ประวัติ และอภินิหารย์หลวงปู่ตี๋ ฉันทธัมโม สุพรรณบุรี ศิษย์ 3 ต.

จากนั้นก็ถึงเวลาของผู้หญิง คนไหนที่มีลูกยากก็เข้ามากินไข่ต้ม รับประกันว่าได้ลูกทุกคน ปีนี้มีกินไปห้าฟอง ปีที่แล้วคนที่กินไข่มีลูกทุกคน


จากนั้นผู้ชายใจกล้าก็เข้ามาฝังตะกรุดทองคำ ตะกรุดชุดนี้ทำไว้เมื่อครั้งหลวงปู่ยังอยู่ และได้นำเข้าให้หลวงพ่อคูณอธิษฐานจิตอีกเป็นเวลานาน เพิ่งได้รับคืนมาเมื่อเร็วๆ นี้ ฝั่งแบบตกเหมือนโบราณ และตะกรุดดอกใหญ่มากทีเดียว


เมื่อฝั่งเสร็จ ก็ทำการกำกับตามสายวิชา ปีนี้นำออกมาให้ฝังเพียงห้าดอกเท่านั้น


จากนั้นก็ทำการแจกสีผึ้งทิ้งทวน ใครจะเอาให้เอาตลับมาใส่เอง


นอกจากสีผึ้ง พระเนื้อดินแล้ว ก็ยังแจกลูกแก้วมณีรัตนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่อ.ตู่ได้รับมาจากศิษย์หลวงพ่อท่านหนึ่ง เรียกว่าใครมาในพิธีได้รับหมดไม่มีหวง ส่วนผมโชคดีได้ลูกที่กระโดดออกจากบาตรที่ใส่ เป็นเรื่องน่าแปลกมากทีเดียวที่ลูกแก้วของหลวงพ่อกระโดดออกมา เห็นว่าหลายลูกทีเดียวเก็บกันสนุก ใครเก็บได้รู้ก็กำไว้แน่นไม่ปล่อย คนไม่รู้ก็ส่งคืนนึกว่ามันหล่นมาจากไหนไม่รู้

 

ภาพชุดสุดท้าย ถ่ายไว้ช่วงค่ำ อยู่ดีๆ ก็มีนิมิตเกี่ยวกับหลวงปู่ ศิษย์จึงได้ไปจุดธูปบูชาจำนวน ๑๖ ดอก ปรากฏว่าพอธูปจะหมดก็จะไปต่อธูป ได้ภาพอย่างที่เห็น ธูปที่หมดดอกแล้ว ไม่มีดอกไหนหักลงมาเลย ยังคงตั้งอยู่กับก้าน บานออกมาอย่างสวยงามมาก ภาพนี้ถ่ายจากมือถือ


ภาพนี้ถ่ายด้วยกล้องดิจิตอล ธูปทางขวามือเป็นธูปที่ต่อใหม่จากธูปทางซ้ายมือที่หมดดอก


ปรากฏว่าสักพักธูปทางซ้ายมือก็หล่นลง แต่ธูปทางขวามือที่ต่อใหม่ก็กำลังเกิดลักษณะแบบเดียวกันกับธูปบูชาชุดแรก


ภาพตอนธูปชุดใหม่กำลังจะหมดดอก

 

ตะกรุดขุนพล ๔ ทัพ ขนาด ๗ นิ้ว จารเต็มทั้งสองด้าน ถักเชือกลายจระเข้ขบฟัน พอกผงอิธิเจ ผงปถมัง ผงจักรพรรดิ์ของหลวงปู่ตี๋ แจกแก่ผู้ที่ช่วยงาน และมีการทดสอบความขลังกันแล้วเป็นอันว่าผ่าน

 

ตะกรุดขุนพลสี่ทัพ ยาว ๗ นิ้ว ที่แจก staff ช่วงค่ำ นำไปลงทองมาใหม่


ด้านใน

 

