ข้อความจากต่างมิติ - การดาวน์โหลด และ การผสานรวมเข้ากับตัวตนหลากมิติของตัวเราเอง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 25 พฤษภาคม 2013.

  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    การบูรณาการของจิตสำนึก/ความตระหนักรู้

    ที่มา:

    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    เมื่อใดที่จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ สามารถบูรณาการเข้ากับแสงสว่าง
    จากมิติที่สูงกว่าได้แล้ว ประตูที่อยู่ในใจของพวกคุณ ที่ถูกปิดมานานแล้ว
    ก็จะเริ่มเปิดออก

    แล้วจากนั้นการรับรู้ของพวกคุณ และรวมถึงประสบการณ์ชีวิตของพวกคุณด้วย
    ก็จะขยายตัวมากขึ้น แล้วโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ ที่ก่อนหน้านี้เคยถูกซุกซ่อนเอาไว้
    ในจิตไร้สำนึกของพวกคุณ ก็จะค่อยๆกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของพวกคุณไป

    เอาหละคราวนี้..เราจะกลับไปที่ “วิหารสีม่วง” (the Violet Temple) กันอีกครั้งหนึ่ง
    ซึ่งเป็นที่ๆคุณได้ไปเยือนมาแล้วครั้งหนึ่ง ใน Illumination Door
    เพื่อที่จะได้ดำเนินการขั้นตอนต่อไป ของกระบวนการตื่นรู้ของคุณ
    ไปสู่ความเป็นตัวตนหลากมิติซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของคุณเองต่อไป


    สวัสดีที่รักทั้งหลาย

    ฉันคือ Mytria ฉันขอต้อนรับพวกคุณสู่ “วิหารสีม่วงแห่งการเปลี่ยนรูปแบบ”
    (the Violet Temple of Transmutation) อีกครั้งหนึ่ง
    ซึ่งวิหารนี้ ตั้งอยู่บนดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งที่ชื่อว่า Alycone ซึ่งอยู่ในกลุ่มดาวลูกไก่

    ในช่วงระหว่างที่อยู่ในวิหารในมิติที่ 5 นี้ฉันจะทำหน้าที่เป็นไกด์ให้กับคุณ
    ก่อนหน้านี้ฉันได้แนะนำพวกคุณไปแล้ว ถึงวิธีการเข้าไปใน “เปลวเพลิงสีม่วง”
    ของมิติที่ 6 เพื่อไปเชื่อมต่อกับตัวตนหลากมิติของตัวคุณเอง และเพื่อไปเขียนโฮโลแกรม
    ของตัวคุณเองขึ้นมาใหม่ (ดูลิงค์ข้างล่างนี้นะครับ – ผู้แปล)

    http://www.multidimensions.com/super_illumination_violettemple.html

    ดังนั้นในครั้งนี้ ฉันจะมาช่วยคุณในการบูรณาการเอาประสบการณ์จากมิติที่ 5/6
    ให้รวมเข้ากับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ในมิติที่ 3 ถึง 4 ของคุณ
    ซึ่งการบูรณาการของจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ดังกล่าวนี้ เป็นขั้นตอนแรก
    ของการดาวน์โหลดตัวตนหลากมิติของคุณเองเข้ามาสู่ตัวตนหรือ ego ที่อยู่ในมิติที่ 3 ของคุณ

    (หมายเหตุ: ข้อความต่อไปนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นประสบการณ์ของผู้รับสาส์นเพียงคนเดียว
    แต่ผมคิดว่าพวกเราทุกคนที่เป็นผู้อ่าน ก็สามารถที่จะจินตนาการตามไปด้วยได้เช่นกันนะครับ – ผู้แปล)


    ตอนที่ 1: เข้าสู่ห้องบูรณาการ (Entering the Integration Chamber)

    จงจินตนาการให้เห็นตัวเอง กำลังอยู่ในห้องโถงใหญ่ที่เป็นทางเข้าของวิหารสีม่วง
    บน Alycone อีกครั้งหนึ่ง จินตนาการว่าบริเวณทางเข้าจะมีลักษณะเป็นวงกลมขนาดใหญ่
    และมีเสาที่ส่องแสงเปล่งประกายระยิบระยับอยู่ 7 ต้น ที่ทอดยาวขึ้นไปบรรจบกับ
    แท่งอะเมทิสต์ขนาดมหึมาที่ฝังตัวอยู่บนเพดาน

    ด้านขวามือและด้านซ้ายมือของคุณ คือบันไดทางขึ้นชั้นบนที่ทำด้วยคริสตัลล้วนๆ
    ซึ่งในขณะที่คุณพบว่าตัวเองกำลังอยู่บนบันไดทางขึ้นนี้ คุณจะรู้สึกราวกับว่า
    คุณกำลังอยู่คนเดียว แม้ว่าจะมีคนอื่นๆอยู่ด้วยหลายคนก็ตาม คุณจะรู้สึกว่า
    ตัวเองเป็นเหมือนหยดน้ำหยดหนึ่ง ในมหาสมุทรเท่านั้น คุณกำลังผสานรวมเข้ากับ
    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของ “ความเป็นหนึ่งเดียว” (the ONE) อยู่
    แต่ว่าคุณก็ยังคงรักษาความเป็นปัจเจกบุคคลของคุณเองเอาไว้ได้อยู่

    ไกด์ส่วนตัวของคุณ ผู้ที่เคยพาคุณไปที่เปลวไฟสีม่วงก่อนหน้านี้ ได้กลับมาอีกครั้ง
    เพื่อที่จะปกป้องคุณ ใน “ห้องแห่งการบูรณาการ” ของคุณ

    ซึ่งห้องๆนี้ จะมีรูปร่างเป็นแบบไหนก็ได้ ตามแต่คุณจะเลือกจินตนาการเอา
    แต่จงจำไว้ว่า คุณเพิ่งกลับมาจากเปลวไฟสีม่วงของมิติที่ 6 นะ
    เพราะฉะนั้นแล้ว คุณยังคงมีพลังอำนาจในการสร้างสรรค์โลกแห่งความเป็นจริง
    ของตัวเองอยู่อย่างเต็มพิกัด ตามความปราถนาของคุณเอง

    ไกด์ของคุณนำทางคุณเข้าไปในห้องๆนั้นแล้ว จงใช้เวลาสักครู่เพื่อมองดูรอบๆห้อง
    ที่จินตนาการของคุณเป็นคนสร้างมันขึ้นมา คนแปลกใจในสิ่งที่เห็นไหม?
    และเมื่อคุณนั่งลงอย่างสบายๆได้แล้ว ไกด์ของคุณก็จะออกไปข้างนอกและปิดประตูให้คุณด้วย

    ตอนนี้คุณอยู่คนเดียวแล้ว อยู่คนเดียวภายในตัวเอง ซึ่งหมายความว่า
    คุณกำลังผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทุกๆชีวิตอยู่ด้วย

    ให้ใช้เวลาสักครู่ หรือว่าอาจจะเป็นชั่วโมงก็ได้ หรืออาจจะเป็นปีก็ได้
    เพื่อบูรณาการเอาประสบการณ์ที่ว่านี้ ซึ่งมันจะไม่มีความแตกต่างกันเลย
    ไม่ว่าคุณจะใช้เวลานานแค่ไหนก็ตามแต่ เพราะว่า เมื่อคุณอยู่ภายในตัวคุณเองแล้ว
    “กาลเวลา” ก็จะเป็นเพียงมายาการอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง

    จงทำความคุ้นเคยกับห้องบูรณาการส่วนตัวของคุณ จงมองดูฝาผนังทุกๆด้าน
    รวมถึงมองดูที่พื้น เพดาน และเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ในห้องบูรณาการนี้ด้วย

    คุณรู้สึกอย่างไรกับห้องบูรณาการห้องนี้ ที่อยู่ในตัวคุณเอง?

    จากภายในของตัวคุณเอง ซึ่งหมายถึงภายในของตัวคุณผู้ที่กำลังอยู่ในห้องบูรณาการแห่งนี้
    ให้มองออกไปสู่โลกภายนอกของตัวคุณเอง ในขณะเดียวกัน
    ก็ให้รักษาภาพของห้องบูรณาการแห่งนี้เอาไว้ในใจตลอดเวลาด้วย
    ให้ทำความรู้สึกถึงโลกภายในของตัวคุณเอง ในขณะที่ดวงตาทั้งสองข้างของคุณ
    กำลังเปิดอยู่ และคุณก็กำลังตระหนักรู้ถึงสภาวะแวดล้อมภายนอกของคุณ
    ไปด้วยพร้อมๆกัน อย่างสมบูรณ์แบบ

    ให้รักษาการเชื่อมต่อกับทั้งสองโลกแบบนี้ไว้ ทั้งโลกภายใน และโลกภายนอก
    อย่างมีสติสัมปชัญญะ ให้จดจำความรู้สึก “ตื่น” อยู่ในทั้งสองโลก
    ในขณะเดียวกันแบบนี้เอาไว้ให้ดี


    ..............................................
     
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความจาก Mytria เรื่อง ego ที่บาดเจ็บ
    (The Wounded Ego)


    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html



    สวัสดีอีกครั้งหนึ่ง ฉันคือ Mytria จำได้ไหมว่าฉันจะอยู่ที่นี่เสมอ
    เพราะว่าฉันเป็นรูปธรรมชีวิตในมิติที่ 5 และฉันก็ไม่ถูกจำกัดด้วยกฎของช่องว่างและกาลเวลา
    คุณอาจจะขอให้ฉันช่วยในกระบวนการบูรณาการตัวเองให้เข้ากับตัวตนที่สูงส่งกว่าของคุณเองก็ได้

    ตัวอย่างเช่น ตอนนี้..ในขณะที่คุณกำลังอยู่ในห้องบูรณาการ (Integration Chamber) อยู่นี้
    คุณอาจจะมีคำถามเกี่ยวกับกระบวนการเปลี่ยนรูปแบบที่คุณกำลังเผชิญอยู่นี้ก็ได้

    เมื่อใดที่คุณเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการบูรณาการ
    เพื่อผนวกรวมเอาคลื่นความถี่ที่สูงกว่า
    ให้เข้ามารวมกับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้
    แบบมนุษย์โลกของตัวเองแล้ว
    มันก็จะมีกระบวนการชำระล้างครั้งใหญ่
    ข้อจำกัดของ ego ออกไป เกิดขึ้นตามมาด้วย

    แต่นี่ก็ไม่ใช่การชำระล้างเอา ego
    แห่งความทะนงตนออกไปแต่อย่างใด
    แต่มันเป็นการชำระล้างเอา “ego ที่บาดเจ็บ”
    (wounded ego) ออกไปเท่านั้นเอง

    “Ego ที่บาดเจ็บ” ของคุณ ส่วนใหญ่แล้วมันจะยังคงยึดเกาะอยู่กับจิตสำนึกของคุณอยู่ตลอดเวลา
    แต่โชคดีที่ ตอนนี้มันยึดเกาะน้อยลงกว่าเดิมแล้ว แต่ว่า..ตราบใดที่จิตสำนึกของคุณ
    ยังคงให้ที่หลบภัยแก่ ego ที่บาดเจ็บเหล่านี้อยู่ มันก็จะเป็นการยาก
    ที่คุณจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเองได้

    เพราะว่า ego ที่บาดเจ็บของคุณจะเข้าไปขัดขวาง ไม่ให้คุณสามารถเปิดเผย
    ความเป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมาสู่โลกในมิติที่ 3 นี้ได้อยู่ตลอดเวลา
    เพราะว่า ego ที่บาดเจ็บของคุณ จะยังคงยึดมั่นอยู่กับข้อจำกัดนี้อยู่
    แต่ก็ไม่ใช่เรื่องของการลงโทษแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะว่า มันต้องการที่จะปกป้องคุณ

    กระบวนการปกป้องนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดย ego ของคุณเอง เพราะว่า ego ส่วนที่บาดเจ็บนี้ของคุณ
    มันไม่สามารถที่จะปล่อยให้คุณเสี่ยงที่จะบาดเจ็บเพราะคนอื่นๆได้อีกต่อไปแล้ว

    ในทางกลับกัน ego ที่บาดเจ็บของคุณ
    ก็จะมองเห็นเฉพาะแต่สิ่งที่มันคาดหวังที่จะเห็นเท่านั้น


    มันจะไม่รู้เลยว่า อันที่จริงแล้ว ก็ตัวมันเองนั่นแหละ
    ที่เป็นผู้ “ฉายภาพ” ต่างๆออกมา
    จาก “อดีตอันเจ็บปวด” ของตัวมันเอง
    ครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก
    โดยหวังว่า ครั้งนี้คุณจะ “ทำให้มันถูกต้อง” ได้เสียที

    แต่ว่า..ก็อย่าไปเกรี้ยวกราดกับ ego ที่บาดเจ็บของตัวคุณเองมากจนเกินไปนักหละ
    เพราะว่า “จิตใจ” และ “อารมณ์ความรู้สึก” ของคุณเองต่างหากหละ
    ที่ทำให้ปัญามันยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆอยู่แบบนี้

    “ปัญหาเก่าๆ” ทั้งหลายของคุณ จะมี “ประจุอารมณ์” (emotional charge)
    อยู่รอบๆตัวมันเองอย่างเข้มข้น และพวกมันจะได้รับการหนุนหลังจากพลังงานแห่งความคิด
    ที่สิ้นหวัง ที่ว่า”ฉันไม่มีวันที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงส่วนนี้ของฉันได้”
    เพราะฉะนั้นแล้ว ความตั้งใจของคุณ จึงกลายเป็นว่า “ก็ต้องอยู่กับมันไปเรื่อยๆเท่านั้นเอง”

    แล้ว ego ที่บาดเจ็บของคุณก็จะถามคุณว่า “เมื่อไหร่คุณถึงจะทำให้มันถูกต้องได้ซะทีนะ?”
    แล้วมันก็จะฉายภาพปัญหานั้นๆออกมาสู่โลกภายนอกของคุณเองอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า
    โดยไม่รู้ตัว และด้วยเหตุนี้ รูปแบบความเป็นไปของปัญหา จึงดำเนินต่อไปเช่นนี้เรื่อยๆ

    แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณสามารถเยียวยารักษา “อาการบาดเจ็บภายใน”
    ซึ่งเป็นผู้สร้างให้เกิดพฤติกรรมการปกป้องตัวคุณเองนี้ได้แล้ว
    คุณก็จะสามารถยกระดับความรู้ความเข้าใจของ ego ที่บาดเจ็บของตัวเอง
    ให้ขึ้นไปสู่ระดับความรู้ความเข้าใจของ “ตัวตนที่สูงส่งกว่า”
    หรือ ของ “จิตวิญญาณ” ของตัวคุณเองได้

    แล้วจากนั้น เมื่อใดที่มีปัญหาแบบเดิมๆโผล่ขึ้นมาอีก คุณก็จะสามารถมีสติสัมปชัญญะ
    รับรู้ถึงประจุทางอารมณ์ของมันได้ และสามารถส่งพลังงานแห่ง “ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข”
    จาก “จิตวิญญาณ/ตัวตนที่สูงส่งกว่า” ของตัวเอง ไปเยียวยารักษาความทรงจำของ ego ที่เจ็บปวด
    หรือของตัวคุณเองนี้ได้

    ซึ่งจากทัศนคติของจิตวิญญาณของคุณเองแล้ว คุณก็จะสามารถพูดได้ว่า
    “อันนี้คือบทเรียนบทหนึ่ง (อีกครั้ง) เท่านั้นเอง ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใดเลย
    และฉันก็จะอดทนต่อตัวตนส่วนที่อยู่บนพื้นโลกของฉัน (ego หรือจิตมนุษย์)
    เพราะว่าฉันรู้ว่าชีวิตที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้มันยากลำบากเพียงใด”

    แล้วจากนั้น ความคิดของคุณก็จะเข้าสู่สภาวะสบายใจ,
    มีความรัก, และมีความอดทน ซึ่งนั่นแหละ
    คือสิ่งที่ “ego ที่บาดเจ็บ” ของคุณต้องการหละ

    และด้วยความคิดและอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้เอง คุณก็จะสามารถเปลี่ยนความตั้งใจของตัวเองซะใหม่
    ได้อย่างง่ายดายมากขึ้น จนกลายเป็นว่า “ฉันพร้อมแล้วที่จะปลดปล่อยปัญหานี้ออกไป”

    และความลับก็คือ เมื่อใดที่ ego ที่บาดเจ็บของคุณ
    ที่อยู่ภายในตัวคุณเองนั้น ได้รับการเยียวยารักษา
    โดยพลังแห่งความรักแบบไม่มีเงื่อนไข,
    โดยการยอมรับแบบไม่มีเงื่อนไข
    และโดยการให้อภัยแบบไม่มีเงื่อนไข
    ซึ่งมาจากจิตวิญญาณ/ตัวตนที่สูงส่งกว่าของตัวคุณเอง
    ที่คุณผสานรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวได้แล้วนั้น..แล้ว
    บทละครชีวิตเรื่องเศร้าของโลกภายนอกตัวคุณ
    ก็จะอันตรธานหายไปด้วย....

    ......................................
     
