คำสอนหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย watnatangnok namai, 31 มีนาคม 2013.

  1. watnatangnok namai

    watnatangnok namai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    293
    ค่าพลัง:
    +3,986
    ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรเกินธรรมดา ท่านสอนให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา วางทุกข์เสีย ให้รู้ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมดา อะไรก็ตามเถอะ ถ้ามันเกิดขึ้นกับเรา มันเเป็นธรรมดาของโลกทั้งนั้น ในเมื่อร่างกายเรามีอยู่ในโลกเท่านี้เอง

    หลักสูตรในพระพุทธศาสนานี้ไม่มีอะไร เบื้องสูงลงมา ท่านสอนตั้งแต่ปลายผมลงมาถึงฝ่าเท้า เบื้องต่ำขึ้นไป ท่านสอนตั้งแต่ปลายเท้าถึงปลายผม มีแค่นี้ ถ้าเราไปเพ่งเล็งคนอื่นว่าคนนั้นชั่ว คนนี้ดี แสดงว่าเราเลวมาก เราควรจะดูใจของเราต่างหาก ว่าเรามันดีหรือเรามันเลว ถ้าเราดีเสียอย่างเดียว ใครเขาจะเลวร้อยแปดพันเก้าก็เรื่องของเขา ถ้าเราดีแล้วก็หาคนเลวไม่ได้ เพราะเรารู้เรื่องของคน คนมาจากอบายภูมิก็มี คนมาจากสัตว์เดรัจฉานก็มี คนมาจากมนุษย์ก็มี มาจากเทวดาก็มี มาจากพรหมก็มี มันจะเสมอกันไม่ได้ ถ้าพวกมาจากอบายภูมิสอนยาก ป่วยการสอน

    คนใดก็ตามที่ประากศตนเป็นอาจารย์พระพุทธเจ้า รู้ดีเกินพระพุทธเจ้า ที่บอกของพระพุทธเจ้าไม่ดี ไม่ทันสมัย เอาอย่างโน้นดีกว่า อย่างนี้ดีกว่า ผมไม่คบด้วย พวกจัญไรนี่ไม่คบ คบยังไง มันจะไปไหนไอ้พวกนี้ โน่น อเวจีมหานรก เพราะทำคนทั้งหลายที่มีเจตนาดี ให้มีมิจฉาทิฏฐิ ปฏิบัติผิด ฟังความเห็นผิด กรรมมันมาก

    ของสงฆ์ที่ตากแดดตากฝนอยู่ ถ้าจะเกิดความเสียหาย ถ้าพระองค์ใดหรือว่าหลายองค์เดินหลีกไป ไม่เก็บของที่ควรจะเก็บ ปรับอาบัติทุกเที่ยวที่ผ่าน อาบัติที่ปรับนี่ไม่ต้องรอพิพากษานะ มันล่อเลย ผ่านไปแบบไม่แยแส ไม่สนใจ เป็นโทษทันที นี่ไม่ใช่ว่าพระอรหันต์เห็นของอะไรก็โยนทิ้ง ๆ ไม่ใช่ ท่านรักษากำลังใจ ของคนอื่นที่มีศรัทธายิ่งกว่ากำลังใจของท่าน เพราะวัตถุทุกอย่างจะพึงมีได้ ก็ต้องอาศัยชาวบ้าน ชาวบ้านกว่าจะได้มาแต่ละชิ้น ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ฉะนั้น พระต้องรักษาทรัพย์สินของชาวบ้าน ให้ยิ่งกว่าชาวบ้านรักษาทรัพย์

    อภิธรรมที่พระสารีบุตรท่านเทศน์ทั้ง 7 ประการ มีนิดเดียว ที่เขาสอนกันนี่มีหลายร้อยหน้า แล้วก็ 8 หน้ายก ผมว่ามันเลอะเทอะเกินไป แต่ก็ไม่ได้ตำหนิคนศึกษา เพราะสนใจธรรมก็เป็นเรื่องน่าโมทนา แต่ว่าทำกันมากเกินไป มันก็สร้างความยาก การบรรลุเข้าก็ถึงช้า เพราะในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง เร็ว ๆ ไว ๆ ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่มีการเนิ่นช้า จำไว้ให้ดีนะ อย่าประมาทในชีวิต

    การบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ต้องมีความหวังอยู่อย่างเดียว คือความดับไม่มีเชื้อ ถ้าบวชตามประเพณีเขาเรียกว่า บวชซื้อนรก พระนี่แค่กินข้าว ไม่พิจารณาให้เป็น อาหาเรปฏิกูลสัญญา หลงในรสอาหาร กินเพื่อความอ้วนพี กินเพื่อความผ่องใสอย่างนี้ องค์สมเด็จพระพิชิตมารบอกว่า กินก้อนเหล็กที่เผาจนแดงโชนดีกว่า

    บุคคลใดเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา แล้วมีศรัทธาความเชื่อปสาทะ ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา มีจิตน้อมไปในกุศล แสดงว่าบุคคลนั้นมีบารมีเข้าถึงปรมัตถบารมี สามารถจะเข้าถึงพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบัน

    เนกขัมมบารมีจริง ๆ ก็คือ จิตระงับนิวรณ์ 5 ถ้าบวชแล้วจิตระงับนิวรณ์ 5 ไม่ได้ ท่านไม่ถือว่าเป็นอันบวชนะ ยังไม่เรียกสมมติสงฆ์ ถ้าระงับนิวรณ์ 5 ได้ ท่านเรียกว่าสมมติสงฆ์ ถ้าระงับนิวรณ์ 5 ไม่ได้ ท่านเรียกเปรตในเครื่องห่มผ้าเหลือง เพราะจิตมันจุ้นจ้าน

    จิตของเราถ้าหากนิวรณ์ไม่เข้ามายุ่งเมื่อไร มันก็เป็นฌานเมื่อนั้น นี่มันก็ไม่มีอะไรยาก ถ้าเรามีกำลังใจเข้มแข็ง จะไม่ยอมเชื่อไอ้ตัวร้าย นิวรณ์นี่ ทีนี้ในเมื่อเราไม่คิดถึงเรื่องอื่น ขณะพิจารณาก็มองดูแต่ขันธ์ 5 อย่างเดียว และภาวนาก็จับเฉพาะลมหายใจเข้าออก กับคำภาวนาว่าพุทโธ อันนี้นิวรณ์มันไม่กวน จิตเข้าถึงปฐมฌานทันที

    ถ้าหากว่าท่านไม่สามารถจะทรงอานาปานุสสติกรรมฐานได้ถึงปฐมฌาน ผลแห่งการเจริญวิปัสสนาญานของทานทั้งหลาย จะไม่มีผลตามต้องการ เพราะจิตมีกำลังไม่พอที่จะทำลายกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานได้

    การเจริญพระกรรมฐานไม่ได้หมายความว่า ใช้เวลานั่งสมาธิเสมอไป ถ้าเราใช้แต่เวลาที่นั่งสมาธิ มีเวลาสงัด จิตใจของเราจึงจะกำหนดถึงพระกรรมฐาน อย่างนี้ใช้ไม่ได้ เนื้อแท้การเจริญพระกรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ตาม ต้องใช้อารมณ์ของเรานี้นึกถึงพระกรรมฐานเป็นปกติตลอดวัน อย่างนี้จึงจะได้ชื่อว่าท่านเข้าถึงพระกรรมฐาน และพระกรรมฐานเข้าถึงท่าน

    เวลาที่ปฏิบัติน่ะ ไม่ใช่มานั่งเงียบ ๆ นะ กลางวันก็ทำงานก่อสร้างด้วย เรียนหนังสือด้วย นุงนังจิปาถะ ไม่ใช่นั่งเฉพาะไม่มีงานมีการ แบบนี้พระพุทธเจ้าไม่ใช้ แบบที่เข้ากุฏิเจริญพระกรรมฐาน กินข้าวก็มีคนไปส่งข้าว ล้างชามไม่ได้ แบบนี้ไม่ใช่พระ พระพุทธเจ้าเอง ท่านก็ล้างบาตรเองเช็ดบาตรเอง ทำความสะอาดพื้นที่เอง ทำแบบนั้นก็ดีเกินพระพุทธเจ้า ก็ไปชนเอาพระเทวทัตเข้าน่ะซิ ไม่เป็นเรื่อง เรื่องของพระนี่สำรวยไม่ดี ต้องทำได้ทุกอย่าง

