อาการ 28 อย่างที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเลื่อนระดับขึ้น (Ascending) หรือวิวัฒน์ขึ้น สู่ปี 2012

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 24 ธันวาคม 2009.

?
  1. ไม่มีเลยซักข้อ

    0 vote(s)
    0.0%
  2. 1 - 7 ข้อ

    0 vote(s)
    0.0%
  3. 8 - 14 ข้อ

    0 vote(s)
    0.0%
  4. 15 - 21 ข้อ

    1 vote(s)
    100.0%
  5. 22 - 28 ข้อ

    0 vote(s)
    0.0%
  1. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    เอ็งก็อย่าไปจริงจังกับข้านักเลย ข้ามันก็แค่คนแก่ๆๆ ชอบเล่าเรื่องเก่าๆๆขี้บ่นนั้นแล ถือซะว่าเป็นธรรมชาติของลุงแก่ๆๆ ก็แล้วกัน บางคนอาจจะคิดว่าข้ามันพวกอวดรู้ อันที่จริงข้านะไม่รู้อะไรอีกเยอะนักแล ข้าพูดเป็นวิทยาทานนั้นแล ไม่ต้องเชื่อก็ได้ ส่วนเรื่อง อวตารนั้นในนี้มีเยอะนักแล แต่ทว่า ปล่อยๆๆไปเถิด ในไม่ช้ามันจะแพ้ภัยตัวเอง เพราะ มันเปลี่ยนชื่อไปมา และมันงง ว่าชื่อนี้ คุยกับใครบ้าง อันนี้คุยกับใครบ้าง มันมึน นั้นแล เขาถึงได้พูดว่า โน้น...โดยมิต้องทำอันใดความโง่ของคนนั้นแล ก็จะทำลายตัวมันเอง เขาถึงมีคำว่าแพ้ภัยตัวเองไงจ๊ะ

    ว่าแต่เอ็งจักรับหมากแลพลู ดีล่ะ
     
  2. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234

    :cool: แนะนำให้ตั้งกระทู้ใหม่เลยค่ะ คำแปลบทสวดแบบนี้ดีและเป็นประโยชน์มากๆ สำหรับ "การตื่นรู้แบบฉับพลัน" นี่แหล่ะ(พระพุทธะ)ศาสนาของแท้ นะ ส่วนตัวอ่านแล้วขนลุกซู่ๆเลย สะเด้ยย...เขินว่ะ!
     
  3. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234

    .................555+ สะเด้ยย เขินว่ะ!!
     
  4. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ไม่ได้เข้ามาอ่านเสียหลายวัน มาวันนี้เจอท่านเทพอภิบาล อ่านได้อารมณ์ดีแท้ มาบ่อย ๆ นะครับผมจะตามมาอ่าน เดี๋ยวผมจะเข้าไปค้นบทความของท่านอ่านดูอีก ผมมันพวกนกฮูก ค้างคาว ถ้าไม่อ่านบทความในเว็ปก็ไม่รู้จะทำอะไรดี จะอ่านหนังสือสายตาก็ไม่ให้แล้ว เมื่อก่อนอ่านกำลังภายในทั้งวันทั้งคืน หูหนาตาแฉะหมด

    ดีใจนะครับที่ได้รู้จักเทพอภิบาล แต่น่า้เสียดายที่ผมไม่สามารถรับจอกเหล้าของท่านผู้เฒ่าได้ หาไม่คงได้นัดดวลกันสักหลาย ๆ จอก
     
  5. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ไหนๆๆ ก็พูดแล้ว มาม๊ะ เด็กๆๆ เดี๋ยวลุงจักเล่าให้ฟังว่า ไอ้ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรนี่มันพูดว่าไง บ้างก็รู้ไว้นั้นแลถึงตอนนี้ไม่ได้ใช้ ไม่เข้าใจ พรุ่งนี้ก็อาจจะเข้าใจก็ได้

    หัวใจมันอยู่ตรงนี้แล

    รูปคือความว่าง และ ความว่างก็คือรูป

    จากนั้น รูปจึ่งคือรูป และ ความว่างก็คือความว่าง

    เป็นดังนี้แล หัวใจของปรัชญาปารมิตาทุกแบบ ทุกเล่มจักอยู่ในกฏวิพากษ์วิธีปรัชญาปารมิตา กล่าวคือ ในเชิงตรรกะ ก ก็คือ ก จะเป็น ข ไปไม่ได้ เอ็งก็คือเอ็ง ไม่ใช่ข้า นั้นแล แต่ในโลกของกฏวิพากษ์วิธีปรัชญาปารมิตา

    บางครั้ง ก ไม่ใช่ ก แต่เป็น ข ก็ได้ ตงนี้เข้าใจอยากหน่อยมาดูเถิด ใจเย็นๆๆ เด็กๆๆ ถ้าอ่านผ่านๆๆ เอ็งจะมึน ต้องอ่านซ้ำๆๆ ใจโล่งๆๆ เดี๋ยวมันเข้าหัวเอง นั้นแล

    ในพระสูตรนี้ มีลักษณะพิเศษ คือ เป็นคำสอนแบบบริสุทธิ์ เน้นข้อมูลดิษๆๆ ไม่มีลักษณะเป็นคำอุปมาใดๆๆให้ต้องตีความทั้งสิ้น ไม่เน้นวิธีประพันธ์ในรูปบทละคร ตรงนี้สูตรทั่วไปจะเป็นแบบนี้คือเน้น บทละคร ถามตอบ ระหว่างตัวละคร ในทีนี้คือพระพุทธองค์ กับ สาวก พระโพธิสัตว์ เอ็งลองไปดูเถิด เช่น พระสารีบุตร ถาม พระพุทธเจ้าตอบ โต้กันไปมา มันดีตรงนี้เป็นวิธีการที่ช่วยให้คนเข้าใจได้ง่ายๆขึ้น เมื่อฟังนิทานก่อนนอนนั้นแล แต่สูตรนี้มันเป็นบทสรุป ของสูตรทั้งหลายที่ชื่อปรัชญาปารมิตาสูตร ที่มีมาก่อนหน้า10กว่าเล่ม ใหญ่เล็กต่างกัน แต่พูดเรื่องเดียวกัน เล่มใหญ่มีเป็นแสนโศลก ไอ้จะแต่งแบบเดิมอีกมันก็จะยาวไป... เลยต้องใช้วิธีนี้คือ เอาแต่เนื้อๆๆ ถึงจะเข้าใจยากหน่อย แต่ถ้าจับจุดได้มันก็เหลือกิน ประดุจดัง พระสูตรปรัชญาปารมิตาทั้งหลายนั้นคือวัว สูตรนี้ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรคือน้ำนมที่รีดแล้วจากวัวเหล่านั้น นั้นแล ดังนั้นชื่อมันจึ่งแปลว่า พระสูตรหัวใจ

    ในสูตรนี้พระอวโลติเกศวรโพธิสัตว์พร่ำอยู่คนเดียว พระพุทธเจ้า กับพระสารีบุตร ฟัง และในตอนท้ายพระพุทธเจ้าพูด แค่คำเดียวคือเธอ พูดได้ดี พูดได้ดี นั้นแล

    อย่างที่บอกไปว่าหัวใจของสูตรมันอยู่ที่

    รูปคือความว่าง และ ความว่างก็คือรูป

    จากนั้น รูปจึ่งคือรูป และ ความว่างก็คือความว่าง


    คำว่ารูปคือความว่าง หมายความว่า ไอ้ตัวตนของเราและโลกทั้งหลายนี้แท้ที่จริงแล้ว มันคือความว่าง คือ เรามักยึดติดภาพลักษณ์แบบผิดๆๆในชีวิตจริง เช่น โต๊ะ เรามองว่ามันคือที่นั้ง ที่เราไว้นั้ง และเราก็ยึดเอาสิ่งนี้เป็นความจริงตายตัว ทีนี้พระพุทธศาสนา สอนให้เรามองให้ลึกไปกว่านั้น นั้นคือ ถ้าเราเป็นปลวก ไม่ใช่ใช่คน เราย่อมเห็นต่างออกไปเมื่อมองดูโต๊ะตัวนี้ เช่น แทนที่เราจะเห็นว่า เป็นที่นั้ง เรากับเห็นว่าเป็นอาหาร เอ็งคงรู้ว่าปลวกมันชอบกินไม้ มันย่อยไม้ได้ ถ้าเอ็งเป็นคนไปคิดแบบมันนี่ก็บ้าแล้ว นั้นแล