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    การสร้างสรรค์โฮโลแกรมของคุณเองขึ้นมา
    (Creating Your Hologram)

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    ในความเป็นจริงแล้ว ใจความสำคัญที่อยู่ในห้องๆนี้ ก็คือ

    “เหตุการณ์ภายนอกทั้งหมด
    ล้วนถูกสร้างขึ้นมาจากภายในก่อนทั้งสิ้น”


    ซึ่งเมื่อใดที่มันถูกสร้างขึ้นมาจากภายในแล้ว โปรแกรมจากภายในอันนี้
    ก็จะถูกฉายออกมาสู่ภายนอก โดยฉายเข้าไปในโฮโลแกรมที่อยู่ภายนอก
    เพื่อให้พวกคุณสามารถเล่นเกมนั้นๆได้จนกว่าพวกคุณจะ “ชนะมัน”

    ซึ่งการชนะเกมนี้ ก็หมายความว่าพวกคุณได้เรียนรู้บทเรียนต่างๆไปหมดแล้ว
    ได้ทำภาระกิจเสร็จสิ้นสมบูรณ์ไปหมดทุกอย่างแล้ว หรือได้เรียนจบชั้นเรียนชั้นนั้นๆแล้ว
    และเป็นอิสระ ที่จะสามารถเลื่อนชั้นขึ้นไปสู่ชั้นเรียนถัดไปได้แล้ว นั่นเอง

    แต่โชคไม่ดีนัก ที่มิติที่ 3 เป็นมิติที่เต็มไปด้วยวัฎจักรของช่องว่างและกาลเวลา
    จึงทำให้บทเรียนบทเดิม ถูกนำมาเสนอครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก อยู่อย่างนั้น
    ไม่จบไม่สิ้นซะที ซึ่งการเกิดซ้ำแต่ละครั้งของบทเรียนบทเดิมๆที่ว่านั้น
    ก็อาจจะไม่มีความแตกต่างกันเลย หรือว่ามีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยก็เป็นได้

    และที่วงจรเหล่านี้มันเกิดขึ้นซ้ำอยู่อย่างนั้น
    ก็เพื่อที่จะเตือนให้พวกคุณรู้ว่า
    อันที่จริงแล้ว มันมีบทเรียนเพียงแค่บทเรียนเดียวเท่านั้นเอง
    ซึ่งก็คือ บทเรียนระหว่าง “ความรัก กับ ความกลัว”

    ความรักและความกลัว เป็นผู้สร้างให้เกิดชีวิตทางกายภาพขึ้นมาด้วยกันทั้งคู่
    ซึ่งเมื่อใดที่พวกคุณสร้างสรรค์ด้วย “ความรัก” พวกคุณก็จะได้รับประสบการณ์ของ
    “จิตสำนึกแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน” (Unity Consciousness) เพิ่มขึ้นมา
    แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเมื่อใดที่พวกคุณสร้างสรรค์ด้วย “ความกลัว” แล้วหละก็
    พวกคุณก็จะได้รับประสบการณ์ของ ““จิตสำนึกแห่งความเป็นปัจเจกบุคคล”
    (Individual Consciousness) เพิ่มขึ้นมาแทน

    พวกคุณเห็นไหมว่า “ความกลัว” ไม่ใช่สิ่งที่ “เลวร้าย” เลย
    พอๆกับที่ “ความรัก” ก็ไม่ใช่สิ่งที่ “ดีงาม” แต่อย่างใดเลย


    เพราะว่าคำว่า “ดี” และ “เลว” นั้น
    เป็นขั้วตรงกันข้ามกัน และความมีขั้วนี้
    ก็จะเกิดขึ้นกับมิติที่ 3 และ 4 เท่านั้น

    แต่ “ความกลัว/ความเป็นปัจเจกบุคคล” สามารถที่จะนำพาพวกคุณ
    เข้าไปสู่อาณาเขตของความโหดร้าย และความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ที่มีต่อมนุษย์ด้วยกันได้
    ซึ่งสิ่งนี้แหละที่กำลังระบาดไปทั่ว ในช่องว่างและกาลเวลา ในส่วนที่พวกคุณกำลังอาศัยอยู่นี้อยู่

    แต่ว่า “ความรัก/ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” ก็จะสามารถนำพาพวกคุณ
    ให้เข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่มีจิตใจแตกต่างไปจากกลุ่มแรกอย่างสุดขั้วได้เช่นเดียวกัน
    ซึ่งก็จะเป็นที่ๆปราศจากความเป็นปัจเจกบุคคล

    แต่จงจำไว้ว่า ความสุดขั้วของทั้งสองขั้วนี้ จะมาบรรจบกัน
    และจะค่อยๆผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ในมิติที่ 5
    และในมิติที่สูงๆกว่าขึ้นไป

    เพราะฉะนั้นแล้ว จงหาจุดกึ่งกลางให้เจอ
    เพื่อที่พวกคุณจะได้สามารถผสมผสานเอา
    “จิตสำนึกแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันของความรัก”
    ให้เข้ากับ “จิตสำนึกแห่งความเป็นปัจเจกบุคคลของความกลัว” ให้ได้

    ด้วยวิธีนี้ พวกคุณก็จะสามารถผสานรวมเอาขั้วทั้งสอง
    ของมิติที่ 3 เข้าด้วยกันได้ และก็จะสามารถเรียนรู้
    ที่จะดำรงชีวิตอยู่ในโลกที่อยู่สูงกว่า ที่ปราศจากความเป็นขั้ว
    ณ.จุดที่อยู่ตรงกลาง ระหว่างทั้งสองขั้วนั้นได้

    ดังนั้น จงอย่าไปทำให้ “ความกลัว” กลายเป็น “ศัตรู” ของพวกคุณไป
    เพราะว่าความกลัว ก็สามารถที่จะผลักดันพวกคุณ
    ให้หันเหความสนใจกลับเข้ามาสู่ภายในของตัวเองได้ด้วย
    ซึ่งด้วยวิธีนี้ พวกคุณก็จะสามารถค้นพบเครื่องฉายโฮโลแกรมที่อยู่ภายในตัวเองได้
    ซึ่งมันกำลังฉายภาพบทละครชีวิตของตัวคุณเอง ออกจากแหล่งกำเนิดภายใน
    ให้ออกมาสู่โลกภายนอกทางกายของพวกคุณเองอยู่

    แต่ในทางกลับกัน ประสบการณ์แห่งความกลัวของพวกคุณ ที่เกิดขึ้นจากโลกภายนอกนี้
    ก็คือสิ่งที่จะผลักดันให้พวกคุณ กลับเข้าสู่ภายใน เพื่อค้นหาประสบการณ์แห่งความรัก
    ที่อยู่ภายในตัวเอง แล้วจากนั้น จงยินยอมให้ความรักจากภายในของพวกคุณเอง
    เป็นผู้สร้างสรรค์โฮโลแกรมแห่งจิตสำนึกอันปรอดโปร่งออกมา
    และสร้างความเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง ว่าพวกคุณจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้

    จงรู้สึกถึงพลังอำนาจแห่งการสร้างสรรค์ของตัวตนหลากมิติของตัวพวกคุณเอง
    แล้วจงยินยอมให้จิตวิญญาณของพวกคุณ ค้นพาความสมดุลระหว่างความรักกับความกลัวให้เจอ
    เพื่อที่จะได้ปลดปล่อยมายาการและปัญหาในมิติที่ 3 ของพวกคุณให้ออกไป

    ซึ่งด้วยวิธีนี้ พวกคุณก็จะสามารถบูรณาการเอาจิตสำนึกที่สูงส่งกว่าของตัวเอง
    ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของพวกคุณเองได้

    และด้วยจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของตัวตนที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าของพวกคุณเองนี้
    พวกคุณก็จะสามารถเข้าไปข้างในตัวเอง เพื่อไปปลดปล่อยสิ่งที่พวกคุณไม่ต้องการที่จะมีประสบการณ์กับมัน
    ในโฮโลแกรมภายนอกของพวกคุณเอง อีกต่อไปแล้ว ให้ออกไปได้

    สิ่งที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่ง ที่พวกคุณจะต้องปลดปล่อยออกไปในเวลานี้ก็คือ
    “ความไม่อดทน” เพราะว่าความไม่อดทน จะทำให้พวกคุณเลิกล้มความตั้งใจ และทิ้งไป
    ซึ่งนั่นแหละคือความล้มเหลวอย่างแท้จริงหละ

    ยิ่งพวกคุณสามารถจดจำภาระกิจของตัวเองได้ยิ่งมากเท่าไหร่ พวกคุณก็จะยิ่งเป็นอิสระ
    จากความไม่อดทนของตัวเองได้มากเท่านั้นด้วย แล้วพวกคุณก็จะสามารถไหลไปตามกระแสได้
    และพวกคุณก็จะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเป็นไปตามความประสงค์ของจิตวิญญาณของพวกคุณเองอยู่


    .........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2013
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    การเลิกตัดสินชี้ถูกผิด (Releasing Judgment)

    ที่มา:

    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html



    ในขณะที่คุณกำลังดำเนินชีวิตต่อไปตามปกติในโลก 3 มิติของคุณอยู่นี้
    คุณอาจจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรให้มันมีความก้าวหน้าขึ้นมาเลย
    ในห้องบูรณาการแห่งนี้ แต่ว่า..มันมีอยู่นะ..เพราะว่า แม้ว่าคุณอาจจะไม่มีสติรู้เห็นมันก็ตาม
    แต่ว่าคุณก็กำลังเผชิญหน้ากับความทะนงตนตั้งแต่ครั้งบรรพกาลของตัวเองอยู่
    ซึ่งเจ้าความทะนงตนเก่าแก่และอยู่ในระดับจิตไร้สำนึกอันนี้ มันจำเป็นจะต้องถูกชำระสะสางให้หมดไป
    เพื่อที่คุณจะได้ก้าวขึ้นไปสู่มิติที่ 5 ได้อย่างมีสติสัมปชัญญะ

    ความทะนงตนนี้ จริงๆแล้วก็คือความกลัวอีกรูปแบบหนึ่ง
    ที่คุณกลัวว่าตัวเองจะ “ไม่ดีพอ” และจากความกลัวอันนี้
    มันก็จะทำให้เกิดพฤติกรรมแห่งความทะนงตนขึ้นมา
    ซึ่งก็จะทำให้คุณเที่ยวไปตัดสินชี้ถูกผิดคนอื่นไปทั่ว
    เพื่อที่คุณจะได้รู้สึกว่า ตัวคุณเอง “ดีกว่า” คนโน้นคนนี้
    และ “ดีพอแล้ว” นั่นเอง


    “ความกลัวที่จะถูกคนอื่นตัดสิน” เกิดจากการที่คุณเที่ยวไปตัดสินคนอื่นไว้เมื่อในอดีต
    แล้วคุณก็เลยเกิดความกลัวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวว่า มันจะย้อนกลับมาหาคุณ
    ซึ่งในขณะที่จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคุณ กำลังจะกลายเป็นจิตสำนึก/ความตระหนักรู้
    ของมิติที่ 5 และ 6 อยู่นี้ การสร้างสรรค์ของคุณ ก็จะเกิดขึ้นเกือบจะทันทีทันใดเลยทีเดียว
    แล้วคุณก็จะได้รับรู้แบบเกือบจะทันทีทันใดด้วยเช่นกันว่า

    “สิ่งใดที่คุณเที่ยวไปตัดสินเอาไว้
    คุณก็จะกลายเป็นสิ่งนั้นแหละ”


    ดังนั้น จงใช้โอกาสอันนี้เพื่อให้อภัยแก่ตัวเองเสีย สำหรับการตัดสินชี้ถูกผิดคนอื่นๆทั้งหมดที่ผ่านมา
    ซึ่งเมื่อใดที่คุณสามารถให้อภัยแก่ตัวเองได้แล้ว คุณก็จะสามารถปลดปล่อย “ประจุอารมณ์”
    (emotional charge) ที่จะไปดึงดูดเอาพลังงานด้านลบ ให้ย้อนกลับมาหาคุณจริงๆ ออกไปได้

    และมันก็เป็นความคิดที่ดีด้วย ที่จะชำระสะสางการตัดสินชี้ถูกผิดคนอื่น ให้หมดสิ้นไป
    ภายในเปลวเพลิงสีม่วงนี้ เพื่อที่พวกมันจะได้ถูกกำจัดออกไปจากออร่าของคุณเสีย
    และคุณก็สามารถที่จะใช้เปลวเพลิงสีม่วงนี้ได้ด้วย ถ้าคุณมีความคิดแห่งความกลัวเกิดขึ้นมาว่า
    คุณไม่ต้องการที่จะเนรมิตมันขึ้นมา เพราะว่าตราบใดที่เจ้าการตัดสินชี้ถูกผิด และ ความกลัวนี้
    ยังอยู่ในออร่าของคุณ ก็เหมือนกับว่ามันกำลัง “จ่อคิว” อยู่ ดังนั้น มันจึงพร้อมทุกเมื่อ
    ที่จะถูกฉายออกมาสู่โฮโลแกรมภายนอกของคุณ

    จงจำไว้ว่า การตัดสินชี้ถูกผิด จริงๆแล้วมันก็คือความกลัวที่คุณมีต่อคนอื่น
    ดังนั้น คุณจึงเที่ยวไปตัดสินพวกเขา เพื่อที่จะทำให้ตัวเอง “อยู่เหนือกว่า” พวกเขาให้ได้
    และเพื่อที่จะทำให้คุณรู้สึกว่า มีพลังอำนาจมากขึ้น เพราะได้ทำให้ความกลัวของตัวเอง
    บรรเทาลงไปได้แล้ว

    เมื่อใดที่คุณสามารถบูรณาการเอาจิตสำนึกที่สูงส่งกว่าของตัวเองให้เข้ากับชีวิตประจำวันของคุณได้แล้ว
    คุณก็จะมองเห็นโลกจากมุมมองของจิตวิญญาณของคุณเองแทน ซึ่งมุมมองที่สูงกว่านี้
    จะทำให้คุณรู้ความจริงหลายอย่าง ที่จะทำให้ความกลัวของคุณสงบลงได้
    และจะทำให้พลังอำนาจที่อยู่ภายในตัวคุณถูกปลุกเร้าขึ้นมาได้

    แล้วจากนั้นพลังอำนาจภายในของคุณ ก็จะมาอยู่ในออร่าของคุณแทน
    และพร้อมที่จะถูกฉายออกมาสู่โฮโลแกรมของคุณทุกเมื่อ


    เมื่อใดที่คุณสามารถบูรณาการเอาจิตสำนึกที่อยู่ในมิติที่ 6 ของตัวเอง
    เข้ามาสู่จิตสำนึกที่อยู่ในมิติที่ 3 ของตัวเองได้แล้ว คุณก็จะกลายเป็น “ผู้สร้าง”
    ที่สามารถสร้างอะไรขึ้นมาก็ได้แบบฉับพลันทันที และดังนั้น ความคิดที่สับสนใดๆ
    หรือ ความกลัวใดๆก็ตามของคุณ ก็จะไปเนรมิตให้เกิดสิ่งต่างๆขึ้นมาในทันทีด้วยเช่นกัน

    จงจำไว้ว่า “อะไรก็ตามที่มีอยู่ “ภายนอก”
    ก็คือสิ่งที่สะท้อนออกมาจาก “ภายใน” นั่นเอง”

    ดังนั้น มันจึงเป็นเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้อย่างหนึ่ง ที่คุณเองเป็นคนสร้างมันขึ้นมา
    เพื่อที่คุณจะได้สามารถรับรู้ ถึงสิ่งที่อยู่ภายในจิตไร้สำนึกของตัวเองได้
    ว่า “สิ่งใดที่คุณตัดสินเอาไว้ คุณก็จะกลายเป็นสิ่งนั้น” ดังนั้น คุณก็จะมีความเข้าใจมากขึ้น
    และมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น จนคุณสามารถที่รักตัวเองและผู้อื่นแบบไม่มีเงื่อนไขได้

    จงรู้เอาไว้ด้วยว่า มาตรฐานที่คุณเที่ยวเอาไปใช้วัดคนอื่นนั้น
    มันก็จะถูกนำมาใช้วัดตัวคุณเองด้วยโดยไม่รู้ตัว
    และในทางกลับกัน สิ่งที่คุณใช้เพื่อตัดสินตัวเอง
    ก็คือสิ่งที่คุณใช้เพื่อตัดสินคนอื่นด้วย

    ดังนั้น อย่าไปตัดสิน ตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้
    ของตัวคุณเองเลย
    เพราะว่ามันก็คือส่วนหนึ่งของคุณด้วย
    และมันก็มีความกล้าหาญมากซะด้วย

    ตัวตนทางกายภาพนี้ของคุณ ก็คือส่วนที่มีความสั่นสะเทือนต่ำที่สุด
    ของตัวตนรวมทั้งหมดของตัวคุณเอง และมันก็คือส่วนที่เก็บรักษาความทรงจำทั้งหมด
    และ ประสบการณ์ทั้งหมด ของทุกภพทุกชาติ ที่คุณมาเกิดในมิติที่ 3 และ 4 นี้เอาไว้

    ตัวตนอันเป็นที่รักส่วนนี้ของตัวตนรวมทั้งหมดของพวกคุณ
    ต้องการความรักจากพวกคุณเป็นอย่างมาก
    แต่โชคร้าย ที่พวกคุณเอาแต่ดูถูกเหยียดหยามมันอยู่ตลอดเวลา

    โลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพนี้ของพวกคุณ
    ได้มอบโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้แก่พวกคุณ
    ในการมามีส่วนร่วมในในเหตุการณ์ครั้งสำคัญระดับเอกภพในครั้งนี้

    และร่างกายเนื้อของพวกคุณ
    ก็เป็นทั้งเพื่อน และ ทาส
    ผู้ซื่อสัตย์มากที่สุดของพวกคุณด้วย


    ร่างกายเนื้อของพวกคุณ ได้พาพวกคุณไปไหนต่อไหนอยู่ตลอดเวลา
    เท่าที่คุณอยากจะไป เพื่อไปมีประสบการณ์ต่างๆ ที่จำเป็นต่อการขยายตัว
    ของจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของตัวคุณเอง

    และคราวนี้ พวกคุณก็กำลังขอให้เจ้าร่างกายเนื้ออันนี้
    มันเปลี่ยนสภาพจากองค์ประกอบที่เป็นธาตุคาร์บอน
    ไปเป็นองค์ประกอบที่เป็นแสงสว่างอยู่


    พวกคุณเห็นไหมว่า มันมีความจำเป็นมากแค่ไหน
    ที่จะต้อง “รักตัวเอง หรือ รักเจ้า ego ที่บาดเจ็บนี้
    อย่างไม่มีเงื่อนไข”


    จงจำไว้ว่า อะไรก็ตามที่ตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้ของคุณ บอกว่ามันคือ “ปัญหา”
    จิตวิญญาณของคุณจะบอกว่ามันคือ “บทเรียน” ทั้งหมด
    ดังนั้น คุณจึงไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เพราะว่าคุณแค่ยังเรียนบทเรียนเหล่านั้นไม่จบเท่านั้นเอง

    และเมื่อใดที่คุณยินยอมให้จิตวิญญาณของคุณ มาทำหน้าที่เป็นกัปตันให้กับร่างกายเนื้อของคุณได้แล้ว
    สิ่งที่คุณเรียกว่า “ปัญหา” ของตัวเองทั้งหมดนั้น ก็จะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปแล้ว
    เพราะว่าคุณจะได้เรียนรู้ “บทเรียน” เหล่านั้นของคุณแทน


    .................................................
     
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    การกลับไปสู่ตัวตนของตัวเอง (Return to Self)

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    คุณได้ใช้ความพยายามอย่างมาก เพื่อขยายจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ ของตัวเองออกไปมาแล้ว
    แต่ว่าตอนนี้ คุณกำลังจะก้าวเข้าไปสู่ยุคที่จะไม่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากแบบนั้นอีกแล้ว
    เพราะว่าตอนนี้ พวกคุณกำลังเตรียมตัวที่จะกลับไปสู่ตัวตนของตัวเองอยู่

    ดังนั้น จงอย่าไปโทษร่างกายเนื้อนี้ หรือชีวิตนี้
    ที่คุณได้สร้างมันขึ้นมาเอง
    และก็กำลังสร้างอยู่ แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้เลย


    เพราะว่าความสวยงามของร่างกาย
    ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปร่างและขนาดของมัน
    แต่ความสวยงามของร่างกาย
    มาจากความสามารถใน “การให้”
    และ “การรับ” “ความรัก” ต่างหากหละ

    ส่วนความสำเร็จ ก็ไม่ได้มาจากความคิดของคนอื่นด้วย
    เพราะว่าความสำเร็จ ย่อมมาจากการค้นพบตัวตนของตัวเอง
    และก็สามารถแสดงมันออกมาอยู่เสมอได้ต่างหากหละ


    จงปลดปล่อยความทรงจำทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับ
    “ความละอาย” และ ความเจ็บปวด
    ที่มีมาตั้งแต่อดีตชาติของตัวคุณเองออกไปเสีย
    และจงเลือกที่จะจดจำแต่ “ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข”
    ที่ถูกแผ่ส่งลงมา จากตัวตนหลากมิติของตัวคุณเองแทน

    เพราะว่าด้วยความรักแบบไม่มีเงื่อนไขนี้เอง
    ที่จะทำให้คุณมีสุขภาพที่ดี
    และมีความสุขอย่างต่อเนื่องยาวนานได้
    ซึ่งมันก็จะไปช่วยเหลือ
    ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงสภาพครั้งใหญ่ครั้งนี้ของคุณด้วย

    อีกครั้งหนึ่ง จงผ่อนคลายอยู่ภายในตัวคุณเอง
    และจงรู้สึกถึงกระแสการไหล
    ของกระบวนการที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ภายในตัวคุณเอง
    จงทำกิจธุระประจำวันของคุณไปตามปกติ
    แต่จงรู้ไว้เสมอว่า ลึกๆข้างในนั้น
    คุณกำลังอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงสภาพอยู่

    จงใช้เวลาสักครู่เพื่อคิดทบทวนว่า:

    - อะไรคือปัญหาที่คุณอยากจะแก้ไข?

