สวัสดีครับผม ได้แวะเข้ามาอ่านติดตามโพสคุณอินทรบุตรอยู่เหมือนกันครับ สวัสดีครับคุณ watjojoj (ยินดีด้วยนะครับ) ผมชอบอ่านมากกว่าครับ อ่านแล้วรู้สึกชื่นใจดี
ขอเล่าเรื่องภพภูมิมาแสดงตนให้ฟังซะหน่อยนะครับ คือว่าในคืนแรกที่พวกผม ไปฝึกกันก็นั่งฝึกกันใต้ต้นโพธิ์ ระหว่างที่เราฝึกความรู้พร้อมทั้งตัว มีความรู้สึก ถึงภพภูมิของเทวดา ว่ามาโมทนาด้วย พอเราพูดว่ามีภพภูมิมาปุ๊บไฟส่องสว่าง ก็ดับลงและติดขึ้นเอง ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นเหตุบังเอิญก็เป็นไปได้นะครับ
กราบนมัสการเจ้าค่ะพระคุณเจ้า สาธุ เจ้าค่ะ เรื่องที่จะนำมาเล่าสู่กันฟัง เป็นเรื่องที่ออกมาจากประสบการณ์จากการปฏิบัติเจ้าค่ะ
เล่ามั่งค่ะ อิอิ คือทางเข้าบ้านน่ะค่ะ ดิฉันจะปลูกต้นเข็มดอกประดับมีทุกสีไว้สองฝั่งข้างทางยาวประมาณ 50 เมตรได้ และเมื่อถึงเวลาก็จะตัดต้นทิ้งทุกปีๆละครั้ง เวลาตัดนะคะ คนตัดเขาจะตัดต้นทิ้งจนเหลือสั้นแทบติดดินเลย มาปีนี้ เมื่ออาทิตย์กว่าๆที่ผ่านมาก็ได้เวลาต้องตัดแล้ว คนตัดเขารู้ว่าต้องตัดต้นทิ้งหมดเหมือนทุกปีที่ผ่านมา วันนั้นดิฉันนั่งดูเขาตัดต้นเข็มด้วย ตาก็มองไปเห็นต้นเข็มดอกสีแดงสดดูยังสวยอยู่เลยค่ะ นึกเสียดายอยู่ในใจ เลยลองอธิฐานจิตดูว่า ถ้าอภินิหารมีจริง ขอให้คนตัดยกเว้นต้นเข็มดอกสีแดงต้นนี้ไว้ ปรากฏว่าพอตัดเสร็จ เหลือต้นเข็มดอกสีแดงโ่ด่เด่อยู่ต้นเดียว และก็ยังอยู่จนวันนี้ค่ะ... นึกขึ้นมาทีไรขำทุกทีเลย
ผมพยายามที่จะเล่าแบบที่ไม่มีนิมิตเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเราก็ไม่ทราบว่านิมิตที่เราเห็นนั้น เป็นของจริงหรือจิตเราปรุงแต่งขึ้นมา ส่วนเรื่องน้ำมนต์นั้น เดี๋ยวมาเขียนนะครับ พอดีช่วงนี้งานเยอะนิดหน่อยครับ
เล่าเรื่องนิมิตรด้วยก็ได้ค่ะ คงไม่เป็นไรหรอก เพราะเราแยกแยะเป็น กำลังรอติดตามอ่านเรื่องน้ำมนต์อยู่นะคะ ส่วนดิฉันก็มีเรื่องจะเล่าให้ฟังอีกเพียบค่ะ
เรื่องน้ำมนต์นะครับ คือว่าคืนก่อนจะกลับ เมื่อเราฝึกจิตเปร่งรังสีกันได้แล้ว (ยกเว้นคนนึงครับ ติดพุทธภูมิ )เราได้ทดลองเอาก้อนหินธรรมดาๆก้อนหนึ่ง (แต่สวย ) ทำการปลุกเสกผ่านทางน้ำมนต์ ที่เราได้ทำขึ้นมาเอง ในขณะที่ทำจิตเปร่งรังสี โดยที่ก้อนหินนั้น ได้นำไปให้ทางพี่คนนึงที่เขาฝึกทางมโน( ขอไม่เอ่ยชื่อนะครับ ) ให้ช่วยดูให้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่หินก้อนนี้ไหม และพี่เขาก็ยืนยันว่ามีเทวดาเข้ามาอยู่ในก้อนหินนั้น ส่วนน้ำมนต์ที่เราทดลองทำกัน ได้ขอให้พี่อีกคนให้เขานำไปให้พระช่วยดูให้อีกทางครับ ตอนนี้ยังไม่ได้คำตอบว่าท่านว่าอย่างไรบ้าง ส่วนอาการทั่วๆไปคือมีอยู่วันนึง อยู่ร่างๆอีกร่างของผมก็ได้เดินออกมาจากตัวเองเฉยๆ ตอนแรกตกใจกลัว นึกว่า อ้าว นี่ตรูตายแล้วเหรอ เลยเดินกลับจะเข้าร่าง แล้วก็มีร่างของชายคนนึงปรากฎออกมาบอกว่าไม่ต้องกลัว เจ้าไม่ตายหรอก ผมก็เลยลุกออกมาอีก และเดินไปมารอบๆตัว (ไม่รู้จะไปไหน)และก็เดินกลับเข้าร่าง หลังจากวันนั้น มันก้จะมีอาการจะออกอีกครับ แต่ยังไม่สามารถทำได้อย่างวันนั้นครับ เอาเท่านี้ก่อนนะครับ
หากคุณถามท่านตรง ๆ ท่านก็ต้อง ยิ้ม อย่างเดียว เพราะคำตอบมีอัตราเสี่ยงต่อข้อหา "อวดอุตริมนุษย์ธรรม" สูงมาก ดังนั้นท่านจึงไม่ตอบอะไร ได้แต่ยิ้ม เท่านั้นแหละครับ หากคุณจะถามท่าน ก็ควรจะถามแบบ "ท่านมีวิธีการฝึก มหาสติ อย่างไร" หรือ "การฝึกอย่างไร ทำให้เกิดไฟฟ้าสถิต" ทำนองนี้ แล้วอย่าลืม อธิบายคำว่า ไฟฟ้าสถิต ให้ชัดเจนด้วย นะครับ
+++ ปรากฏการณ์อะไรที่เกิดขึ้นจริง ก็ให้เล่าสู่กันฟังได้เลยครับ ไม่ว่าจะเป็น ภพภูมิมาอนุโมทนา 3 ครั้ง รัศมีสยบสรรพสิ่งของแม่ชีท่านนั้น เรื่องของคุณน้ำตาล ทดสอบการทำน้ำมนต์ที่ออกมาจากจิตเปล่งรังสี ต่าง ๆ นะครับ
งั้นวันนี้ผมเล่าเรื่องแม่ชี ก่อนดีกว่าครับ เรื่องคือว่าเรามาวันแรกกัน ร่างกายไม่เข้าที่ ฝึกๆไปตอนกลางคืนก็หิว ก็เลยจะขับรถออกไปหาอะไรกินกลางดึก ขับออกไปเจอประตูวัดปิด ก็เลยถอยรถกลับฐานที่มั่น ในขณะที่นั่งคุยใต้ต้นโพธิ์นั้น ก็มีแม่ชีท่านหนึ่งเดินมา และพอมาในรัศมีวงที่เราคุยกันที่ประมาณซัก 5เมตร ปรากฎบรรยากาศ กดดันอย่างเห็นได้ชัด ทุกสรรพสิ่งนิ่งสะงัด เงียบกริ๊บ อย่างรู้สึกได้ ผมเองพยายามเข้าฐานแบบเต็มที่ยังรู้สึกอึกอัดแบบมากมหาศาลจริงๆ และแม่ชีท่านนั้น เดินเข้ามาพูดกับเราว่าจะออกไปไหนกันเหรอ ผมเองยังไม่สามารถที่จะใช้เจโตได้เลย ซึ่งเป็นที่แน่นอนเลยว่าแม่ชีท่านนนั้น แม้จะพูดยังไม่ส่งจิตออกนอกเลยครับ สุดยอดจริงๆ และท่านก็บอกว่าทีหลังจะออกไปก็มาบอกท่านได้ เดี๋ยวท่านเปิดให้ แล้วท่านก็เดินไปเปิดแถมตอนที่เดินไป ก็เหมือนท่านเดินแบบย่นธรณีอีก คือเร็วมากครับ เหมือนท่าก้าวเนิบๆแต่ถ้าเราเดินตามคงไม่ทันแน่ๆครับ และผมเองก็สังเกตุจากการเดินของแม่ชี ท่านก็เดินเหมือนกับที่คุณธรรมชาติสอนเป๊ะเลยครับ คือก้าวลงทั้งเท้าพร้อมกัน (อันนี้สังเกตุวันรุ่งขึ้นของอีกวันนะครับ ) นับว่าไปคราวนี้ได้เห็นอะไรที่น่าทึ่งมากๆหลายอย่างทีเดียว ส่วนใครจะถามว่าที่เราไปฝึกเนี่ยใช่ฝึกอภิญญาไหม ขอบอกว่าไม่ใช่นะครับ เราไปฝึกมหาสติกันครับ เพียงแต่ว่าอภิญญามันเกิดขึ้นมาตามปรกติของมันเองครับ
เมื่อวานช่วงหัวรุ่งเวลาประมาณตี4-5 มีความรู้สึกว่าร่างกายเพลียๆ ก็เลยกลับไปเอนหลังนอนทำสมาธิ อยู่กับความรู้สึกทั้งตัว สติจับอยู่กับเสียงดังวี้ๆๆๆที่หูขวา พอกายเริ่มเบาเสียงดังวี้ๆๆๆหายไป ก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังลอยขึ้น แล้วลอยสไลทะลุข้างกำแพงห้องโถงออกไปสนามหญ้า ผ่านศาลพระภูมิ ไปถึงประตูรั้วหน้าบ้าน ลอยโค้งกลับมาแล้วไสลลงมายืนอยู่บนระเบียงดินหน้าบ้าน ตอนที่เท้าแตะลงพื้นสัมผัสหญ้า ความรู้สึกไม่ต่างกันกับที่กายสังขารสัมผัส แต่สังเกตดูต้นไม้ ใบไม้ ใบหญ้าในขณะนั้นจะดูสดชื่นมีชีวิตชีวากว่า ช่วงที่ขณะยืนอยู่ ในใจตะโกนเรียกชื่อคุณธรรม-ชาติ ดังมาก เพื่อจะบอกให้รู้ว่าดิฉันทำได้แล้วนะ แต่เสียงตะโกนทำให้ตัวเองรู้สึกตัวตื่น ตื่นเพราะได้ยินเสียงตัวเอง ( ที่ตะโกนบอกในใจสาเหตุคงเพราะก่อนหน้านั้น ได้รับคำแนะนำที่กระทู้เกิดอาการหูดับฯว่า +++ ก่อนนอนทุกครั้งให้ตั้งใจไว้ว่า หากคืนนี้ถอดจิต "เราจะฝึกอะไรในขณะที่ถอด" แบบว่าก็ตั้งใจไว้ทุกคืนนะคะ แต่ไม่ออกสักคืน พอไม่ตั้งใจไว้ มันออกไปเองเฉยเลย ) อธิบายนะคะ ในปัจจุบันขณะนั้น ช่วงที่ตัวเองกำลังลอยขึ้น คือรู้ว่าตัวเองถอดจิต จิตมันจำได้ว่าคุณธรรม-ชาติบอกให้ลองเหาะทะลุกำแพง จิตมันจำได้ว่าเคยตั้งใจไว้ว่าจะไม่ออกไปนอกบริเวณรั้วบ้าน มันก็เลยลอยทะลุกำแพง พอลอยไปถึงประตูรั้วแล้วลอยกลับคืนมาโดยอัตโนมัติ ส่วนเมื่อคืนช่วงดึกๆนอนฟังธรรมะ หูซ้ายฟังเสียงธรรมมะ ส่วนหูขวาฟังเสียงวี้ๆๆๆๆ เพิ่งจะสังเกตเป็นครั้งแรกที่หูสองข้างสามารถแยกฟังเสียงได้ พูดถึงเรื่องมหาสติ เท่าที่จำได้ แรกๆที่เข้าไปโพสท์ในกระทู้เกิดอาการหูดับฯ ดิฉันได้สัมผัสพลังมหาสติจากคุณธรรม-ชาติ ประมาณ 3 ครั้ง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่จิตสังขารมันทำงาน คือคิดฟุ้งซ่านน่ะค่ะ แต่อยู่ๆความคิดฟุ้งซ่านนั้นก็ดับหายไปอย่างฉับพลัน เหลือแต่ความเงียบสงบ รู้สึกเบาสบาย มีสติอยู่กับรู้ เห็นอะไรก็สักแต่ว่าเห็น ความรู้สึกลึกๆข้างในตอนนั้นมันรู้ขึ้นมาเองเลยน่ะค่ะว่าได้สัมผัสพลังนี้จากคุณธรรม-ชาติ ทีนี้เกิดความอยากพิสูจน์ว่าไม่ได้คิดเองเออเองน่ะค่ะ เลยเข้ามาเปิดเว็บดูแล้วเห็นคุณธรรม-ชาติกำลังออนไลน์ตอบกระทู้ที่ดิฉันถาม ความนิ่งอย่างมีสติ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น และอยู่กับรู้อย่างนั้น จะเป็นได้ประมาณ 3-4 วัน หลังจากนั้นจิตสังขารก็เริ่มทำงาน ความคิดฟุ้งซ่านก็เกิดขึ้นอีก และทุกครั้งที่ความคิดฟุ้งซ่านดับหายไปอย่างฉับพลัน เหลือแต่ความเงียบสงบ รู้สึกเบาสบาย มีสติอยู่กับรู้ มักจะเกิดขึ้นตรงเวลาเดียวกันกับช่วงที่คุณธรรม-ชาติออนไลน์เข้ามาตอบกระทู้ดิฉันเท่านั้น กรณีนี้เราไม่ได้ทำอะไรนะคะ คืออยู่ๆมันเกิดขึ้นและมันก็รู้ขึ้นมาเอง ช่วงนี้คงอาจจะขอตัวถอยห่างๆสักพัก เพราะตอนนี้สติกำลังดวลเดี่ยวกับจิตมารภาคหนึ่งอยู่น่ะค่ะ สังเกตุพอมันอ่านบางประโยคแล้วมันแปลความหมายเพี้ยนให้เรา ถ้าไม่มีสติกำกับก็เป็นเรื่อง เหมือนกับจิตมารมันแปลให้หนุ่มน้อยในนิทาน”โค้งอันตราย”เลย หรืออีกกรณีหนึ่งยกตัวอย่างเช่นการอ่านประโยค " ยาชนิดนี้ กินแล้วแข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน " มันก็จะอ่านและแปลเพี้ยนให้เราเข้าใจเป็น " ยาชนิดนี้กินแล้วแข็ง แรงไม่มี โรคภัยเบียดเบียน " .. แบบนี้มันอ่านมันแปลหาเรื่องให้ตัวเราเองนี่หว่า .. เฮ้อ
สาธุ... อนิจจา วต สังขารา อุปปาทวยธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชชันติ เตสัง วูปสโม สุโข สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา บังเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป การระงับสังขารทั้งหลายได้ เป็นความสุขอย่างยิ่ง
สัพเพ สัตตา มะรันติ จะ มะริงสุจะ มะริสสะเร ตะเถวาหัง มะริสสามิ นัตถิ เม เอตถะ สังสะโย สัตว์ทั้งหลายมีความตายรออยู่ ล้วนต้องตาย อย่างแน่นอน แม้นตัวเราเองก็จักต้องตายเหมือนกัน อย่าได้กังขาเลย