สวัสดีตะวัน

วันงานพี่ไม่ได้ เพราะติดงานด่วนทั้งเสาร์อาทิตย์ เห้นภาพพิธีแล้วขลังมากเลย ขอบใจตะวันที่เอารูปมาลงให้ดูนะ

 

ป๋าตะวันของดีเยอะจัง แบ่งน้องๆบ้างสิครับ แฮ่ๆ

 

ตะกรุดปราบตะลัยจักร หรือ นารายณ์ปราบนนทก ตะกรุดชุดนี้ทำขึ้นใหม่ เป็นตะกรุดชุด ๕ ดอกเรียงลำดับห้ามสลับกัน ลงด้วยยันต์นารายณ์ปราบนนทก เป็นตำราในสายของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ดีทางคงกระพันแคล้วคลาด ปราบศัตรู จัดสร้างจำนวน ๕๐ ชุด

 

ไม่เป็นไรคับพี่ ว่างๆ ถ้าพี่จะไปหาอาจารย์เดี๋ยวผมพาไปก็ได้ อาทิตย์หน้าค่อยแวะมาเอาของดีที่ผมก็ได้คับ

 

แหม...น้องแชมป์ก็ว่าไปนั่น อย่าลืมแวะมาเอานี่ด้วย ฝากไว้นานพี่จะใช้หมดก่อนนะ รุ่นนี้ผสมของดีเยอะนะ แอบไปยืนดูตอนอาจารย์เอามาใส่พอดี มีผงพรายกุมารหลวงปู่ทิม(อันนี้มีคนเคยเอาไปลองใช้มาแล้ว เดี๋ยวเล่าหลังไมค์) ชานหมากหลวงปู่ ผงวิเศษทางเสน่ห์ น้ำมันเสน่ห์หลวงพ่อกวยแบบเน้นๆ

 

ขอบใจมากตะวัน

 

ขออนุญาตสอบถามครับ ... ที่บ้านมีสมเด็จแหวกม่านใหญ่ โรยแร่ ข้างหลังปั๊มหมึกครับ
พุทธคุณดี เด่น ไปทางด้านไหนครับ...

ปล. รูปสมเด็จแหวกม่านใหญ่ ตามลิ้งค์นี้เลยครับ
หลวงปู่ตี๋ วัดเขาเขียว

 

เต็มๆเลย ปู่เมตตามาก เดี๋ยวผมเข้าไปเอานะครับ ขอบคุณมากครับพี่

 

พุทธคุณครบเครื่องคับ เวลาหลวงปู่เสกจะลงไว้ให้หมดทุกอย่าง ครอบคลุมหมด เวลาเราใช้ก็อธิษฐานเอาครับ

สมเด็จนี้รับกับมือหลวงปู่มาตอนไหนคับ สมเด็จนี้คาดว่าน่าจะเป็ฯศิษย์ผู้หนึ่งที่สุพรรณทำถวายไว้ให้

 

ตอนเข้าไปเอาให้โดนดุด้วยว่าเอาอะไรมาใส่ ทำไมไม่หาดีๆ มา แต่ก็ตักให้

 

คราวก่อนค้างเรื่องไว้

มาต่อกันคับ เรื่องหลวงปู่ก่อนมรณะยังมีต่ออีกนิด

ในช่วงท้ายของสังขารหลวงปู่ ที่บ้านอาจารย์ปฐวี ซึ่งในขณะนั้นมีศิษย์อยู่ด้วยกันหลายท่าน หลวงปู่ท่านได้เรียกอาจารย์ตู่เข้ามา และได้กล่าวว่า “กูขอมึงอย่างได้ไหม” อาจารย์ปฐวีบอก “ได้ซิครับหลวงพ่อ ผมหาให้หลวงพ่อได้ทุกอย่าง ยกเว้น ดาว กับเดือน” หลวงปู่ตี๋ท่านจึงกล่าวตอบกลับไปว่า “กูขอมึงอย่าได้นิมนต์กูไว้ เพราะทุกวันนี้กูเจ็บปวดพอแล้ว ขอให้กูไปสบายบ้าง” ศิษย์ทุกคนที่อยู่ด้วยในวันนั้นเมื่อได้ยินคำกล่าวของหลวงปู่แล้วต่างก็พากันร้องไห้

