รายชื่อผู้ลาพุทธภูมิในเว็บนี้

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย noonei789, 16 พฤศจิกายน 2009.

  1. phataravudh

    phataravudh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +2,440
    หลังจากที่พระท่านมาบอกในนิมิตว่าเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่่อน ในอดีตชาติ อีกไม่กี่วันก็ว่าจะอธิษฐานจิต ลาพุทธภูมิ หน้าพระพุทธรูปที่บ้าน เพื่อจะหนีจากวัฏฏสงสารโดยเร็ว ขอเดินตามปฏิปทาหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านแล้วกันครับ
     
  2. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ไม่รู้นะ เรา ไม่ใช่ทั้งพวกพุทธภูมิ และก็ไม่ใช่ทั้งสาวกภูมิ.... แต่แค่รู้ด้วยตัวเองว่า ถ้าได้เกิดอีก และต้องมา เจอเหมือนที่เจอในชาติซ้ำๆอีกเป็นชั่วกัปชั่วกัล ใครเล่าจะอยากเกิด มีแต่ความทุกข์ ขอเป็นคนตาย หรือ อากาศธาตุยังจะดีกว่า
     
  3. view2004

    view2004 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +1,107
    คนตาย หรืออากาศธาตุ ก็ยังไม่ใช่ที่สุดแห่งทุกข์ เพราะ คนตาย แล้วต้องเกิดใหม่ ไม่รู้จักจบจักสิ้น หรืออาจลงอบายภูมิ ส่วนอากาศธาตุ ก็ยังมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป กล่าวคือธาตุ ยังมีตัวตนอยู่

    ที่สุดแห่งทุกข์นั้นคือนิพพานครับ เป็นบรมสุขที่เป็นอิสระอย่างถาวร :cool:
     
  4. ข้าผู้น้อย

    ข้าผู้น้อย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +81
    ทุ่มสุดโต๊ววว! จัดหนักไปเลยพี่น้อง :cool: rabbit_run_away
    ผมขอร่วมทางไปด้วยนะครับ
     
  5. namotussa

    namotussa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +1,470
    ขอไปด้วยคน

    [​IMG]
     
  6. jeds22

    jeds22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +498
    ลาแล้วครับ ตามคำแนะนำโดยตรงจากหลวงพ่อฤษีตั้งแต่ปี 34 แต่เพิ่งลาได้จริงปี 54 นี่เอง ถอนยากมากครับ
     
  7. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    ไปด้วย
    ขอไม่ต้องมาเกิดในมนุสสภูมิและอบายภูมิอีกก็พอ
    อยากรีบไปแต่ไม่อยากลัดขนาดออฟโร้ด
     
  8. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,851
    ลาฯตอนนี้ดีกว่าไปลาฯภายหลัง

    ไม่เคยปรารถนาพุทธภูมิเลยครับ แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งอยาก(กิเลส:mad:)เป็นพระอรหันต์ระดับมหาสาวก เท่านั้นแหล่ะครับงาน(ช้าง)เข้าเลย ในปัจจุบันจะตั้งจิตอฐิษฐานว่าในอนาคตภายภาคหน้าจะไม่ขอกลับลงมาเกิดอีก:cool:
     
  9. หมอมด

    หมอมด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +208
    ...ขอให้ผู้ที่ปราถนาจะลาได้ถึงพระนิพพานโดยพลันครับ ส่วนผมจะขอสู้ต่อ เดินไปตามหนทางแห่งโพธิญาณ เพื่อน ๆ ผู้ร่วมอุดมการณ์ ทั้งหลาย แม้ในวันข้างหน้าที่จะหมดอายุของพระศาสนานี้ 5000 วัสสา ขอพวกเราได้มา ร่วมเกิด ร่วมสร้างบารมีด้วยกันครับ ภาระกิจข้างหน้ายังมีอีกมากมาย
     
  10. หมอมด

    หมอมด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +208
    ...ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ครูบาวงษ์ได้เคยเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรา เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระโคอสุภราช มีบริวารเป็นลูกโค500ตัว ที่เกิดร่วมฝูง หลวงปู่เล่าว่า สมเด็จๆองค์ปัจจุบันท่านเป็นผู้นำ เหล่าบริวารโคทั้ง500ตัวนั้น เป็นพระโพธิสัตว์ทุกตัว ครั้งนั้น ทั้งหลวงปู่ครูบาวงษ์ ครูบาขาวปี ครูบาศรีวิชัย และอีกหลาย ๆ องค์ ได้มาเกิดร่วมกันทั้งสิ้นครับ
     
  11. หมอมด

    หมอมด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +208
    ...ปัจจุบัน สถานที่ที่พระโคโพธิสัตว์เหล่านั้นได้เคยเกิดมาร่วมฝูงกัน หลวงปู่ครูบาวงษ์ได้สร้างเป็นพระธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัย ไว้เป็นอนุสรณ์ครับ
     
  12. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,851
    ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป

    ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตั้งจิตอธิษฐานให้เกิดในสำนักของพระพุทธเจ้าสมณโคดม
    ข้าพเจ้าขออนุญาตนำการสนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ มาให้ฟัง (เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๔)

    "๑ พวกเราทุกคนเป็นบุคคลที่โชคดีอย่างมหาศาล เพราะการที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก พระพุทธเจ้า ทรงตรัสว่า กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากเป็นอย่างยิ่ง
    อรรถกถาจารย์ ท่านเปรียบเอาไว้ว่า เหมือนกับเอาเต่าตาบอดตัวหนึ่ง โยนไปในทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นลม แล้วมีแอกเล็กๆ ขนาดพอที่จะสวมหัวเต่าได้ทิ้งเอาไว้ในทะเลนั้นด้วย ประมาณร้อยปี เต่าตัวนั้นลอยขึ้นมาครั้งหนึ่ง..ร้อยปีลอยขึ้นมาครั้งหนึ่ง ถ้าบังเอิญหัวเต่าสวมแอกเมื่อไร ก็คือบุคคลหนึ่งที่มีโอกาสจะได้เกิดมา
    ๒ อย่างที่สอง พระองค์ ตรัสว่า กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ การที่จะรักษาชีวิตให้อยู่รอดมาได้ก็แสนยาก เพราะชีวิตเรามีแค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หรือว่าเกิดเป็นตัวเป็นตนแล้ว แต่ก็โดนทำแท้งไป ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ศพ อย่างที่เป็นข่าวกัน เราจะเห็นว่า การเอาชีวิตรอดในสังคมนี้เป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง
    ๓ อย่างที่สาม พระองค์ท่าน ตรัสว่า กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ การที่จะได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าก็แสนยาก ถ้ายิ่งในตอนท้ายของพระพุทธศาสนา ขนาดขอฟังธรรมแค่ประโยคเดียว ก็ไม่มีใครสามารถที่จะบอกได้ ถ้าเกิดในช่วงที่โลกว่างพระพุทธศาสนา ไม่มีศีลไม่มีธรรมเลย ก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
    ๔ และท้ายสุด สิ่งที่ลำบากที่สุด ก็คือ กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท การเกิดของพระพุทธเจ้านั้นยากที่สุด อย่างน้อยต้อง ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป กว่าที่พระองค์ท่านจะสร้างบารมีแล้วบรรลุเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
    "แต่การบรรลุเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราว่าพระองค์ท่านต้องสร้างบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปนั้น เป็นแค่ตอนปลายเท่านั้น ในบาลีบอกว่า จิตติตัง สัตตสังเขยยัง แค่คิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาถึง ๗ อสงไขยกัป นวสังเขยยะ วาจะกัง ออกปากว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาอีก ๙ อสงไขยกัป รวมเป็น ๑๖ อสงไขยกัปแล้ว หลังจากนั้นจึงทำกาย วาจา ใจ ทุกอย่าง สร้างบุญสร้างบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป เป็นอย่างน้อย รวมแล้วก็ ๒๐ อสงไขยกัปเศษๆ เพราะฉะนั้น..ไม่ใช่แค่ ๔ อสงไขยกัปแล้วจะจบ ถ้าเป็น พระพุทธเจ้าแบบศรัทธาธิกะ ก็บวกไปอีกเท่าตัว คือ ๔๐ กว่าอสงไขยกัป ถ้าเป็น แบบวิริยาธิกะ ก็บวกไปอีกเท่าตัวหนึ่งของศรัทธาธิกะ คือ ๘๐ กว่าอสงไขยกัป แค่กัปเดียวก็เกิดจนนับไม่ถ้วนแล้ว ถ้าโครงกระดูกของเราไม่เสื่อมสลาย เชื่อว่าคงท่วมจักรวาลไปนานแล้ว
    สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ายากเย็นแสนเข็ญทั้งหมดนี้ พวกเราทั้งหลายสามารถผ่านพ้นมาได้ เกิดมายากเราก็เกิดมาแล้ว รักษาชีวิตให้อยู่รอดได้ยาก เราก็อยู่รอดมาแล้ว การฟังธรรมหาฟังได้ยาก เราทุกคนก็ได้ฟังและปฏิบัติตามอีกด้วย การเกิดของพระพุทธเจ้าที่ว่ายาก เราก็เกิดทันพระพุทธศาสนาของพระองค์ท่าน จึงถือว่าพวกเราทั้งหมดเป็นบุคคลที่โชคดีอย่างยิ่ง ลองนึกดูว่า คนในประเทศไทย ๖๓ ล้านคนเศษ มีบุคคลที่เข้าวัดเข้าวา และปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังสักเท่าไร ? แค่เศษสามล้านคนมีถึงไหม ? เชื่อว่าไม่ถึงอย่างแน่นอน ที่เหลืออย่างดีก็แค่ใส่บาตรวันเกิดตัวเองปีละครั้ง..! นอกจากนี้ ถ้าเอาพวกเราไปเปรียบกับประชากรโลกอีกห้าพันกว่าล้านคน พวกเราจะเป็นพวกที่แปลกแยกจากสังคมจริงๆ เป็นพวกที่เขาไม่คบแล้ว จึงได้มาอยู่รวมกันตรงนี้..!"
    อาตมาจึงได้บอกกับพวกเราในตอนแรกว่า พวกเราเป็นผู้โชคดีอย่างยิ่ง ที่เรารู้จักและพบพระพุทธศาสนา ขณะเดียวกันก็รู้จักธรรมะ อะไรดีอะไรชั่วเราก็รู้ เพราะฉะนั้น..อย่าให้เสียทีที่เกิดมา มีโอกาสเกิดมาแล้ว รู้ว่าทานดีอย่างไร ? ศีลดีอย่างไร ? ภาวนาดีอย่างไร ? ก็ต้องพยายามทำไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เป็นการสั่งสมกำลังของเรา เนื่องเพราะว่าวัฏสงสารนี้ ประกอบไปด้วยแรงดึงดูดอย่างมหาศาล โดยเฉพาะเรื่องของกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม ที่จะดึงดูดเราให้ติดอยู่ ให้ทุกข์อยู่ตลอดไป ไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักเบื่อเสียที ถ้าเราสั่งสมความดีไม่เพียงพอ กำลังของเราก็ไม่พอที่จะส่งให้เราหลุดพ้นไปได้ เราก็ยังต้องทุกข์อยู่ไม่รู้จบ

    พระพุทธองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพวกเรามาก ถ้าตอนนี้พวกเราอยู่ในยุคที่ไม่มีศาสนา ตอนนี้เราคงนับถือผีปู่ผีย่า หรือพญาแถน แน่นอนครับ ไม่มีทางเลยที่จะบอกว่าตนเองเป็นนั้น ตนเองจะเป็นนี่ ผมอยากให้พวกเราสำนึกในพระคุณของพระองค์ท่านให้มาก เพราะถ้าพระองค์ไม่แสดงธรรมะ มีหรือเราจะรู้ว่าอะไรคือความดีอะไรคือความชั่ว
    ไม่แน่น่ะครับ พวกเราอาจคิดว่าการฆ่าวัวควาย เพื่อบูชาเทพพระเจ้า เป็นสิ่งที่ประเสริฐ
     
  13. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,851
    กระผมเชื่อแน่ว่าพระโพธิสัตว์ย่อมไม่กลัวไฟนรก แต่กระผมเชื่อเหลือเกินว่าพระโพธิสัตว์บางพระองค์ต้องมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะคิดว่าตนเองทำดีสร้างสมบุญบารมีไว้มากและไม่เคยทำชั่วจึงไม่มีทางตกนรก ในชาติหน้าก็เกิดมาสร้างบุญต่อแล้วสะสมไปจนครบ แต่พระองค์แน่ใจหรือกับระยะเวลาที่ยาวนานจนหาจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดไม่ได้ พระองค์มั่นใจหรือว่าจะเป็นคนดีได้ทุกภพชาติ เมื่อชาติใดที่ทำเวรสร้างกรรมชั่ว ก็ต้องไปชดใช้กรรมต่ออีก เปรียบได้กับทำธุรกิจโชคดีก็รวยไป แต่ถ้าโชคร้ายมันจะผลาญทรัพย์สินที่สร้างมา
    ลองมาดูตัวอย่างของพระพุทธเจ้าของเราดีกว่า