    นี่เรียกว่า ความจำได้หมายรู้ที่ผิดๆๆ รู้ไม่เท่าทัน ดังนั้นพระพุทธองค์จึ่งสอนให้เราฉายแสงแห่งสติเพื่องมองให้มันลึกกว่านี้นั้นแล ว่าสิ่งต่างๆๆมันมีได้หลายมุมมอง การไปยึดติดมุมใดมุมหนึ่งโดยไม่มองให้รอบด้าน นั้นแลคือมูลเหตุแห่งความทุกข์ เหมือนตาบอดคลำช้าง นี้แลคือ หัวใจของกฏวิพากษ์วิธีปรัชญาปารมิตา

    ถ้าเข้าใจ เอ็งจะเข้าใจสรรพสิ่ง มากกว่านี้ นี่คือความหมายของรูปคือความว่าง นั้นเอง คือว่างจาก สภาวะหนึ่งสภาวะใดที่จะไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นจริง เช่นตัวเอ็ง เอ็งย่อมคิดว่าตัวเอ็งนั้นมี แต่อันที่จริง ถ้าเอ็งเอาตัวเองมาแยกออก เป็นส่วนๆๆ เป็น อะตอมต่างๆๆ เป็นพลังงาน เอ็งก็จะหาตัวเองไม่พบ เพราะ ตัวเอ็งเองเกิดจากอะตอมทั้งหมดนั้นที่มากพอมารวมกันกับพลังงานเป็นเอ็ง คำสอนขันธ์ 5 ก็มีขี้นเพื่อชี้ถึงสิ่งนี้ เราไม่อาจจะระบุไปได้ว่าสิ่งต่างๆๆนั้นมีหรือไม่มี เพราะมันเป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อเหตุปัจจัยหรือเงื่อนไขพร้อมสิ่งหนึ่งสิ่งใดย่อมปรากฏ นั้นแลเรียกว่ามี แต่เมื่อเหตุและปัจจัยไม่พร้อมสิ่งนั้นก็ปรากฏไม่ได้นั้นแลเรียกว่าไม่มี ดังนั้นการไประบุคำตอบที่แน่ชัดว่ามีหรือไม่มี นั้นแลคือ ความเห็นผิด

    ดังนั้นตายแล้วต้องเกิดอีกหรือไม่ ทั้งนี้ก็ขึ้นกับว่า มีเหตุปัจจัยพอที่จะให้กลับมาเกิดอีกหรือไม่ ถ้าไม่นั้นแล การตายและเกิดอีกก็ไม่มี แต่ถ้าครบตายแล้วเกิดก็มี นี้แลคือหัวใจมีกับไม่มีคือสองด้านของเหรียญเดียวกัน นี่แลคือคำสอนที่สูงที่สุด เรียกว่าปัจจัยการ

    คำว่ารูปคือความว่างก็คือ รูปนั้นแลมันว่างจากการยึดเอาสภาวะหนึ่งๆๆที่ตายตัวเป็นภาพลักษณ์ของมัน ไม่ใช่ทวิลักษณ์ขั่วใดขั่วหนึ่งเช่น ดีชั่ว สูงต่ำ เกิดตาย มาไป มีไม่มี และอื่นๆนั้นแล

    ทีนี้คำว่าความว่างก็คือรูป นี้เป็นจุดที่น่าคิดนัก ก็นั้นแลรูปคือความว่าง แล้วทำไมต้องมาอธิบายอะไรอีก มันก็ลึกซึ้งพอแล้ว ทำไมต้องพูดว่า ความว่างก็คือรูป ทั้งนี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า การเข้าใจว่ารูปคือความว่าง นั้นเป็นอุบายวิธี ไม่ใช่สัจจะ การไปยึดเอาว่าเป็นสัจจะ แทนที่จะเป็นอุบายวิธี เพื่อให้เห็นสัจจะ ย่อมทำให้ยาถอนพิษกลายเป็น ยาพิษเสียเอง และเราก็จะตกลงไปสู่กับดักเดิมๆๆ ของความชอบยึดถืออีก นั้นคือเราต้องเรียนรู้ที่จะใช้ แนวคิดเกี่ยวกับ ความว่าง เพื่อมองสิ่งต่างๆๆให้ลึกซึ้ง แต่อย่าไปยึดติดกับมัน นั้นแล คือความหมายของ ความว่างก็คือรูป คือ รูปหนึ่งๆๆที่ไม่มีตัวมีตนให้ไปยึดถือว่าจริง

    ตรงนี้ยากที่จะเข้าใจล่ะสิลุงจะเล่าให้ฟัง กาลครั้งหนึ่งมีพระรูปหนึ่งไปหาอ.เซน ที่นี้แกก็มีความเข้าใจว่า สิ่งต่างนั้นมันว่าง แกก็ไปบอกอ. ว่า อ.ครับ สรรพสิ่งในโลกนี้มันไม่มีสภาวะที่แน่นอน ไม่มีตัวไม่มีตน มันว่าง ผมก็ว่าง อ.ก็ว่าง ทังใดนั้นอ.ก็ตีพระรูปนี้ พระร้องโอ๊ย แล้วถามว่า อ.ตีผมทำไมครับ อ. ก็ตอบว่าไหนเธอว่าว่าง แล้วความเจ็บปวดนี้มีได้ไง

    นั้นแล

    ทีนี้ก็มาถึงจุดที่ว่าจากนั้น
    จากนั้น รูปจึ่งคือรูป และ ความว่างก็คือความว่าง

    ก็คือเราเป็นอิสระจากแนวความคิดที่จะยึดถือเอาภาพลักษณ์ของสิ่งต่างๆๆ อย่างตายตัว ดังนั้นทีนี้เราก็สามารถเห็น รูปจึ่งคือรูป และ ความว่างก็คือความว่าง หรือ ก ก็คือ ก ได้อีกครั้งโดยไม่หลงไปยึดภาพลักษณ์ของมันอย่างตายตัวนั้นแล เราจึ่งเป็นอิสระจากมัน

    มันเหมือนกับคำกล่าวว่า เวลาทำทานต้องทำเสมือนหนึ่งว่า ไม่ได้ทำ คือไม่มีความคิดว่าเรานั้นกำลังทำทาน ทำความดี ได้ผล นั้นแลจึ่งเรียกว่าการทำทาน นั้นคือเราเป็นอิสระจากการกระทำ จากเจตนา ดังนั้นเราจึ่งทำลายบ่วงกรรมลงได้นั้นแลนี่เรียกว่า หลัก อกรรม(ทั้งดีและชั่ว)

    ด้วยเหตุนี้ในตอนท่านพระสูตรจึ่งมีข้อความว่า คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โพธิ สวาหา อันแปลว่า พ้นแล้ว พ้นแล้ว ไป ไป ไปสู่ฝั่งโน้น ฝั่งแห่งพุทธะ นั้นแลคือไปพ้นแล้ว
    จากความหลงจากการยึดเอาภาพลักษณ์ของมันอย่างตายตัวนั้นแล ในตอนท้ายที่พระพุทธเจ้าพูดว่าพูดได้ดี พูดได้ดี ก็มีความหมายว่า ไม่ว่าจะพูดยังไงมันก็สื่อถึง ความจริงนั้นไม่ได้ ดังนั้นพระองค์จึ่งไม่พูดอะไรเลยตลอดพระสูตร และที่พูดว่าพูดได้ดี พูดได้ดี ก็เพื่อสรรเสริญพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ว่า ดีแล้วที่เธอเข้าใจในสิ่งนี้เธอจึ่งไม่ได้พูดอะไรเลยให้สารีบุตรฟังนอกจาก สิ่งที่จะช่วยให้สารีบุตรเห็นเองถึงความจริงนี้ นั้นแล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 เมษายน 2012
  6. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    เอาล่ะ พวกเอ็ง ถ้างง...ก็ให้อภัยลุงเถิด ลุงพยายามแล้ว มันได้แค่นี้แล
    ตัวบทของชีวิตนะมันไม่ง่าย ไอ้จะอ่านแค่ ไม่กี่คำพูดแล้วเข้าใจ นะมันก็บ้าเต็มที จริงไหม?
    อันนี้ข้าก็อธิบายไปตามหลักวิชานั้นแล ถ้าไม่เข้าใจก็อ่านสักเที่ยวสองเที่ยว แต่ไม่ต้องไปขบคิดมากเดี๋ยวจักบ้า
    บางทีในวันหลังอาจจะมี บางอย่างมากระทบใจให้เอ็งเข้าใจที่ลุงพูดก็ได้นั้นแล บ๊ะ บ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 เมษายน 2012
  7. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529

    ลุง งง กับเอ็งยิ่งนัก ตกลงเอ็งเป็นนางหนูหรือไอ้หนุ่มเล่า เดี๋ยวค่ะเดี๋ยวครับ ลุงมึนจ๊ะ
     
  8. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ไอ้นิยายกำลังภายในข้าก็อ่านอยู่..... แต่ทุกวันนี้ข้าเปลี่ยนมาอ่าน FHM แล maxim เพราะ จะได้เข้ากับkoncept เฒ่าหัวพญานาคนั้นแล กับ กอเอ๋ยกอไก่ เพราะหลานอยากฟังนั้นแล

    ส่วนจอกเหล้านั้นแลรับๆๆไปเถิด มิต้องเกรงใจ เพราะคนเซ่นข้าเยอะ ยิ่งวันก่อนหวยออกด้วยแล้วนั้นแล

    มาฟังเพลงรุ่นข้าเถิด จะได้นอนหลับมิต้องเป็นค้างคาวอีก

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=6Se16cY_jFM"]?????????? - ???????,??????? - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=5rLSjMWj0CA&feature=results_video&playnext=1&list=PLE00079E8F5138DD8"]???? ????????????? - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=YXoCWVO6ctE&feature=relmfu"]???? ???????????? - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 เมษายน 2012
  9. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    เพลงรุ่นท่าน กับเพลงรุ่นผม มันก็รุ่นเดียวกันแหละ
    ถ้าผมเข้าเกณฑ์ ป.1 ก็คงทันเห็นท่านผู้เฒ่าเป็นเด็กโข่งอยู่ ป.4 นั่นแหละ
    ถ้าท่านผู้เฒ่าร้องเพลงวันเด็กก็ต้องมีผมนั่งฟังอยู่ท้ายแถวแหละ
    ว่าแต่ท่านผู้เฒ่านี่เก่งจริง ๆ มนุษย์รุ่นท่านหาได้ไม่กี่คนที่มานั่งเที่ยวเน็ต (รุ่นผมด้วยสิ) 555
     
  10. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ส่วนจอกเหล้านั้นแลรับๆๆไปเถิด มิต้องเกรงใจ เพราะคนเซ่นข้าเยอะ ยิ่งวันก่อนหวยออกด้วยแล้วนั้นแล

    จะว่าเกรงใจก็หามิได้ มันก็เป็นอะไรประหลาด ๆ เมื่อก่อนผู้น้อยก็ทุกอย่างที่มนุษย์หนุ่มน้อยเขาประพฤติกัน พออายุมากขึ้นใจก็เริ่มหันเข้าหามุมสงบ จากนั้นมันก็รู้สึกเบื่อหน่ายบุหรี่ สุรา นารี ก็เลยหันหลังให้มันทุกอย่าง

    ว่าแต่ตอนดื่มสนุกอยู่ ไปเที่ยวไต้หวันเดินหาสุราใบไผ่เขียว หาไม่เจอสักร้าน เพราะอ่านกำลังภายในเล่มไหนเรื่องไหนก็ล้วนมีใบไผ่เขียวประดับเรื่อง ทำให้อยากร่ำสุราอยู่เรื่อยไป เดี๋ยวนี้นึกอย่างไรก็ไม่อร่อย พอเข้ามาที่โพสต์นี้ก็ชักเข้าเค้า อ้อ เรานี่มันจะเหาะตามโลกขึ้นสู่ชั้นที่ 4-5 แล้วหรือ หึหึ

     
  11. ประปราย

    ประปราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +301
    "Twelve Signs of Your Awakening Divinity"
    12 สัญญาณแห่งการตื่นรู้อันศักดิ์สิทธิ์ ที่จะเกิดกับคุณ >>>> ประหลาดมากที่เรามีทุกข้อ

    ตอนแรกเรานึกว่า เราเบื่อชีวิต บางครั้งรู้สึกว่า ตัวเราตายไปแล้วทั้งๆที่มีชีวิตอยู่ ข้อ ความฝัน กับข้อ อยากกลับบ้าน โดนที่สุด นั่งอ่านซ้ำไปซ้ำมา เพราะไม่อยากจะเชื่อว่า ไม่ใช่เราคนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ ช่วงเวลาปีกว่ามานี้ มีเหตุการณ์หลายๆอย่างที่มาสอนเรา

    ส่วน 28 ข้อ เราถือว่าเราไม่มีซักข้อ เพราะบางข้อไม่แน่ใจ บางข้อ มันไม่มีทางเป็นไปได้เพราะเรายังไม่มีแฟนเลย -_-"

    ส่วนเนื้อหา เราพยายามอ่านแล้ว แต่มันยากเกินไปสำหรับเราตอนนี้ เอาเป็นว่า ถ้ามันใช่ ไม่จำเป็นต้องเข้าใจตอนนี้ เดี๋ยวเวลาก็เฉลยเอง ถ้ามันไม่ใช่ ก็แสดงว่า เราเริ่มเบื่อชีวิตทางโลกแล้ว ควรหาความสุขทางธรรมมากกว่า เพราะสุดท้าย ไม่ว่า จะเป็นศาสนาหรืออันนี้ ก็สอนให้เป็นคนดีและเป็นตัวเอง ^_^
     
  12. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    เรื่องเพลงนี้ ข้าเกรงว่า ถ้าเก่ากว่านี้คงจักต้องไปขุดกรุครูเอื้อ ท่านออกมาแล้วนั้นแล ส่วนเรื่องเน็ตนี้ ต้องพูดว่า เราต้องตามเด็กมันให้ทัน ไม่งั้นจะเรียกเราไดโนเสาร์เต่าล้านปีนั้นแล ทุกวันนี้มันก็คงคิดว่างี้ แต่เด็กรุ่นนี้มันไปไกลนัก ข้าก็ตามมันมิทันดอก เทคโนโลยีมันไวยิ่ง ยิ่งประเทศไทยมันเต่ากว่าเขาเรายังตามไม่ทันเลย แล้วจะไปนับอะไรกับต่างประเทศที่มันเน้าพัฒนาคนทางด้านนี้เล่า
     
  13. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    อันนี้เป็นคำบรรยาย ของท่านตรุงป้าเกี่ยวกับปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรข้าไปก็อปปี้เขามานะจ๊ะ เพื่อจะได้เข้าใจง่ายขึ้นว่า ข้าพูดไปนั้นหมายความว่าไง? ข้าอธิบายไม่เก่งดอก เอาระดับเทพไปอ่านดีกว่า นะจ๊ะ นะจ๊ะ



    พระสูตรบทนี้เล่าเรื่องเกี่ยวกับอวโลกิเตศวร โพธิสัตว์ผู้เป็นองค์แห่งกรุณา และอุบายวิธี กับพระศารีบุตร ( สารีบุตร ) พระอรหันต์สาวกผู้เป็นธรรม เสนาบดีและองค์แห่งปรัชญาสำนวนญี่ปุ่นแปลกออกไปจากต้นฉบับภาษาสันสกฤตอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดก็มุ่งสู่ประเด็นที่ว่า พลานุภาพแห่งปรัชญา ได้ผลักดันให้อวโลกิเตศวร ตื่นขึ้นเห็นศูนยตา เป็นการวิสัชนาธรรมระหว่างอวโลกิเตศวรกับพระศารีบุตร ผู้เป็นองค์แห่งบุคคลผู้จิตใจเป็นวิทยา- ศาสตร์ อันเรียกได้ว่าความรู้ที่เที่ยงตรง พระศารีบุตรได้กลั่นกรองเอาพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์มาแสดง โดยอาจกล่าวได้ว่า มิได้เป็นการ ศรัทธาอย่างงมงาย หากเป็นการพิจารณาปฏิบัติ ทดลองและพิสูจน์พระธรรมเทศนานั้นดูแล้ว

    อวโลกิเตศวรได้กล่าว " ดูก่อนศารีบุตร รูปนั้นว่างเปล่า ความว่างเปล่า นั้นก็ไม่ผิดไปจากรูป " เราจะไม่พูดถึงรายละเอียดของพระสูตร แต่พระสูตร แต่จะพูดถึงความขั้นต้นเกี่ยวกับรูปและความว่างเปล่านี้ อันเป็นประเด็นหลักของพระสูตร เพราะเหตุนี้ เราจึงเข้าใจความหมายของคำว่า " รูป " ให้แจ่มแจ้งเสียก่อน

