื่อความสะอาดบริสุทธ์ เพื่อหลุดพ้นทุกข์
    ทั้งนี้พระพุทธองค์ได้กล่าวไว้โดยสรุปแล้วคือ
    1 การไม่กระทำปาบละเว้นปาบ อาศัยการข่มจิต หรือการที่จิตมีปัญญารู้ทันจึงไม่กระทำปาบ อันเป็นการอบรมจิตประการหนึ่ง เป็นการชำระจิตไม่ให้ดำสกปรกเศร้าหมอง
    2 การทำความดีหรือการสร้างบุญกุศล อาศัยการฝึกให้จิตเลือกแต่ที่จะทำความดี สร้างบุญสร้างกุศล เป็นการชำระจิตให้ขาวสะอาดสุขสว่าง
    3 การปฏิบัติเพื่อการชำระจิตให้บริสุทธิ์ ในการปฏิบัติส่วนนี้ มุ่งเน้นเพื่อการชำระจิตให้บริสุทธิ์ เพื่อความพ้นทุกข์โดยแท้จริง เป็นปรมัตถ์ธรรม ของการปฏิบัติธรรมเพื่อการละดีละชั่ว ละรูปนาม ละความคิดปรุงแต่ง ละกิเลสตัณหาราคะทั้งหลาย เป็นการปฏิบัติเพื่อคืนความสะอาดบริสุทธิ์ให้แก่จิต ให้กลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ประภัสสรดังเดิมเป็นนิรันดร์ หลุดพ้นทุกข์ได้ในที่สุดครับ
    ดังนั้นที่ถามมา จึงตอบไปว่าแล้วสิ่งที่ถามมานั้นให้ผลเกี่ยวเนื่องต่อการฝึกอบรมจิตหรือไม่ หากใช่ก็ถือว่า ท่านกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ แต่หากการกระทำใดๆกระทำไปอย่างนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อการชำระจิตฝึกจิตอบรมจิต อย่างนั้นก็ไม่จัดว่าเป็นการปฏิบัติธรรม เพราะไม่ได้มีส่วนพัตนาจิตให้ดีงามบริสุทธิ์นั่นเองครับ สาธุ
     