    - ให้ทำความรู้สึกถึง “ประจุทางอารมณ์” ของปัญหานั้นๆ

    (ประจุทางอารมณ์ น่าจะหมายถึงว่า มันมีอารมณ์แบบไหนเข้ามาเกาะติดอยู่กับปัญหานั้นๆ
    เช่น อารมณ์บวก อารมณ์ลบ อะไรแบบนั้นกระมังครับ – ผู้แปล)

    - แล้วให้รับฟังเสียงจาก “ความคิด” ทั้งหลาย ที่มาพร้อมกับปัญหานั้นๆ

    - แล้วจากนั้น ก็ให้รับรู้ถึง “ความตั้งใจ” ที่มาพร้อมกับความคิดและอารมณ์เหล่านั้น

    - จากนั้นก็ให้รับฟังเสียงจากภายในของตัวคุณเอง ที่มาจากตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 5 ถึง 6 ของตัวคุณเอง

    - แล้วจากนั้น ก็ปล่อยให้ “จิตวิญญาณ” ของคุณ “แสดงให้เห็น” หรือ “บอก”
    และ/หรือ ช่วยเหลือคุณ ในการจดจำให้ได้ว่า ครั้งแรกที่ปัญหานั้นๆเกิดขึ้นกับคุณ คือเมื่อไหร่

    - อะไรคือพฤติกรรมการปกป้องตัวเอง ที่ถูกสร้างขึ้นมาครั้งแรก เพื่อทำให้คุณสบายใจ

    - แล้วจากนั้นก็ปล่อยให้จิตวิญญาณของคุณนำเอา “ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข”
    มาใส่ไว้แทนที่ “ego ที่บาดเจ็บ” ของตัวคุณเองเสีย

    - แล้วจากนั้นก็จงยอมรับ และ ให้อภัย เพื่อที่คุณจะได้:
    - ทำให้อารมณ์นั้นๆ มันเบาสบายขึ้น
    - เลือกความคิดที่เป็นบวก
    - เลือกความตั้งใจที่มีพลังอำนาจซักอย่างขึ้นมา

    - ปลดปล่อยปัญหานั้นๆ ที่เป็น “ข้อแก้ตัว” หรือ “เหตุผล”
    สำหรับการกระทำของ “ego ที่บาดเจ็บ” ของตัวคุณเอง ออกไป

    - จงตั้งใจให้แน่วแน่ ว่าจะกระทำการใดๆ จากพลังอำนาจที่อยู่ภายในจิตวิญญาณ
    หรืออยู่ในตัวตนของตัวเอง

    - ซึ่งจากมุมมองดังกล่าวนี้ จงเลือกที่จะสร้าง “โฮโลแกรมใหม่ ที่ดีกว่าเดิม”
    ของชีวิตประจำวันของตัวคุณเองขึ้นมา

    ……………….
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2013
  6. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    คิดบวก ก่ เป็นตัวตนของตนเอง
    คิดลบ ก่ เป็นตัวตนของตนเอง

    ไม่ต้องกำหนด ไม่ต้องบีบเค้น ปล่อยให้เกิด
    ไปไม่ต้องยึดถือ สิ่งใด ปล่อยตนเองเป็นอิสระ

    คิดลบ ก่ เป็นของเรา
    คิดบวก ก่ เป็นของเรา

    จะทิ้งก่ ไม่ได้
    แต่มันมี มันเกิด ก่ ให้รับทุกกรณี
    ดูรู้ไปเฉยๆ แต่อย่าเบียดเบียน ใคร เท่านั้น
    นอบน้อมให้เป็น
     
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ส่วนที่ 2: การยอมจำนนต่อจิตวิญญาณของเราเอง
    (Surrendering to Soul)

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    ในส่วนลึกของจิตสำนึกแล้ว คุณเริ่มที่จะเข้าใจแล้วว่า คุณกำลังค่อยๆสร้างร่างกายเนื้อแบบใหม่ขึ้นมาอยู่
    คุณรู้ว่า กระบวนการนี้ มันจะต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป เพื่อที่คุณจะได้สามารถปรับตัวได้
    และจะได้ “ยังมีชีวิตอยู่” ได้ ในร่างกายเนื้ออันนี้ของคุณ

    กระบวนการนี้จะเหมือนกับการปรับปรุงบ้านใหม่ของคุณให้ดีขึ้น
    ในขณะที่คุณก็ยังอาศัยอยู่ในบ้านนั้นอยู่
    ดังนั้น ในระหว่างที่โครงสร้างใหม่กำลังถูกสร้างขึ้นมาอยู่นั้น
    ทุกสิ่งทุกอย่างก็อาจจะดูยุ่งเหยิงไปหมดเป็นธรรมดา

    ความลับของกระบวนการนี้ก็คือ
    การยินยอมให้จิตวิญญาณของตัวคุณเอง
    หรือตัวตนแก่นแท้สูงสุดของคุณเอง
    ที่คุณได้พบในระหว่างที่อยู่ในเปลวเพลิงสีม่วง
    (เขาพูดกับผู้รับสาส์นนะครับ – ผู้แปล) นั้น
    สามารถเข้ามาผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ
    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้
    ที่อยู่ในมิติ 3 ถึง 4 ของคุณเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ

    เพราะคุณรู้อยู่ว่า จุดหมายที่ชีวิตของคุณจะไปถึงนั้น
    มันเกินขีดความสามารถของ ego ของคุณ ที่จะทำให้มันเกิดขึ้นได้


    ดังนั้น ทั้งหมดที่ ego ของคุณจะทำได้ก็คือ
    “ปล่อย” พวงมาลัยเรือซะ
    แล้วยินยอมให้ตัวตนหลากมิติของคุณ
    เป็นผู้ทำหน้าที่ควบคุมแทน

    จงเลือกที่จะ “ยินยอมให้จิตวิญญาณของคุณ
    สามารถเข้ามาควบคุมร่างกายเนื้อของคุณได้ทุกอย่าง”

    แล้วหลังจากนั้น จิตวิญญาณของคุณ ถึงจะสามารถมาทำหน้าที่เป็นกัปตันเรือ
    ให้กับร่างกายเนื้อของคุณได้ แล้ว ego ของคุณ ก็จะมาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยกัปตันแทน
    เพื่อดูแลเรื่องทางโลกทั้งหมดให้กับคุณ


    .........................................................................

    อาการของการเปลี่ยนรูปแบบ
    (Symptoms of Transformation)

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


    ในระหว่างที่กระบวนการแห่งการยอมจำนนต่อจิตวิญญาณของตัวคุณเอง
    กำลังดำเนินต่อไปเรื่อยๆอยู่นี้ คุณอาจจะมีอาการหลายอย่าง
    ที่คล้ายๆกับอาการเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดขึ้น ซึ่งอาการแห่งการเปลี่ยนรูปแบบเหล่านี้
    อาจจะได้แก่:


    1). อาการสับสนมึนงง และ รู้สึกเบลอๆ ความรู้สึกนี้เกิดจากการที่จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคุณ
    กำลังขยายตัวออกไปเรื่อยๆ ไปสู่คลื่นความถี่ที่มันไม่เคยรับรู้แบบมีสติสัมปชัญญะมาก่อน

    ที่คุณรู้สึกสับสนและมึนงงก็เพราะว่า คุณยังไม่สามารถที่จะรับสัญญาณได้อย่างชัดเจนมากเพียงพอ
    และอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณรู้สึกสับสนและมึนงง ก็คือ ขอบเขตของความตระหนักรู้ของคุณ
    กำลังขยายตัวออกมานอกขอบเขตที่มันคุ้นเคยอยู่ จนทำให้คุณยากที่จะ “ปรับจูน” การรับรู้ของตัวเอง
    ให้อยู่แต่ในโลก 3 มิตินี้ได้


    2). กาลเวลาก็ดูเหมือนว่าจะผ่านไปอย่างรวดเร็วกว่าแต่ก่อนด้วย
    เมื่อใดที่คุณมีประสบการณ์กับมิติที่ 5 อย่างมีสติสัมปชัญญะ เป็นครั้งแรกได้แ้ล้ว
    กาลเวลาก็จะดูเหมือนว่า มันผ่านไปอย่างรวดเร็วมากๆ เพราะว่าอัตราความสั่นสะเทือนของคุณ
    สูงกว่าของผู้คนที่อยู่รอบๆตัวคุณมาก

    แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่ความตระหนักรู้/จิตสำนึกของคุณ
    สามารถขยายตัวจนไปถึงมิติที่ 6 ได้แล้วนั้น
    คุณก็จะคุ้นเคยกับสภาวะ “ไร้กาลเวลา” มากขึ้น
    และคุณก็จะรู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องลดความเร็วลง


    และเมื่อใดที่คุณรู้สึกว่าคุณ “ได้อยู่บ้าน” กับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้
    ที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าของตัวคุณเองแล้ว คุณก็จะมีชีวิตอยู่นอกเหนือข้อจำกัด
    ของกาลเวลา ของมิติที่ 3 นี้ เพราะฉะนั้นแล้ว คุณก็จะรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นอะไร
    ที่จะต้องเร่งรีบทำอะไรอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าคุณรู้อยู่แล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง
    จะเป็นไปตามจังหวะที่เหมาะสม และในช่วงเวลาที่เหมาะสมของมันเอง


    3). คุณอาจจะมีอาการปวดศรีษะด้วย หรือแม้แต่เป็นไมเกรนด้วยซ้ำไป
    และคุณอาจจะมีอาการปวดท้องด้วย เพราะว่า “การไหลย้อนกลับของกรดในกระเพาะอาหาร”
    (Acid reflux syndrome) คืออาการโดยทั่วไปของผู้ที่กำลังอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนรูปแบบนี้

    เพราะว่ากระบวนการทางชีวเคมีในร่างกายของคุณ จำเป็นจะต้องปรับตัวมันเอง
    เพื่อให้เข้ากับระดับความสั่นสะเทือนใหม่นี้ และอวัยวะต่างๆที่เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหารของคุณ
    ก็กำลังปรับตัวมันเองอยู่เช่นเดียวกัน


    4). การเป็นหวัด หรือ เป็นไข้หวัดนั้น อาจจะเกิดขึ้นด้วย คุณอาจจะมีอาการหน้ามืดตาลาย
    และสายตาของคุณก็อาจจะดูเหมือนว่าอ่อนแอลง พร้อมๆกับมีอาการปวดคอ
    หรือปวดศรีษะบริเวณด้านหลังศรีษะด้วย


    5). มันอาจจะมีอาการอื่นๆที่เกิดจากกระบวนการ “ชำระล้าง” ตามมาด้วย
    เช่น อาการเวียนศรีษะ, ท้องเสีย, ปวดตามข้อ, คลื่นไส้, เลอะเลือน,
    รูปแบบการนอนหลับถูกรบกวน หรือมีอาการอ่อนเพลีย เป็นต้น

    อาการทั้งหมดเหล่านี้ คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าร่างกายเนื้อของคุณ
    กำลังพยายามปรับตัวมันเองให้เข้ากับคลื่นความสั่นสะเทือนใหม่อยู่



    6). ในทางบวก คุณอาจจะรู้สึกมีความสุข และสนุกสนามมากขึ้น และรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นด้วย
    ความกลัวของคุณ จะค่อยๆลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะว่าคุณจะมีความรู้สึกว่า
    คุณกำลังได้รับการปกป้องจากคลื่นความสั่นสะเทือนที่สูงขึ้นของตัวคุณเองอยู่

    คุณจะมีความรู้สึกว่า ไม่อินไปกับปัญหาในชีวิตประจำวันของตัวเองมากสักเท่าไหร่แล้ว
    ซึ่งอิสระภาพอันนี้เอง ที่ช่วยให้คุณมี “เวลา” มากขึ้นที่จะมีความคิดสร้างสรรค์หละ


    7). คุณอาจจะมีประสบการณ์กับ การเพิ่มขึ้นของความสามารถทางจิตของตัวเองด้วย
    เช่น การโทรจิต, การหยั่งรู้ถึงความคิดและความรู้สึกของผู้อื่นได้, การมีหูทิพย์,
    และ การมีตาทิพย์ เป็นต้น

    คุณอาจจะมีความฝันเกี่ยวอดีตชาติของตัวเอง หรือ ฝันถึงเหตุการณ์ในวัยเด็กของตัวเอง
    หรือ สามารถระลึกชาติ หรือเหตุการณ์ในวัยเด็กของตัวเองได้แบบปุบปับ

    และความตั้งใจของคุณก็จะแรงกล้ามากขึ้นด้วย เพราะว่าคุณจะรู้สึกว่า
    คุณจะต้องทำอะไรซักอย่างที่มีความสำคัญให้ได้


    8). ความฝันของคุณ จะค่อยๆแจ่มชัดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าม่านพรางที่กั้นกลางระหว่างมิติต่างๆ
    เริ่มลางเลือนลงเรื่อยๆแล้ว

    คุณอาจจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับได้ยินเสียงจากภายในของตัวเอง
    กำลังแปลความฝันให้คุณฟังอยู่ด้วยซ้ำไป

    คุณอาจจะพบว่า มันมีความฝันบางความฝัน
    ที่จะวนเวียนฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นแหละ
    จนกว่าคุณจะได้ใช้เวลาเพื่อพินิจพิเคราะห์
    ถึงความหมายของมันแล้วเท่านั้น


    ซึ่งนี่แหละคือการติดต่อสื่อสาร
    จากตัวตนที่สูงส่งกว่าของคุณเอง
    มาถึงคุณผู้ที่กำลังอยู่ในโลกทางกายภาพนี้



    9). คุณจะรู้สึกถึง “การเชื่อมต่อ” (connect) มากขึ้นเรื่อยๆ
    แต่ว่าคุณอาจจะยังไม่ค่อยแน่ใจนัก ว่าคุณกำลังเชื่อมต่ออยู่กับอะไร หรือกับใคร

    คุณรู้แต่เพียงว่ามีหลายสิ่งหลายอย่าง, คนหลายคน, สถานที่หลายแห่ง
    และกิจกรรมหลายอย่าง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ชื่นชอบของคุณ
    แต่ตอนนี้พวกมันไม่สามารถดึงดูดความสนใจของคุณได้มากเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

    คุณให้ความสนใจกับเรื่องที่ “คุณเป็นใคร” มากกว่าที่จะสนใจว่า “คนกำลังทำอะไร”
    คุณมีความกระหายใคร่รู้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในอันที่จะค้นหาว่าเป้าหมายของชีวิตคุณคืออะไร
    และในอันที่จะกลายเป็นตัวตนของตัวเองให้ได้


    ตอนนี้ จงพักผ่อนอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนในเวลาจริงๆ
    หรือพักผ่อนในความตระหนักรู้ของคุณก็ตาม

    จงหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ และยาวๆ เพื่อที่จะยอมรับกระบวนการเปลี่ยนรูปแบบของตัวคุณเอง
    เพื่อที่คุณจะได้บูรณาการเอามันเข้าไปในชีวิตประจำวันของคุณได้


    เมื่อใดที่คุณรู้สึกเหนื่อยล้า หรือ รู้สึกว่าไม่ไหวอีกแล้ว
    ให้ท่องมนต์ของคุณไว้ให้ขึ้นใจว่า


    “I NOW surrender all control
    of my physical body to my Soul.”

    “บัดนี้ ข้าพเจ้าขอยินยอมให้จิตวิญญาณของข้าพเจ้า
    สามารถควบคุมร่างกายเนื้อของข้าพเจ้าได้ทุกๆอย่าง”



    และอย่าลืมว่า สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
    สำหรับ ego ของคุณที่จะทำได้
    คือสิ่งที่จิตวิญญาณของคุณ
    สามารถที่จะทำได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย


    ........................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2013
  8. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ก้าวเดินไปพร้อมๆกับไกอา (In Step with Gaia)

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html



    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


    ฉันคือ Mytria ฉันดีใจ ที่คุณเลือกที่จะยินยอม
    ให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงสภาพนี้ เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของคุณได้
    และขอได้โปรดดำเนินตามกระบวนการนี้ต่อไป
    ด้วยการรักร่างกายเนื้อของคุณเอง
    และรัก ego ของคุณเอง อย่างไม่มีเงื่อนไข

    ฉันขอร้องให้คุณเชื่อใจฉัน เมื่อฉันพูดว่า
    “คุณกำลังจะกลายไปเป็นกายแห่งแสงสว่างแล้ว”
    จงมีความอดทน เพราะว่าในตัวของคุณเอง
    กำลังมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในระดับเซลอยู่

    และคุณจะต้องมั่นใจด้วยว่า
    ตัวเองกำลังก้าวเดินไปพร้อมๆกับไกอาอยู่
    เพราะว่า ถ้าระดับความสั่นสะเทือนของคุณ
    ต่ำกว่าของไกอา คุณก็จะพลาดรถบัสสายมิติที่ 5 ถึง 6 ไป


    แต่ในทางกลับกัน ถ้าระดับความสั่นสะเทือนของคุณ
    สูงกว่าของไกอา คุณก็จะ “ตาย”
    และจากร่างกายของไกอา ซึ่งก็คือดาวเคราะห์โลกนี้ไป
    เพราะว่าคุณจะต้อง “เลื่อนระดับขึ้นไป” ก่อนไกอานั่นเอง


    เพราะว่าพวกคุณได้ทำพันธะสัญญาเอาไว้แล้วว่า
    คุณจะมาเพื่อให้ความช่วยเหลือ
    ในกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นของโลก
    ดังนั้น มันจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
    ที่พวกคุณจะต้องคอยเดินตามการนำของไกอา


    พวกคุณจะต้องมีความอดทน และพวกคุณจะต้องจำไว้ว่า
    กระบวนการนี้เป็นกระบวนการของทั้งกลุ่ม


    ซึ่งภายในกลุ่มนี้ สมาชิกแต่ละคนจะต้องรอคอยสมาชิกคนอื่นๆ
    และ/หรือ ให้ความช่วยเหลือสมาชิกคนอื่นๆด้วย
    เพื่อที่จะให้ทั้งกลุ่มนี้ ก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆกัน
    เหมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน

    อันดับแรก ให้มองว่าร่างกายเนื้อของคุณ
    ก็คือสมาชิกคนหนึ่งของร่างกายของไกอาด้วย
    ให้จินตนาการว่าสมาชิกในกลุ่มของคุณ แผ่กระจายลงไปเบื้องล่าง
    ลึกจนถึงแกนกลางของพระแม่โลกเลยทีเดียว

    ให้จดจำไว้ว่าอาณาจักรแร่ธาตุ
    ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ในมิติที่ 1 ของเธอทั้งหมด
    ก็คือหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มของคุณด้วย

    และให้จำไว้ว่าอาณาจักรพืชซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ในมิติที่ 2 ทั้งหมด
    และรวมถึงอาณาจักรสัตว์ ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ในมิติที่ 2 และ 3 ทั้งหมด
    ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มของคุณด้วย

    แล้วจากนั้นก็ให้ทำความรู้สึกถึงส่วนที่อยู่ในมิติที่ 4 ทั้งหมด
    ซึ่งได้แก่ อาณาจักรเทพนิยาย (Kingdom of Faerie)
    และอาณาจักรแห่งวิญญาณธาตุ (Elemental Kingdom)
    ซึ่งได้แก่ วิญญาณของธาตุน้ำ ที่เรียกชื่อว่า undine,
    วิญญาณของอากาศธาตุ ที่เรียกชื่อว่า sylphs,
    วิญญาณของธาตุดิน ที่เรียกชื่อว่า gnomes,
    และวิญญาณของธาตุไฟ ที่เรียกชื่อว่า salamanders
    ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มของคุณด้วย

    คุณเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มรูปธรรมชีวิตหลากมิติที่ใหญ่มากๆ

    คราวนี้..จงใช้เวลาสักครู่เพื่อทำความรู้สึกถึงส่วนที่อยู่ในมิติที่ 5
    และที่อยู่ในมิติที่สูงๆกว่าขึ้นไปอีก
    เช่น เหล่าทวยเทพทั้งหลาย, เทวะทั้งหลาย,
    คุรุผู้รู้แจ้งแล้วทั้งหลาย, Elohim
    และ รูปธรรมชีวิตจากนอกโลกทั้งหลายด้วย
    ซึ่งก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มของคุณด้วย