    ถ้าถามว่า ถ้าคนเขาอยากไปนิพพานเป็นตัณหาไหม ก็เห็นจะ 99% ที่ตอบว่า คำว่าอยาก แปลว่าตัณหา ในเมื่ออยากไปนิพพานก็แสดงว่าเป็นตัณหาเหมือนกัน ก็เลยบอกว่า นี่แกเทศน์แล้ว แกเดินลงนรกไปเลยนะ แกเทศน์แบบนี้ แกเลิกเทศน์แล้วก็เดินย่องไปนรกเลย สบาย ไปเสียคนเดียวก่อนดีกว่ามาชวนชาวบ้านเขาไปอีก ถ้าต้องการไปนิพพาน เขาเรียกว่าธรรมฉันทะ มีความพอใจในธรรม เป็นอาการทรงไว้ซึ่งความดี พวกเราฟังแล้วจำไว้ด้วยนะ ถ้าใครเขาถามจะได้ตอบถูก

    อารมณ์พระกรรมฐานกับอารมณ์ชาวโลกไม่เหมือนกัน มันกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไอ้การงานของชาวโลกนี่ ถ้าขยันมาก มุมานะมาก ผลงานมันสูงแล้วก็ดี แต่การเจริญพระกรรมฐาน มุมานะมากถอยหลัง แทนที่จะก้าวหน้ามันกลับลงต่ำ ใช้ไม่ได้ เพราะว่าการปฏิบัติความดีเพื่อการบรรลุในพุทธศาสนา ต้องละส่วนสุดสองอย่าง คือ หนึ่ง อัตตกิลมถานุโยค การทรมานตนที่เรียกว่าขยันเกินไป สอง กามสุขัลลิกานุโยค เวลาทรงสมาธิหรือพิจารณาวิปัสสนาญาณ มีตัวอยากประกอบไปด้วย อยากจะได้อย่างนั้น อยากจะถึงอย่างนี้ อยากจะได้ตอนโน้น อีตอนนี้มันเจ๊งทั้งสองทาง ที่ถูกคือ จะต้องวางใจเฉย ๆ ปล่อยอารมณ์ให้มันไปตามสบาย ๆ

    การบำเพ็ญบารมีใด ๆ หรือสร้างความดีใด ๆ เราจะตั้งมโนปณิธานความปรารถนาหรือไม่ก็ตาม ถ้าทำความดีมากครั้งเข้า ในที่สุดความชั่วก็สลายตัวไป เราก็เข้าถึงพระนิพพานตามเจตนา หรือไม่เจตนาก็จะต้องเข้าถึง ในเมื่อความชั่วถูกตัดเป็นสมุจเฉทปหาน แต่ทว่าถ้าปราศจากอธิษฐานบารมี กว่าจะเข้าถึงจุดหมายปลายทาง ก็รู้สึกว่ามันเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา หรือไม่ค่อยจะตรงนัก ฉะนั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัทให้มีอธิษฐานบารมี ในการที่ท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งใจกล่าววาจาว่า อิมาหัง ภควา อัตตภาวัง ตุมหากัง ปริจิจชามิ แปลเป็นใจความว่า ข้าพระพุทธเจ้า ขอมอบกายถวายชีวิต แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ก็หมายความว่า เราจะเอาชีวิตของเราเข้าแลกกับความดี ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงแนะนำไว้ อย่างนี้อาศัยเจตนาและความตั้งใจ จัดว่าเป็นอธิษฐานบารมี บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จะเข้าถึงความดีด้วยความรวดเร็วอย่างคาดไม่ถึง