  16. wati

    wati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +190
    ขอบคุณมากค่ะสำหรับคำตอบ มีเรื่องถามเยอะเลยค่ะ เกรงใจแต่ก็สงสัยค่ะ คือเมื่อประมาณวันที่20หรือ21มิ.ย.ที่ผ่านมาดิฉันฝันว่าไปไหนไม่ทราบ มีแต่ทุ่งนาโล่งไปหมด ดิฉันจะต้องเดินผ่านเข้าไปที่มีประตูกั้นอยู่ เป็นประตูเหล็กเก่าสีน้ำตาลต่อๆกันไปมีเป็น 10 บานเลย แต่ไม่เห็นรั้วนะคะ บานตรงหน้าดิฉันเปิดอยู่ จึงเข้าไปได้ ในนั้นเหมือนจะมีพิธีอะไรซักอย่าง ดิฉันจะเข้าไปที่นั่น แปลกอีกอย่างที่เวลาจะไปไหน ไปได้เร็วมากเหมือนยังกะวิ่งแน่ะ แต่ก็ไม่ได้วิ่ง ไม่เหนื่อย พอไปถึงที่ เขาเลิกกันแล้ว ก็จะกลับ ดิฉันก็ปรู๊ดไปที่ประตู มันปิดค่ะออกไม่ได้ ปิดทุกบานเลย พอดีมีคนมาเรียกบอกว่าให้ตามมา ให้ช่วยเขาด้วยเขาแย่มากๆ เขาจะแสดงให้ดู คนที่มาเรียกเป็นผู้ชายมีความรู้สึกว่าสูงอายุนะคะ ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะเห็นเขาเป็นภาพขาว-ดำ ผอม รูปร่างสูงใหญ่ พอตามมาถึงที่หนึ่ง เขามีอาการเหมือนคนกำลังจะตาย ดิฉันก็มองเฉย เขาก็บอกว่าเห็นมั้ยเขาลำบากมาก ดิฉันเห็นเขาพูดได้ ก็พูดไปว่า เอ้า ! ไม่ตายแล้วนี่งั้นไปหละ เขาก็พูดว่าไม่รู้หละมาเห็นความเป็นความตายของเขาแล้วก็ต้องช่วยเขา ได้ยินที่เขาพูด แล้วดิฉันก็ปรู๊ดเข้าไปที่โรงพิธีอีก เขาเลิกแล้วก็กลับซิ ปรู๊ดไปที่ประตูทางออก เห็นเด็ก2 คนกำลังอุ้มกันวิ่งล้มลุกคลุกคลานไปที่ประตู ดิฉันสงสารก็จะช่วย แต่ก็ช่วยไม่ได้ อุ้มไม่ติดยังไงบอกไม่ถูก เหมือนทุกคนกำลังจะไปที่ประตู ไปเดินเลาะๆกันอยู่หลายคน แต่ก็ออกไม่ได้ ดิฉันพยายามจะเอาเด็กนั้นมาด้วยแต่ไม่สำเร็จ ตัวดิฉันก็ออกห่างเด็กออกมาทุกที่เหมือนถุกดูดให้มาที่ประตู ดิฉันก็กังวลนะจะออกได้มั้ยเนี่ย เมื่อกี้มาทีหนึ่งแล้วออกไม่ได้ แต่พอดิฉันมาถึงประตู บานตรงหน้าดิฉันมีกุญแจค่ะ เมื่อกี้ไม่เห็นมี เราออกได้ ก็ตื่นค่ะ ดิฉันไม่ทราบว่ามีคนมาขอความช่วยเหลืองรึเปล่าแต่ก็ไปถวายสังฆทานแล้วก็นึกภาพในฝันนั้น ว่าอุทิศบุญกุศลให้เขา ให้เขาพ้นทุกข์ มีจริงหรือไม่จริงดิฉันก็ทำบุญเอาไว้ก่อนค่ะ เรื่องจริงมั้ยคะ ฝันเป็นเรื่องเลยจำได้หมด
     
  17. ณิช

    ณิช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,391
    พึ่งทราบว่าต้องเข้าเวปด้วย .org พยายามเข้ามาหลายวันเข้าไม่ได้เลย มีคำถามถามคุณ tjs ค่ะ ทำไมการกรวดน้ำลงพื้นดินจึงถึงคนที่เสียชีวิตไปแล้วคะ จำเป็นไหมคะต้องฝากบอกพระแม่ธรณีส่งผลบุญนี้ด้วย ขอบคุณมากค่ะ
     
  18. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ===========

    เป็นกระแสจิตที่หลุดออกไปข้างนอกเป็นภพภูมิแห่งหนึ่งครับ สถานที่ดังกล่าว ไม่ใช่นรกหรือสวรรค์ แต่อยู่ในเขตภพภูมิที่ใกล้ชิดกับ มนุษย์มากครับ เป็นสถานที่กักกัน แห่งหนึ่งครับ คนที่อยู่ที่นั่นเป็นบริวาร ครับ เพราะกรรมเก่าที่เคยทำกรรมไม่ดีไว้ ที่เกี่ยวกับการกักขังหน่วงเหนี่ยวอิสระภาพผู้อื่น จึงมารับกรรมในส่วนนี้ แต่เป็นกรรมเล็กน้อย ครับ ไม่นานก็จะถูกปลดปล่อยเป็นอิสระภาพครับ

    ส่วนการระลึกภาพแล้วอุทิศบุญไปนั้นทำได้ถูกต้องแล้วครับ ดีแล้วและเขาก็ได้รับแล้วครับ สุขสบายดีขึ้นแต่ยังไม่หมดกรรมครับ แต่ก็ใกล้แล้ว ขอให้ช่วยเขาอีกครั้งวันอาสาฬหะนี้ให้ทำบุญให้เขาอีกรอบก็จะหลุดพ้นครับ สาธุครับ
     
  19. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ========

    การอุทิศด้วยการกรวดน้ำนั้น เมื่อเราหยาดน้ำลงสู่พื้นดิน ต้อง กล่าวขอพระแม่ธรณีรับบุญและฝากบุญไปกับท่านครับ ตรงนี้จำเป็นมากครับต้องทำอย่างนี้ครับ