    ภายในกลุ่มนี้ มันไม่มีลำดับขั้นสูงกว่า หรือต่ำกว่าอยู่แต่อย่างใดเลย
    เพราะว่าทุกๆรูปธรรมชีวิตมีความเสมอภาคกันหมด
    ไม่ว่าใครจะมีรูปร่าง, ขนาด, สี,
    และระดับความสั่นสะเทือนเป็นอย่างไรก็ตามแต่
    และพวกคุณทุกๆคน ก็เป็นทั้งหัวหน้าและลูกน้อง ของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น
    เพราะว่าพวกคุณทั้งหมด ได้ยอมจำนนต่อจิตวิญญาณของตัวเองแล้ว
    และพวกคุณทั้งหมด ก็ได้ปลดปล่อยบทละครชีวิตของมิติที่ 3
    และได้ปลดปล่อยสิ่งที่จำเป็นของมิติที่ 3 ไปเรียบร้อยแล้ว

    และในฐานะของสมาชิกคนสำคัญคนหนึ่ง
    ของกลุ่มหลากมิตินี้ มันเป็นสิ่งสำคัญมาก
    ที่คุณจะต้องไม่ยอมให้ตัวเองหมดเรี่ยวแรงไปอย่างเด็ดขาด
    ซึ่งการหมดเรี่ยวแรงนี้ เกิดจากการที่คุณ
    ลืมที่จะดึงดูดเอาพลังงานจากตัวตน
    ที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าของตัวเองมาใช้อย่างเพียงพอ
    เพราะว่าคุณกำลังมีชีวิตอยู่ในหลากหลาย
    โลกแห่งความเป็นจริงพร้อมๆกันอยู่
    และในขณะเดียวกัน
    คุณก็กำลังเดินทางข้ามผ่านข้อจำกัดของกาลเวลาอยู่ด้วย


    ตราบใดที่คุณยังใช้เวลา เพื่อยอมรับเอา
    คลื่นความสั่นสะเทือนจากมิติที่สูงกว่า
    ให้เข้ามาสู่ร่างกายเนื้อของคุณเอง อย่างมีสติสัมปชัญญะอยู่
    (เช่นการนั่งสมาธิ หรือเปล่า? – ผู้แปล)
    อย่างน้อยคุณก็จะจดจำได้ว่า
    ทำไมคุณถึงกำลังรู้สึกอย่างที่กำลังรู้สึกอยู่นั้นได้

    ฉันจะไม่บอกว่า “อาการแห่งการเปลี่ยนรูปแบบ”
    (symptoms of transformation) ของคุณ
    จะหายไปหรอกนะ เพราะว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น
    เพราะว่ามันจะช่วยชี้นำทางคุณ
    ให้หันมาดูแลและบำรุงรักษาร่างกายหลากมิติของคุณเอง


    …………………………..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2013
  9. Lastquarter

    Lastquarter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    386
    ค่าพลัง:
    +272
    ไม่คิดว่าความรู้ความเข้าที่อยู่ๆก็ตระหนักขึ้นได้ในปลายปี 2012 จะมาตรงกับเนื้อหาที่คุณชยุตมาลงเพิ่มนี้ วิเศษมากครับ
     
  10. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ความคิดแบบมิติที่ 5 (Fifth Dimensional Thought)

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/superconscious/super_illumination_fifthdim.html



    คุณรู้สึกถึงแรงดึงจากความคิดของ ego ของคุณไหม?
    คราวนี้..ให้ปล่อยวางความคิดนั้นให้แก่จิตวิญญาณของคุณเอง
    จิตวิญญาณของคุณ ก็คือจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคุณเองที่อยู่ในมิติที่ 5
    ซึ่งจะคิดแตกต่างจากที่ ego หรือตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้ของคุณคิดเป็นอย่างมาก


    เพราะว่าจิตวิญญาณของคุณจะคิดออกมาเป็นรูปภาพ
    แทนที่จะคิดออกมาเป็นถ้อยคำที่เรียงตามกันมาเป็นลำดับ
    แบบที่ ego ของคุณคิด


    หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จิตวิญญาณของคุณคิด
    ก็คือการที่จิตวิญญาณของคุณสร้างภาพขึ้นมานั่นเอง
    และจิตวิญญาณของคุณก็สามารถซูมเข้าหรือ ซูมออกจากภาพๆนั้นได้ด้วย
    หรืออาจจะสังเกตการณ์ดูภาพๆนั้นเฉยๆก็ได้


    นอกจากนี้ จิตวิญญาณของคุณ ยังสามารถที่จะสังเกตการณ์ดู ego หรือตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้ของคุณ
    หรือสังเกตการณ์ดูส่วนใดของโลกที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้ก็ได้ด้วย ไม่ว่าตัวตนที่อยู่ในโลกทางกายภาพนี้ของคุณ
    จะสามารถรับรู้ถึงการสังเกตการณ์นั้นหรือไม่ก็ตาม


    โดยอาศัยการคิดแบบมิติที่ 5 นี้
    คุณจะสามารถสื่อสารได้กับคนทุกๆคน,
    กับสรรพสิ่งทุกๆสรรพสิ่ง, กับพืชทุกต้น,
    กับหิน หรือ แม้แต่กับหยดน้ำ


    ก่อนหน้านี้ ego ของคุณ ได้ยกระดับจิตสำนึกของมันเองขึ้นมา
    จนสามารถที่จะสื่อสารกับจิตวิญญาณของตัวเองได้แล้ว
    และเดี๋ยวนี้ จิตวิญญาณของคุณ ก็ได้เข้ามาสู่ ego ของคุณแล้ว
    และได้เริ่มต้นบูรณาการรวมเข้ากับ ego ของคุณแล้ว

    จงเปลี่ยนวิธีการคิดของคุณ จากการคิดแบบ ego ของคุณ
    ให้มาเป็นการคิดแบบจิตวิญญาณของคุณแทน
    จงนำเอาถ้อยคำที่ยาวเหยียดของวิธีการคิดแบบเก่าของคุณ
    มาทำให้มันหมุนปั่นจนกลายเป็นเกลียวหมุนวนขึ้นมา ให้มันหมุนเร็วขึ้นและเร็วขึ้น
    ให้ถ้อยคำเหล่านั้นแสวงหาซึ่งกันและกันไปจนกลายเป็นสิ่งที่สมบูรณ์ขึ้นมา
    ซึ่งการเสร็จสิ้นสมบูรณ์นี้ จริงๆแล้วคือการเริ่มต้นเท่านั้นเอง
    ซึ่งหมายถึงการเริ่มต้นของวิธีการแบบใหม่ ในการดำรงชีวิตอยู่ในจิตใจของตัวคุณเอง

    จงจำไว้ว่า “จิตใจของคุณ” (your mind)
    ไม่ได้อยู่ภายในร่างกายของคุณ
    แต่ร่างกายของคุณต่างหากหละ ที่อยู่ภายในจิตใจของคุณ

    ดังนั้น ถ้าจิตใจของคุณสามารถสร้างอะไรก็ตามขึ้นมาได้
    ไม่ว่าคุณจะรับรู้มันว่าอย่างไรก็ตาม
    มันก็คือประสบการณ์ที่แท้จริงของคุณนั่นเอง


    ในขณะที่จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคุณ อยู่ในคลื่นระดับเบต้า (beta)
    ego ของคุณก็จะทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมจิตใจของคุณอยู่
    เพราะว่าคลื่นเบต้านี้ ถูกปรับตั้งมาเพื่อการรับรู้ในมิติที่ 3
    และถูกปรับตั้งมาเพื่อให้กรองเอามิติที่สูงๆกว่าทั้งหลายออกไป

    ด้วยเหตุนี้ การรับรู้ทั้งหมดของพวกคุณ
    ทั้งแบบมีสติสัมปชัญญะ และ แบบไม่มีสติสัมปชัญญะ
    จึงสามารถที่จะจดจ่ออยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง
    ในมิติที่ 3 นี้ ได้อย่างเต็มที่

    มันมีความจำเป็นอย่างมาก สำหรับดาวเคราะห์ดวงหนึ่งๆ ที่จะต้องมีจำนวนประชากร 51% ขึ้นไป
    ที่รักษาระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ ในคลื่นระดับเบต้าเอาไว้
    ไม่เช่นนั้นแล้วเมตริกท์ของมิติที่ 3 นี้ ก็จะเริ่มเสื่อมสลายลง


    คลื่นระดับแอลฟ่า (alpha) ถูกปรับตั้งมา
    สำหรับการรับรู้ในมิติที่ 3 และบางส่วนของมิติที่ 4


    เพราะว่าตัวตนที่อยู่ในโลกทิพย์ของคุณ มีอิสระภาพในการสร้างสรรค์อะไรก็ได้
    โดยไม่มีสิ่งกีดขวางและข้อจำกัดมากมาย อย่างที่มีอยู่ในโลกในมิติที่ 3 นี้ของคุณ


    ดังนั้น คลื่นแอลฟ่านี้ จึงเป็นคลื่นที่จะสามารถ
    กระตุ้นพลังแห่งการสร้างสรรค์ของคุณได้


    แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคุณ จดจ่ออยู่กับโลกในมิติที่ 3 มากจนเกินไปหละก็
    คุณก็จะถอยกลับลงมาอยู่ในระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นระดับเบต้าเหมือนเดิม


    แต่ในทางกลับกัน ถ้าจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคุณไปจดจ่ออยู่กับมิติที่ 4 มากจนเกินไปหละก็
    คุณก็จะหลุดเข้าไปอยู่ในจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นระดับธีต้า (theta) แทน


    คลื่นธีต้านี้ ถูกปรับตั้งมาเพื่อการรับรู้ในมิติที่ 4
    จนถึงบริเวณเลยทางเข้าของมิติที่ 5 ไปเล็กน้อย


    ถ้าร่างกายเนื้อของคุณไม่ได้กำลังอยู่ในที่ๆปลอดภัย หรืออยู่ในอริยาบทที่ปลอดภัยหละก็
    คุณก็อาจจะได้รับบาดเจ็บได้ เพราะว่าจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ในคลื่นระดับธีต้านี้
    จะจดจ่ออยู่กับภายในเป็นหลัก และจะจดจ่ออยู่กับมิติที่สูงกว่าเป็นหลัก
    รวมถึงจะทำให้คุณแทบไม่รู้สึกตัวเลย และแทบไม่รู้ถึงตำแหน่งแห่งหนที่ตัวเองกำลังอยู่ในขณะนั้นๆเลย


    แต่ว่า ถ้าคุณเปลี่ยนการจดจ่อให้กลับมาอยู่ที่ร่างกายเนื้อได้อีกครั้งหนึ่ง
    คุณก็จะหลุดออกมาอยู่ในคลื่นระดับแอลฟ่าได้อีกครั้งหนึ่งด้วย

    แต่ในทางกลับกัน ถ้าคุณปล่อยวางให้จิตวิญญาณของคุณ
    เป็นผู้ควบคุมร่างกายเนื้อของคุณได้อย่างเต็มที่ต่อไปอีกหละก็
    และถ้าคุณยังคงรักษาการจดจ่อเอาไว้ที่มิติที่ 5 และมิติที่สูงๆกว่าขึ้นไปอีกอยู่หละก็
    คุณก็อาจจะหลุดเข้าไปอยู่ในจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นระดับเดลต้า (delta) ได้


    มันต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างมาก เพื่อที่จะให้มีความตระหนักรู้ถึงมิติที่ 3 ได้อย่างสติสัมปชัญญะ
    ในขณะที่กำลังอยู่ในคลื่นระดับธีต้า (theta) และมันก็จะยากขึ้นไปอีก
    ถ้าคุณกำลังอยู่ในคลื่นระดับเดลต้า (delta)


    ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว บางทีมันอาจจะสามารถเป็นไปได้
    ที่จะรักษาคลื่นสมองให้อยู่ในระดับเดลต้าได้
    ก็ต่อเมื่อจิตวิญญาณของคุณ กำลังทำหน้าที่เป็นกัปตัน
    ให้กับยานพาหนะทางโลกของคุณอยู่เท่านั้น


    เพราะว่าจิตใจของ ego ของคุณ ยังคงมีความเป็นสัตว์อยู่
    ซึ่งหมายความว่า มันเป็นมนุษย์ที่กำลังมีประสบการณ์ทางจิตวิญญาณอยู่
    แต่ในทางกลับกัน จิตวิญญาณของคุณ ก็คือ “วิญญาณ” (Spirit)
    ที่กำลังมีประสบการณ์ของมนุษย์อยู่


    แต่ถ้าเมื่อใดที่จิตใจของจิตวิญญาณของคุณ
    เริ่มทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแลจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคุณแล้ว
    คุณก็จะ “ดำรงชีวิตอยู่ในกระแส” ซึ่งนั่นก็คือ คุณจะมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันขณะนี้เท่านั้น


    และคุณจะมีชีวิตอยู่แบบ “จากข้างในออกไปข้างนอก”
    แทนที่จะเป็นแบบ “จากข้างนอกเข้ามาข้างใน”
    เหมือนอย่างเช่นที่ ego ของคุณเป็น


    เมื่อใดที่ “กายแห่งแสงสว่าง” (Lightbody) ของคุณ ถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว
    คุณก็จะรับรู้ถึงโลกภายนอก ซึ่งหมายถึงโลกในมิติที่ 3 นี้ของคุณ จากมุมมองจาก “ภายใน” ของตัวคุณเอง
    หรือจากมุมมองของจิตวิญญาณที่อยู่ในมิติที่ 5 ของตัวคุณเอง

    และเพราะว่าร่างกายเนื้อของคุณ ก็จะยังมีระดับความสั่นสะเทือนที่สอดคล้องสัมพันธ์กับของดาวเคราะห์โลกอยู่
    ดังนั้น คุณจึงจะไม่ “ตาย” จากโลกแห่งความเป็นจริงในมิติที่ 3 นี้ไป


    แต่ถ้าเมื่อใดที่ระดับความสั่นสะเทือนของยานพาหนะทางโลกของคุณ
    สูงกว่าระดับความสั่นสะเทือนของดาวเคราะห์โลกมากจนเกินไปแล้วหละก็
    คุณก็จะ “เลื่อนระดับขึ้นไป” และ “หลุดหายไป” จากการรับรู้
    ของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในมิติที่ 3 บนโลกใบนี้


    ซึ่งการเลื่อนระดับขึ้นโดยลำพังของคุณที่ว่านี้ ก็จะทำให้คุณกลายเป็นผู้บุกเบิก
    ของ ”กระบวนการเลื่อนระดับขึ้นระดับโลก” (the Planetary Ascension) ไป
    แต่ว่า..คุณก็จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้
    แต่ว่า “ผู้บุกเบิก” เหล่านี้ ก็มีความจำเป็นด้วยเช่นกัน


    เพียงแต่ว่า ถ้า “ภาระกิจ” ของคุณ
    คือการมาเป็นหนึ่งในสมาชิกของ
    ”กระบวนการเลื่อนระดับขึ้นระดับโลก” แล้วหละก็
    คุณก็จะต้องพยายามรักษาระดับความสั่นสะเทือน
    ของร่างกายเนื้อของตัวเองเอาไว้
    ให้มีความสอดคล้องกับของไกอาให้จงได้


    หน่วยปฏิบัติการภาคพื้นดินของพวกเรา ที่ได้อาสาลงมาเป็นส่วนหนึ่ง
    ของกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นระดับโลกในครั้งนี้
    จะต้องรอคอยไปก่อน จนกว่าจะมีสัญญาณเรียกจาก “ปัจจุบันขณะ”
    ว่าให้พวกเขาจดจ่อ 51% ของความตระหนักรู้/จิตสำนึกของพวกเขา
    ไปอยู่ในคลื่นระดับเดลต้า และ/หรือระดับธีต้า ได้แล้วเท่านั้น


    ซึ่งพวกคุณทุกๆคนก็กำลังฝึกฝนทักษะนี้กันอยู่ เพื่อที่จะเรียนรู้หรือจดจำให้ได้ว่า
    จะสามารถปรับจูนจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของตัวเอง โดยใช้จิตใจของตัวเองได้อย่างไร


    และเมื่อพวกคุณทำเช่นนี้ได้แล้ว พวกคุณก็จะประจักษ์ว่า
    มันมีโลกแห่งความเป็นจริงอยู่นับอนันต์ สำหรับประสบการณ์หนึ่งๆ
    ต่างกันที่คลื่นความสั่นสะเทือน ที่จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคุณ
    ปรับจูนเข้าหาเท่านั้นเอง


    ตัวอย่างเช่น จากการรับรู้ของคุณ ภายในคลื่นระดับเบต้า ในมิติที่ 3 นี้ของคุณ
    คุณคือผู้ที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ แต่ในการรับรู้ในระดับแอลฟ่าของคุณนั้น
    คุณกำลังรู้สึกถึงผลกระทบของถ้อยคำเหล่านี้อยู่ และคุณก็กำลังมองเห็นภาพที่ถ้อยคำเหล่านี้สร้างขึ้นมาอยู่
    คุณกำลังคล้อยตามการนำทางจากภายในของตัวเองอยู่ ในขณะเดียวกัน คุณก็อาจจะกำลังต่อสู้กับความสงสัย
    และ ความกลัวของ ego ของคุณเองอยู่ด้วย

    ส่วนการรับรู้ในระดับคลื่นธีต้าของคุณนั้น คุณคือผู้ที่อยู่ข้างในร่างกายเนื้อนี้ และคือผู้ที่อยู่ไกลโพ้น
    ร่างกายเนื้ออันนี้ ร่างกายที่ยินยอมให้คุณสามารถมีประสบการณ์กับมิติที่ 3 นี้ได้อย่างใกล้ชิด
    คุณคือผู้สังเกตการณ์ดูโลกๆนี้อยู่ คุณกำลังมองดู ego ของคุณเรียนรู้บทเรียน, กลัว, รัก, และเจริญเติบโตอยู่
    ถ้อยคำทั้งหลายในหน้าจอนี้ ไม่มีความหมายใดๆต่อคุณเลย
    เพราะว่าคุณจะคิดแบบเป็นรูปภาพ และแบบเป็นมโนภาพเท่านั้น


    จิตวิญญาณของคุณจะคิดด้วยคลื่นระดับเดลต้า
    และจะถ่ายทอดข้อความไปสู่ตัวตนที่อยู่ในมิติที่ต่ำๆกว่าของตัวเอง
    โดยผ่านช่องทาง “เดลต้า สู่ ธีต้า”
    จากนั้นก็จะถ่ายทอดจากคลื่นระดับธีต้า ไปสู่ แอลฟ่าอีกที
    แล้วจากนั้นก็จะถ่ายทอดจากคลื่นระดับแอลฟ่า ไปสู่เบต้าอีกที
    เพื่อที่จะอ่านข้อความในหน้าจอนี้


    ดังนั้น ถ้าคุณจะถามคำถามอะไรบางอย่างจากจิตวิญญาณของคุณเอง
    เกี่ยวกับข้อความที่อ่านนี้ คุณก็จะต้องใช้ช่องทางตรงกันข้ามกัน
    ซึ่งนั่นก็คือ จากเบต้าสู่แอลฟ่า, จากแอลฟ่าสู่ธีต้า
    และสุดท้าย จากธีต้าสู่เดลต้า

    ซึ่งในระหว่างที่กำลังถ่ายทอดข้อมูลหลากมิติอยู่นี้
    ก็หมายความว่า คุณกำลังติดต่อสื่อสารกับจิตวิญญาณของตัวคุณเองอยู่
    อย่างมีสติสัมปชัญญะ แต่โชคไม่ดีนัก
    ที่เมื่อใดที่การถ่ายทอดข้อมูลนี้เสร็จสิ้นลง
    การเชื่อมต่อระหว่างมิตินี้ ก็จะถูกตัดขาดลงซะมากกว่า