    เรื่องกรรมเก่าของพระพุทธเจ้านั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ด้วยพระองค์เองในคัมภีร์อปทานตอนที่ว่าด้วย ปุพพกัมปิโลติ พุทธาปทาน ข้อ ๓๙๒ ถึงกรรมเก่าที่พระองค์ทรงกระทำมาแล้วในอดีต ๑๔ ข้อ ๑๔ ข้อนั้นมีดังนี้
    ๑. เราเห็นภิกษุผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่งแล้ว ได้ถวายผ้าเก่า เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าครั้งแรก เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าในกาลนั้น ผลของกรรมคือการถวายผ้าเก่า ย่อมอำนวยผลให้เป็นพระพุทธเจ้า กรรมเก่าข้อแรกนี้เป็นกุศลกรรม
    ๒. ในกาลก่อน เราเป็นนายโคบาลต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่นมัวจึงห้ามมัน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ แม้เราจะกระหายน้ำก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามปรารถนา
    ๓. ในชาติอื่นแต่กาลก่อน เราเป็นนักเลงชื่อปุนาลิ บางแห่งเป็นมุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุขเวทนาแสนสาหัสหลายพันปีเป็นอันมาก ด้วยกรรมอันเหลือนั้นในภพหลังสุด เราจึงได้รับคำกล่าวตู่ เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา
    ๔. เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่านันทะ สาวกของพระพุทธเจ้าผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึงท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนานถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้วได้ถูกกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผลกรรมที่เหลือนั้น นางสุนทริกามากับหมู่ชน ได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่จริง
    ๕. เมื่อก่อนเราเป็นพราหมณ์ชื่อสุตวา อันชนทั้งหลายสักการะบูชา สอนมนต์ให้กับมาณพ ๕๐๐ คนอยู่ในป่าใหญ่ ได้เห็นฤาษีผู้น่ากลัว ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มาในสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษีผู้ไม่ประทุษร้าย โดยได้บอกกะพวกศิษย์ของเราว่าฤาษีพวกนี้มักบริโภคกาม แม้เมื่อเราบอกเท่านั้น พวกมาณพก็เชื่อฟัง ครั้งนั้นมาณพทั้งปวงเที่ยวไปภิกขาในสกุล พากันบอกแก่มหาชนว่าฤาษีพวกนี้มักบริโภคกาม ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ภิกษุทั้ง ๕๐๐ เหล่านี้ได้รับคำกล่าวตู่ทั้งหมด เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา
    ๖. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ในกาลก่อน เราได้ฆ่าพี่น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์จับใส่ลงในซอกเขา แล้วทับด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหินกลิ้งลงมากระทบนิ้วเท้าของเราจนห้อเลือด
    ๗. ในกาลก่อน เราเป็นเด็กเล่นอยู่ในหนทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ใส่ไฟเผาดักไว้ทั่วหนทาง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระเทวทัตจึงชักชวนนายขมังธนูผู้ฆ่าคนตายมาก เพื่อให้ฆ่าเรา
    ๘. ในกาลก่อน เราเป็นนายควาญช้างได้ไสช้าง ให้จับมัดพระปัจเจกมนีผู้สูงสุด แม้กำลังเที่ยวบิณฑบาต ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ช้างนาฬาคิรีตัวดุร้าย วิ่งแล่นเข้าไปในคอกเขา เบื้องหน้าผู้ประเสริฐ
    ๙. ในกาลก่อน เราเป็นทหารราบ เป็นแม่ทัพฆ่าบุรุษเป็นอันมากด้วยหอก ด้วยวิบากแห่งกรรมที่เหลือนั้น บัดนี้ไฟนั้นยังมาไหม้ที่เท้าของเราทั้งสิ้นอีก เพราะกรรมยังไม่พินาศไป
    ๑๐. ในกาลก่อน เราเป็นเด็กลูกของชาวประมงในบ้านเกวัฏฏคาม เห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาแล้วเกิดความโสมนัส ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะคือปวดศีรษะได้มีแล้วแก่เรา ในเมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายถูกเบียดเบียน ถูกพระเจ้าวิฏฏุภะฆ่าแล้ว พระเจ้าวิฏฏุภะนี้คือพระเจ้าวิฑูฑภะที่ฆ่าเจ้าศากยะนั่นเอง
    ๑๑. เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลายในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ผุสสะ ว่า “ท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง อย่ากินข้าวสาลีเลย” ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้วอยู่ในเมืองเวรัญชา ได้บริโภคข้าวแดงตลอด ๓ เดือน
    ๑๒. ในเวลาที่นักมวยปล้ำๆ กันอยู่ เราได้เบียดเบียนบุตรนักมวยปล้ำ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความปวดหลังได้มีแก่เรา
    ๑๓. เมื่อก่อน เราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้บุตรเศรษฐีตาย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นโรคปักขันทิกาพาธจึงมีแก่เรา โรคนี้แหละที่เกิดแก่พระพุทธเจ้าของเราในเวลาใกล้จะปรินิพพาน
    ๑๔. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเล่าว่า เมื่อเราเป็นมาณพชื่อโชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหนโพธิญาณนั้นท่านได้ยากยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นเราได้ทำกรรมที่ทำได้ยากคือทุกกรกิริยา ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้นจึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เรามิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ คือมิได้บรรลุโพธิญาณด้วยทุกกรกิริยานี้ เราอันบุพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณในทางที่ผิด บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวงไม่มีความโศกเศร้า ไม่คับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน
    ทั้งหมดนี้คือกรรมเก่าของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงกระทำไว้ในอดีต ตั้งแต่ยังมิได้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นกุศลเพียงข้อ ๑ ข้อเดียวเท่านั้น ที่เหลืออีก ๑๓ ข้อเป็นอกุศลทั้งสิ้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...