อะไรคือตัวที่เรียกว่า..ปัญญา..นี่ใช่มั้ย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย โซ, 10 พฤษภาคม 2013.

  1. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    ปัญญา ตาม ตำรา ที่ มี ในพระไตรปิฎก..มี 3 อย่าง

    สุตตมยปัญญา คือ ปัญญา (รู้) ตาม ตำรา ที่สั่งสอนกันมา (เราเรียนรู้วิชาอะไรก็ตาม ต้องเริ่ม ที่ การเรียนตามตำรา)

    จิตมยปัญญา คือ ปัญญา ที่เกิด จ่าก ความคิด ความคิดนี้ อาจเกิดเอง ก็ได้ เพราะ การเห็น สภาวะรอบๆตัวแล้วนำมาคิด จนเกิด รู้เห็น ควงามเป็นไป ของเรื่องราวได้ หรือ อาจจะ เรียนรู้ ตำรา มาก่อน แล้ว นำ ตำรา นั้นๆ มาคิดๆๆ เกิด เป็น วิชาการ ที่แตกแขนงออกไปได้

    ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญา ที่เกิดจาก การภาวนา ปัญญานี้ มุ่งตรง ต่อ ปรมัตถ์ธรรมจึงเป็น ปัญญาสูงสุด ว่ากันว่า....ปัญญา ชนิดนี้ นั้น ผลของปัญญาคือ คือ การ เห็น รูป และนาม ตามความเป็นจริงเท่านั้น...การเห้น ความเป็นจริงของรูป และ นาม สามารถชักจูง จิตให้ ละ อุปาทาน ขันธ๋์ ทั้ง 5 ได้
     
  2. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ประมาณว่าตามนี้แหละครับ
     
  3. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ถ้าหากจะศึกษาเป็นสุตะ ในปฏิสัมภิทามรรค ที่ท่านพระสารีบุตรจำแนกไว้เกี่ยวกับปัญญา ก็ลองอ่านดู
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=31&A=9683&Z=10089

    หลักต้นๆที่เราๆท่านๆรู้ ก็ปัญญา3 คือ สุตมยะ จินตามยะ ภาวนามย

    ผู้เข้าถึงในภาวนามย มีอยู่3คำ คือ รู้ ละ วาง ตามความเป็นจริงของสังขาร

    พิจารณาดูตนว่า โลภ โกรธ หลง ลดน้อยลงไปเท่าไร
    กับสิ่งที่มากระทบทางอายตนะ มีสติสัมปชัญญะรู้เท่าทันกิเลส เพราะเมื่อรู้จริงแล้ว จะละได้หรือไม่ ?
    ก็จะเข้าใจว่า "อะไรคือตัวที่เรียกว่า..ปัญญา!!"
     
  4. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ความรู้ที่นำพาให้พ้นสงสารวัฏได้นั้นแหล่ะ ปัญญา
     
  5. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ตัวปัญญา คือ ตัวที่เราไปเห็นทุกข์ สุข และทุกข์มันน้อยลง เขาเรียกว่าตัวปัญญา
    ซึ่งเป็นเครื่องดับทุกข์ ไม่ใช่ว่าทุกข์ไม่มี อย่าง เกิด แ่ก่ เจ็บตาย เพียงแต่เรา ไม่เร้าร้อนไปกับมัน
    เขาเรียกว่าตัวปัญญา ความรู้ไม่ใช่ตัวปัญญา คนละตัวกับ ตัวรู้
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขี้นไปทั้ง จขกท. และผู้ที่เข้ามาแลกเปลี่ยนและแนะนำทุกๆท่านครับ
     
  7. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ขอบคุณมากครับเข้าไปอ่านคร่าวๆ ได้ใจความว่า ปัญญามีสองทางเดินคือ ปัญญาปถุชน และของอริยะเจ้า การจะได้มาซึ่งปัญญาที่แท้จริงคือปัญญาของอริยะ ซึ่งต้องหมั่น พรากเพียรตามรู้ พินิจ พิจรณา ไตร่ตรอง ให้มาก ให้อย่างละเอียด ประณีต ลึกซึ้ง ทำให้แจ้ง ในความสิ้นไป เสื่อมไป โดยใช้ความเพียรเป็นหลัก ถ้าไม่ได้หรือมีตามนี้ยังถือว่าปัญญานั้นเป็นของปถุชน
    ขอบคุณครับ
     
  8. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ผู้รู้ไม่ใช่นิพพาน...เพราะผู้รู้คืออวิชชา ยังมีภพ แต่เป็นภพชั้นสูง ต้องทำลาย

