การอนุโมทนาบุญ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย kakarukthai, 16 เมษายน 2013.

  1. kakarukthai

    kakarukthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2011
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +220
    การอนุโมทนาบุญนั้นเราจะอนุโมทนาบุญที่เกิดขึ้นในอดีตปัจจุบันและอนาคตได้หรือไม่ครับและจะเกิดกุศลกับเราอย่างไรบ้างครับ
     
  2. kakarukthai

    kakarukthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2011
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +220
    ผู้รู้ช่วยบอกหน่อยครับใครมีข้อมูลชี้แนะครับ
     
  3. ลูกความดี

    ลูกความดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2012
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +525
    ได้เสมอครับ บุญที่ทำผ่านมาแล้วสัก 10 ปี หากนำมาระลึกถึงแล้วเกิดปิติ ตัวบุญก็เกิดขึ้นอีก จะระลึกถึงอีกกี่ครั้งอนุโมทนาอีกกี่ครั้งก็ไม่มีวันหมด และเวลาเกิดปิติจากการระลึก จงอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาให้แก่ ญาติ พ่อแม่ เทวดา เทวดารักษา เจ้ากรรมนายเวร สิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลาย ผี เปตร พระแม่ธรณี และเท่าที่จะนึกได้ พวกเขาก็จะได้อานิสงค์ผลบุญไปด้วยจากเมตตาที่เรามอบให้ครับ กุศลมากหรือน้อยอยู่ที่กำลังปิติของเราครับ สังเกตุหากปิติสูงๆจะรู้สึกว่าขนลุกทั้งตัว
    ส่วนบุญในอนาคตอย่าพึ่งไปนึกถึงมาก จะกลายเป็นเพ้อเจ้อไปครับ เพราะตัวบุญยังไม่สำเร็จ แต่เชิญชวนผู้ที่จะอุทิศให้รอล่วงหน้าได้ครับ
     
  4. ลูกความดี

    ลูกความดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2012
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +525
    ระหว่างระลึกถึงตัวบุญที่สำเร็จแล้วในอดีตหรือปัจจุบัน ให้จิตว่างจากทุกสิ่ง จดจ่ออยู่ที่ตัวบุญเท่านั้น ระลึกแค่ตัวบุญเท่านั้น ใช้การปรุงแต่งช่วยว่าตัวบุญทั้งหลายกำลังรวมอยู่รอบตัวเราเป็นแสงสีขาว ...... เมื่อรู้สึกว่ารวมได้เต็มแล้ว ก็ปล่อยแสงสีขาวนั้นออกไปรอบตัวเราแบบไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณเพื่อสู่ผู้รับ รวมถึงตัวเราเอง อย่างที่บอกกุศลมากน้อยอยู่ที่กำลังของเรา วิธีการนี้คือกุศโลบายชนิดหนึ่งเพราะบางคนไม่ทราบว่าตัวบุญเป็นอย่างไร จึงต้องใช้การสมมุติเข้าช่วย
     
  5. ลูกความดี

    ลูกความดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2012
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +525
    การอนุโมทนาบุญกับบุญที่ผู้อื่นทำ กุศลมากหรือน้อยอยู่ที่วาระจิตเรา ยินดีกับเขามากน้อยแค่ไหนนะครับ และไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นอานิสงค์ที่เกิดจากการทำบุญกับพุทธศาสนา แม้บางครั้งเห็นรถจอดให้ผู้อื่นข้ามถนนเรารู้สึกปิติยินดีในการกระทำนั้นๆก็อนุโมทนาได้ มากน้อยไม่ได้อยู่ที่ผู้ทำดีแค่ไหน แต่อยู่ที่จิตเรายินดีแค่ไหนต่างหาก การฝึกให้จิตมีกุศลมีเมตตามากๆเห็นทุกๆความดีทุกอย่างในโลกนี้จากมนุษย์ทำหรือที่ไม่ใช่มนุษย์ เป็นความดีร่วมยินดีอนุโมทนาได้ทั้งหมด คือการมั่นสละออก เจอตู้หยอดทำบุญที่ไหนก็ให้ทำไม่ต้องมาก 5 บาท 10 บาทตามกำลังแต่ห้ามเดือดร้อนตนเด็ดขาด ใครเดือดร้อน ที่ไหนต้องการแรงงานช่วยการกุศล ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือพุทธศาสนา ทำให้จิตเราเกิดเมตตา นี่คือวิธีครับ
     
  6. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    การนึกถึงความดีของเราเองหรือของใครก็ตาม ใจจะผ่องใสโดยอัตโนมัติ เมื่อใดใจผ่องใส เมื่อนั้นบุญจะเกิด
     
  7. kakarukthai

    kakarukthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2011
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +220
    ขอบคุณครับแล้วเราจะอนุโมทนาบุญไปถึงครั้งพระพุทธกาลเลยได้ใหมครับเช่นอนุโมทนาบุญกับการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ครับ
     
  8. ลูกความดี

    ลูกความดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2012
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +525
  9. kakarukthai

    kakarukthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2011
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +220
    สุดยอดเลยครับ
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ทำไมจึงได้

    ก็เพราะว่า บุญ นั้นเป็นของ ประจำโลก เป็นของข้องโลก ติดอยู่กับโลก

    เมื่อความเป็น โลก ปรากฏ เราก็กล่าวได้ว่า มันเป็น ของชาวบ้าน หรือ พื้นๆ

    การอนุโมทนาบุญ จึงไม่จำกัดกาล ไม่จำกัดจำนวนครั้ง คนทำบุญเพียง
    บาทเดียว จะระลึกในบุญ บาทเดียวนั้นกี่ครั้งก็ได้

    และ การอุทิศบุญ จากการทำบุญเพียงบาทเดียว ครั้งเดียว จะอุทิศให้
    กี่คนก็ได้ ไม่มีคำว่าหมด ไม่มีคำว่า สิ้นเปลือง มีแต่ เพิ่ม !!!!