    รูปคือสิ่งที่เป็นอยู่ ก่อนที่เราจะว่างเค้าโครงบัญญัติอันใดของเราแก่มัน มันเป็นสภาวะเดิมแห่ง " สิ่งที่อยู่ที่นี่ " คือ ลักษณะอันสวยสด บรรเจิดจ้า น่าประทับใจ และสุนทรีย์ อันปรากฏในสภาพการณ์ทุกสภาพ รูป ประทับใจ และสุนทรีย์ อันปรากฏในสภาพการณ์ทุกสภาพ รูปอาจเป็น ใบโพธิ์ร่วงหล่น จากต้นลงสู่พื้นน้ำ อาจเป็นจันทร์วันเพ็ญ เป็นท่อน้ำ ข้างถนนหรือกองเศษอาหาร เหล่านี้แล คือ " สิ่งที่เป็นอยู่ " และทั้งหมด ก็ล้วนเป็นเยี่ยงเดียวกัน ทั้งหมดล้วนเป็นรูป เป็นสภาวะ เป็นเพียงสิ่งที่ เป็นอยู่ การประเมินพิจารณาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นในใจเราภายหลัง หาก เราเพียงแต่มองสิ่งเหล่านี้ตามที่มันเป็น มันจะเป็นเพียงรูปทั้งหลาย

    ฉะนั้น รูปจึงว่างเปล่า แต่ว่างจากอะไรเล่า รูปนั้นว่างจากบัญญัติล่วงหน้าทั้งหลายของเรา ว่างจากการตัดสินพิจารณาของเรา ถ้าเราไม่ประเมินและแยกแยะอาการที่ใบโพธิ์ร่วงหล่นพริ้วสู่ผืนน้ำว่าเป็นคู่ปรับกับ กองขยะในเมืองกรุง มันก็จะอยู่ที่นั่น คือสิ่งที่เป็นอยู่ ล้วนว่างจากบัญญัติคาดคิดของเรา เป็นตามที่มันเป็นอย่างเที่ยงตรง และแน่ละ กองขยะ ก็คือกองขยะ โบโพธิ์ก็คือใบโพธิ์ " สิ่งที่เป็นอยู่ " คือ " สิ่งที่เป็นอยู่ " รูปนั้นย่อมว่างเปล่า เมื่อเรามองมันโดยปราศจากการตีความของเราเอง


    [​IMG]

    แต่ความว่างเปล่าก็คือรูปด้วย นี่คือประเด็นสำคัญยิ่ง เราคิดว่าเราได้สลัด สิ่งทั้งหลายออกไป เราคิดว่าเราได้แลเห็นสิ่งทุกสิ่งว่า " เหมือนกัน " แล้ว หากเราสลัดบัญญัติคาดคิดทั้งหลายของเราออกไปได้ นั่นย่อมก่อให้เกิด ภาพสวยสด เพราะเราเห็นทั้งสิ่งดีและเลว ว่าล้วนดี เรียบร้อย ราบรื่นยิ่ง แต่ประเด็นต่อมาก็คือ ความว่างเปล่าก็เป็นรูปได้ด้วย ไม่ได้ว่างเปล่าจริง ความว่างเปล่าของกองขยะก็ยังเป็นรูปด้วย การพยายามมองสิ่งทั้งหลาย ว่าว่างเปล่าก็ยังห่อหุ้มมันได้ด้วยบัญญัติรูปกลับมาอีก มันง่ายอยู่ดอก ที่จะ สลัดบัญญัติทั้งหลายออกไป แล้วสรุปว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นตามที่มันเป็น แต่นั่นจะเป็นการหนี เป็นการปลอบประโลมตนเองอีกทางหนึ่งได้ เราจะ ต้องรู้สึก ให้ได้จริงถึงสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น คุณลักษณ์แห่งความเป็น กองขยะก็ดี คุณลักษณ์แห่งความเป็นใบของโพธิ์ก็ดี ความเป็น ของสิ่ง ทั้งหลายก็ดี เราจะต้องรู้สึกให้เหมาะเจาะ ไม่ใช่เพียงแต่ประทับตราความ ว่างเปล่าให้แก่มัน นั่นไม่ได้ช่วยอะไรเลย เราจะต้องมองเห็น " ความเป็น " ของสิ่งที่อยู่ที่นั่น เห็นคุณลักษณ์อันหยาบและกระด้างของสิ่งทั้งหลาย ตามที่มันเป็น นี่เป็นวิธีมองโลกได้อย่างแม่นยำยิ่ง ดังนั้น แรกทีเดียวเราจะ ปัดบัญญัติคาดคิดอันหนักอึ้งทั้งหลายของเราออกไป ใช่แต่เท่านั้น เรายัง ต้องปัดคำอันประณีตลึกซึ้งอย่างคำว่า " ว่างเปล่า " ออกไปด้วย ทำให้ เราไม่อยู่ในแห่งหนตำบลใด หากอยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่โดยสิ้นเชิง

    ท้ายที่สุด เราจะมาถึงข้อสรุปที่ว่า รูปก็เป็นเพียงรูป ความว่างเปล่าก็เป็น เพียงความว่างเปล่า ในพระสูตรอธิบายว่าเป็นการเห็นรูป ว่าไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากความว่างเปล่า และเห็นความว่างเปล่าว่าไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากรูป ทั้งสองต่างแบ่งแยกจากกันไม่ได้ เราจะแลเห็นได้ว่า การมองหา ความหมายทางปรัชญาหรือสุนทรียภาพให้แก่ชีวิตเป็นเพียงทางหนึ่งที่เรา ตัดสินตัวเราเอง โดยนึกเสียว่า สิ่งทั้งหลายหาได้เลวร้ายอย่างที่คิดไม่ แต่ อันที่จริงแล้ว สิ่งทั้งหลายล้วนเลวร้ายเพราะความคิดเรานั่นเอง รูปคือรูป ความว่างเปล่าก็คือความว่างเปล่า สิ่งทั้งหลายเป็นสิ่งที่มันเป็น เราไม่ต้อง พยายามมองมันด้วยความลึกซึ้งใด ๆ แล้วเราจะกลับมาติดดิน เห็นสิ่งทั้ง หลายตามที่มันเป็น นี่ไม่ได้หมายความว่า จะบังเกิดมีตาทิพย์ที่น่าตื่นเต้น อันใด ทำนองเห็นเทวดา คนธรรพ์ หรือได้ยินเสียงสวรรค์กระนั้น แต่เรา จะเห็นสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็นตรงตามคุณลักษณะของมัน ดังนั้น ในกรณี นี้ ศูนยตาจึงเป็นการปราศจากบัญญัติหรือม่านกรองใด ๆ อย่างสิ้นเชิง ปราศจากแม้กระทั่งบัญญัติว่า " รูปนั้นว่างเปล่า " หรือ " ความว่างเปล่าคือรูป " สิ่งสำคัญอยู่ที่ การมองโลกอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องปรารถนาความ สำนึกรู้ " ขั้นสูง " หรือสาระสำคัญอันลึกซึ้งใด ๆ เป็นเพียงการรับรู้สิ่งต่าง ๆ อย่างจะจะตรงตามที่มันเป็น

    เราอาจสงสัยว่า แล้วเราจะนำเอาหลักธรรมนี้มาใช้ในชีวิตประจำวันได้ อย่างไร เล่ากันว่า เมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพระธรรมเทศนา ว่าด้วยศูนยตานี้เป็นปฐม พระอรหันต์เจ้าบางองค์ถึงกับหัวใจกำเริบ แล้ว ดับขันธ์ไปเพราะผลกระทบของพระธรรมเทศนานี้ เพราะในการทำสมาธิภาวนาพระอรหันต์เหล่านี้ยังซึมซาบอยู่กับที่ว่าง ยังต้องกำหนดที่ว่างเป็นอารมณ์ เป็นอิงอาศัยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งเท่ากับว่ายังมีตัวประสบการณ์และ ผู้รับรู้ประสบการณ์อยู่ ส่วนหลักศูนยตานี้เป็นการไม่อิงอาศัยสิ่งใด ไม่แบ่ง แยกระหว่างนี้กับนั้นและไม่อยู่ในแห่งหนตำบลใดทั้งสิ้น