    แต่อย่างไรก็ตาม การรับรู้ในระดับคลื่นเบต้าและแอลฟ่าของคุณ ก็มีความเกี่ยวข้องกันอยู่อย่างใกล้ชิด
    เพราะว่าหลังจากที่คุณมีประสบการณ์หลากมิตินี้แล้ว การรับรู้ระดับคลื่นเบต้าของคุณ
    ก็จะกลับมาอยู่กับเรื่องราวในชีวิตประจำวันของคุณเหมือนเดิม

    ส่วนการรับรู้ระดับคลื่นแอลฟ่าของคุณ ก็จะไปอยู่กับโลกทิพย์,
    ไปอยู่กับชีวิตในอาณาจักรเทพนิยายของตัวคุณเอง (your life in Faerie)
    และไปอยู่กับจินตนาการที่ชีวิตในมิติที่ 3 นี้ของคุณเองเป็นคนสร้างขึ้นมา

    และถ้าตัวตนระดับเบต้านี้ของคุณ ถูกกักขังเอาไว้ในความกลัวแล้วหละก็
    ตัวตนในระดับแอลฟ่าของคุณ ก็จะรับรู้ความกลัวและความโกรธนั้น
    ได้จาก ”โลกทิพย์ส่วนล่าง” (the lower astral plane) ด้วย

    แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าตัวตนระดับคลื่นเบต้าของคุณ กำลังเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักหละก็
    ตัวตนระดับคลื่นแอลฟ่าของคุณ ก็จะลอยขึ้นไปสู่ระนาบที่สูงขึ้นไปอีกของมิติที่ 4

    แต่ว่า..ในทางกลับกัน ถ้าตัวตนระดับคลื่นแอลฟ่าของคุณ
    ไปจมอยู่ในความเศร้าโสกของโลกทิพย์ส่วนล่างแล้วหละก็
    ตัวตนระดับคลื่นเบต้าของคุณ ก็จะรู้สึกเศร้าสลดใจ, วิตกกังวล
    และเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยทางกายภาพขึ้นมาตามไปด้วยเช่นกัน

    ดังนั้น เมื่อใดที่ตัวตนระดับคลื่นแอลฟ่าของคุณ กำลังเพลิดเพลิน
    และสนุกสนานอยู่ในอาณาจักรเทพนิยายอยู่
    ตัวตนในระดับคลื่นเบต้าของคุณก็จะรู้สึกเป็นอิสระ และมีความคิดสร้างสรรค์ตามไปด้วย

    การเปลี่ยนแปลงด้านจิตสำนึก/ความตระหนักรู้
    ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณก็คือ
    การเปลี่ยนจากตัวตนในระดับคลื่นแอลฟ่า
    ไปสู่ตัวตนในระดับคลื่นธีต้า


    ซึ่งตัวตนในระดับคลื่นธีต้านี้ เป็นตัวตนที่มีความเชื่อมโยงอยู่กับตัวตนในระดับเดลต้าอย่างใกล้ชิด
    นั่นก็เพราะว่ามิติที่ 3 และ 4 มีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน และมีการสะท้อนซึ่งกันและกันอยู่อย่างใกล้ชิดนั่นเอง
    แต่อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ ไปสู่มิติที่ 5 และไปสู่มิติที่สูงขึ้นไปกว่านั้นอีกนั้น
    จะต้องใช้การก้าวกระโดดด้านจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ครั้งยิ่งใหญ่เลยทีเดียว

    คลื่นระดับธีต้า และ เดลต้า มีความพัวพันกันอยู่อย่างใกล้ชิด
    เพราะว่าตัวตนระดับคลื่นธีต้าของคุณ สามารถที่จะข้าม “สะพานสายรุ้ง” (the Rainbow Bridge)
    ไปสู่มิติที่ 5 ได้อย่างมีสติสัมปชัญญะ และเมื่อใดที่ข้ามสะพานสายรุ้งไปได้แล้ว
    มิติต่างๆที่อยู่สูงขึ้นไปอีก ก็จะมีการแบ่งแยกกันน้อยลงแล้ว ไม่เหมือนกับในระนาบที่ต่ำๆกว่าทั้งหลาย

    และในกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นแบบหมู่ หรือ กระบวนการเลื่อนระดับขึ้นแบบทั้งดาวเคราะห์ในครั้งนี้
    หน่วยปฏิบัติการภาคพื้นดินของพวกเรา จะต้องฝึกฝนตัวเอง
    เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับโลกแห่งความเป็นจริงคู่ขนาน ที่อยู่ในมิติอื่นๆของตัวเอง
    ให้ได้ทุกๆโลก และทุกๆมิติด้วย เพื่อที่พวกเขาจะได้มีความพร้อม ที่จะให้ความช่วยเหลือผู้อื่น
    เพื่อให้สามารถทำได้เช่นเดียวกันต่อไป


    .......................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2013
  11. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ก่อนที่ท่านจะอ่านข้อความข้างล่างนี้
    ผมขอแนะนำให้ท่านไปอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับ
    "พลังปราณ" และ "จักระ" ที่อยู่ในลิงค์ข้างล่างนี้ก่อนนะครับ
    เพื่อว่าท่านจะได้เข้าใจตรงตามที่ผู้สื่อสาร
    ต้องการจะสื่อสารมาให้ได้มากที่สุดหนะครับ


    "ข้อความจากต่างมิติ-ข้อมูลเกี่ยวกับมิติต่างๆ-และ-โลกคู่ขนาน-มิติคู่ขนาน-และอื่นๆ"

    โพสต์ที่ 67, 68 และ 70 นะครับ

    http://palungjit.org/threads/ข้อควา...ๆ-และ-โลกคู่ขนาน-มิติคู่ขนาน-และอื่นๆ.492683/

    .................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2014
  12. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    Part 4: ข้อความจากไกอา

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


    สวัสดีประชากรชาวโลกที่รักของฉัน

    ฉันมีความยินดีที่ได้มีโอกาสมาพูดคุยกับพวกคุณทุกๆคนในครั้งนี้
    มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันอยากจะบอกมนุษย์โลกของฉันให้รับรู้

    ที่ฉันพูดว่า “มนุษย์โลกของฉัน” นั้น ไม่ใช่เป็นเพราะว่าฉันเป็นเจ้าของพวกคุณหรอกนะ
    แต่เป็นเพราะว่า พวกคุณทุกๆคนประกอบขึ้นมาจากธาตุต่างๆที่เป็นส่วนประกอบเดียวกันกับ
    ธาตุที่เป็นองค์ประกอบของดาวเคราะห์โลกใบนี้
    รวมถึงพวกคุณยังอยู่ในมิติเดียวกันกับดาวเคราะห์โลกใบนี้อีกด้วย

    เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าหากว่ามีพวกคุณแม้เพียงคนเดียว
    ที่สามารถยกระดับความสั่นสะเทือนของตัวเองขึ้นไป
    เป็น “กายแห่งแสงสว่าง” (Lightbody) ได้จนเป็นผลสำเร็จแล้ว
    ก็เท่ากับว่าคุณได้ช่วยกระตุ้นกระบวนการเปลี่ยนสภาพของโลกทั้งโลกด้วย

    พวกเรากำลังจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว
    และไม่มีเสียงไหนเลย ที่จะเล็กเกินไป
    ที่จะไม่มีผลกระทบต่อโลกแห่งความเป็นจริงเลย


    ในช่วงเวลาแห่งการเตรียมการ เพื่อกลับคืนไปสู่กายแห่งแสงสว่างของพวกเรานี้
    พวกคุณหลายคนก็กำลังระลึกชาติถึงตัวตนอื่นๆ ของตัวตนหลากมิติของตัวเองได้อยู่
    ที่กำลังสวมใส่กายแห่งแสงสว่าง อยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ, ในกาแล็กซี่อื่นๆ และในมิติอื่นๆ

    เพราะว่าคุณได้สร้างการติดต่อสื่อสาร กับสมาชิกตัวตนอื่นๆ ของตัวคุณเองเอาไว้แล้ว
    ตั้งแต่ตอนที่คุณอยู่ในห้องบูรณาการ (Integration Chamber) แล้ว (เขาพูดกับผู้รับสาสน์ - ผู้แปล)
    ดังนั้น ในตอนนี้ พวกเขาจึงสามารถที่จะช่วยเหลือคุณ ผู้ที่กำลังอยู่ในร่างกายเนื้อของมิติที่ 3 นี้ ได้ด้วยเช่นกัน

    ดังนั้น ถ้ามีพวกคุณ แม้เพียงคนเดียว ที่สามารถจดจำแม้เพียงบางส่วน
    ของกระบวนการกลายเป็นกายแห่งแสงสว่างของภพชาติอื่นๆของตัวเองได้
    ข้อมูลข่าวสารอันนั้น ก็จะไปรวมเข้ากับ “จิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลก”
    (Collective Consciousness) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์โลกทุกๆคนด้วย

    ดังนั้น พวกคุณจึงสามารถที่จะเข้าร่วมใน “จิตสำนึกมวลรวมของโลกทั้งโลก”
    (The Planetary Consciousness) ได้ ซึ่งในตอนนี้ก็มีพวกคุณหลายคนแล้ว
    ที่กำลังปลดปล่อยมายาการที่ว่า “มนุษย์สำคัญกว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆทั้งหมด” ออกไปอยู่

    “จิตสำนึกมวลรวมของโลกทั้งโลก หรือจิตสำนึกมวลรวมของดาวเคราะห์โลก”
    (The Planetary Consciousness) มาจากจิตสำนึกของสิ่งมีชีวิตทุกๆชีวิต
    ที่อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์โลก นับตั้งแต่อาณาจักรแร่ธาตุที่อยู่ในมิติที่ 1 เป็นต้นไป
    ไปจนถึงอาณาจักรเทวะ (Deva Kingdom) และอาณาจักรวิญญาณธาตุ (Elemental Kingdom)
    ที่อยู่ในมิติที่ 4 ซึ่งเมื่อใดที่คุณสามารถรวมเข้ากับจิตสำนึกมวลรวมของดาวเคราะห์โลกได้แล้ว
    คุณก็จะประจักษ์ชัดว่า ทุกๆส่วนของร่างกายของฉัน (ฉันในที่นี้หมายถึงไกอา – ผู้แปล)
    ล้วนมีชีวิตทั้งสิ้น และล้วนปราถนาที่จะสื่อสารกับพวกคุณทั้งสิ้น

    ในทำนองเดียวกัน คุณจะสามารถรับรู้ได้ว่า
    โลกแห่งความเป็นจริงภายนอกของคุณ
    คือผลลัพธ์สุดท้าย อันเกิดจากจิตสำนึก/ความตระหนักรู้มวลรวม
    และ ความเชื่อมวลรวม ของดาวเคราะห์โลกหลากมิติ
    ทั้งดาวเคราะห์นี้

    และโชคดีที่ มีพวกคุณจำนวนมากมาย ทั้งที่เป็นมนุษย์และที่ไม่ใช่มนุษย์
    กำลังเปิดความตระหนักรู้ของตัวเอง ออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงภายในอยู่
    ซึ่งโลกแห่งความเป็นจริงภายในที่ว่านี้ ไม่ได้อยู่แต่ในขอบเขตของ
    “โลกแห่งความเป็นจริงภายนอกที่เกิดจากการเห็นพ้องต้องกัน” อันเดิมนี้อีกต่อไปแล้ว
    ซึ่งเมื่อใดที่พวกคุณยอมเปิดใจและเชื้อเชิญให้ศักยภาพแห่งความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัด
    ของโลกแห่งความเป็นจริงภายในนี้ เข้ามาสู่ชีวิตประจำวันของตัวเองได้แล้ว
    พวกคุณก็จะสามารถปฏิเสธที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้มายาการของโฮโลแกรมภายนอกนี้
    ได้ง่ายดายขึ้น

    เพราะว่าโครงสร้างของโฮโลแกรม 3 มิตินี้
    กำลังถูกค้ำจุนเอาไว้ โดยกระแสความคิด,
    อารมณ์ความรู้สึก และความเชื่อทั้งหลาย
    ของ “จิตสำนึกมวลรวมของดาวเคราะห์โลก”
    (The Planetary Consciousness) อยู่

    ดังนั้น ถ้าพวกคุณแต่ละคนเปลี่ยนแปลงความคิด,
    อารมณ์ความรู้สึก และความเชื่อของตัวเองไป
    มันก็จะไปส่งผลกระทบต่อโฮโลแกรมดังกล่าวนี้ด้วย
    จนทำให้มันต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นเดียวกัน

    การปฏิเสธที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้การแบ่งแยก และการมีข้อจำกัด ของโฮโลแกรม 3 มิตินี้ของพวกคุณ
    จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อจิตสำนึกมวลรวมของดาวเคราะห์โลก
    รวมถึงจะเป็นการนำเสนอความเชื่อแบบใหม่ให้กับคนอื่นๆด้วย

    และเมื่อใดที่พวกคุณ ซึ่งเป็นสมาชิกของหน่วยปฏิบัติการภาคพื้นดิน
    ของ “ทีมงานเพื่อการเลื่อนระดับขึ้นแบบทั้งดาวเคราะห์”
    (the Planetary Ascension Team) นี้
    สามารถเชื่อมต่อกับโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติอื่นๆ
    และเชื่อมต่ออยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงนอกโลกอื่นๆได้แล้ว
    พวกคุณก็จะกลายเป็นแบบอย่างให้กับผู้อื่นได้ทำตามด้วย

    แต่ว่าในช่วงแรกๆ พวกคุณก็อาจจะถูกเยาะเย้ย เพราะมีความเชื่อแปลกๆซะก่อน
    แต่ความกล้าหาญของพวกคุณ ในอันที่จะยืนหยัดอยู่ในพลังอำนาจของตัวเองเพียงอย่างเดียวนั้น
    จะช่วยให้คนอื่นๆได้รับแรงบันดาลใจตามไปด้วย

    ซึ่งเมื่อใดที่ประชากรส่วนใหญ่ของโลก
    หันมาจดจ่ออยู่กับความคิด, ความรู้สึก และความเชื่อ
    เกี่ยวกับการเลื่อนระดับขึ้นแบบทั้งโลกนี้แล้ว
    “โลกแห่งความเป็นจริงที่เกิดจากการเห็นพ้องต้องกัน” นี้
    (the Consensus Reality)
    ก็จะฉายภาพของแพทเทิร์นของการเปลี่ยนรูปแบบนี้
    เข้าไปสู่โฮโลแกรมภายนอก 3 มิติอันนั้น ในท้ายที่สุดด้วย

    จงจำไว้ว่า “ผู้ที่ตื่นรู้แล้วเพียงคนเดียว
    ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือไม่ก็ตาม
    จะมีแสงสว่างมากกว่าผู้ที่ยังหลับไหลอยู่
    และไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ถึง 10 เท่า”

    เพราะฉะนั้นแล้ว ประชากรกลุ่มนี้
    จึงไม่จำเป็นจะต้องมีมากถึง 50%
    ของประชากรโลกทั้งหมดก็ได้

    ............................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • gaia.jpg
      gaia.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.8 KB
      เปิดดู:
      555
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2014
  13. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    Part 4: ข้อความจากไกอา

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    ตอนที่ 2:


    สงครามระหว่างความลังเลสงสัย และ ความมั่นใจ
    (The Battle Between Doubt and Promise)


    เมื่อใดที่พวกคุณเริ่มเข้าไปสู่โลกภายใน เพื่อค้นหาความเป็นตัวตนของตัวเองเป็นครั้งแรก
    พวกคุณอาจจะสามารถเข้าไปได้ลึกมากๆ จนกระทั่งพวกคุณแทบจะไม่รับรู้ความเป็นไป
    ของโลกภายนอกของตัวเองเลย ซึ่งกระบวนการส่วนนี้ อาจจะทำให้พวกคุณเกิดความกลัวขึ้นมาได้

    แต่ว่าในช่วงเวลานี้พวกคุณก็จะได้ตระหนักรู้ว่า ความคิดที่น่ากลัวมากที่สุด
    ก็คือ การเป็นอะไรที่น้อยกว่าตัวตนรวมทั้งหมดของตัวเองนั่นเอง

    ในขณะที่พวกคุณเดินทางเข้าไปในส่วนลึกของจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของตัวเองนั้น
    พวกคุณก็จะได้พบกับสงครามที่อยู่ภายในตัวพวกคุณเอง

    ซึ่งเป็นการต่อสู้กันระหว่าง
    “ความลังเลสงสัย” และ “ความมั่นใจ”


    ความมั่นใจจะบอกพวกคุณว่า โลกภายในของพวกคุณ
    มีโลกแห่งความเป็นจริงอีกโลกหนึ่ง ที่เลิศเลอซะยิ่งกว่า
    ความฝันที่กว้างไกลที่สุดของพวกคุณ จะสามารถไปถึงได้ซะอีก

    แต่ความลังเลสงสัยก็จะบอกพวกคุณว่า โลกแห่งความเป็นจริงที่ว่านั้นหนะ
    มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก และมันก็จะบอกพวกคุณอีกว่า
    ต่อให้มันสามารถเป็นไปได้จริงก็เถอะ
    พวกคุณก็ไม่คู่ควรกับโลกแห่งความเป็นจริงที่ว่านั้นหรอก

    แต่โชคยังดีที่ ทันทีที่คุณเริ่มสู่ความลังเลสงสัย
    ก็จะมีเสียงเล็กๆนิ่งๆใสๆเสียงหนึ่ง กระซิบเบาๆกับพวกคุณว่า:

    “จงอยู่ข้างในต่อไป เพื่อค้นหาความมั่นใจ
    เกี่ยวกับโลกแห่งความเป็นจริง ที่คุณปราถนาให้เจอ”

    แต่ว่าทันใดนั้น เสียงจากความลังเลสงสัยก็จะตวาดสวนขึ้นมาทันทีว่า

    “ไม่มีทาง..คุณไม่สามารถที่จะมีชีวิตแบบนั้นได้หรอก
    เพราะว่าคุณจะต้องทำงาน และจะต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ซะก่อน!
    แล้วจากนั้น ซึ่งจะต้องเป็นหลังจากนั้นเท่านั้น คุณถึงจะคู่ควร
    ที่จะไปบังอาจเพลิดเพลินกับจินตนาการแบบเด็กๆอันนั้นได้”

    แล้วความลังเลสงสัยก็จะหัวเราะเยาะคุณ แล้วพูดว่า

    “เอาซี้..เสแสร้งทำเป็นว่า คุณมีชีวิตนั้นแล้วต่อไปซี้
    แต่ว่า..ก็อย่าไปยึดติดกับมันให้มากนักหละ
    เพราะว่าในท้ายที่สุดแล้ว คุณก็จะต้องกลับมาทำมาหากินเหมือนเดิมอยู่ดี”

    ดังนั้น พวกคุณจึงพากันเสแสร้งว่าความฝันของพวกคุณมีความเป็นไปได้
    และพวกคุณก็รู้สึกดี และรู้สึกเป็นปกติดี

    แต่หลังจากนั้น เมื่อพวกคุณเริ่มที่จะเชื่อใจเจ้าความมั่นใจนี้แล้ว
    ประตูเหล็กกล้าที่อยู่ภายในจิตใจของพวกคุณก็ค่อยๆปิดลง
    ดังนั้น พวกคุณจึงต้องดิ้นรนอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่ายิ่งดิ้นรนมากเท่าไหร่
    ก็ยิ่งทำให้ประตูบานนั้นปิดเร็วขึ้นกว่าเดิมซะอีก

    แต่โชคดีที่ ทันทีที่พวกคุณรู้สึกสิ้นหวังแล้ว
    พวกคุณก็จะได้ยินเสียงปลอบประโลมจากความมั่นใจพูดขึ้นว่า:

    “คุณถูกกำหนดมาให้มามีความสุข คุณถูกกำหนดมาให้มามีความสะดวกสบาย
    และให้มาเดินตามโชคชะตาของตัวเอง”

    แต่ความลังเลสงสัยก็จะพูดขึ้นมาด้วยความโกรธว่า
    “ฉันถูกกำหนดมา ให้ต้องมาทำงานเท่านั้น”

    แต่ความมั่นใจก็จะตอบว่า

    “ใช่แล้ว คุณได้ทำงานไปแล้วนี่ ถ้างั้น..นั่นก็คือบทเรียนของคุณแล้วหละ
    เพราะคุณเชื่อแต่ว่า คุณจะต้องทำงานหนัก
    ดังนั้น การทำงานหนักจึงได้กลายมาเป็นโลกแห่งความเป็นจริงสำหรับคุณไป
    แต่ว่าในตอนนี้ คุณไม่ต้องการที่จะเชื่อเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าคุณเหนื่อยแล้ว”

    แล้วพวกคุณก็จะตอบว่า

    “ใช่ ฉันเหนื่อยแล้ว ฉันเหนื่อยที่จะต้องทำมาหากิน และที่จะต้องดิ้นรนต่อสู้แล้ว
    ฉันเกือบจะเชื่อแล้วว่า ฉันไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็ได้
    ถ้าเพียงแต่ฉันสามารถกำจัดประตูเหล็กบานนั้นทิ้งไปได้”

    แล้วความมั่นใจก็จะพูดด้วยเสียงนุ่มนวลว่า

    “งั้นก็เอามันมาให้ฉันสิ เพราะว่ามันเป็นภาระที่หนักอึ้งสำหรับคุณมานานแล้ว
    แต่ว่ามันจะไม่เป็นปัญหาใดๆสำหรับฉันเลย เพราะว่าฉันไม่ได้เชื่อมัน”

    แล้วคุณก็จะพูดว่า “แต่ว่าฉันจะเอามันออกไปได้อย่างไร
    เพราะว่ามันอยู่ในจิตใจของฉันเอง?”