    ตรงนี้ฟังๆมานะ

    ขั้นต้นก็พยายาม ละอุปาทานขันธ์ ให้ได้ แต่ขันธ์ยังมีอยู่แต่ไม่ไปยึด

    จึงมีหลักการปฏิบัติ สติปัฏฐาน กายคตา พิจารณา ธาตุ ขันธ์ อายตะ เพื่อนำไปสู่ปัญญาสิ้นชาติขาดภพ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 พฤษภาคม 2013
  9. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    อืมครับเข้าท่าดีครับแบบนี้ ผมยังแย้งกับบุคคลท่านหนึ่งเลยว่า ถ้าเราเอาไฟไปลนที่แขนแล้วเราสะดุ้งหรือรู้สึกอุปทานออกมาอุ๊ยร้อนแล้วทำการให้หายร้อน คลายร้อนโดยเร็วต่างๆ ประมาณว่าเอามือไปลูบคลำในความรู้สึกร้อนนั้น ผมบอกเขาว่านี่ยังไม่ใช่ปัญญาน่ะ เพราะยังมีความเป็นรูป นามอยู่ เขาแย้งมาว่าจะบ้าหรอคนเราลองเอาไฟมาลนมันจะไม่รู้สึกร้อนได้อย่างไร ถ้าเขายังล่ะความคิดแบบนี้ไม่ได้ผมก็ยังมองว่าเขายังไม่เข้าใจในตัวปัญญาที่จะต้องพยายามกระทำความเพียรให้เิกิด เขาเพียงรู้แต่ว่าการเห็นและปล่อยวางได้นั้น เราทำอย่างนี้นั่นแหละคือตัวปัญญาที่เราคิดไปให้มันปล่อยวางได้นั้น นั่นแหละคือตัวปัญญา ใช่หรือไม่
     
  10. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ^ผมว่าคิดไปไม่ถึงหรอกครับ
     
  11. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123

    จะพิสูจน์ว่าเรายังมีอุปทานขันธ์อยู่หรือไม่ อย่างนั้นสิ

    ถ้างั้นตัดนิ้วสักนิ้วทิ้งไปเลยดีไหม แล้วมันจะใช่หรือ

    ละอุปาทานขันธ์ คือการได้คลายความเป็นตัวตน สักกายะทิฏฐิ

    กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด มีอยู่

    เช่น พอเกิดผัสสะ ไม่ใช่ว่าไม่มีเวทนา ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไรเลย

    แต่ท่านเหล่านั้นมีสติสัมปชัญญะ รู้เท่าทันเวทนาที่เกิดขึ้น

    ไม่มีแรงเสริมเพื่อจะล่วงกรรม ในกริยาที่จะก่อสืบภพชาติอันยาวนาน

    เช่น ขุ่นเคือง พยาบาท อยากมีอยากได้ จึงน้อยลง ไม่เหมือนปุถุชน พอขุ่นเคืองขึ้นมาหน่อย

    ต้องหาวิธีเอาคืน หรือพยายามที่จะได้มา เป็นความพยายามที่ไม่ชอบธรรม

    พระอริยชั้นต้นท่านจึงมีศีลบริสุทธิ์ มีสติบริบูรณ์คุ้มครองทวาร กรรมที่จะล่วง ไปสู่อบายจึงไม่มี

    เป็นปัญญาที่พ้นจากปุถุชน

    ผิดพลาดอย่างไรก็ขออภัยล่ะกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 พฤษภาคม 2013
  12. diors

    diors เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +126
    "ถ้าเราเอาไฟไปลนที่แขนแล้วเราสะดุ้งหรือรู้สึกอุปทาน" คำว่า อุปทาน น่าจะหมายถึง อุทาน?



    ปัญญา สำหรับก็คือรู้ตามความเป็นจริง

    แล้วการที่รู้ว่าไฟร้อนทำไมถึงไม่ใช่ปัญญาละครับ?
     
  13. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    คิดง่ายๆเล่นๆนะ

    คนที่อยู่ๆเอาไฟไปลนตัวเอง
    เป็นคนโง่หรือฉลาด

    ความฉลาดกับความโง่
    อันไหนที่เขาใกล้คำว่าปัญญา

    ก่อนบ่ายทานข้าว
     
  14. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ครับ มันติดที่ตรงนี้แหละครับ ถ้าเรารู้ไม่ไปตามเป็นจริงในขณะนั้น ไปต่อเติมหรือแต่งจิตมันอีก ผมก็ยังมองว่า ยังไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริงครับ ขอบคุณมากครับบางทีส่วนนี้แหละครับเราอาจจะลืมลายละเอียดเล็กๆน้อยๆไปบ้าง แต่ในด้านกระบวนการคิดเหมือนกัน แต่ขาดลายละเอียดอยู่ ช่วยๆกันแสดงความคิดเห็น เพื่อรู้และปฏิบัติให้ถูกต้องแบบอย่างเดียวกันจะได้ไม่มาขัดแย้งกันครับ
     
  15. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ครับตามนั้นครับ แต่ที่ผมหมายถึงเอาไฟไปลนนั้น กระทำโดยสองบุคคลขึ้นไปน่ะครับ คือมีผู้กระทำ และถูกกระทำน่ะครับ
     
  16. diors

    diors เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +126
    จิตแต่งเติมว่าอย่างไร?

    ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

    มีปัญญาแล้วต้องไร้ความรู้สึกใช่หรือไม่?
     