เมื่อวานช่วงหัวรุ่งเวลาประมาณตี4-5 มีความรู้สึกว่าร่างกายเพลียๆ ก็เลยกลับไปเอนหลังนอนทำสมาธิ อยู่กับความรู้สึกทั้งตัว สติจับอยู่กับเสียงดังวี้ๆๆๆที่หูขวา พอกายเริ่มเบาเสียงดังวี้ๆๆๆหายไป +++ เสียงคลื่นความถี่สูงซึ่งมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ มีประโยชน์ในการวัดความต่อเนื่องของสติ ด้วยเหตุที่เสียงนี้ละเอียดกว่าปกติ จิตที่เกาะอยู่กับมันจึงละเอียดตามไปด้วย ก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังลอยขึ้น แล้วลอยสไลทะลุข้างกำแพงห้องโถงออกไปสนามหญ้า ผ่านศาลพระภูมิ ไปถึงประตูรั้วหน้าบ้าน ลอยโค้งกลับมาแล้วไสลลงมายืนอยู่บนระเบียงดินหน้าบ้าน ตอนที่เท้าแตะลงพื้นสัมผัสหญ้า ความรู้สึกไม่ต่างกันกับที่กายสังขารสัมผัส แต่สังเกตดูต้นไม้ ใบไม้ ใบหญ้าในขณะนั้นจะดูสดชื่นมีชีวิตชีวากว่า +++ การถอดกาย จากฐานกายเวทนา จะมีอาการเหมือนกายมนุษย์ ความรู้สึกนึกคิดไม่ต่างกันมากนักกับยามปกติ เพียงแต่ทุกอย่างจะละเอียดกว่า ซึ่งเป็นไปตามความละเอียดของกายที่ถอด (ความละเอียดของภูมิ จะ compatible (สัมประยุตา) สอดคล้องกันทุกประการกับความละเอียดของกาย ในขณะถอด) การถอดฐานกายเวทนา หากยังไม่ชำนาญ การถอดแต่ละครั้งอาจมีความละเอียดไม่เท่ากัน หยาบกว่าบ้าง ละเอียดกว่าบ้าง และภพภูมิหยาบละเอียดจะแปรไปตามกายที่ถอดเสมอ ดังนั้นหากยังไม่ชำนาญ จึงยังไม่ควรออกไปนอกเขตรั้วบ้าน นะครับ ช่วงที่ขณะยืนอยู่ ในใจตะโกนเรียกชื่อคุณธรรม-ชาติ ดังมาก เพื่อจะบอกให้รู้ว่าดิฉันทำได้แล้วนะ แต่เสียงตะโกนทำให้ตัวเองรู้สึกตัวตื่น ตื่นเพราะได้ยินเสียงตัวเอง ( ที่ตะโกนบอกในใจสาเหตุคงเพราะก่อนหน้านั้น ได้รับคำแนะนำที่กระทู้เกิดอาการหูดับฯว่า +++ ก่อนนอนทุกครั้งให้ตั้งใจไว้ว่า หากคืนนี้ถอดจิต "เราจะฝึกอะไรในขณะที่ถอด" แบบว่าก็ตั้งใจไว้ทุกคืนนะคะ แต่ไม่ออกสักคืน พอไม่ตั้งใจไว้ มันออกไปเองเฉยเลย ) +++ กายเวทนาเป็นฐานที่เหมาะสมอย่างยิ่งต่อการฝึก "มหาสติปัฏฐาน" ในภาค "อิทธิฤทธิ์และอภิญญา" ดังนั้นจึงควรตั้งใจให้แน่วแน่ก่อนฝึกว่า หากถอดครั้งนี้จะฝึกอะไร จากนั้นจึงวางความตั้งใจนั้นลง (ตรงนี้ผมลืมบอกไป) แล้วจึงเข้าฐานฝึกต่อไป แต่ของคุณจิตวิญญาณ ได้ตั้งใจไว้หลายครั้งแล้ว