    แล้วความมั่นใจก็จะตอบว่า “ก็เช่นเดียวกับฉันนั่นแหละ ฉันก็อยู่ในจิตใจของคุณ
    ดังนั้น ถ้าคุณปลดปล่อยประตูเหล็กบานนั้นออกมาให้ฉัน
    และปลดปล่อยความคิดที่ไม่ยืดหยุ่นที่มันปกป้องอยู่นั้นออกมาให้ฉันแล้ว
    ฉันก็จะแสดงให้คุณได้เห็นว่า จะสามารถเพิกเฉยต่อเสียงของ ego ที่บาดเจ็บของคุณได้อย่างไร
    และจะสามารถเพิกเฉยต่อความเชื่อ เกี่ยวกับการแบ่งแยก และการมีข้อจำกัด
    รวมถึงจะเพิกเฉยต่อเสียงของความลังเลสงสัยได้อย่างไรด้วย

    แล้วจากนั้น คุณก็จะฟังเฉพาะเสียงของฉันแทน
    เพราะว่าฉันคือความมั่นใจและความหวังที่อยู่ในตัวคุณเอง
    ฉันคือความมั่นใจและความหวังของตัวคุณเอง

    คุณเห็นไหมหละว่า คุณไม่จำเป็นจะต้องไปต่อสู้กับใครหรืออะไรอีกแล้ว
    คุณเพียงแต่จะต้องยอมจำนนเท่านั้นเอง ยอมจำนนให้กับความมั่นใจและความหวัง
    ที่คุณจะสามารถพบได้เฉพาะภายในตัวคุณเองเท่านั้น”


    และเมื่อใดที่พวกคุณสามารถชนะสงครามภายในของตัวเองได้แล้ว
    พวกคุณก็จะไม่ถูกความขัดแย้งภายในของตัวเอง
    ทำให้เบี่ยงเบนออกนอกเส้นทางอีกแล้ว
    และพวกคุณก็จะสามารถแบ่งความตระหนักรู้ของตัวเอง
    ออกเป็นสองส่วนได้อย่างง่ายดาย


    คือส่วนที่ตระหนักรู้อยู่กับโลกภายใน
    และส่วนที่ตระหนักรู้อยู่กับโลกภายนอก


    และด้วยการฝึกฝน พวกคุณก็จะเรียนรู้
    ที่จะ “รับรู้ชีวิตภายนอกของตัวเอง”
    และ “ดำเนินชีวิตภายนอกของตัวเอง”
    จากส่วนลึกที่อยู่ภายในของตัวคุณเองได้


    แล้วหลังจากนั้น กระบวนการเปลี่ยนรูปแบบของพวกคุณ
    ก็จะเร่งเร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก
    และพวกคุณก็จะได้เห็นว่า เมื่อตัวคุณเองเปลี่ยนไปแล้ว
    โลกภายนอกที่อยู่รอบๆตัวคุณ
    ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย

    เพราะว่าพลังงานที่คุณหมุนปั่นออกไป
    สู่โฮโลแกรมที่อยู่ภายนอกของตัวเองนั้น
    มันแตกต่างไปจากเดิมแล้วนั่นเอง


    แต่อย่างไรก็ตาม จงอย่าไปมองหาอะไรที่มันแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงหละ
    แต่ให้มองหาสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงไปแบบเล็กๆน้อยๆแทน

    ........................
     
  14. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    Part 4: ข้อความจากไกอา

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    ตอนที่ 3:


    การสร้างสรรค์ร่วมกันของคนทั้งโลก (Collective Creation)


    ในช่วงแรกๆ พวกคุณจะประสบกับการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆในชีวิตของคุณ
    แล้วจากนั้น พวกคุณก็จะพบว่าโลกแห่งความเป็นจริงของคนทั้งโลก
    ก็กำลังมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นเดียวกัน

    แต่ที่รักทั้งหลาย จงจำไว้ว่า
    ช้าๆแต่ไม่หยุด คือผู้ที่ชนะการแข่งขัน


    ชัยชนะจากการสร้างสรรค์ร่วมกันของคนทั้งโลก
    จะเป็นที่แน่นอนที่สุด ถ้าพวกเราทั้งหมด เดินไปด้วยกัน
    ด้วยความสมัครสมานกลมเกลียวกัน และด้วยสันติ
    เพื่อไปสู่ระดับความสั่นสะเทือนที่ค่อยๆสูงขึ้นเรื่อยๆ
    สูงกว่าที่เรากำลังอยู่นี้ทีละน้อยๆ

    ซึ่งด้วยวิธีนี้ พวกเราก็จะสามารถเคลื่อนขึ้นไป
    สู่ระดับคลื่นความถี่ที่สูงขึ้นเรื่อยๆได้ ทีละขั้นๆ
    อย่างมั่นคงและอย่างอดทน


    ด้วยเหตุนี้ โลกแห่งความเป็นจริงของคนทั้งโลก
    ซึ่งจะมาจากการเลื่อนระดับขึ้นของโลกทั้งโลกนี้
    ก็จะถูกทำให้เป็นจริงขึ้นมาได้
    โดยมีความไม่ราบรื่นเกิดขึ้นน้อยที่สุด
    และตัวดาวเคราะห์โลกเอง
    ก็จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างปุบปับมากจนเกินไป
    อันจะเป็นเหตุให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อาศัยอยู่บนโลก
    ต้องตายลงไป หรือต้องได้รับบาดเจ็บจำนวนมากมายได้

    แต่ว่า ฉันก็ยังท้อใจ กับผู้ที่ต่อต้านกระบวนการเปลี่ยนรูปแบบนี้อยู่
    เพราะว่าพวกเขายังไม่สามารถชนะสงครามภายในตัวพวกเขาเองได้
    ระหว่างความมั่นใจกับความลังเลสงสัย
    ดังนั้น พวกเขาจึงยังคงหวาดกลัวการเปลี่ยนแปลงต่างๆอยู่
    และหวาดกลัวความสูญเสีย ที่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นจะนำมาให้อยู่


    ดังนั้น พวกเขาจึงยังคงยึดติดอยู่กับสิ่งเดิมๆ
    และมีชีวิตอยู่ในความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ยังไม่รู้อยู่ต่อไป
    ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงอาจจะต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลง
    ที่รุนแรงมากกว่า และ สงบราบรื่นน้อยกว่าได้

    พวกเขาอาจจะถูกทำให้ต้องตัดขาดจากทรัพย์สมบัติที่พวกเขาครอบครองอยู่
    หรืออาจจะถูกดึงออกมาจากสิ่งที่ครอบงำพวกเขาอยู่
    และอาจจะต้องช็อกกับความตระหนักรู้ที่ว่า “พวกเราทั้งหมดคือหนึ่งเดียวกัน”

    ดังนั้น ประชากรชาวจิตวิญญาณของฉัน
    ผู้เป็นที่รักทั้งหลาย
    ถึงตอนนี้ฉันจึงจำเป็นต้องเตือนพวกคุณว่า
    ความกลัวที่จะสูญเสีย “สิ่งของ” ไปนี้
    จะต้องถูกกำจัดทิ้งไปเสีย ไม่เช่นนั้นแล้ว
    มันก็จะไปสร้างประสบการแห่งความตาย
    ขึ้นมาให้กับพวกคุณแทน
    แทนที่จะเป็นประสบการณ์แห่งการเลื่อนระดับขึ้น

    (ปล. “สิ่งของ” หรือ “thing” ในที่นี้
    หมายถึง ร่างกายเนื้อของเรานะครับ – ผู้แปล)


    ....................................................

    การสร้างสรรค์โลกแห่งความเป็นจริง (Creating Reality)


    “ความกลัว”
    เป็นพลังแห่งการสร้างสรรค์ที่มีพลานุภาพสูงมาก
    และถ้าพวกคุณกลัวสิ่งใดอยู่ พลังแห่งความกลัวอันนั้น
    ก็จะไปทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นจริงๆ


    ดังนั้น ถ้าพวกคุณกลัวการสูญเสีย การสูญเสียก็จะเกิดขึ้นกับพวกคุณจริงๆ
    เพราะว่าคุณจะหมุนปั่นเอาประสบการณ์อันนั้นออกมาสู่โฮโลแกรมของตัวเอง

    ร่างกายเนื้อในมิติที่ 3 ของพวกคุณ คือ “สิ่งของ” (thing) อย่างหนึ่งเท่านั้นเอง
    มันไม่ใช่อะไรที่เป็นวิญญาณ หรือไม่ใช่สิ่งที่มาจากมิติที่มีระดับความสั่นสะเทือนสูงกว่าเลย
    มันเป็นสิ่งที่มาจากระดับความสั่นสะเทือนเดียวกันกับรถยนต์, บ้าน หรือเงินเท่านั้นเอง
    ดังนั้น ถ้าพวกคุณกลัวที่จะสุญเสียสิ่งเหล่านี้ไป พวกคุณก็จะสูญเสียมันไปจริงๆ
    รวมถึงจะสูญเสียร่างกายเนื้อที่เป็นคนใช้สอยพวกมันไปด้วย

    ฉันไกอา จำเป็นจะต้องให้พวกคุณรักษาร่างกายเนื้อของพวกคุณเอาไว้ก่อน
    เพื่อช่วยเหลือฉัน จนกว่ากระบวนการเปลี่ยนสภาพของพวกเราจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ลง
    และที่รักทั้งหลาย จงจำไว้ว่า สมอเรือจะต้องถูกดึงขึ้น แล้วไปพร้อมกับเรือเสมอ


    ในขณะที่พวกคุณกำลังดาวน์โหลดคลื่นความถี่ที่สูงกว่าของตัวตนหลากมิติของตัวเอง
    เข้ามาสู่ร่างกายเนื้อของตัวเองอยู่นี้ ก็เท่ากับว่าพวกคุณกำลังกรอก “วิญญาณ”
    และ “แสงสว่างจากมิติที่สูงกว่าของตัวเอง” เข้าไปใส่ใน “สิ่งของ” ของตัวเองอยู่


    ซึ่งด้วยวิธีนี้ พวกคุณจึงไม่เพียงแต่กำลังช่วยยกระดับความสั่นสะเทือน
    ของ “จิตสำนึกมวลรวมของโลกทั้งโลก” (the Planetary Consciousness)
    และความสั่นสะเทือนของดาวเคราะห์โลก ให้สูงขึ้นอยู่เท่านั้น
    แต่พวกคุณยังกำลังช่วยรับประกันด้วยว่า กระบวนการเปลี่ยนรูปแบบของพวกคุณ
    จะไม่รู้สึกเหมือนกับว่าคือการสูญเสียด้วย


    พวกคุณจะไม่มีความรู้สึกว่า “กำลังสูญเสียร่างกายเนื้อของตัวเองไป”
    เพราะว่าพวกคุณจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงรูปแบบของมันไปทีละน้อยๆ อย่างช้าๆ
    เพื่อไปเป็นกายแห่งแสงสว่าง


    แล้วหลังจากนั้น “เปลือกห่อหุ้ม” อันนี้ ก็จะหลุดออกไปอย่างง่ายดาย
    พอๆกับที่มายาการของมิติที่ 3 ที่จะค่อยๆหลุดหายไปอย่างนิ่มนวลนั่นแหละ


    ความเป็นจริงก็คือ เหล่า Lightworker ของฉัน
    ตอนนี้พวกคุณส่วนใหญ่ กำลังอยู่ในมิติที่ 4 กันเรียบร้อยแล้ว


    นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกคุณถึงได้พากันมีปัญหายุ่งยากกันอยู่แบบนี้
    เพราะว่าความท้าทายของพวกคุณก็คือ พวกคุณแต่ละคนกำลังสร้างอุโมงค์แห่งแสงสว่าง
    เพื่อทะลุผ่าน “โลกทิพย์ชั้นล่าง” (the Lower Astral Plane – หรือ นรก – ผู้แปล)
    กันอยู่จริงๆ ซึ่งกระบวนการนี้ ปกติแล้วจะใช้เวลาประมาณ 1 หรือ 2 ปีกว่าจะเสร็จ
    แต่ว่าช่วงเวลาดังกล่าวนี้ อาจจะเปลี่ยนแปลงได้
    เมื่อกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นแบบทั้งดาวเคราะห์ของพวกเราดำเนินไป


    ........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2013
  15. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    Part 4: ข้อความจากไกอา

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    ตอนที่ 4:

    การสร้างสรรค์ในมิติที่ 4 (4th Dimension Creation)


    มิติที่ 4 คือมิติแห่งการฝึกฝน สำหรับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในมิติที่ 5 และที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าขึ้นไปอีก
    การเนรมิตในมิติที่ 4 จะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เร็วกว่าในมิติที่ 3 แต่ก็ยังนับว่าช้ากว่าในมิติที่ 5 อยู่มาก

    มิติที่ 4 จะมีความยืดหยุ่นมากกว่ามิติที่ 3 และก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงรูปร่าง
    ให้เป็นไปตามความคิดและจิตใจของพวกคุณได้ง่ายดายกว่าด้วย

    ดังนั้น พวกคุณจึงสามารถ ที่จะมีประสบการณ์
    กับผลงานการเนรมิตออกมาสู่ภายนอก
    ของความคิด และ อารมณ์ความรู้สึก
    จากภายในของตัวเอง ได้อย่างรวดเร็ว


    และพวกคุณยังจะได้เรียนรู้อีกว่า
    แม้แต่ “ความคิด” และ “อารมณ์ความรู้สึก”
    ที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของคุณเอง
    ก็ยังสามารถที่จะสร้างโลกแห่งความเป็นจริงภายนอก
    ขึ้นมาให้กับคุณเองได้ด้วย

    มิติที่ 3 เป็นมิติที่ไม่กระฉับกระเฉง ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงต่างๆจึงเกิดขึ้นได้ช้ามากๆ
    และเมื่อใดที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้ว มันก็จะตกผลึกไปอยู่ในรูปแบบที่ถาวรอย่างรวดเร็ว
    จนทำให้ถ้าจะเปลี่ยนแปลงอะไรมันอีก ก็จะต้องใช้ความพยายาม
    และความมุมานะอุตสาหอยากมากเลยทีเดียว

    แต่ในทางตรงกันข้าม ในมิติที่ 4 นั้น
    เป็นมิติที่มีระดับความสั่นสะเทือนสูงกว่า
    และมี “พลังปราณ” (prana) มากกว่า

    ซึ่งพลังปราณที่ว่านี้ก็คือแสงสว่างแห่งภูมิปัญญา
    และคือพลังชีวิตจากวิญญาณของจักรวาลนั่นเอง


    และเพราะว่ามันมีพลังปราณอยู่มากกว่าในมิติที่ 4 นี้เอง
    จึงทำให้การสร้างสรรค์ เป็นไปได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่า
    เพราะว่าพลังปราณสามารถที่จะเข้าไปเติมเต็ม
    “กระแสจิต” (thought-form)
    ของคุณได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่านั่นเอง


    กระแสจิต (thought-form) ก็จะเป็นอะไรที่คล้ายๆกับแมทริกซ์ชนิดหนึ่ง
    ที่ ”ความคิด” และ ”อารมณ์ความรู้สึก” ของคุณ ร่วมกันสร้างมันขึ้นมา

    แต่อย่างไรก็ตาม “กระแสจิต”
    จะยังไม่กลายไปเป็นความจริงขึ้นมาได้
    ถ้ามันยังไม่ได้ถูกเติมเต็มด้วย “พลังปราณ”
    จากเจตจำนงค์ของวิญญาณของคุณซะก่อน


    ดังนั้น สิ่งที่มอบชีวิต
    ให้กับแมทตริกซ์แห่งกระแสจิตของคุณ
    ก็คือพลังปราณนี้เอง


    และตราบใดที่ความปราถนาของคุณ
    ยังคงจดจ่ออยู่กับสิ่งสร้างสรรค์ใหม่อันนั้นอยู่
    มันก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป

    แต่ว่า.. ถ้าเมื่อใด ที่คุณปลดปล่อยความปราถนา
    และความตั้งใจอันนั้นไปเสียแล้ว
    โลกแห่งความเป็นจริงอันนั้น
    ก็จะค่อยๆเลือนหายไปจากการรับรู้ของคุณทันที

    เพราะเหตุนี้ มันจึงมีโลกแห่งความเป็นจริงอยู่มากมาย
    ที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของพวกคุณ
    ที่ดำรงอยู่แบบชั่วคราวเท่านั้น

    ........................................................