    ถ้าบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ทรงความดีของจิตในวันหนึ่ง 1 นาที ก็คิดว่า 10 วัน มันก็ 30 นาที 100 วัน มันก็ 300 นาที ความดีมันสะสมตัว เมื่อเวลาใกล้จะตาย อารมณ์จิตที่เราทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ได้ดีบ้าง ไม่ได้ดีบ้าง ในระยะต้นมันจะเข้าไปรวมตัวกันตอนนั้น จนกลายเป็นมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เมื่อเวลาจะตาย จิตใจจะน้อมไปในกุศล ถ้าตายจากความเป็นคน อย่างเลวก็เป็นเทวดา ถ้าจิตสามารถควบคุมอารมณ์ใจได้ถึงฌาน ก็จะเป็นพรหม

    อริยสัจ เขาสอนสองอย่างเท่านั้น สำหรับอีกสองอย่าง ไม่มีใครเขาสอนหรอก อย่างนิโรธะแปลว่าดับ อันนี้มันตัวผล ไม่ต้องสอน มันถึงเอง มรรคคือปฏิปทา เข้าถึงความดับทุกข์ มันก็ทรงอยู่แล้ว คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่อริยสัจ เขาตัดสองตัว คือ ทุกข์ กับสมุทัยนี่เท่านั้น

    ไอ้เรื่องการเข้าฌานนี่มันต้องคล่อง เหมือนกับเราเขียนหนังสือคล่องแคล่ว จะเขียนเมื่อไรเราก็เขียนได้ ไม่ใช่เขาบอกว่า เอ้าเข้าฌานซิ มานั่งตั้งท่าขัดสมาธิมันก็เสร็จแล้ว มันไม่ทัน เวลาเราจะตายจริงไปตั้งท่าได้เมื่อไร มันต้องคล่อง การจะทำให้คล่องมันก็มีอยู่ว่า ต้น ๆ ถ้าจิตมันเข้าถึงอารมณ์สมาธิตอนไหนก็ตาม พยายามทรงสมาธินั่นไว้ และพยายามทรงสมาธิให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ใหม่ ๆ มันก็อึดอัด ไม่ช้าก็เกิดอาการชิน มันก็ชินจนช้าไม่เป็น

    เวลาจะตาย เขาเข้าฌานตายกัน คนที่เข้าฌานตาย มันไม่ตายเหมือนชาวบ้านเขา อาการตายเหมือนกัน แต่ความหนักใจของบุคคลผู้ทรงฌานไม่มี ทั้งนี้เพราะถ้าจิตทรงฌาน อารมณ์ก็เป็นทิพย์ เมื่ออารมณ์เป็นทิพย์แล้ว ก็สามารถจะเห็นในสิ่งที่เป็นทิพย์ได้ เห็นรูปที่เป็นทิพย์ ได้ยินเสียงที่เป็นทิพย์ได้ ในเมื่อเราเห็นรูปที่เป็นทิพย์ได้ ได้ยินเสียงที่เป็นทิพย์ได้ เราก็รู้สภาวะความเป็นทิพย์ของเราได้ คนที่เขาเข้าฌานตายนี่ เขาเลือกไปตามอัธยาศัย ว่าเขาจะไปจากร่างกายอันนี้ เขาจะไปอยู่ที่ไหน เขาจะไปอยู่ที่ไหนนี่รู้ก่อน คนที่ทรงฌานจริง ๆ สถานที่ที่จะพึงอยู่ได้คือพรหมโลก ถ้าหากว่าเราไม่อยากอยู่พรหม อยากจะอยู่สวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งที่ต่ำลงมา อันนี้ก็เลือกได้

    เวลาไหนที่เราฝึกหัดอิริยาบถ เดินไปข้างหน้า ถอยมาข้างหลัง ไม่ต้องไปยก ๆ ย่อง ๆ ทำแบบไอ้โรคสันนิบาต ไม่ใช่นะ แบบเดินธรรมดา อิริยาบถนี่พระพุทธเจ้าต้องการอย่างเดียว อย่างเราเดินไปบินฑบาต เดินไปทำธุระ ทำกิจการงานทุกอย่าง ให้รู้อยู่ว่าเวลานี้เราทำอะไร อย่าไปฝึกอย่างค่อย ๆ ยกนิดย่างหน่อย อันนี้ใช้ไม่ได้ ให้ถืออารมณ์ปกติ เราเดินธรรมดา นี่เราก้าวเท้าซ้าย เราก้าวเท้าขวา ก้าวไปข้างหน้า หรือถอยมาข้างหลัง เหลียวซ้าย หรือเหลียวขวา ใช้สติเข้าควบคุม ทีนี้ก็อย่าลืมนะ เราต้องมีโพชฌงค์ประจำใจ แล้วก็มีอานาปานุสสติประจำอยู่ตลอดเวลา อย่าทิ้งนะ แม้แต่พระพุทธเจ้ายังไม่ทิ้ง ถ้าพวกคุณทิ้งอานาปานุสสติ แสดงว่าพวกคุณดีกว่าพระพุทธเจ้า ไปอยู่กับเทวทัตนะ