ล่วงมาจนถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2553 หลวงปู่ตี๋ได้เรียกอาจารย์ปฐวีให้เข้าพบและว่า วันที่ 7 พฤษภาคม 2553 นี้..กูว่าจะตายแล้วนะ อาจารย์ปฐวีจึงแย้งขึ้นมาว่า ..ตายไม่ได้หรอกหลวงพ่อ เพราะวันที่ 9 พฤษภาคม 2553 นี้ ผมจัดงานไหว้ครู หลวงพ่อจะต้องเป็นประธานนะครับ หลวงปู่พยักหน้าเป็นการรับรู้ แล้วบอกกับอาจารย์ปฐวีอีกครั้งว่า งั้นวันจันทร์ ที่ 17 พฤษภาคม 2553 กูตายละกัน เวลา 10 โมงโน้นแหละ กูจะตายที่บ้านนี้แหละจะไม่ไปไหน ศิษย์หลายคนที่นั่งอยู่ได้แต่มองหน้ากันด้วยความไม่เชื่อว่าหลวงปู่จะตายวันนั้นจริงๆ ศิษย์ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ได้ถามว่าเมื่อหลวงปู่ตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหน ท่านตอบว่า กูตายแล้วก็ไม่ไปไหนจะอยู่ที่ลมหายใจของมึงนี่แหละไอ้ตู่ บรรดาศิษย์จึงถามอีกว่าแล้วเวลามีงานสำคัญหลวงปู่จะมาไหม ท่านก็ตอบว่า มาสิวะ ไม่มาได้ไง

 

ก่อนจะไปต่อเรื่องการมรณะภาพของหลวงปู่ วันนี้มาว่ากันที่เรื่องหนุมานที่หลวงปู่ตี๋ ฉันทธัมโม ท่านสร้างไว้

เรื่องหนุมานที่หลวงปู่ตี๋ท่านสร้าง จริงๆ แล้วมีแค่ ๒ พิมพ์ คือ พิมพ์หักศรห้าเหลี่ยมขนาดใหญ่ กับพิมพ์ขี่สิงห์สี่เหลี่ยม เป็นเนื้อดินทั้งสองเนื้อ ผมจะว่ากันที่หนุมานหักศรห้าเหลี่ยมก่อน


ด้านหลังขอยืมจากร้านป้ายแดงมาคับ

หนุมานหักศรจะมีแบบนี้เท่านั้นนะคับ ด่านล่างจะฝังตะกรุด ฝังตะกรุดดอกเดียว มี ๕๐๐ องค์ ฝังตะกรด ๓ ดอก แจกกรรมการ ๑๐๐ องค์ โดยแบบฝังตะกรุด ๓ ดอก ได้นำไปแจกทหารภาคใต้ด้วยส่วนนึง ครั้งแรกที่ออกเป็นที่ระลึกแจกในงานไหว้ครู เมื่อปี ๒๕๕๑ รุ่นนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่มาก ด้านหลังจะลงยันต์ผูกของหลวงปู่ไว้ วิชาหนุมานของหลวงปู่ตี๋เข้มขลังมากทีเดียว เนื่องจากท่านได้ตำรามาตั้งแต่หลวงปู่แขก เรียนวิชาสักและวิชาปลุกเสกมาตั้งแต่ครั้งหลวงปู่แขกจนหมดไส้หมดพุง จึงได้ไปต่อวิชาหนุมานอีกครั้งกับหลวงพ่อกวย นับว่าเป็นเอกอุเจนจบในวิชาหนุมานอีกวิชาหนึ่งเลยทีเดียว แม้จะมีขนาดใหญ่ก็อย่ามองข้ามนะคับ ไปสร้างชื่อกับทหารทางใต้มาแล้ว