    โลกแห่งความเป็นจริงชั่วคราว (Temporary Realities)


    โลกแห่งความเป็นจริงชั่วคราวเหล่านี้ จะช่วยในการเรียนรู้ของพวกคุณ
    ซึ่งจะตรงกันข้ามกับโลกแห่งความเป็นจริงที่พวกคุณสร้างขึ้นมา
    เพื่อให้เป็นเส้นทางชีวิตของพวกคุณ

    พวกคุณบางคนอาจจะไม่สามารถที่จะคงความตั้งใจ
    ที่จะกลายไปเป็นกายแห่งแสงสว่างเอาไว้ได้
    ดังนั้น มันจึงเป็นเพียงความคิดอย่างหนึ่งเท่านั้น

    ส่วนพวกคุณบางคน อาจจะสามารถรักษาความตั้งใจนี้เอาไว้ได้
    ในฐานะโลกแห่งความเป็นจริงชั่วคราว หรือแนวความคิด
    ที่เก็บเอาไว้เพื่อพิจารณาอย่างหนึ่งเท่านั้น

    แต่โชคยังดีที่ พวกคุณอีกส่วนหนึ่ง
    จะสามารถทำให้ความตั้งใจที่จะสร้างสรรค์กายแห่งแสงสว่างนี้
    กลายมาเป็นเส้นทางชีวิตของตัวเองได้

    ถ้าพวกคุณ ยังสามารถคงความปราถนา
    ที่จะกลายไปเป็นกายแห่งแสงสว่างเอาไว้ได้ตลอด
    ในฐานะที่เป็นเส้นทางชีวิตของตัวเองแล้ว
    และสามารถคงความตระหนักรู้ถึงเส้นทางนี้
    ในชีวิตประจำวันของตัวเอง ซึ่งอยู่ในโลกแห่งมิติที่ 3 นี้
    เอาไว้ให้ได้ตลอดแล้วหละก็
    พวกคุณก็จะสามารถ
    ดาวน์โหลดเอาตัวตนหลากมิติทั้งหลายของตัวเอง
    ซึ่งได้กลายไปเป็นกายแห่งแสงสว่างเรียบร้อยแล้วนั้น
    เข้ามาได้มากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ

    แล้วจากนั้นพวกคุณก็จะสามารถ
    ผสานรวมเอาคลื่นความสั่นสะเทือน
    ของตัวตนที่สูงส่งกว่าเหล่านี้ของตัวเอง
    ให้เข้ามาอยู่ในร่างกายเนื้อของตัวเองได้ด้วย

    แต่ว่า..อันดับแรก พวกคุณก็จะต้องชำระสะสาง
    “จิตใต้สำนึก” ที่อยู่ในมิติที่ 4 ของตัวเองซะก่อน
    ให้ปราศจากความรู้สึกแห่งความกลัว,
    ความลังเลสงสัย, และความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าซะก่อน

    เพราะถ้าพวกคุณยังไม่ได้ชำระสะสางความกลัวและความลังเลสงสัยเหล่านี้ออกไปแล้ว
    มันก็จะเป็นการยากมากๆ ที่จะรักษาความเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเองเอาไว้ได้

    ซึ่งถ้าหากปราศจากความรู้สึกอย่างรุนแรง ว่าตัวเองมีคุณค่าแล้ว
    พวกคุณก็จะไม่สามารถ รักษาการจดจ่อให้อยู่กับความตั้งใจ
    ที่จะกลายไปเป็นกายแห่งแสงสว่างเอาไว้ได้

    ดังนั้น ชาวโลกที่รักทั้งหลาย จงอย่าลืมเข้าไปข้างในตนเอง
    เพื่อไปฟังเสียงแห่งความมั่นใจและความหวังของตัวเอง


    ...............................
     
  16. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    Part 4: ข้อความจากไกอา

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    ตอนที่ 5: จบ


    การสร้างสรรค์ให้เกิดการเลื่อนระดับขึ้นแบบทั้งดาวเคราะห์
    (Creating Planetary Ascension)



    เมื่อใดที่จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ ได้ไปอยู่ที่มิติที่ 4 แล้ว
    มันก็จะมีโลกแห่งความเป็นจริงบนเส้นทางเลือกอื่นๆ แตกแขนงแยกย่อยออกมามากมาย

    ฉันหมายความว่า เมื่อพวกคุณเข้าไปอยู่ในระดับความสั่นสะเทือนของมิติที่ 4 แล้ว
    พวกคุณก็จะยังมองเห็น และมีประสบการณ์กับความสั่นสะเทือนของมิติที่ 3 อยู่

    แต่ว่า..พวกคุณก็จะรู้สึกว่า..มิติที่ 3 นี้
    ได้ไกลห่างออกไปจากพวกคุณแล้ว

    ซึ่งในช่วงแรกๆนั้น พวกคุณก็จะรู้สึกราวกับว่า
    พวกคุณไม่จำเป็นจะต้องไปตอบสนอง
    ต่อบทละครชีวิตของมิติที่ 3
    แบบอินไปกับมันมากๆเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว

    แล้วต่อจากนั้น พวกคุณก็จะเริ่มรู้สึกว่า
    สามารถปล่อยวางจากโลกนั้นได้มากขึ้นเรื่อยๆ

    และถึงแม้ว่า พวกคุณจะยังคงมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
    ต่อความเจ็บปวด และ ความทุกข์ของโลกนั้นอยู่อย่างมากก็ตาม
    แต่ว่า..มันก็เป็นแค่ “โลกนั้น” เท่านั้นเอง..
    ไม่ใช่ “โลกของคุณ” อีกต่อไป

    พวกคุณจะยังคงปราถนาที่จะช่วยเหลือ
    และ จุนเจือผู้คน ที่อยู่ในโลกนั้นอยู่
    แต่ว่า..พวกคุณก็จะหวั่นไหวต่อโลกแห่งความเป็นจริงอันนั้น
    น้อยลงมากๆแล้ว

    และในท้ายที่สุดแล้ว พวกคุณก็จะไปถึงจุดๆหนึ่ง
    จุดที่พวกคุณจะรู้สึกวางเฉยอย่างมาก
    จนพวกคุณรู้ว่า มิติที่ 3 นี้
    ไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณอีกต่อไปแล้ว

    ซึ่งอาการแบบนี้มันจะเกิดขึ้น
    เมื่อพวกคุณได้ดาวน์โหลดเอาส่วนต่างๆ
    ของตัวตนหลากมิติของตัวเองเข้ามามากพอแล้ว
    จนทำให้พวกคุณได้พบกับความรู้สึกของ
    “ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข”,
    “การยอมรับแบบไม่มีเงื่อนไข” และ
    “การให้อภัยแบบไม่มีเงื่อนไข”
    ของมิติที่ 5 เข้าแล้ว

    และด้วยเหตุนี้ พวกคุณก็จะไม่มีความคิดที่ไม่ดี
    ต่อเกม และ มายาการของมิติที่ 3 เลย
    ดังนั้น พวกคุณจึงสามารถที่จะรัก
    และยอมรับผู้ที่ยังคงติดอยู่
    ในโลกแห่งความเป็นจริงโลกนั้นได้อย่างไม่มีเงื่อนไข

    และในท้ายที่สุดแล้ว
    ระดับความสั่นสะเทือนของร่างกายเนื้อของพวกคุณ
    ก็จะสูงขึ้น จนพ้นจาก ระดับความสั่นสะเทือน
    ของมิติที่ 3 ไปอยู่ในมิติที่ 4 แทน
    และ เกมของมิติที่ 3
    ก็จะกลายไปเป็นเกมของมิติที่ 3 และ 4 แทน

    ซึ่ง ณ.จุดนี้ พวกคุณก็จะเริ่มรู้สึกว่า
    พอแล้วกับกระบวนการเป็นแค่กายเนื้อกายนี้เท่านั้น
    เพราะว่าพวกคุณมีความตระหนักรู้แล้วว่า
    พวกคุณคือรูปธรรมชีวิตหลากมิติ
    ผู้ที่ได้หวนกลับมาเวียนว่ายตายเกิด
    ซ้ำแล้วซ้ำเล่าบนโลกใบนี้
    เพื่อที่จะมามีส่วนร่วม
    ในกระบวนการเลื่อนระดับขึ้น
    แบบทั้งดาวเคราะห์ในครั้งนี้เท่านั้นเอง

    อันที่จริงแล้ว พวกคุณคือสมาชิกของ “ทีมงานเลื่อนระดับขึ้นแบบทั้งดาวเคราะห์”
    (the Planetary Ascension Team) ผู้ที่ได้ดาวน์โหลดเอา
    “อารมณ์แบบไร้เงื่อนไข” (Unconditional emotion)
    และ “ความคิดแบบไม่ยึดติด” ของมิติที่ 5 เข้ามาในร่างกายเนื้อที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้แล้ว
    ซึ่งวิธีการคิดแบบนี้ และ ความรู้สึกแบบนี้ จะช่วยให้พวกคุณสามารถ
    คง “ความมีเมตตากรุณาแบบมีอุเบกขา” ต่อสรรพชีวิตที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้เอาไว้ได้

    ในฐานะของผู้ที่จบการศึกษาจากวิทยาลัยมาแล้ว พวกคุณก็คงจะไม่ไปตัดสินชี้ถูกผิดว่า
    คนที่อยู่ในชั้นเรียนที่ต่ำกว่า รู้น้อยกว่าหรอกใช่ไหม? เพราะว่าสุดท้ายแล้ว
    พวกเขาก็จะตระหนักรู้เองว่า ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาจะต้องเรียนรู้เพิ่มอีก
    และยังมีเส้นทางชีวิตอยู่อีกเส้นทางหนึ่ง ที่จะสามารถดำเนินชีวิตไปได้

    ............................................................

    ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข (Unconditional Love)


    มันยังมีอีกธาตุหนึ่ง ที่มีความสำคัญสำหรับการเลื่อนระดับขึ้นไปสู่มิติที่ 5
    ซึ่งธาตุนั้นก็คือ เจตจำนงค์แห่ง “ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข”


    แล้วพวกคุณซึ่งเป็นมนุษย์ที่อยู่ในมิติที่ 3 ถึง 4 นี้
    จะไปเอาเจตจำนงค์แห่งความรักแบบไม่มีเงื่อนไข ซึ่งเป็นของมิติที่ 5
    มาใส่ในโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณได้อย่างไร?

    คำตอบก็คือ พวกคุณต้องรู้สึกถึงมันเอาเอง

    อันดับแรก พวกคุณต้องรู้สึกถึงความรักแบบไม่มีเงื่อนไขที่มีให้กับตัวเองก่อน
    แล้วจากนั้น จึงค่อยไปรู้สึกกับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณสัมผัสรู้อยู่

    แล้วพวกคุณจะรู้สึกถึงความรักแบบไม่มีเงื่อนไขกับตัวเองได้อย่างไร?

    พวกคุณก็จะต้อง เริ่มต้นด้วยการรู้สึกถึงความรักแบบไม่มีเงื่อนไข
    ที่ตัวตนหลากมิติของคุณมีให้กับคุณก่อน
    แล้วจากนั้น จึงค่อยยอมรับว่า ความรักอันนี้ แท้ที่จริงแล้ว
    ก็คือความรักของตัวคุณเอง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มันก็คือ
    ความรักแบบไม่มีเงื่อนไขที่จิตวิญญาณของคุณ มีให้กับ ego ของคุณนั่นเอง

    พวกคุณจะเป็นเจ้าของความรักนี้ได้
    โดยการเชื่อว่า ego ของคุณ
    คู่ควรที่จะได้รับความรักอันนี้

    และเมื่อใดที่คุณสามารถ “เชื่อ” ได้ว่า
    ตัวเองคู่ควรที่จะได้รับความรัก
    แบบไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้นแล้ว
    ส่วนอื่นๆของคุณที่ไม่เชื่อแบบนั้นด้วย
    ก็จะโผล่ขึ้นมาสู่พื้นผิวของความตระหนักรู้ของคุณทันที
    เพื่อที่จะได้รับการเยียวยารักษาต่อไป

    จงรักส่วนต่างๆของ ego ที่บาดเจ็บของตัวคุณเอง
    อย่างไม่มีเงื่อนไข ที่คุณยังคงเชื่ออยู่ว่า
    คุณไม่สามารถที่จะรักมันได้
    จงรักพวกมันให้มากๆ เพราะว่าพวกมัน
    จะนำพาภูมิปัญญาที่สูงส่งกว่ามาให้คุณ

    จงบอกกับพวกมันว่า คุณจะมอบความรัก
    แบบไม่มีเงื่อนไขอันเลอเลิศ ให้แก่พวกมัน
    และทั้งหมดที่พวกมันจะต้องทำก็คือ
    การยอมรับความรักที่คุณส่งให้พวกมันนี้เอาไว้

    จากนั้น คุณก็จะต้องแบ่งความตระหนักรู้ของคุณออกเป็นส่วนๆ
    โดยที่ส่วนแรก คุณจะต้องรักส่วนที่อยู่ภายในตัวคุณเอง
    ที่คุณคิดว่าคุณไม่อาจรักได้ อย่างไม่มีเงื่อนไข
    และจะต้องรักอย่างมีสติสัมปชัญญะ และรักอย่างต่อเนื่องด้วย

    อีกส่วนหนึ่ง คุณก็จะต้องจดจ่ออยู่ข้างนอก เพื่อรักทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณสัมผัสรู้อยู่
    อย่างไม่มีเงื่อนไขด้วย แม้ว่าสิ่งๆนั้นจะดูเหมือนว่า คุณจะไม่อาจรักได้ก็ตาม

    ความรักแบบไม่มีเงื่อนไขนี้ จะไม่ทำให้คุณอ่อนแอลงแต่อย่างใดเลย
    มีเพียงความรักที่มีเงื่อนไขแบบมนุษย์โลกเท่านั้น ที่จะทำให้เกิดความอ่อนแอขึ้นได้
    เพราะว่าความรักแบบไม่มีเงื่อนไขนี้ เป็นแหล่งกำเนิดของพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
    ซึ่งก็คือ “ความเมตตากรุณาแบบมีอุเบกขา” นั่นเอง

    แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่คุณเริ่มที่จะใส่เงื่อนไขเข้าไปให้กับมัน
    เช่นว่า “ฉันจะรักเธอ ก็ต่อเมื่อเธอ...” แล้ว
    เมื่อนั้นคุณก็จะไม่มีอุเบกขาอีกต่อไปแล้ว
    และคุณก็จะไม่ “ไร้เงื่อนไข” อีกต่อไปแล้ว

    ดังนั้น ระดับความสั่นสะเทือนของคุณ จึงจะลดต่ำลงทันทีด้วย
    แล้วความรักของคุณ ก็จะตกลงมาจากความรักของจิตวิญญาณ
    กลายมาเป็นความรักแบบมนุษย์โลกธรรมดาไป

    ในการที่จะเนรมิตสิ่งใดออกมาจากจิตวิญญาณของตัวคุณเอง
    แต่เพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่ใช่เนรมิตออกมาจาก ego ของตัวคุณเองนั้น
    คุณก็จะต้องเนรมิตมันออกมา จากความรักแบบไม่มีเงื่อนไขเท่านั้น
    และคุณจะต้องเนรมิตมันออกมา จากความคิดของมิติที่ 5 (จินตนาการของคุณ)
    และเจตนาที่บริสุทธิ์ (purity of intention ) ที่มาจากจิตวิญญาณของคุณเองเท่านั้น

    ตอนนี้ จงรู้สึกถึงความรักแบบไม่มีเงื่อนไข ที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาสู่ทุกสรรพชีวิตอยู่ในขณะนี้
    ซึ่งมาแบบฟรีๆ และมาจาก “ต้นกำเนิด” (the Source)

    จงบูรณาการเอาความรักแบบไม่มีเงื่อนไขนี้ เข้ามาสู่ระบบความเชื่อของคุณเอง
    คุณไม่จำเป็นจะต้องมีความเหมาะสม หรือคู่ควรที่จะได้รับมันก่อนแต่อย่างใดเลย
    เพราะว่ามันถูกมอบให้มา โดยไม่มีเงื่อนไข หรือโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น

    ตอนนี้ จงนำเอาความรักแบบไม่มีเงื่อนไขนี้ไปห่อหุ้มตัวคุณไว้
    และไปห่อหุ้มสิ่งที่คุณปราถนาจะเนรมิตออกมาไว้
    จงยินยอมให้จินตนาการของคุณดึงดูดเอาความคิดสร้างสรรค์จากมิติที่ 5 มา
    แล้วดึงดูดมันมารวมกันไว้กับเจตนาอันบริสุทธิ์จากจิตวิญญาณของคุณเอง

    ....................................................

    การปล่อยวาง (Letting go)


    เจตนาอันบริสุทธิ์ จะสามารถมาจาก "ความเมตตากรุณาแบบวางอุเบกขา"
    ของมิติที่ 5 และ 6 ได้เท่านั้น เพราะเหตุนี้ มันจึงจะเป็นประโยชน์มาก
    ที่จะตอกย้ำตัวเองซ้ำๆอยู่เรื่อยๆว่า:


    “ด้วยความบริสุทธิ์แห่งเจตนารมณ์และความรักแบบไม่มีเงื่อนไขนี้
    ข้าพเจ้าจะเนรมิตมันออกมาจากความปราถนาของจิตวิญญาณของข้าพเจ้า”


    แล้วจากนั้น ก็จงปล่อยวางมันลงเสีย
    ซึ่งการปล่อยวางนี้ จะไปกระตุ้นให้ความคิด
    จากมิติที่ 5 ของคุณ เกิดการทำงานขึ้นมา
    เพราะว่ามันจะถูกกระตุ้นได้ดีที่สุด
    ก็ต่อเมื่อมีอิสรภาพอย่างแท้จริงเท่านั้น
    จากนั้นกระบวนการนี้
    มันก็จะดำเนินต่อไปด้วยตัวมันเอง


    (ปล.สรุปว่าเวลาเราจะเนรมิตอะไรให้ออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงของเรา
    ให้เราเนรมิตออกมาจากเจตนาอันบริสุทธิ์ และจากความรักแบบไม่มีเงื่อนไข
    ซึ่งจะมาจากจิตวิญญาณของเราได้เท่านั้น ไม่สามารถมาจากจิตมนุษย์ของเราได้

    แล้วหลังจากตั้งเจตจำนง และใส่ปัจจัยในการเนรมิตลงไปให้กับมันแล้ว
    (คือเจตนา + อารมณ์ความรู้สึก = การเนรมิต)
    ก็ให้ปล่อยวางมันเสีย เพราะว่ามันจะต้องมีอิสระจริงๆ มันถึงจะเนรมิตออกมาได้
    ผมเข้าใจว่าอย่างนั้นนะครับ - ผู้แปล)

    แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณเริ่มที่จะรู้สึกลังเลสงสัย หรือกลัวขึ้นมาอีกแล้ว
    ก็ให้ท่องมนต์อันนั้นซ้ำๆอีกครั้งหนึ่ง ว่า:


    “ด้วยความบริสุทธิ์แห่งเจตนารมณ์และความรักแบบไม่มีเงื่อนไขนี้
    ข้าพเจ้าจะเนรมิตมันออกมาจากความปราถนาของจิตวิญญาณของข้าพเจ้า”


    ให้ท่องซ้ำๆอยู่เรื่อยๆ จนกว่าความรักแบบไม่มีเงื่อนไขและเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์
    จะเข้าครอบงำจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคุณแล้วจริงๆ


    ฉันคือไกอา ฉันปราถนาที่จะให้พวกคุณเพลิดเพลินกับ รอบสุดท้าย
    ของการเป็นมนุษย์โลก ที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้ ดังนั้น ฉันจึงขอเป็นกำลังใจให้กับพวกคุณ
    ในการสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของตัวเอง แบบที่จะ
    “เติมเต็มจิตวิญญาณของพวกคุณ” ขึ้นมา

    และฉันก็อยากจะขอร้องให้พวกคุณ ช่วยกันสร้างโลกแห่งความเป็นจริง
    ที่ “เติมเต็มจิตวิญญาณของดาวเคราะห์โลกดวงนี้” ด้วย

    เพราะว่าตอนนี้ พวกเรา..
    ดาวเคราะห์โลก กับ มนุษย์โลก
    กำลังจะเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว


    และพวกเรา ก็จะเลื่อนระดับขึ้นไปสู่ร่างกายที่แท้จริงของพวกเรา
    ซึ่งก็คือ “กายแห่งแสงสว่าง” (Lightbody) นั่นเอง

    ซึ่งมิติที่ 5 นี้ดำรงอยู่ภายในร่างกายของพวกคุณเองอยู่แล้ว
    เช่นเดียวกับที่ดำรงอยู่ในร่างกายของฉันเองด้วย