  17. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ไม่ครับ
     
  18. diors

    diors เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +126
    "ถ้าเราเอาไฟไปลนที่แขนแล้วเราสะดุ้งหรือรู้สึกอุปทานออกมาอุ๊ยร้อนแล้วทำการให้หายร้อน คลายร้อนโดยเร็วต่างๆ ประมาณว่าเอามือไปลูบคลำในความรู้สึกร้อนนั้น ผมบอกเขาว่านี่ยังไม่ใช่ปัญญาน่ะ เพราะยังมีความเป็นรูป นามอยู่"

    แล้วปัญญาอยู่ที่ไหน ปัญญาอยู่ที่ ไม่ใช่รูป ไม่ใช่นาม?
    ถ้าไม่ใช่รูป ไม่ใช่นาม แล้วความรู้สึกตามความเป็นจริงอยู่ตรงไหน?
     
  19. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    อืมครับ..สิ่งนี้คำถามเริ่ม ยากขึ้นๆ นั่นแหละครับสิ่งที่ผมอยากรู้เกี่ยวกับปัญญาที่เราได้เกิดขึ้นมา หรือกระทำให้มันเกิด ว่าจะพอมีทางไหนที่บอกกล่าวหรือไปอบรมสั่งสอนให้กับบุคคลอื่นเอาให้เห็นธรรมได้โดยง่าย สิ่งที่ผมมองนั้นคือเหตุนั้นไม่ใช่ตัวปัญญา แต่ตัวผลนั่นแหละคือปัญญา
    ถ้าไม่ใช่รูป ไม่ใช่นาม แล้วความรู้สึกตามความเป็นจริงอยู่ตรงไหน
    ผมมองว่าส่วนนี้ต้องใช้สติเข้าไปควบคุมดูอยู่หรือเปล่าครับ คือให้รู้เท่าทันใน
    ธรรมชาติ กาย เวทนา ใจ(จิต) ในสังขารต่างๆที่เกิดขึ้น พิจรณารู้เท่าทัน ในสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นต่างๆ จิตจะเริ่มกระทำตามสิ่งที่ได้สั่งสมอบรมไว้เองโดยอัติโนมัติในชีวิตประจำวัน ให้ปล่อยวางอย่าเข้าไปคิดนึกปรุงแต่งต่อสิ่งต่างๆ ให้สติรู้เท่าทันเวทนาต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น โลภ โกรธ หลง ไม่ไปปรุงแต่ง ให้สักแค่เพียงว่ารู้มันเกิดเดี๋ยวมันก็ดับไป ถ้าตามรู้แบบนี้อยู่บ่อยๆ ปัญญามันจะเกิดขึ้นเองได้โดยอัตโนมัติ ใช่หรือเปล่าครับ
     
  20. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    งั้นท่านก็ต้อง ฟังให้เยอะๆ อ่านให้เยอะๆ คบบัณฑิตหรือนักปราชญ์หรือกัลยาณมิตร ดังที่ท่านพูดมานั้นแหล่ะครับ ว่า ปัญญาที่เกิดจากการฟังก็มีอยู่ เมื่อท่านได้ฟังธรรมจากบัณฑิต

    ดังที่ท่าน ยกมาคือ คุณไม่ผิด แต่คนอื่นสิ เขาไม่รู้ในตัวคุณ เขาไม่เข้าใจในตัวคุณ คุณเข้าใจในตัวคนอื่น แต่คนอื่น ไม่เข้าใจในตัวคุณ หมายความว่า ทุกข์ที่เกิดจากตนเอง คือ กายใจตนเองนั้นไม่มี แต่ที่เหลืออยู่คือ ทุกข์ที่มีอยู่กับคนอื่น ความไม่รู้ไม่เข้าใจของคนอื่น เราจะต้องได้รับการกระทบจากคนอื่น
    นั้่นเพราะที่ผ่านมา คุณเองปล่อยวางคนอื่น สิ่งอื่น สมมุติอื่นๆ ได้ แต่ แต่ คนอื่น สิ่งอื่น สมมุติอื่นๆ เขายังไม่ปล่อยวางคุณ (คุณต้องอยู่ในสัมมาทั้งหมด สัมมาทั้งแปด สัมมาจริงๆ คนอื่น สิ่งอื่น สมมุติอื่นๆ ถึงจะปล่อยวางคุณ)
    เรียกว่า เป็นมุมกลับ ที่เรา ไม่มีอะไร แต่คนอื่น สิ่งอื่น สมมุติอื่นเขายังมี ดังนั้น คนอื่น สิ่งอื่น สมมุติอื่น จะยังไม่เข้าใจ เรา ไม่เข้าใจคุณ คุณถึงต้อง อยู่กับความไม่มีอะไร ต่อไป โดยที่ คุณต้องไม่ทุกข์กับความไม่มีอะไรของตนเอง(รู้ว่าตนเองไม่มีอะไร แต่คนอื่นสิ่งอื่นเขาไม่รู้) ดังนั้น นี่ก็ เป็น เส้นทางที่ต้อง ผ่านครับ เราจะต้องอยู่กับความไม่มีอะไร โดยทุกข์ไม่เกิด ไม่เกิดความทุกข์ จาก ความมี ของคนอื่น สิ่งอื่น สมมุติอื่นได้ด้วย เราถึงจะผ่านด่านครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...