พุทธคุณ ไปทางคงกระพัน แคล้วคลาด ต้านคมอาวุธต่างๆ รับราชการ คุมกองทัพ เปรียบดังทหารเอกของพระราม

ข้อสังเกต ให้เลือกหาที่พิมพ์คมชัดลึก ยังไม่พบปลอมออกมา และระวังนิยายหนุมานอีกรุ่น ที่สร้างออกมา แล้วยัดว่าหลวงปู่ตี๋สร้างให้หลวงพ่อกวย ที่จริงแล้วไม่มี ไม่ใช่ เดี๋ยวจะมาเล่าว่ารุ่นนั้นเป็นมายังไง

 

ลืมเล่าเรื่องประสบการณ์ มาเล่าอีกสักนิด
ตะกรุดชุดนี้ มีที่มาว่าได้มีศิษย์ท่านหนึ่งแขวนตะกรุดชุด ๑๖ ดอกของหลวงพ่อชื่อดังด้านตะกรุดแถบอ่างทองมา อาจารย์ตู่เห็นจึงได้บอกว่า ในตำราสายหลวงปู่ตี๋ที่ได้เรียนมาก็มีวิชาทำตะกรุดชุดเช่นกัน มีความเข้มขลังไม่แพ้ใครทีเดียว แต่ทำยาก เสกยาก ไม่นานนักเพื่อทำวิชาให้ศิษย์ได้รู้ได้เห็น อาจารย์ตู่ได้ไปเปิดตำรารื้อค้นดู และได้เลือกเอาตำราของหลวงปู่ศุข ในวิชาตะกรุดปราบตะไลจักร หรือเรียกอีกชื่อว่า ตะกรุดนารายณ์ปราบนนทก วิชานี้ตกทอดมาแต่ครั้งหลวงปู่อิ่มท่านไปแลกวิชากับหลวงปู่ศุข ในตำราเก่าๆ วิชาใดได้มาจากอาจารย์ท่านใดก็ได้บันทึกควบคู่เอาไว้ อาจารย์ท่านเห็นว่าตะกรุดชุดนี้ไม่มีคนสร้างให้ปรากฏมาก่อน และเป็นวิชาเก่าแก่ ทำได้ยาก จึงได้ลองทำสักครั้ง เพื่อความประจักษ์ในวิชาของครูบาอาจารย์ในสาย

เมื่อเริ่มสร้างจึงได้ตัดแผ่ทองแดงที่เหลือจากการทำตะกรุดขุนพลสี่ทัพมา จากนั้นลงจารดัวยพระยันต์ตามตำรา ลงด้วยหัวใจสำคัญ แต่ละดอกจะลงด้วยหัวใจนี้เป็นตากลสลับกันไปตามลำดับ จากนั้นล้อมด้วยธาตุ และอักขระสำคัญด้านคงกระพันจนครบตามตำรา จากนั้นนำมาเสกจนตะกรุดได้ที่ บังเกิดนิมิต หรือขยับดุจมีชีวิต จึงนำมาทำการร้อยลงเชือกร่ม และทำการปลุกเสกเรื่อยมา และนำออกแจกจ่ายบูชาทำบุญเปิดผ้าป่าไปเมื่อเร็วๆ นี้ ด้วยความยากของตะกรุดในการลงจาร และเสกกำกับจึงทำออกมาได้เพียง ๕๐ ชุดพอดี

ได้มีผู้ถามถึงลำดับของตะกรุดว่าสลับได้หรือไม่ ตะกรุดนี้เมื่อจะร้อยเชือกให้ร้อยตามลำดับจะดีที่สุด จะสลับลำดับก็ได้ เพราะได้ลงคาถาปั่นธาตุแล้วสัลบก็ใช้ได้ แต่ตามลำดับจะให้พุทธคุณครบถ้วนสูงสุดตามตำรา