    ถ้าเรามองเห็นสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น เราก็ไม่ต้องตีความหรือวิเคราะห์ มันให้มากความ เราไม่จำเป็นต้องพยายามเข้าใจสิ่งทั้งหลายด้วยการประทับ ตราประสบการณ์ ทางศาสนธรรม หรือความคิดปรัชญาใด ๆ ให้กับมัน นี้เป็นดั่งที่อาจารย์เซนเคยกล่าว " เมื่อฉันกิน ฉันก็กิน เมื่อฉันนอน ฉันก็ นอน " ขอเพียงแต่ทำสิ่งที่คุณทำอยู่อย่างบริบูรณ์ อย่างเต็มเปี่ยม การทำดัง นี้คือการเป็น ฤาษี คือบุคคลผู้สัตย์ซื่อ เปี่ยมด้วยความจริงและตรงไปตรง มา ไม่แบ่งแยกระหว่างนี้กับนั้น เขาย่อมทำการอย่างเจาะจงตรงเผ็ง ตาม ที่มันเป็น เขากินเมื่อเขาต้องการกิน เขานอนเมื่อเขาต้องการนอน ในบางที่พระพุทธองค์ทรงได้รับการขนานนามว่า มหาฤาษี ฤาษีผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ไม่พยายามขวนขวายที่จะเป็นอยู่อย่างเปี่ยมด้วยความจริง หากเป็นจริงอยู่แล้ว ในสภาวะอันเปิดแล้วของพระองค์

    การตีความศูนยตา ดังที่เรากำลังถกกันอยู่นี้ เป็นมติของปรัชญา มาธยมิก หรือ " ฝ่ายกลาง " ที่ท่านนาคารชุนได้ก่อตั้งขึ้น เป็นประสบการณ์ในความจริงอันไม่อาจบรรยายได้อย่างแม่นยำ เพราะคำพูดก็ยังไม่ใช่ตัวประสบการณ์นั้น คำพูดหรือบัญญัติเป็นเพียงเครื่องชี้ ไปยังแง่มุมบางส่วนของประสบการณ์ จึงเป็นเรื่องชวนสงสัยว่าเราจะสามารถพูดถึงความเป็นจริงที่ได้ " ประสบ " ได้กระนั้นหรือ เพราะนี่ย่อมเป็นการแบ่งแยกระหว่างตัวผู้ประสบกับ ตัวประสบการณ์นั้น ใช่แต่เท่านั้น ยังน่าสงสัยอีกว่าเราจะพูดถึงตัว " ความจริง " นั้นได้ล่ะหรือ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะต้องมีตัวผู้รู้อยู่นอกเหนือจาก สิ่งที่รับรู้ ดังกับว่าความเป็นจริงนั้น เป็นสิ่งที่มีบัญญัติ เป็นสิ่งที่มีข้อจำกัด และขอบเขตที่แน่นอน ดังนั้นฝ่ายมาธยมิกจึงเพียงแต่พูดถึงตถตา คือ " ตาม ที่มันเป็น " ท่านนาคารชุนชอบที่จะโต้แย้งสำนักปรัชญาอื่นตามแง่มุมภาษา และวิธีนำเสนอของสำนักนั้น ๆ แล้วใช้ตรรกวิทยาของสำนักนั้นหักล้าง ตนเอง ยิ่งกว่าจะเสนอคำจำกัดความของความเป็นจริงต่างหากไปด้วยตัว ของท่านเอง<!-- google_ad_section_end -->
    ปรัชญาอยู่หลายสำนักใหญ่ ๆ ที่พูดถึงสัจจะ และความเป็นจริงมาก่อนหน้านั้น ทั้งยังมีอิทธิพลต่อพัฒนาการของสำนัก มาธยมิก กระแสความคิดเหล่านี้ไม่เพียงแต่สำแดงในรูปของสำนักพุทธปรัชญาในยุคที่มาก่อน หากยังรวมถึงสำนักเทวนิยมอย่าง ฮินดู เวทานตะ อิสลาม คริสต์ และ คติทางปรัชญาและศาสนาอื่น ๆ ตามมติของสำนักมาธยมิก อาจจัดสำนักเหล่านี้ได้เป็นสามกลุ่มคือ ฝ่ายสัสสตวาท ๑ ฝ่ายนัตถิกวาท ๑ และฝ่าย อาตมวาท ๑ สองฝ่ายแรก สำนักมาธยมิกถือว่าเป็นความเห็นผิด ส่วน ฝ่ายหลังสุดถือว่าเห็นถูกเพียงส่วนเดียว

    ในบรรดาบัญญัติผิด ๆ เกี่ยวกับธรรมชาติของความจริงนั้น สัสสตวาท ย่อมเป็นที่เห็นได้ชัดที่สุด และมักเป็นความเห็นทางเทววิทยาอย่างตื้น ๆ คำสอนฝ่ายสัสสตวาทมักมองปรากฏการณ์ว่า มีตัวตนอันยั่งยืนดำรงอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดดับ แต่สิ่งทั้งหลายก็ยังมีสาระบางอย่างที่เที่ยงแท้ อยู่ เพราะเหตุที่ภาวะอันเป็นนิรันดร์นั้นจะต้องอิงอยู่กับบางสิ่ง ผู้ถือลัทธินี้ จึงมักสมัครใจเชื่อในพระเจ้า วิญญาณ อาตมัน หรือตัวตนอันไม่อาจ บรรยายได้นั้น และประกาศว่ามีบางสิ่งที่ดำรงอยู่เป็นรูปทรงไม่ดับสูญ เป็นนิรันดร์ เป็นการหารูปทรงบางอย่างไว้ยึดเหนี่ยวอิงอาศัย เป็นความเข้าใจที่หยุดนิ่ง เกี่ยวกับโลกและความสัมพันธ์ที่ตนมีต่อมัน

    อย่างไรก็ดี ต่อมาสัสสตวาทิกนี้เริ่มคลางแคลงใจในพระเจ้าเพราะเหตุ ที่ตนไม่เคยพบเห็นพระเจ้า วิญญาณ หรือสารัตถะอันเป็นนิรันดร์นั้น ความคลางแคลงนี้จึงนำเรามาสู่บัญญัติผิด ๆ เกี่ยวกับความจริงที่ดูซับซ้อนยิ่งขึ้น นั้นคือบัญญัติฝ่ายนัตถิกวาท ความเห็นฝ่ายนี้ถือว่า ทุกสิ่ง ล้วนมีกำเนิดมาแต่ความไม่มีอะไร เป็นสิ่งลี้ลับ บางทีนัตถิกวาทก็เป็น ได้ทั้งฝ่ายเทวนิยมและอวเทวนิยม โดยประกาศว่า องค์พระเจ้านั้นเป็น สิ่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ โดยประกาศว่า องค์พระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจ หยั่งรู้ได้ อาทิตย์ส่องแสงมายังโลก ช่วยให้ชีวิตเติบโต ให้ความร้อน และแสงสว่าง แต่เราไม่อาจค้นพบจุดกำเนิดของชีวิตได้ ไม่มีเหตุผลใดจะอธิบายได้ว่าจักรวาลถือกำเนิดมาสถานใด ชีวิตและโลกล้วนเป็น เพียง มายา เป็นภาพลวง สิ่งทั้งหลายผุดขึ้นมาเอง ไม่ได้กำเนิดมาแต่ ไหน ในแง่นี้ความไม่มีอะไรจึงเป็นสาระสำคัญ ความไม่มีอะไรจึงเป็น ความจริงที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ ซึ่งอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ทั้งหมด จักร- วาลถือกำเนิดมาอย่างลี้ลับ อธิบายไม่ได้เลย และนัตถิกวาทิกอาจถือ ว่า ใจมนุษย์ย่อมไม่อาจเข้าใจความลี้ลับนี้ได้ ในแง่นี้ ความลี้ลับจึงเป็น เสมือนสิ่งหนึ่ง เป็นการให้คำตอบว่า ไม่มีคำตอบใดจะให้ยึดถือหรือ อิงอาศัยได้

    นัตถิกวาทจะก่อให้เกิดความเห็นในทางไสยศาสตร์ คุณขบคิดได้ว่า เมื่อ คุณทำสิ่งหนึ่ง สิ่งทั้งหลายจะมีปฏิกริยาโต้ตอบกลับมา คุณจะแลเห็นเหตุ และผลที่ต่อเนื่องกันเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่คุณบังคับควบคุมไม่ได้ และลูกโซ่ นี้ก็ผุดมาแต่ " ความไม่มีอะไร " อันลี้ลับ เพราะฉะนั้นเมื่อคุณฆ่าใครสักคน นั่นเป็นเพราะกรรมบงการ อย่างไม่มีวันเลี่ยงได้ และถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว และถ้าคุณทำดี นั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับว่าคุณกำลังมีสติหรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกำเนิดมาแต่ " ความไม่มีอะไร " อันลี้ลับนี้ ฝ่ายนัตถิก- วาทย่อมถือเช่นนี้ แต่วิธีปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้กับความลี้ลับนี้เป็นสิ่ง ไร้เดียงสายิ่ง เมื่อใดที่เรารู้สึกลังเลสงสัย ในสิ่งที่อยู่เหนือความคิดบัญญัติ ของเรา เราจะสับสนอลหม่าน เรากลัวว่าเราจะไม่มั่นคง เราจึงหาบางสิ่ง อย่างมากมายมาถมช่องว่างนั้น บางสิ่งบางอย่างนี้มักเป็นความเชื่อทาง ปรัชญา และในกรณีนี้ ก็ได้แก่ความลี้ลับ เราจะดิ้นรนหิวหาความไม่มี อะไร สำรวจไปทุกซอกทุกมุมเพื่อค้นพบความไม่มีอะไรนี้ แต่สิ่งที่เรา พบก็เป็นเพียงเศษขุย ไม่มีอะไรอื่นเป็นความลี้ลับ และตราบใดที่เรายัง เฝ้าหาคำตอบในทางบัญญัติ ตราบนั้นเราก็ยังจะพบแต่ความลี้ลับซึ่งโดย ตัวของมันเองก็เป็นอีกบัญญัติหนึ่ง

    ไม่ว่าจะเป็นสัสสตวาท หรือนัตถิกวาทหรืออาตมวาท ต่างฝ่ายต่างก็ มีสมมุติให้มี " สิ่งลี้ลับ " ด้วยกันทั้งสิ้น อันเป็นสิ่งที่เรารู้ไม่ได้ ได้แก่ ความหมายของชีวิตบ้าง ต้นกำเนิดแห่งจักรวาลบ้าง กุญแจอันจะไข ไปสู่ความสุขบ้าง แล้วเราก็จะพยายามหาสิ่งลี้ลับนี้ พยายามจะเป็น บุคคลผู้รู้และครอบครองความลี้ลับนั้นและอาจตั้งชื่อให้ต่าง ๆ นานา ว่า พระเจ้าบ้าง วิญญาณบ้าง อาตมันบ้าง พรหมบ้าง ศูนยตาบ้าง และ อื่น ๆ มาธยมิกย่อมไม่มองความจริงเยี่ยงนี้ แต่ฝ่ายหินยานในยุคต้น ๆ มักตกหลุมพรางดังกล่าว เป็นเหตุให้พบความจริงได้แต่บางส่วน

    การมองความเป็นจริงในแง่ที่ตกหลุมพรางนี้ ทำให้เห็นความไม่เที่ยง ( อนิจจลักษณะ ) ว่าเป็นหนึ่งความลี้ลับอย่างใหญ่ สิ่งใดมีเกิด ย่อมมี ความแปรปรวน และดับไปในที่สุด เป็นธรรมดา แต่เรากลับมองไม่เห็นตัวความไม่เที่ยงนั้น เราเห็นโฉมหน้าของมันดั่งว่าเป็นรูปลักษณ์ อย่างหนึ่ง ฝ่ายหินยานตกหลุมพรางนี้จึงมองจักรวาลในรูปอัตตาย่อย ๆ ที่ดำรงอยู่ในที่ว่าง และเวลาก็คือตัวตนของชั่วขณะหนึ่ง ๆ ที่มีอยู่อย่าง ต่อเนื่องกันในกาลเวลา ด้วยเหตุนี้จึงนับเป็นพหุอาตมวาท ศูนยตาตามความเข้าใจของหินยานนี้ จึงเป็นเพียงธรรมชาติอันแปรเปลี่ยนและไร้ แก่นสารของรูป การภาวนาตามแบบหินยานจึงมักมีสองลักษณะ คือ เฝ้าพิจารณาแง่มุมของความไม่เที่ยง เช่น กระบวนการเกิด เจริญ เสื่อม ดับ และ รายละเอียดของมัน และใช้สติกำหนดรู้ความไม่เที่ยงของสภาพ ทางจิต พระอรหันต์ตามนัยหินยานนี้ จะเห็นสภาพภายใต้จิตและสภาพ วัตถุภายนอกเป็นอย่างความเกิดขึ้นของขณะหนึ่ง ๆ มาต่อกันและอัตตา ส่วนย่อย ๆ มาต่อกัน ด้วยวิธีนี้ จึงพบว่าไม่มีสิ่งที่เที่ยงแท้หรือเป็นตัว เป็นตนดำรงอยู่ แต่วิธีนี้ก็ยังบกพร่องตรงที่ยังบัญญัติภาวะทั้งหลายว่า เป็นสัมพันธภาพ เป็นการดำรงอยู่ของ " นี่ " สัมพันธ์กับ " นั่น "

    เราคงได้แลเห็นแง่มุมของสัสสตวาท นัตถิกวาท และอาตมวาทนี้ได้ใน ระบบปรัชญาและศาสนาหลัก ๆ ทั้งหลายในโลก ไม่มากก็น้อย ในแง่ ของมาธยิก บัญญัติความจริงอย่างผิด ๆ เช่นนี้ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยง ไม่ได้ ตราบใดที่เรายัวงพยายามหาคำตอบให้แก่คำถามที่สมมุติกันขึ้น ตราบใดที่เรายังพยายามตรวจสอบวินิจฉัยสิ่งที่เรียกว่า " ความลี้ลับ " แห่งชีวิต ความเชื่อในสิ่งใดก็ตาม ยังเป็นเพียงการตีตราให้แก่ความลี้ลับ นั้น มีสำนักฝ่ายมหายานสำนักหนึ่งคือ โยคาจาร สำนักนี้พยายามจะ กำจัดความลี้ลับนี้ไปเสีย ด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความลี้ลับดังกล่าว กับโลกแห่งปรากฏการณ์

    หลักใหญ่ใจความของสำนักโยคาจารคือหลักของความรู้โดยถือว่าความ ลี้ลับคือตัวปัญญาที่กระทำความรู้กับปรากฏการณ์เข้าด้วยกัน ว่าแบ่งแยก จากกันหาได้ไม่ ฉะนั้น ผู้รู้ในฐานะ ปัจเจกบุคคล จึงไม่อยู่ แต่เป็นการรู้ ชนิด " รู้ตัวเอง " โยคาจารถือว่า มีเพียง " ใจหนึ่งเดียว " เท่านั้น โดยเรียกว่าเป็น " ความรู้อันโชติช่วงอยู่เอง " และทั้งความคิดและอารมณ์ ทั้งผู้คนและต้นไม้ต่างก็เป็นแง่มุมต่าง ๆ ของสิ่งนั้น ฉะนั้น เมื่อครั้งโบราณสมัย สำนักนี้ยังมีชื่อเรียกอีกว่า จิตมาตร หรือ สำนัก " เพียงใจ "<!-- google_ad_section_end -->

    โยคาจารจึงเป็นสำนักพุทธสำนักแรกที่ไปพ้นจากการแบ่งแยก ระหว่าง ผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ โยคาจาริกอธิบายว่าความทุกข์และความสับสนทั้งหลาย ล้วนมีมูลมาแต่ความเชื่อผิด ๆ ว่ามีผู้รู้ที่แยกต่างหากอยู่ หากบุคคลเชื่อ ว่าตนรู้โลก ใจจะถูกแบ่งแยก แม้โดยผิวเผินจะดูแจ่มใส แต่ย่อมมีความสับสนอยู่เอง บุคคลผู้สับสนจะรู้สึกว่า ตนนึกคิดได้ และก่อปฏิกิริยากับ ปรากฏการณ์ภายนอกได้ ดังนี้ เขาจึงถูกกักอยู่ในสภาพการณ์ที่มีกิริยา และปฏิกิริยาโต้ตอบกันอย่างไม่หยุดยั้ง แต่สำหรับบุคคลผู้ตรัสรู้แล้วเขา ย่อมตระหนักได้ว่า ความรู้สึกนึกคิดดี ๆ สิ่งที่เรียกว่าโลกภายนอกก็ดี ทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นเพียง " การละเล่นของใจ " เขาย่อมไม่ถูกกักกันอยู่ ในการแบ่งแยกระหว่างตัวผู้กระทำกับผู้ถูกกระทำ ภายในกับภายอก ผู้รู้กับสิ่งถูกรู้ ฉันกับสิ่งอื่น ๆ เพราะทุกสิ่งล้วนเป็นการรู้ตนเอง