    นักเจริญมหาสติปัฏฐานเขาต้องดูอารมณ์ อารมณ์ตัวใดมันเกิด ตัดตัวนั้นทันที ไม่ได้ไปนั่งไล่เบี้ย 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, ถึง 13 จนเป็นอรหันต์ ถ้าคิดแบบนี้ลงนรกมานับไม่ถ้วนแล้ว เขาต้องรวบรวมกำลังมหาสติปัฏฐานทั้งหมดทุกบรรพเข้ามาใช้ ในขณะอารมณ์นั้นเกิดทันที ไม่ใช่ว่าทำอย่างนี้ได้แล้ว ก็ทิ้งอย่างนั้นไปจับขั้นต่อไป พอใจสบายก็ทิ้งอย่างนี้ไปจับตัวโน้น อย่างนี้ลงนรกมานับไม่ถ้วน เพราะว่าไม่เข้าถึงความเป็นจริง ตกอยู่ในเขตของความประมาท

    ท่านผู้ใดปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าไม่สามารถจะทำจิตปลงให้ตกในด้าน กายคตานุสสติกรรมฐาน ทำจิตเป็นเอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์อย่างเดียว เห็นว่าร่างกายของเราก็สกปรก ร่างกายคนอื่นก็สกปรก เป็นของไม่น่ารัก ถ้าไม่สามารถผ่านกรรมฐานบทนี้ไปได้ ความเป็นพระอนาคามีไม่ปรากฎแก่ท่านแน่ ๆ

    ผมบอกจุดสำคัญไว้ให้ก็ได้ว่า ทุกท่านที่บรรลุมรรคผลหรือแม้แต่ทรงฌานโลกีย์ เขาใช้จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐานเป็นประจำทุกวัน พวกคุณอย่าทิ้งเชียวนะตัวนี้ ตัวที่บรรลุจริง ๆ อยู่ตรงนี้ นักปฏิบัติทุกองค์ที่บรรลุก็จับนี่เป็นเนติ เนติแปลว่าแบบแผน ถือว่าเป็นตัวอย่าง ถือว่าเป็นครูใหญ่ ใช้ดูอารมณ์ใจ ไม่ต้องไปดูอะไร เพราะว่าไอ้กิเลสมันเกิดที่ใจ เอาอารมณ์ใจเข้ามาดู สติคุม ธัมมวิจยะพิจารณา

    ถ้าใครสามารถทรงฌานได้ดี เวลาเจริญวิปัสสนาญาณนี่มันรู้สึกว่าง่ายบอกไม่ถูก เมื่อฌาน 4 เต็มอารมณ์แล้ว เราจะใช้วิปัสสนาญาน ก็ถอยหลังมาถึงอุปจารสมาธิ เราจะต้องตัดตัวไหนล่ะ ตัดราคะ ความรักสวย รักงาม เราก็ยกอสุภกรรมฐานขึ้นมาเป็นเครื่องเปรียบ ยกกายคตานุสสติกรรมฐานขึ้นมาเป็นเครื่องเปรียบ เปรียบเทียบกันว่า ไอ้สิ่งที่เรารักน่ะ มันสะอาดหรือมันสกปรก กำลังของฌาน 4 นี่เป็นกำลังที่กล้ามาก ปัญญามันเกิดเอง เกิดชัด มีความหลักแหลมมาก ประเดี๋ยวเดียวมันเห็นเหตุผลชัด พอตัดได้แล้วมันไม่โผล่นะ รู้สภาพยอมรับสภาพความเป็นจริงหมด เห็นคนปั๊บ ไม่ต่างอะไรกับส้วมเดินได้ จะเอาเครื่องหุ้มห่อสีสันวรรณะขนาดไหนก็ตาม มันบังปัญญาของท่านพวกนี้ไม่ได้