เรื่องเล่าเอาสนุกเกี่ยวกับตะกรุดคับ วันแรกที่มีคนได้รับตะกรุดไปก็เกิดประสบการณ์กันเลยทีเดียว คือ มีพี่ท่านนึงทอดหัวหมูที่เหลือจากงานไหว้ครู ตั้งเตาบนกระทะร้อนๆ น้ำมันหมูเดือดพล่านเลย ด้วยความที่ตั้งกระทะไม่พอดี และความลื่นของน้ำมันทำให้กระทะหกเทน้ำมันลงมาราดที่เท้าและขาของคนทอดอย่างเต็ม น้ำมันราดมาค่อนกระทะร้อนมาก จึงไปล้างน้ำเอาความมันออก และดับความร้อน ปรากฏว่ามองไปที่เท้าและขาไม่เป้นอะไรเลย ไม่พอง ไม่แดง อาการร้อนก็หายไป จนตอนนี้ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น เป็นปกติเหมือนไม่มีอะไร นับว่าแปลกมาก

อีกเรื่องมีพี่ท่านหนึ่งเล่าให้ฟัง สืบเนื่องมาจากตอนทำตะกรุดชุดนี้มีลูกศิษย์ผู้หวังดีมาช่วยม้วนตะกรุด แต่ด้วยความไม่รู้ว่าตะกรุดมีลำดับ และห้ามปนกัน เขาม้วนไปม้วนมา ปรากฏว่าใส้่ผิดถุง งานเลยเข้าอาจารย์ตู่ ต้องมาหาตะกรุดที่ปนกัน ศิษย์ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็สงสัยว่าจะหายังไงเจอในเมื่อตะกรุดก็ม้วนไปหมดแล้ว จะคลี่ดูทีละดอกก็เยอะมาก อาจารย์ได้ให้เทตะกรุดทีละถุง และนับดู ถุงไหนเท่ากันพอดีให้แยกออก จนเจออยู่ ๒ ถุง ถุงนึงเกิน ถุงนึงขาด คราวนี้อาจารย์เลยให้เทตะกรุดถุงที่เกินใส่พาน อาจารย์ถือพานในมือ คนไปคนมาตะกรุดกระเด็นออกมาจากพาน ๓ ดอก พอดี ซึ่งตรงกับถุงที่ขาดไป ๓ ดอกพอดี เป็นอันว่าอาจารย์ตู่มีวิธีลัดในการหาตะกรุด จากนั้นก็นำตะกรุดทั้งหมดมาเสกอีกครั้ง คราวนี้อัดเข้าหมดทุกดอก และเข้าพิธีบวงสรวงไหว้ครูอีกครั้งหนึ่งจึงได้ทำการแจกจ่ายออกไป

ก็อ่านเอาสนุกนะคับ อย่าอะไรมาก คิดซะว่าเป็นนิยาย เพลินๆ แล้วกันคับ

 

มาต่อที่หนุมานเนื้อดินต่อ


ภาพยืมมาจาก พี่ป้ายแดง ขอบคุณสำหรับภาพคับ

หนุมานพิมพ์สี่เหลี่ยม หรือหนุมานขี่สิงห์ หนุมานพิมพ์นี้สร้างพร้อมหนุมานห้าเหลี่ยมหักศร คือสร้างในปี ๒๕๕๑ ออกให้บูชางานไหว้ครูเช่นกัน เพียงแต่ด้านหลังจะแตกต่างกันตรงที่พิมพ์สี่เหลี่ยม ด้านหลังเขียน ลป.ตี๋ ๘๔ ส่วนพิมพ์ห้าเหลี่ยมเขียนว่า ล.พ.ตี๋ สุพรรณ ไหว้ครู ๕๑ แต่ทั้งสองสร้างและออกปีเดียวกัน ข้างใต้ฝังตะกรุด ๑ ดอก ๕๐๐ องค์ และ ๓ ดอก ๑๐๐ องค์