    อย่างไรก็ตาม ท่านนาคารชุนก็ยังแย้งหลัก " เพียงใจ " ของโยคาจาริก โดย ตั้งคำถามไปที่การดำรงอยู่ของใจ ท่านมีความแตกฉานในคัมภีร์ปรัชญา- ปารมิตา ทั้งสิบสองเล่ม อันเป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเมื่อครั้ง ที่ทรงเคลื่อนกงล้อธรรมจักรเป็นวาระที่สอง เป็นพระธรรมเทศนาในช่วง มัชฌิมของพระองค์ ครั้นแล้ว ท่านนาคารชุนจึงได้สรุปหลักใหญ่ใจความ อยู่ที่ " การไม่อิงอาศัยด้วยประการทั้งปวง " อันเป็นหลักใหญ่ของสำนัก มาธยมิก ท่านระบุว่า ความเห็นทางปรัชญาใด ๆ ล้วนพิสูจน์ว่าผิดได้ทั้งนั้น เราจะต้องไม่อิงอาศัยกับคำตอบหรือคำอธิบายความเป็นจริงใด ๆ เลยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นที่สุดโต่งหรือแม้ที่เป็นสายกลาง รวมทั้งข้อสรุปที่ว่า " ใจหนึ่งเดียว " แม้แต่การระบุว่าคำตอบอยู่ที่การไม่อิงอาศัย ก็ไม่ใช่สิ่งพึงประสงค์ มรรควิถี ของท่านคารชุนก็คือการไม่สร้างปรัชญา ซึ่งมรรควิถีนี้ก็หาได้เป็นปรัชญา อีกแบบหนึ่งแต่อย่างใดไม่ ท่านกล่าวว่า " ผู้ฉลาดย่อมไม่อิงอาศัยแม้ใน สายกลาง เช่นกัน "

    ปรัชญามาธยมิกจึงเป็นการวิจารณ์ทฤษฏีของฝ่ายโยคาจารที่ว่าทุกอย่าง ล้วนเป็นแง่มุมของใจด้วย โดยแย้งว่า " ถ้ากล่าวว่าใจมีอยู่หรือทุกสิ่งล้วน เป็นการละเล่นของใจหนึ่งเดียว ก็หมายความว่า มีผู้เฝ้าดูใจอยู่ คือผู้รู้ใจ ที่ยืนยันการดำรงอยู่ของ ใจ " เพราะฉะนั้น โยคาจารจึงเป็นทฤษฏีของ ผู้เฝ้าดูอยู่นี้ แต่ตามปรัชญาของโยคาจารที่ว่าด้วยความรู้อันโชติช่วงอยู่เอง นั้น ความคิดเชิงอัตวิสัยเกี่ยวกับสภาพหนึ่ง ๆ ล้วนเป็นมายา จะไม่มีผู้รู้ และผู้ถูกรู้ มีแต่ใจหนึ่งเดียว ซึ่งผู้เฝ้าดูก็เป็นส่วนหนึ่งรวมอยู่ด้วย โดย นัยนี้ การสรุปว่าใจหนึ่งเดียวดำรงอยู่ ย่อมเป็นไปไม่ได้ ดั่งนัยน์ตาที่ไม่ อาจแลเห็นตัวมันเองได้ หรือมีดโกนก็ไม่อาจกรีดตัวเองได้ฉันใด ความรู้ อันโชติช่วงอยู่เองก็ย่อมไม่อาจแลเห็นตัวเองได้ฉันนั้น เพราะโยคาจาร เองก็ย่อมรับอยู่เช่นกัน ว่าไม่มีผู้ใดไปรับรู้ได้ว่าใจหนึ่งเดียวนั้นมีตัวตน อยู่

    แล้วเราจะพูดถึงใจหรือความเป็นจริงได้อย่างไรเล่า ในเมื่อไม่มีผู้ใด รับรู้ใจหรือความเป็นจริง และที่ระบุการดำรงอยู่เป็น " สิ่ง " หนึ่ง ๆ หรือเป็น " รูป " ก็ล้วนเป็นมายา ความจริงก็ไม่มี ผู้รับรู้ความจริงก็ ไม่มี ความคิดเกิดแต่การรับรู้ความเป็นจริงก็ไม่มี แต่เมื่อเราขจัดสมมติ บัญญัติเกี่ยวกับใจและความเป็นจริงออกไป สภาพการณ์จะผุดขึ้นมา อย่างแจ่มชัดเอง ตามที่มันเป็น ไม่มีผู้ใดเฝ้าดูอยู่ ไม่มีผู้ใดรับรู้อะไร ความเป็นจริงเพียงแต่เป็นอยู่อย่างนั้น และนี่คือความหมายของ " ศูนยตา " ด้วยญาณหยั่งรู้ดังนี้เอง ที่ตัวผู้เฝ้าดู ซึ่งคอยแยกเราจากโลก จะถูก ขจัดออกไป

    แล้วความเชื่อว่ามีตัว " ฉัน " กับความสับสนกระเจิดกระเจิงทั้งหลาย เหล่านี้ถือกำเนิดมาแต่ไหนกัน อธิบายอย่างคร่าว ๆ มาธยมิกเห็นว่า เมื่อ การรับรู้ในรูปเกิดขึ้น จะเกิดปฏิกิริยาในเชิงลุ่มหลงและระส่ำระสายขึ้น ในส่วนที่สมมติกันว่าเป็นผู้รับรู้อยู่โดยนัย ปฏิกิริยานี้นี้แทบจะเกิดขึ้น พร้อมกับการรับรู้ก็ว่าได้ อาจห่างกันแค่เสี้ยวของเสี้ยววินาที และทันที ที่เราจำได้หมายรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เราจะตั้งชื่อให้มัน ครั้นตั้งชื่อให้แล้ว สิ่งที่จะตามมาก็คือบัญญัติปรุงแต่งต่อไป เราจะบัญญัติสิ่งนั้นว่าเป็นเช่น นั้นเช่นนี้ ซึ่งก็หมายความว่า เราไม่สามารถรับรู้สิ่งนั้น ๆ ตามที่มันเป็น แล้ว เราได้สร้างม่านกรองหรือฉากบังตาขึ้นระหว่างตัวเรากับสิ่งนั้น นี่เองที่เป็นสิ่งที่ยับยั้งไม่ให้ความสำนึกรู้อย่างต่อเนื่องดำเนินไปได้ ทั้งใน ระหว่างและหลังการทำสมาธิภาวนา ฉากบังตานี้จะคอยกันเราไม่ให้มี ความสำนึกรู้กว้างไกล ให้เคลื่อนจากสภาวะที่เป็นสมาธิภาวนา เพราะ เราย่อมอาจไม่แลเห็นสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็นได้ เป็นอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า เราถูกบีบให้ตั้งชื่อ แปลความหมาย คิดไปเรื่อยเปื่อย และสิ่งเหล่า นี้ก็จะจูงเราถอยห่างจากการรับรู้ที่ตรงดิ่งแม่นยำ เพราะฉะนั้น ศูนยตาจึง หาใช่เป็นเพียงการสำนึกรู้ว่าเราเป็นไฉน เป็นอย่างไร เมื่อสิ่งนี้สิ่งนั้น มากระทบ หากเป็นความแจ่มชัดซึ่งพ้นไปจากบัญญัติบังตาและความ สับสนสิ้นเปลืองทั้งหลาย เราจะไม่หลงอยู่กับสิ่งภายนอก และก็ไม่ไป ข้องเกี่ยวอย่างมีตัวตน เป็นอิสระจาก นี่ และ นั่น เหลือแต่ที่ว่างที่ปราศ จากแบบแผนแบ่งแยก ระหว่างนี่กับนั่น ความหมายของทางสายกลาง หรือมาธยมิก เป็นดังที่กล่าวมานี้แล

    ประสบการณ์ในเรื่องศูนยตา จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาดการรู้จักใช้ศีล และกลวิธีเป็นพื้นฐาน กลวิธีจำเป็นต่อการเริ่มต้น แต่ถึงขั้นหนึ่งแล้วก็ จำเป็นต้องละเสีย และถ้ามองจากแง่มุมของผลที่สุดแล้ว กระบวนการ ชนิดเรียนรู้กับปฏิบัติ หาจำเป็นอย่างใดไม่ เราสามารถรับรู้ภาวะไร้อัตตา ได้ ในชั่วขณะหนึ่ง แต่เราย่อมไม่ยอมรับความจริงพื้น ๆ เยี่ยงนั้น กล่าว อีกนัยหนึ่งเราจะต้องเรียนรู้ที่จะไม่เรียนรู้ เพราะกระบวนการทั้งหมด อยูที่การถอดถอนอัตตาออกไป โดยเริ่มตั้งแต่เรียนรู้ที่จะจัดการกับความ คิดและอารมณ์อันกระเจิดกระเจิง ความเข้าใจในเรื่องความว่างและการ เปิดจะขจัดบัญญัติผิดพลาดทั้งหลายออกไป นี้เป็นประสบการณ์แห่ง ศูนยตา อันหมายถึง " ความว่าง " " ความเปล่า " คือ " ที่ว่าง " นั่นเอง เป็นการว่างจากความคิดบัญญัติทั้งหลาย เพราะเหตุนี้ ท่านนาคารชุนจึง กล่าวไว้ใน ความเห็นเกี่ยวกับมาธยมิก อันเป็นงานชิ้นสำคัญของท่านว่า " ก็ดุจดังดวงอาทิตย์ย่อมขจัดความมืดแล ปราชญ์ผู้อุดมย่อมพิชิตอนุสัย ผิด ๆ ในใจเสียได้ เขาย่อมไม่เห็นจิตใจหรือความคิดใด ๆ อันเกิดแต่ใจ "