    เพราะในเขตนรกภูมิ นั้นอยู่เบื้องล่าง อันเป็นดินแดนที่เขตใต้ภิภพ ซึ่งพระแมธรณีจะเป็นผู้ดูแลอยู่ด้วย และสามารถท่องไปได้ทั่วทั้งปัฐพีครับ เช่นนี้จึงสามารถนำบุญฝากพระแม่ธรณีได้ครับ

    แต่นรกภูมิขุม18ที่ลึกที่สุดเพราะอนันตริยกรรม นั้น ไม่สามารถเข้าไปถึงได้ครับ เป็นเขตหวงห้ามครับ และจิตที่ตกนรกขุมนี้ทุกขทรมานมากไม่สามารถหยุดการทรมานได้ จิตเหล่านั้นจะไม่พร้อมที่จะอนุโมทนารับบุญได้ครับ

     
  20. wati

    wati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +190
    ขอบคุณค่ะ แล้วจะไปทำให้อีกค่ะ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะคะ ดิฉันเป็นบ่อยค่ะ วันที่24 มิ.ย.ก็ฝันแต่คนละที่กัน แต่เวลาเดียวกันคือ 04.07น. เหมือนไปอยู่ที่วัดป่าที่ไหนซักแห่ง คล้ายๆกับที่ไปครั้งที่แล้วทีมีอะไรเปื้อนเท้าน่ะค่ะ ไม่รู้ว่าไปทำไม เดินวนไปวนมา ไม่รู้จะดูอะไร ก็พอดีรู้สึกว่ามีคนต้องการความช่วยเหลือ ก็เหมือนเดิมค่ะ เดินหรือวิ่งก็ไม่ทราบไปได้เร็วมาก เหมือนขึ้นเนินแล้วก็ลง แล้วก็วกกลับเกือบเป็นวงกลม ไกลพอควร ไปเห็นคนกำลังช่วยกันหามคนเจ็บอยู่ ก็ไปช่วยหาม มีสายระโยงระยางเต็มตัว พอวางลง คนไข้ลงมายืนเอง แล้วก็ยิ้มให้ดิฉัน แล้วก็ไปนอนอีกที่หนึ่งคล้ายเตียง ดูสภาพแล้วเหมือนคนไข้ ICUน่ะค่ะ มีเครื่องพันธนาการเต็มอัตราศึก ดูร่อแร่ แล้วเมื่อกี้ยังยิ้มให้เราเลย ดิฉันถามไปว่าต้องการอะไรอีกมั้ย เขาก็พยายามจะตอบนะคะ แต่ฟังไม่รู้เรื่อง เหมือนพูดโทรศัพท์กับคนที่อยู่ในที่ไม่มีสัญญาณน่ะ ได้ยินเป็นคำๆประติดประต่อไม่ได้เลย ว่าต้องการอะไร เขาก็พยายามจะบอก แต่ไม่เป็นผลค่ะ ดิฉันฟังไม่รู้เรื่องเลย แต่ดิฉันกลับ ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงกลับ พูดกันก็ยังไม่รู้เรื่องเลย แล้วก็ตื่น คนเจ็บที่เห็นในฝัน ดิฉันจำรอยยิ้มนั้นได้ แต่คิดไม่ออก จนเย็นของวันรุ่งขึ้น ก็นึกได้ ว่าน่าจะเป็นแฟนเก่าสมัยสาวๆเคยจีบๆกัน เขาเสียชีวิตไปเกือบ 20 ปีได้แล้ว ด้วยโรคเอดส์ บุญทานก็คงไม่ค่อยได้ทำ ก็คงจะลำบาก จะสื่อสารอะไรก็บอกไม่ได้ ดิฉันก็ไปถวายสังฆทานให้ครบชุด(แบบหลวงพ่อฤาษีฯ )ใช่รึเขารึเปล่าก็ไม่ทราบแต่ก็บอกชื่อ-นามสกุลเขาไปตอนอุทิศบุญ เขาได้รับหรือเปล่าก็ไม่ทราบอีกเหมือนกัน ช่วยดูให้หน่อยนะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...