หลวงปู่ตี๋ท่านสร้างหนุมานออกมารุ่นเดียว และมี ๒ พิมพ์นี้เท่านั้น เนื้อดินอย่างเดียวไม่มีเนื้ออื่น หนุมานนี้ประสบการณ์ดีมากในเรื่องยิงไม่ออก ออกไม่เข้า ออกไม่โดน เน้นไปทางบู้คงกระพันเป็นหลัก ถ้าเหนียวต้องหนุมานรุ่นนี้ ทีนี้เรื่องหนุมานก็มีนิยายดราม่าอยู่อย่าง คือ มีหนุมานเนื้อดินอีกแบบที่หลายๆ คนบอกว่าเป็นของหลวงปู่ตี๋บ้าง หลวงพ่อกวยบ้าง หลวงปู่ตี๋ทำให้หลวงพ่อกวยบ้าง ขอบอกเลยว่าถ้าไปเห็นหนุมานพิมพ์อื่นนอกจากนี้หลวงปู่ตี๋ท่านไม่ได้สร้าง แต่เสกให้ เรื่องมีอยู่ว่า

ได้มีศิษย์ทำหนุมานหักศรมาให้หลวงปู่เสก หลวงปู่ก็เมตตาเสกให้เมื่อเสกเสร็จศิษย์คณะนั้นก็ยกเอากลับไป แบ่งไว้บางส่วน ถามว่าบล๊อกแม่พิมพ์ไม่รู้ จำนวนไม่ทราบ เพราะเขาเอามาให้ตอนเป็นหนุมานแล้ว ไม่ได้มีการวางแผนไว้ก่อน เรียกว่าทำมาเลยแล้วมาขอให้เสก ดังนั้น หลวงปู่เสกหรือไม่ เสกแน่นอนในลังที่เขาเอามาให้ แต่ไม่รู้ว่าจำนวนเท่าไหร่ มีที่ถวายให้กับหลวงปู่ไว้ไม่มาก หนุมานที่มีพิมพ์ทรงนอกเหนือจากนี้จึงไม่แนะนำให้เล่นหา แต่ถ้ามั่นใจก็ไม่ว่ากัน เอามาบอกไว้เป็นภูมิคุ้มกัน เพราะนิยายเรื่องหนุมานของหลวงปู่ตี๋ซับซ้อนเหลือเกิน ส่วนเขาจะตีว่าเป็นของหลวงพ่อกวยก็แล้วแต่ข้อมูล แต่แง่มุมของหลวงปู่ตี๋ก็อย่างที่ผมได้เรียนให้ทราบไป

 

ในแผ่นจารตะกรุดขุนพลสี่ทัพ ที่เป็นรูปยันต์สี่เหลี่ยมผมรู้เเต่ลงตรีนิสิงเห อีกอันคืออะไรอ่ะครับพี่ตะวัน

 

ถามกันแบบนี้เลย เอาเท่าที่จำได้นะคับ บอกหมดจะไม่ดีเอา และก็จำไม่ได้ก็มี



เอาจากขวามือก่อนนะคับ
ด้านบนเป็นยันต์ครูหลวงพ่อกวย ยันต์นี้เราพบเห็นได้ทั่วไปในวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวย แต่ตัวยันต์จริงๆ แล้วในตำรามีเคล็ดในการลงที่หลายแบบ และแตกต่าง ขึ้นกับว่าจะใช้ในทางใด ในวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยเองก็จะไม่เหมือนกันซะทีเดียวอันนี้บอกได้คร่าวๆ เท่านี้

ถัดลงมาเป็นยันต์ตรีนิสิงเห ยันต์นี้เป็นยันต์หลัก พบเห็นได้ทั่วไป ยันต์นี้ครบเครื่องทั้งคงกระพัน เมตตา กันสิงไม่ดีภูติผีพราย ตัวเลขที่ใช้ลงจะมีสูตรกำกับแต่ละตัวไม่เหมือนกัน