    หฤทัยสูตร จบลงด้วย " คาถาอันยิ่ง " ได้แก่มนตร์ คือ ที่กล่าวเป็น คติธิเบตว่า " ฉะนั้น ควรเข้าใจเถิดว่า มนตร์แห่งโลกุตรปัญญา มนตร์ แห่งญาณอันลุ่มลึก มนตร์อันมิมีใดเทียบเทียม มนตร์อันมิมีใดเสมอ เหมือน มนตร์อันสงบรำงับทุกข์ทั้งหลายนี้ คือความจริงแล ไม่อาจ เป็นเท็จไปได้ " อานุภาพแห่งมนตร์นี้ หาได้มาจากอำนาจวิเศษลี้ลับ ของคำไม่ หากมาจากความหมายของคำต่างหาก ที่น่าสนใจคือ เมื่อ พระสูตรได้จบใจความอันว่าด้วยศูนยตา คือ รูปนั้นว่าง ความว่าง ก็คือรูป รูปไม่ใช่อะไรอื่นอกจากความว่าง ความว่างเป็นหนึ่งเดียว กับรูป และอื่น ๆ แล้ว ใจความในพระสูตรยังกล่าวถึงมนตร์ต่อไป ใจ ความช่วงแรกเป็นการพูดถึงสภาวะในการบำเพ็ญสมาธิภาวนา ส่วนใน ช่วงท้ายเป็นการพูดถึงมนตร์หรือคำ เพราะแรกทีเดียวเราจะต้องเกิด ความมั่นใจในความรู้ความเข้าใจของเราเสียก่อน ขจัดสมมติบัญญัติ ทั้งหลายของเราออกไป ไม่ว่าจะเป็นสัสสตวาท หรือนัตถิกวาท บุคคลต้องไปพ้น ต้องตัดเชือกความเชื่อทั้งหลาย และเมื่อบุคคลได้ สำแดงตอย่างหมดเปลือก เปลื้องผ้าออกล่อนจ้อน ลอกหน้ากากออก หมดไม่เหลือ เปลือยเปล่าเปิดออกอย่างสิ้นเชิงแล้ว ชั่วขณะนั้นแล เขาจะเห็นอำนาจของคำ เมื่อเราได้ถลกหนังกำพร้าของอาการหน้า ไหว้หลังหลอกทั้งหลายออกไปจนถึงที่สุด เราจะเริ่มเห็นอัญมณีส่ง ประกายสุกสว่างซึ่งเป็นลักษณะอันทรงพลังและมีชีวิตชีวาของการเปิด เป็นลักษณะอันมีชีวิตชีวาของการยอมจำนน เป็นลักษณะอันมีชีวิตชีวา ของการสละละ

    การสละในที่นี้ไม่ได้หมายเพียงการโยนทิ้ง แต่เมื่อเราได้โยนทุกอย่างทิ้ง ไปแล้ว เราจะเริ่มรู้สึกได้ถึงลักษณะอันมีชีวิตชีวาของความสงบสันติ ความสงบนี้ไม่ใช่ความสงบอย่างอ่อนแอ หรือเปิดอย่างอ่อนแอ แต่ได้ รวมเอาความแข็งแกร่งเข้าไว้ เป็นลักษณะอันตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวเพราะ หาได้มีช่องว่างให้แก่อาการหลอก ๆ อันใดไม่ เป็นความสงบที่แผ่ไป ทุกทิศ ไม่เหลือที่แม้แต่น้อยให้แก่ความลังเลสงสัยหรือความหน้าไหว้ หลังหลอก การเปิดอย่างสิ้นเชิงจึงเป็นชัยชนะชั้นเด็ดขาด เพราะเราไม่ กลัวเกรง เราไม่พยายามปกป้องตัวเองแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น นี่จึงเป็น มนตร์อันยิ่ง ที่กล่าวว่า โอม คเต คเต ปรคเต ปรสัมคเต โพธิ สวาหะ หลายคนคงสงสัยว่า ไฉนจึงกล่าวเช่นนี้ แทนที่จะกล่าว โอม ศูนยตา มหาศูนยตา หรืออะไรทำนองนี้ ทำไมไม่กล่าวว่า คเต คเต " ผ่านไป ผ่านไป ผ่านไปสิ้นแล้ว " ก็เพราะการกล่าวเช่นนี้มีน้ำหนักกว่าการกล่าว คำว่า " ศูนยตา " มากทีเดียว เพราะคำว่า " ศูนยตา " อาจกลายเป็นการ ตีความทางปรัชญาไปก็ได้ ฉะนั้น แทนที่มนตร์บทนี้จะสร้างปรัชญา ขึ้นมา กลับสำแดงสิ่งที่ไปพ้นระบบปรัชญาทั้งหลาย จึงใช้ว่า คเต คเต หมายถึง " ผ่านไป ละแล้ว กำจัดแล้ว เปิดแล้ว " คเต ครั้งแรก คือการ " กำจัดอารมณ์ขัดแย้งอันเป็นฉากบังตา " คเต ครั้งหลัง หมายถึงความ เชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับความเป็นจริง ซึ่งก็เป็นฉากบังตา กล่าวอีกนนัยหนึ่ง คเต แรก แทนความคิดว่า " รูปนั้นว่าง " คเต ที่สองแทน " ความว่างเปล่า " มนตร์คำต่อไปคือ ปรคเต หมายถึง " ผ่านพ้นไป ลอกออกสิ้น " ถึงตรงนี้ รูปก็คือรูป ดังที่กล่าวว่า ปรคเต ใช่แต่เท่านั้น ความว่างเปล่าก็คือความว่าง เปล่า ปรสัมคเต " ผ่านไปสิ้นแล้ว " โพธิ ในที่นี้หมายถึง " ตื่นอย่างหมดจด " หมายความก็คือ " ละหมดลอกหน้ากากออกหมด เปล่าเปลือยเปิดเต็มที่ " ส่วน สวาหะ เป็นคำท้ายมนตร์ที่ใช้กันมาแต่โบราณซึ่งหมายถึง " ดังนี้แล " " ผ่านไป ผ่านไป ผ่านไปพ้น ลอกออกสิ้น ตื่นขึ้นอย่างหมดจด ดังนี้แล "

    โดย ท่านวัชรจารย์ ตรุงปะ รินโปเช

    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 ธันวาคม 2012
  14. อจิตตะ

    อจิตตะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +1,840
    ยกกระทู้ขึ้นมาเพื่อให้เพื่อน ๆ ที่กำลังสนใจในเรื่องการเลื่อนระดับจิตอยู่ ได้ศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม...(อ่านแล้วต้องพิจารณาให้ดีด้วยนะ)
     
  15. ทิวลิปขาว

    ทิวลิปขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +1,555




    กระทู้ดีๆ มาดันอีกรอบ
     
  16. opallza

    opallza รัตนาภรณ์ พิมพ์ดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +44
    มีบางข้อค่ะ
     
  17. puckztales

    puckztales Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +45
    เคยปวดหลังเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็อาจจะเพราะสะพายโน๊ตบุค
     
  18. กะเหรี่ยง

    กะเหรี่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +111
    ไม่น่าเชื่อมีแค่ ๒ข้อที่ยังไม่ใช่แบบเต็มๆ...อ่านแล้วขนลุกเลย
     
  19. pitcha_nate

    pitcha_nate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +1,369
    555555555555555555555

    ได้ ๙ ข้อเองงงงงงง
    แบบยัดเยียดให้ตัวเองด้วยนะ...
    ไม่งั้นเด๋วได้อยู่ช่วง 1-7
    555555555555555555555555555

    ขำง่ะ
    ภาษา....กะความเข้าใจ.....ที่อยู่ภายในนี่นะ.....มันต่างงงงงงกันมว๊าาาาาากกกกกกก

    สนุกดีค่ะ
    ^______^
     
  20. elmaun

    elmaun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +149
    เตือนความจำกันนิดนึงครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...