    พระพุทธเจ้าจึงได้บอกว่า คนที่ทรงฌาน 4 ได้ และรู้จักใช้อารมณ์ของฌาน 4 ควบคุมวิปัสสนาญานได้ ถ้ามีบารมีแก่กล้าจะเป็นพระอรหันต์ภายใน 7 วัน ถ้ามีบารมีอย่างกลาง จะเป็นพระอรหันต์ภายใน 7 เดือน มีบารมีอย่างอ่อนจะเป็นพระอรหันต์ภายใน 7 ปี บารมีเขาแปลว่ากำลังใจ มีบารมีแก่กล้าคือมีกำลังจิตเข้มข้นนั่นเอง ต่อสู้กับอารมณ์ที่เข้ามาต่อต้าน แต่ว่าถ้าบารมีมันเข้มบ้างไม่เข้มบ้าง เดี๋ยวก็จริงบ้าง เดี๋ยวก็ไม่จริงบ้าง ย่อ ๆ หย่อนๆ ตึงบ้าง หย่อนบ้าง อย่างนี้ท่านบอกภายใน 7 เดือน ทีนี้บารมีย่อหย่อน เปาะแปะ ๆ ตามอัธยาศัย ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง ตามอารมณ์อย่างนี้ไม่เกิน 7 ปี นี่ผมพูดถึงคนที่ทรงฌาน 4 ได้ และก็ฉลาดในการใช้ฌาน 4 ควบวิปัสสนาญาณ ถ้าโง่ละก็ ดักดานอยู่นั่นแหละ กี่ชาติก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์

    ไอ้ตัวสงบนี่ต้องระวังให้ดีนะ มันไม่ใช่ว่าง คำว่าสงบนี่ไม่ใช่ว่าง จิตของคนนี่มันไม่ว่าง คือว่ามันต้องเกาะส่วนใดส่วนหนึ่ง ถ้ามันละอกุศลมันก็ไปเกาะกุศล ไอ้จิตที่เรียกว่าสงบก็เพราะว่า สงบจากกรรมที่เป็นอกุศล คืออารมณ์ที่เป็นอกุศล อารมณ์ชั่ว สงบความปรารถนาในการเกิด อารมณ์สงบ คือ ไม่คิดว่าเราต้องการความเกิดอีก และจิตก็มีความสงบ เห็นว่าสภาพร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ไอ้ตัวคิดว่าเรา ว่าของเรา นี่สงบไป สงบตัวยึดถือวัตถุก็ตาม สิ่งมีชีวิตก็ตาม ว่าเป็นเราเป็นของเรา นี่ตัวสงบตัวนี้นะ มีอารมณ์เป็นปกติอยู่เสมอ คิดว่าอัตภาพร่างกายนี้ไม่มีเรา ไม่มีของเรา และมันก็ไม่มีอะไรเป็นเราอีก หาตัวเราในนั้นไม่ได้

    พยายามเพียรทรงตัวไว้ ทำใจว่าจะไม่ฝืนคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็เพียรทรงไว้แต่ความดี เพียรละความชั่วอยู่ตลอดเวลา กรรมอะไรก็ตาม อารมณ์ใดก็ตาม ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่าเป็นอารมณ์ของความชั่ว ต้องเพียรต่อต้านมันนะ แล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณาหาความเป็นจริงให้พบ เมื่อพบความเป็นจริงแล้ว ก็เพียรถือมันเข้าไว้ คือทรงความเป็นจริงไว้ในใจ ยอมรับนับถือตามความเป็นจริง คิดไว้เสมอว่า ไม่มีที่ใดที่จะดีไปกว่าพระนิพพานนะ