    พวกคุณได้ดาวน์โหลดกายแห่งแสงสว่างของจิตวิญญาณของพวกคุณเอง
    เข้ามาสู่ร่างกายเนื้อของพวกคุณมาระยะหนึ่งแล้ว
    และอีกไม่นานพวกคุณก็จะรวมเอา “แก่นแท้” ของตัวตนของพวกคุณเอง
    เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับแก่นแท้ของตัวตนของฉัน

    ในตัวของพวกคุณตอนนี้ มีกายแห่งแสงสว่างอยู่เรียบร้อยแล้ว
    ดังนั้น ทั้งหมดที่พวกคุณจะต้องทำในตอนนี้ก็คือ
    ฉายเอาความเป็นจริงอันนั้นออกมาสู่โฮโลแกรม 3 มิติของพวกคุณ
    ด้วยความรักแบบไม่มีเงื่อนไข และด้วยเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์
    (purity of intention)


    ฉันคือไกอา ฉันจะเป็นไกด์ให้คุณต่อไป
    จนกว่าพวกเราจะเสร็จสิ้นกระบวนการของพวกเราไปด้วยกัน


    ฉันคือคู่หูของคุณ
    ฉันคือไกอา จิตสำนึกของดาวเคราะห์โลก

    ...............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2013
  17. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนจากข้อความของชาว Arcturian

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html



    การเข้ามาสู่เกม 3 มิตินี้ (Entering The 3rd Game)


    การที่จะเข้ามาในเกมนี้ได้ พวกคุณจะต้อง “กดปุ่ม” “ยอมรับ” ซะก่อน
    ซึ่งมันจะบอกว่า


    “ตอนนี้คุณกำลังพยายามที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเกม 3 มิติแห่งการแบ่งแยก
    และการมีข้อจำกัดนี้อยู่ ดังนั้น คุณก็จะได้พบกับการแบ่งแยกที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
    จากมิติที่ 4 และจากมิติที่อยู่สูงขึ้นไปอีก และคุณยังจะได้พบกับความรู้สึกแห่งแบ่งแยก
    ที่จะมากขึ้นเรื่อยๆ จากตัวตนที่สูงส่งกว่าของตัวคุณเอง และจากโลกแห่งความเป็นจริง
    ที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าทั้งหมดด้วย

    คุณได้เลือกที่จะเข้ามาใน “การทดลอง” นี้ เพราะว่าคุณเชื่อว่า และ/หรือ หวังว่า
    “การมีข้อจำกัดด้านความตระหนักรู้/จิตสำนึก” แบบนี้ จะสามารถช่วยกระตุ้นให้คุณ
    มีวิวัฒนาการที่สูงขึ้นไปอีกได้”

    ในตอนแรกที่คุณเข้ามาอยู่ใน "ร่างกายเนื้อเสมือนจริง" ของตัวเอง
    ที่อยู่ในเกมบอร์ด 3 มิตินี้ จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ
    ก็จะถูกใส่ “แผ่นกรองย้อนกลับ” (reverse filter) แผ่นหนึ่งเข้าไป
    ซึ่งแผ่นกรองอันนี้ ก็จะกางกั้นจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคุณเอาไว้
    จากการรับรู้พิมพ์เขียวของตัวตนที่แท้จริงของตัวเองที่อยู่ในมิติที่ 6
    และจากจิตวิญญาณต้นธาตุที่อยู่ในมิติที่ 7 ของตัวคุณเอง
    และจากตัวตนที่อยู่ในมิติที่สูงกว่ามิติที่ 7 ขึ้นไปอีก ของตัวคุณเองทั้งหมดด้วย…

    .........................................

    การเปลี่ยนแปลงของแสงสว่าง


    สัญญาณแห่งแสงสว่างที่พวกคุณกำลังได้รับมาจากดวงอาทิตย์อยู่นี้
    ได้พัฒนาขึ้นจากสัญญาณ 3 มิติ ที่มีช่วงสัญญาณแคบๆ
    ไปเป็นสัญญาณหลากมิติที่มีช่วงสัญญาณกว้างขึ้น
    ซึ่งก็จะเหมือนกับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตของพวกคุณ
    ที่เปลี่ยนจากแบบ dial-up ไปเป็นแบบ broadband นั่นแหละ
    ซึ่งในอีกไม่ช้านี้มันก็จะเปลี่ยนไปเป็นแบบเชื่อมต่อผ่านดาวเทียมต่อไปอีก

    ที่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ ก็เพราะว่า ระบบสุริยะของพวกคุณ
    กำลังเข้าสู่แถบโฟตอน (Photon Belt) อยู่
    และเพราะว่า “ดวงอาทิตย์ศูนย์กลาง” (The Central Sun) รู้ว่า
    ตอนนี้ไกอาสามารถที่จะรับคลื่นความถี่แห่งแสงสว่างที่สูงขึ้นได้แล้ว


    ใช่แล้ว ไกอาก็ได้ “Log On”
    เข้ามาเล่นในเกม 3 มิตินี้ด้วย


    ในความเป็นจริงแล้ว พวกคุณทุกๆคน
    ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของไกอาด้วยกันทั้งสิ้น

    ทุกสรรพชีวิตที่อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้
    ล้วนมาจาก “จิตวิญญาณต้นธาตุ”
    (Oversoul) เดียวกันทั้งสิ้น


    ซึ่งจิตวิญญาณต้นธาตุที่ว่านี้ ก็เป็นส่วนย่อยส่วนหนึ่ง
    ของจิตวิญญาณต้นธาตุของตัวมันเองอีกทีหนึ่งด้วย
    ซึ่งก็คือกาแล็กซี่นี้นั่นเอง

    และทุกๆ 12,000 ปี เมื่อไกอาโคจรเข้ามาสู่
    ”แถบโฟตอน” (Photon Belt) แล้ว
    โอกาสแห่งการเลื่อนระดับขึ้น
    ของประชากรของเธอ ก็จะมาถึง
    เพื่อ “Log Off” ออกจากเกม 3 มิตินี้
    แล้วกลับคืนไปสู่บ้าน ซึ่งก็คือ
    ตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกเขาเองต่อไป


    แต่อย่างไรก็ตาม ในรอบนี้
    รอบที่ไกอากำลังโคจรเข้ามาสู่
    ยุคใหม่แห่ง Aquarius อยู่นี้
    มันจะไม่เหมือนกับยุคก่อนๆที่ผ่านมาอีกแล้ว
    เพราะว่า “ดาวเคราะห์ทั้งดาวเคราะห์นี้”
    กำลังจะ Log Off ออกจากเกม 3 มิตินี้แล้ว
    เพื่อเลื่อนระดับขึ้นไปสู่บ้าน
    ซึ่งก็คือไปเป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง...

    ..............................
     
  18. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    พอดีว่า กระบวนการในการผนวกรวมเข้ากับตัวตนหลากมิติของตัวเราเองนั้น
    มันมีหลายขั้นตอน และ ผมก็เชื่อว่าพวกเราหลายคน หรืออาจจะทุกคนก็ได้
    กำลังอยู่ในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งเหล่านี้อยู่

    และเมื่อเนื้อหาของกระทู้นี้ มาถึงจุดนี้ ผมก็อยากจะสรุปให้ฟังคร่าวๆว่า
    เขาเพิ่งพูดมาถึงขั้นตอนแรก คือขั้นตอนในข้อ 1 จากทั้งหมด 5 ขั้นตอนเท่านั้นเองนะครับ
    ซึ่งก็คือ "การบูรณาการเอาตัวตนหลากมิติของเรา ให้เข้ากับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของเรา"

    และพอดีว่าขั้นตอนนี้ มันก็เกี่ยวข้องกับเรื่องของ "จักระ" อย่างขาดไม่ได้ซะด้วย
    ดังนั้น ผมก็เลยเอาเรื่องจักระ มาฉายให้ท่านได้อ่านอีกครั้งหนึ่ง แต่แบบสั้นๆเท่าที่จำเป็น
    เพราะว่าเชื่อว่าผู้อ่านส่วนใหญ่ของกระทู้นี้ คงจะรู้เรื่องจักระกันมาเป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้แล้ว

    ..............................................
     
  19. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความจากไกอา เรื่อง การปรับตั้งค่าใหม่ให้กับจักระของคุณ
    (Recalibrating Your Chakras)


    ที่มา: http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html

    [​IMG]
    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


    สวัสดีประชากรชาวโลกของฉัน ฉันคือไกอา ฉันคือรูปธรรมชีวิตหลากมิติที่ชื่อว่า “โลก”

    ก่อนที่ฉันจะช่วยพวกคุณปรับตั้งค่าใหม่ให้กับจักระต่างๆของพวกคุณ
    ฉันจะขอใช้เวลาซักครู่เพื่อทบทวนถึงมันก่อน

    ในช่วงที่คุณอยู่ใน “วิหารสีม่วง” นั้น คุณได้ดาวน์โหลดเอา และ บูรณาการเอาคลื่นความถี่ของแสงสว่าง
    จากมิติที่ 5 และ 6 เข้ามาไว้ในจิตสำนึกของตัวคุณเองแล้ว คราวนี้ ฉันกำลังจะมาช่วยพวกคุณ
    ในการปรับตั้งค่าใหม่ให้กับร่างกายเนื้อของพวกคุณ เพื่อให้เข้ากับแสงสว่างที่มีคลื่นความถี่สูงขึ้นนี้ได้

    ซึ่งส่วนนี้ของ “กระบวนการบูรณาการ” นี้
    ก็จะเหมือนกับการ “แตกไฟล์” (unzip file)
    ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของพวกคุณนั่นแหละ
    เพราะว่า “ไฟล์” แห่งแสงสว่างของมิติที่ 5 และ 6
    ที่ดาวน์โหลดมาแล้วนั้น จะยังไม่สามารถใช้งานได้
    เพราะว่ามันยังไม่ได้ถูกบูรณาการเข้าไปในระบบอย่างสมบูรณ์แบบ

    เพราะเหตุนี้ พวกคุณจึงจำเป็นจะต้องปรับตั้งค่าใหม่
    ให้กับจักระต่างๆของพวกคุณเองซะก่อน
    เพื่อให้พวกมันรู้จัก, ยอมรับ, บูรณาการ และ ใช้งาน
    คลื่นความถี่ที่มาจากมิติที่สูงกว่าเหล่านี้ได้
    ในร่างกายเนื้อของพวกคุณ


    และเพราะว่าพวกคุณคือรูปธรรมชีวิตที่มีความสลับซับซ้อนจนเหลือเชื่อ
    จึงทำให้มันจะเป็นการดีที่สุดที่จะดำเนินการตามกระบวนการนี้ไปทีละจักระ

    เพราะว่าจักระที่ 1 หรือ root chakra ของพวกคุณ
    คือช่องทางที่พวกคุณใช้เพื่อเชื่อมต่อตัวเองเอาไว้กับโลก
    และใช้เพื่อกราวด์ตัวเองเอาไว้กับโลก
    ดังนั้น พวกเราจึงจะเริ่มต้นปรับตั้งค่าใหม่ (recalibration)
    ให้กับจักระที่ 1 ของพวกคุณก่อน

    แล้วจากนั้นจึงค่อยไล่ขึ้นไปข้างบนเรื่อยๆทีละจักระ
    จนถึงจักระที่ 7 หรือจักระมงกุฎของพวกคุณ


    ซึ่งในระหว่างกระบวนการนี้
    การกราวด์ตัวเองเอาไว้กับโลกอย่างเหมาะสม
    คือสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
    เพื่อปกป้องสุขภาพร่างกายของพวกคุณ


    ในระดับความสั่นสะเทือนของพวกคุณในตอนนี้ พวกคุณจะยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้
    แม้ว่าจะไม่ได้กรานด์ตัวเองเอาไว้กับโลกอย่างสมบูรณ์แบบก็ตาม
    แต่ว่า..ถ้าพวกคุณไม่ได้เชื่อมต่ออยู่กับร่างกายของฉัน ซึ่งก็คือโลกใบนี้ อย่างแน่นหนามากพอ
    แล้วยังพยายามที่จะไป operate คลื่นความสั่นสะเทือนใหม่ที่สูงกว่าของมิติที่ 5 และ 6 แล้วหละก็
    พวกคุณก็อาจจะทำให้ระบบร่างกายทางกายภาพของตัวเองเสียหายได้

    ตัวอย่างเช่น มันไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ปลั๊ก 3 ตาเพื่อต่อสายดินก็ได้ ในขณะที่พวกคุณกำลังใช้เตารีดอยู่
    แต่ในทางกลับกัน ถ้าพวกคุณไม่ใช้ปลั๊กสามตา ในขณะที่พวกคุณกำลังใช้เตาอบอยู่หละก็
    พวกคุณก็จะทำให้ระบบไฟฟ้าทั้งหมดลัดวงจรขึ้นได้
    ซึ่งสถานการณ์นี้ ก็จะสามารถนำมาเปรียบเทียบกับร่างกายเนื้อของพวกคุณเองได้ด้วย

    ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพวกคุณเชื่อมต่อกับแกนกลางของโลกของฉันแล้ว
    ไม่เพียงแต่ฉันจะสามารถปกป้องวงจรของพวกคุณได้ดีขึ้นเท่านั้นนะ
    แต่พวกคุณยังจะช่วยทำหน้าที่เป็น “เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าจากแรงสูงเป็นแรงต่ำ”
    (Step-down Transformer) ให้กับฉันอีกด้วย

    ซึ่งก็คือ พวกคุณจะช่วยฉันค่อยๆลดคลื่นความถี่ที่สูงๆ
    แล้วส่งเข้ามาในดาวเคราะห์โลกของฉัน
    และเข้ามาใน “จิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลก”
    (Collective Consciousness) ให้กับฉันอีกด้วย


    เหล่า “ผู้พิทักษ์ผืนน้ำ” (The Keepers of the Water) ทั้งหลาย
    ซึ่งหมายถึงพวกปลาโลมาและปลาวาฬ กำลังช่วยกันกราวด์แสงสว่างจากมิติที่สูงกว่า
    เข้ามาในน้ำของฉันอยู่ และตอนนี้ฉันก็จะขอร้องให้พวกคุณ ซึ่งเป็น “ผู้พิทักษ์ผืนดิน”
    (The Keepers of the Land) ทั้งหลาย ให้ช่วยกรานด์แสงสว่างจากมิติที่สูงกว่า
    เข้ามาในผืนแผ่นดินของฉันด้วย

    ซึ่งด้วยวิธีนี้ พวกเราก็จะเป็นพันธมิตร 3 ฝ่ายซึ่งกันและกัน
    ซึ่งได้แก่ ดาวเคราะห์โลก, มนุษย์โลก และ ปลาวาฬ-ปลาโลมาทั้งหลาย
    เพื่อทำงานร่วมกัน เพื่อมุ่งหน้าไปสู่การเลื่อนระดับขึ้นของดาวเคราะห์ทั้งดาวเคราะห์นี้


    ..................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • chakra.jpg
      chakra.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65 KB
      เปิดดู:
      523
    • brain wave.jpg
      brain wave.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.8 KB
      เปิดดู:
      2,954
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2014
  20. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความจากไกอา เรื่อง การปรับตั้งค่าใหม่ให้กับจักระของคุณ
    (Recalibrating Your Chakras)


    ที่มา: http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html

    ตอนที่ 2: ทบทวนข้อมูลเกี่ยวกับจักระต่างๆ (Review of Chakras)


    จักระ คือ เกลียวหมุนวนของพลังงานขนาดเล็ก ที่ตั้งอยู่พื้นผิวของ
    “กายแห่งพลังชีวิต” (etheric body หรือ etheric double) ของพวกคุณ
    หน้าที่หลัก 2 อย่างของพวกมันก็คือ

    - ดูดซับ และ แผ่กระจายพลังปราณ (prana) จากดวงอาทิตย์เข้าไปสู่ etheric body
    และจาก etheric body เข้าไปสู่ ร่างกายเนื้ออีกต่อหนึ่ง

    - เชื่อมต่อโลกทิพย์ หรือ โลกแห่งความเป็นจริงในมิติที่ 4 ให้เข้ากับร่างกายเนื้อของพวกคุณ



    คราวนี้ พวกเรากำลังจะมาปรับตั้งค่าใหม่ให้กับจักระต่างๆของพวกคุณกัน
    เพื่อให้พวกมันสามารถเชื่อมต่อโลกในมิติที่ 5 และ 6 ให้เข้ากับร่างกายเนื้อของพวกคุณได้ด้วย

    “จักระ” ก็เหมือนกับล้อรถจักรยาน ที่จะมีซี่ล้ออยู่จำนวนหนึ่ง แต่จะมีไม่เท่ากันในแต่ละจักระ
    โดยที่จักระที่อยู่ต่ำกว่า ก็จะมีจำนวนซี่ล้อน้อยกว่า แล้วจะค่อยๆมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อจักระอยู่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ

    เมื่อใดที่พลังปราณหลั่งไหลเข้ามาสู่จุดศุนย์กลางของจักระ ด้วยมุมที่ถูกต้องแล้ว
    มันก็จะไปทำให้เกิดแรงพลังอย่างที่สองขึ้นมา ซึ่งแรงชนิดที่สองนี้ ก็จะเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปรอบๆจักระ
    ด้วยความยาวคลื่นที่จำเพาะเจาะจงของมันเอง และมันก็จะไปก่อให้เกิดระลอกคลื่นขึ้น
    ซึ่งจะไปจับกับซี่ล้อของจักระนั้นๆไว้ จนทำให้จักระนั้นๆหมุนตามไปด้วย

    ยิ่งจักระใด สามารถดูดซับพลังปราณได้มากเท่าใด จักระนั้น ก็จะยิ่งหมุนเร็วมากขึ้นเท่านั้นด้วย
    และก็จะยิ่งทำให้โลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพ มีการต่อประสาน
    กับมิติที่สูงกว่าได้มากขึ้นเท่านั้นตามไปด้วยเช่นกัน

    เมื่อใดที่พวกคุณสามารถดูดซับเอาพลังปราณจากมิติที่ 5 และ 6 ได้แล้ว
    จักระต่างๆของพวกคุณก็จะหมุนด้วยอัตราเร็วขึ้นอย่างมาก
    ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอัตราเร็วในการหมุนของจักระที่ว่านี้
    ไม่เพียงแต่จะไปทำให้ร่างกายเนื้อของพวกคุณเปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น
    แต่ยังจะไปทำให้ทุกๆแง่มุมของชีวิตของพวกคุณเกิดการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย

    ความรู้สึกทั้งหมดของพวกคุณ, การรับรู้ทั้งหมดของพวกคุณ,
    และสภาวะแห่งความตระหนักรู้ที่เป็นไปได้ทั้งหมดของพวกคุณ
    สามารถแบ่งออกได้เป็น 7 กลุ่มด้วยกัน ซึ่งจะสัมพันธ์กับจักระทั้ง 7 ของพวกคุณ

    จักระแต่ละจักระ จะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของพื้นที่บางส่วนในร่างกายของพวกคุณ
    รวมถึงจะทำหน้าที่ควบคุม คลื่นสมอง, มิติ, ประสบการณ์
    และ สภาวะของความตระหนักรู้/จิตสำนึกของพวกคุณด้วย

    ความตรึงเครียดต่างๆที่รู้สึกอยู่ในจิตใจของพวกคุณ
    ก็จะรู้สึกได้ในร่างกายเนื้อของพวกคุณเองด้วย โดยรู้สึกผ่านทางระบบจักระของพวกคุณ
    และในทางกลับกัน ความตึงเครียดต่างๆที่รู้สึกได้ในร่างกายของพวกคุณ
    ก็จะประสบได้ในจิตใจของพวกคุณด้วย

    จักระทั้งหลายจะช่วยให้ “จิตไร้สำนึก”
    และ “จิตเหนือสำนึก” ของพวกคุณ
    สามารถติดต่อสื่อสารกับ “จิตสำนึก” ของพวกคุณเองได้


    ..................................................
     

แชร์หน้านี้

Loading...