    แต่ ................... เราต้อง ฉลาดในการ บริหารบุญที่ได้รับ

    ถ้าเรา อนุโมทนาก็ดี อุทิศบุญก็ดี แล้ว เรามานั่ง เย็นใจ ว่าเออ
    หนอเดี๋ยวผลบุญต่างๆ ก็จะ ประดังเข้ามา แบบนี้ไม่เรียกว่า บริหาร

    เพราะมันขาดการ จัดการความเสี่ยง

    แล้วอย่างไร ถึงจะเรียกว่า บริหาร มีการจัดการความเสี่ยง ก็พูดกัน
    แบบติดปากคือ " รู้อยู่กับปัจจุบัน "

    เรา อนุโมทนาบุญพระพุทธองค์บรรดามีในอดีต นี้ทำได้ ได้รับอนิสงค์
    มหาศาลเกินพรรณาแน่นอน แต่ ........

    ถ้า ดูปัจจุบันเป็น บริหารปัจจุบันเป็น เราตามรู้ ตามดูเลย ความพอใจ
    ที่ได้อนุโมทนาบุญ มันตั้งอยู่ได้ไหม พอเราอนุโมทนาแล้ว เดี๋ยวเถอะ
    ความ พอใจ ในการอนุโมทนามันก็ต้องดับ

    พอความพอใจดับ หรือ อนุโมทนาจนสมใจ แล้ว มันก็ต้องหยุด การอนุโมทนา
    มีวันจบ มีเกิด มีดับ มีการจบลง เพราะ เหตุมันดับลง ผลจึงดับลงด้วย

    นี่ถ้าเราตามเห็นเป็นปัจจุบันไปอย่างนี้ เนี่ยะ อย่างน้อย เราบริหารบุญที่ได้
    จากการอนุโมทนาไปแล้ว และ ได้ผลตามความสมควรแก่ธรรม ไปแล้ว

    แล้วถ้า เราไม่ทันหละ ถ้าไม่ทัน ก็ให้ดูความสุขใจ ที่ได้จากการอนุโมทนา
    บุญ หรือ อุทิศบุญ เมื่อเราทำบุ แน่นอนว่า ความสุขใจ ย่อมเกิด แต่ความ
    สุขใจนั้นจะตั้งอยู่ได้นานไหม

    แน่นอนเลยว่า ตั้งไม่ได้นาน

    พอตั้งไม่ได้นาน เพราะอะไร ก็เพราะ เหตุมันดับ หรือ กริยาอาการจิต
    อนุโมทนาบุญ หรือ อุทิศบุญ เนี่ยะ ยังไงก็ต้องดับ ต้องเลิก ต่อให้ อนุโมทนา
    ซ้ำร้อยแปดครั้ง อุทิศบุญร้อยแปดครั้ง ยังไงก็ต้องเลิก ต้องจบ ต้องไปกิน
    ข้าว ต้องไปอาบน้ำ อาบท่า ทำกิจอื่น ตามเห็นความเกิดดับเนืองๆ

    ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ เมื่อเหตุดับ ผลก็ดับ การดับของเหตุนั้นเป็น
    เรื่องธรรมดาโลก การเห็นแจ้งการเกิดดับของธรรมดาโลกเหล่านั้น พระพุทธ
    องค์สอนไว้แล้ว

    นี่ถ้าเราตามเห็นเป็นปัจจุบันไปอย่างนี้ เนี่ยะ อย่างน้อย เราบริหารบุญที่ได้
    จากการอนุโมทนาพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็น ย่อม ได้ผลตามความ
    สมควรแก่ธรรม ณ ปัจจุบันแล้ว

    และ ไม่ใช่น้อยด้วย ถ้าเข้าใจ ความสมควรแก่ธรรม (สัมมาอาชีวะ เป็นต้น )!!

    ************

    ปล. มันเป็นภาษาปฏิบัตินะ ต้องลงมือกระทำ อนุโมทนา อุทิศ อะไรก็ว่าไป ไม่ตาย
    ไม่เลิก ทำเรื่อยไป ไม่เพียร ไม่พัก แล้ว ตามเห็น ความเกิดดับ ไปตามความเป็นจริง

    ถ้า เราฟังธรรมเพื่อเป็น ภาษาลัด เรียนลัด คนๆนั้น จะหยุด ทำกุศล ไปเผลอได้
    ยินคำว่าเกิดดับ แล้ว ไปลักลั่น กลายเป็นมองไม่เห็นคุณ มองไม่เห็นโทษ ไม่รู้
    อุบายนำออกที่ถูกวิธี ก็เลยไม่ลงมือปฏิบัติ ก็จะ งง ไปพักหนึ่ง หรือไม่
    ก็ตีโพยตีพายไปว่า มาบอกกล่าวให้ไม่ประกอบกุศล ไปโน้นเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2013
  11. AFlKLlFl

    AFlKLlFl Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2013
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +49
    ขอบคุณนะ(kiss)
     

แชร์หน้านี้

Loading...