    ความจริงคนเราทุกคนไม่ต้องกลัวตาย กลัวเกิดดีกว่า ถ้าเราไม่เกิดเสียอย่างเดียว มันจะตายอย่างไรให้มันรู้ไป ถ้าไม่เกิดให้มันตายที ทีนี้เราเกิดมาเพราะตาเราเห็นรูป เราพอใจในรูป หูได้ยินเสียง พอใจในเสียง เป็นต้น ความพอใจไอ้ตัวจริง ๆ ที่เป็นตัวร้าย ที่เราจะต้องตัดคือใจ ตัดอารมณ์ของใจเสีย อย่าให้ใจมันโง่ แนะนำมัน บอกว่านี่แกไปหลงใหลใฝ่ฝันในรูป รูปนี้สวย ทรวดทรงดี ถามมันดูซิว่า มีรูปอะไรที่มีการทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงบ้าง ไม่มีการทรุดโทรม ไม่มีการเสื่อม มันมีบ้างไหม ถามใจมันดู

    การเป็นพระอรหันต์ไม่เห็นยาก คือตัดความพอใจในโลกทั้งสาม มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ตัดราคะ ความเห็นว่ามนุษย์โลกสวย เทวโลกสวย พรหมโลกสวย โลกทั้งสามไม่มีความหมายสำหรับเรา เราไม่ต้องการ สิ่งที่เราต้องการคือพระนิพพาน มีความเยือกเย็นเป็นปกติ ไม่เห็นอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทบถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีอยู่เป็นปกติ คือว่าไม่มีการสะดุ้งหวาดหวั่นอันใด

    ถ้าคนจะถึงอรหันต์ ทีนี้อารมณ์ใจมันสบายทุกอย่าง คือว่าไม่หลงในฌาน ฌานทุกอย่าง ทั้งรูปฌาน และอรูปฌาน เราพอใจ แต่คิดแต่เพียงว่า นี่เป็นบันไดก้าวขึ้นสู่อริยะเบื้องสูงเท่านั้น ไม่ใช่มานั่งหลงว่ากันทั้งวันทั้งคืน นั่งกรรมฐานตลอดวันตลอดคืน นั่นมันยังเป็นเด็กเล็ก ๆ อยู่ ที่นี้หลงในฌานไม่มี ตัวมานะถือว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขาไม่มี และอารมณ์ฟุ้งซ่านสอดส่ายไปสู่อารมณ์อกุศลไม่มี และตัวสุดท้ายก็เห็นว่าโลกทั้ง 3 โลก คือ มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ไม่มีความหมายสำหรับเรา เห็นสภาวะของโลกทุกอย่างนี้ทั้ง 3 โลก มันเป็นแดนของความทุกข์ สิ่งที่มีความสุขที่สุดคือพระนิพพาน อันนี้ถ้าเป็นสุขวิปัสสโก ท่านจะมีความสบายมาก สบายในอารมณ์ ยอมรับนับถือกฎธรรมดา ยอมรับนับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่า พระนิพพานมีจริง และพระนิพพานเป็นแดนของความสุขจริง แม้ท่านจะไม่เห็น หากว่าวิชชา 3 ก็ดี อภิญญา 6 ก็ดี ปฏิสัมภิทาญาณก็ดี นี่เขาไปที่นิพพานได้เลย จะสามารถเห็นพระนิพพานได้เท่า ๆ กับของที่มองอยู่ข้างหน้า แล้วเขาก็จะรู้สภาวะว่า ถ้าเขาทิ้งอัตภาพนี้แล้ว เขาจะไปอยู่ตรงไหน เพราะพระนิพพานไม่ได้มีสภาพสูญ เขาก็เข้าสู่จุดของเขาเลยที่พระนิพพาน เข้าที่อยู่ได้ ไปไหว้พระพุทธเจ้าได้


    (คัดลอกมาจากหนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่ม 1 )

    (จากหนังสือรวมคำสอนพระสุปฏิปันโน เล่ม 1)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 มีนาคม 2013
  2. ต้นไทร

    ต้นไทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +666
    โมทนา ในธรรมะดีๆของหลวงพ่อ ที่นำมา ให้ได้อ่านกัน ครับ:cool:
     
  3. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ

    เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่
    เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
    และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่านเพื่อเป็นธรรมทาน

    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่www.tangnipparn.com
    ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา
     
  4. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,027
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...