ถัดลงมาเป็น ยันต์มหาอุจ อุดธัง อัดโธ ลงไว้กันปืน กันอาวุธ เด่นทางคงกระพัน คร่าวๆ คับ

วงกลมตรงกลางเป็นยันต์มงกุฏพระพุทธเจ้าคับ ยันต์นี้ก็เป็นยันต์สำคัญพบได้หลังเหรียญหลวงพ่อกวย และวัตถุมงคลอื่นๆ พุทธคุณครบเครื่อง ทางคงกระพัร แคล้วคลาด เป็นเมตตา ยันต์นี้ลงด้วยกลดอกบัว คร่าวๆเช่นกัน

ด้านล่างของยันต์ครูหลวงพ่อกวย เป็นยันต์ครูของหลวงปู่ตี๋ ลงด้วย พุทโธ เป็นยันต์ผูก ที่หลวงปู่ท่านผูกขึ้นเอง เช่นเดียวกับยันต์หลวงพ่อกวยที่ท่านผูกขึ้นเอง หนุนด้วยแม่พระธรณี และพระรัตนตรัย

ด้านล่างยันต์มหาอุต เป็นยันต์เฑาะห์ของหลวงพ่อกวย ยันต์นี้ครบเครื่องเช่นกัน เน้นไปทางเหนียว

ส่วนมุม ที่เหลือทั้งสอง ลงด้วยยันต์ใบพัดของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองฯ ยันต์นี้เป็นยันต์ปั่น อนุโลม ปฏิโลม

นอกนั้นจะเป็นหัวใจต่างๆ ธาตุต่างๆ และนะสำคัญ ซึ่งแต่ละดอกจะลงไว้ไม่เหมือนกันในส่วนของนะ และหัวใจ แต่ยันต์หลักๆ จะเหมือนกัน ซึ่งตะกรุดดอกนี้ถือว่าครบเครื่องเน้นไปทางเหนียว ไปที่ไหนก็สามารถเอาชนะได้ทุกคน เปรียบเหมือนแม่ทัพที่คุมไพร่พลสามารถเอาชนะแก่ทัพฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งสี่ทิศ จึงได้ตั้งชื่อตะกรุดนี้ว่า ตะกรุดขุนพลสี่ทัพ ตะกรุดนี้ม้วนกลึงแล้วถักเชื่อกด้วยลายจระเข้ขบฟัน อันเป็นเคล็ดของลายถักตะกรุดให้เกิดเป็นมหาอุตคงกระพัน จากนั้นนำมาลงรักดำ ปิดทอง และคลุกด้วยผงจักรพรรดิ์ ผงปถมัง ผงอิธเจที่หลวงปู่ตี๋ท่านลบไว้ เพื่อให้เป็นทั้งคงกระพัน และเมตตาในตัว จากนั้นนำมาเสกกำกับด้วยคาถาบทสำคัญ ตามฤกษ์ยามที่กล่าวไว้ในตำรา รวมทั้งใส่กุญแจมนต์ จ่ามนต์ พญามนต์ กันคัดถอน กันเสื่อมคลาย กระทำการเสกทุกวันเช้าค่ำ อัญเชิญครูุบาอาจารย์ท่านลงมาประสิทธิด้วยบทอัญเชิญที่ครูบาอาจารย์ได้ให้ไว้ ซึ่งบางองค์ก็จะใช้บทอัญเชิญที่ต่างออกไป และปิดท้ายด้วยการนำเข้าบวงสรวงในวันไหว้ครู เพื่อให้ครูบาอาจารย์ทั้งสิ้นประสิทธิแต่วัตถุมงคลที่ทำขึ้น ตะกรุดชุดนี้ที่มือทั้งสิ้น มีจำนวนร้อยกว่าดอก จำไม่ได้แล้วว่ากี่ดอก