เวลาออก จึงได้ฝึกแบบอัตโนมัติในขณะถอด แถมยังทำได้ถูกต้องซะด้วย อธิบายนะคะ ในปัจจุบันขณะนั้น ช่วงที่ตัวเองกำลังลอยขึ้น คือรู้ว่าตัวเองถอดจิต จิตมันจำได้ว่าคุณธรรม-ชาติบอกให้ลองเหาะทะลุกำแพง จิตมันจำได้ว่าเคยตั้งใจไว้ว่าจะไม่ออกไปนอกบริเวณรั้วบ้าน มันก็เลยลอยทะลุกำแพง พอลอยไปถึงประตูรั้วแล้วลอยกลับคืนมาโดยอัตโนมัติ +++ สมัยก่อนครูบาอาจารย์ท่านจะให้ฝึก ชำแรกภูเขา เพราะในขณะโน้นท่านฝึกกันตามป่าเขา แต่ปัจจุบันขณะในขณะนี้ คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามบ้านเรือน ใช้การชำแรกกำแพงแทนก็ใช้ได้เหมือนกัน และไม่ต้องออกไปนอกบ้านด้วย (เหตุผลอยู่ในย่อหน้าที่ 2) การชำแรกกำแพงกับการชำแรกภูเขามีค่าเท่ากันทุกประการ และ การลอยในอากาศกับในน้ำก็มีค่าเหมือนกันไม่ต่างกันเลย ส่วนเมื่อคืนช่วงดึกๆนอนฟังธรรมะ หูซ้ายฟังเสียงธรรมมะ ส่วนหูขวาฟังเสียงวี้ๆๆๆๆ เพิ่งจะสังเกตเป็นครั้งแรกที่หูสองข้างสามารถแยกฟังเสียงได้ +++ จากตรงนี้คุณจิตวิญญาณ เริ่มมีประสพการณ์ในการ แยกจิตเป็น 2 แล้ว ให้จำการทำงานของจิตในขณะที่มันแยกให้ดี เช่นในขณะนั้น ความรู้ตัว VS ความรู้สึกตัว = กี่% ต่อ กี่% อารมณ์ในขณะนั้นมีอะไรเป็นลักษณะเด่น เช่น เพลิน สบาย เฉย ว่าง รู้ ประมาณ 4-5 อารมณ์นี้ ตัวไหนเด่น กี่% ตัวรองประมาณ กี่% ต่าง ๆ เป็นต้น เมื่อพอประมาณได้แล้ว ก็ให้เดินจิตเพื่อทดสอบเพื่อความคล่องตัวดูสัก 5-6 รอบ เมื่อได้แล้ว +++ ให้ตั้งใจก่อนฝึกว่า ครั้งนี้เราจะฝึก แยกกายเป็น 2 หรือกี่ตัวก็ได้ ทั้งในอากาศและบนดิน รวมทั้งอิริยาบท ที่ต่างกันไปในแต่ละร่างด้วย ตามความปรารถนา จากนั้น "ให้วางความตั้งใจนั้นลง" แล้วจึงเข้าฐานฝึกต่อไปตามปกติ นะครับ พูดถึงเรื่องมหาสติ เท่าที่จำได้ แรกๆที่เข้าไปโพสท์ในกระทู้เกิดอาการหูดับฯ ดิฉันได้สัมผัสพลังมหาสติจากคุณธรรม-ชาติ ประมาณ 3 ครั้ง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่จิตสังขารมันทำงาน คือคิดฟุ้งซ่านน่ะค่ะ แต่อยู่ๆความคิดฟุ้งซ่านนั้นก็ดับหายไปอย่างฉับพลัน เหลือแต่ความเงียบสงบ รู้สึกเบาสบาย มีสติอยู่กับรู้ เห็นอะไรก็สักแต่ว่าเห็น ความรู้สึกลึกๆข้างในตอนนั้นมันรู้ขึ้นมาเองเลยน่ะค่ะว่าได้สัมผัสพลังนี้จากคุณธรรม-ชาติ ทีนี้เกิดความอยากพิสูจน์ว่าไม่ได้คิดเองเออเองน่ะค่ะ เลยเข้ามาเปิดเว็บดูแล้วเห็นคุณธรรม-ชาติกำลังออนไลน์ตอบกระทู้ที่ดิฉันถาม ความนิ่งอย่างมีสติ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น และอยู่กับรู้อย่างนั้น จะเป็นได้ประมาณ 3-4 วัน หลังจากนั้นจิตสังขารก็เริ่มทำงาน ความคิดฟุ้งซ่านก็เกิดขึ้นอีก และทุกครั้งที่ความคิดฟุ้งซ่านดับหายไปอย่างฉับพลัน เหลือแต่ความเงียบสงบ รู้สึกเบาสบาย มีสติอยู่กับรู้ มักจะเกิดขึ้นตรงเวลาเดียวกันกับช่วงที่คุณธรรม-ชาติออนไลน์เข้ามาตอบกระทู้ดิฉันเท่านั้น กรณีนี้เราไม่ได้ทำอะไรนะคะ คืออยู่ๆมันเกิดขึ้นและมันก็รู้ขึ้นมาเอง ช่วงนี้คงอาจจะขอตัวถอยห่างๆสักพัก เพราะตอนนี้สติกำลังดวลเดี่ยวกับจิตมารภาคหนึ่งอยู่น่ะค่ะ สังเกตุพอมันอ่านบางประโยคแล้วมันแปลความหมายเพี้ยนให้เรา ถ้าไม่มีสติกำกับก็เป็นเรื่อง เหมือนกับจิตมารมันแปลให้หนุ่มน้อยในนิทาน”โค้งอันตราย”เลย หรืออีกกรณีหนึ่งยกตัวอย่างเช่นการอ่านประโยค " ยาชนิดนี้ กินแล้วแข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน " มันก็จะอ่านและแปลเพี้ยนให้เราเข้าใจเป็น " ยาชนิดนี้กินแล้วแข็ง แรงไม่มี โรคภัยเบียดเบียน " .. แบบนี้มันอ่านมันแปลหาเรื่องให้ตัวเราเองนี่หว่า .. เฮ้อ +++ ให้เข้าฐานที่ 15% ก่อนอ่าน หากจิตมารกำเริบ ให้เพิ่มไปอยู่ที่ประมาณ 30-50% ก็จะไม่มีการอ่านแบบ "ยาชนิดนี้กินแล้วแข็งแรงไม่.....มีโรคภัยเบียดเบียน " นะครับ
ผมได้รับเสียงคลื่นความถี่สูง มาประมาณห้าเดือนแล้ว(หลังจากปฏิบัติภาวนามาอย่างต่อเนื่อง) อยากสอบถามท่านธรรม-ชาติ ว่า เสียงคลื่นความถี่สูงดังกล่าว หูได้ยิน(ผ่านโสตประสาท) หรือจิตเป็นผู้รับรู้(รับรุ้โดยจิต ไม่ผ่านโสตประสาท)..ถ้าเรารับรุ้เสียงคลื่นความถี่สูงไปเรื่อยๆ แทนการบริกรรม จะเป็นอย่างไรบ้างครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
+++ การได้ยินรวมถึงการรับรู้ทั้งหมดทาง กายภาพ (ทางโลก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย) และ ทางจินตภาพ (ทางจิต คือ รู้สึก นึก คิด) ล้วนมี ใจ เป็นผู้รับทั้งสิ้น คำว่า ใจ เป็นคำศัพท์ของหมวด อายตนะ 6 ซึ่งเป็นคำศัพท์ตัวเดียวกันกับ วิญญาณ ในหมวดของ ขันธ์ 5 +++ ยามใดที่ได้ยินเสียงคลื่นความถี่สูง ยามนั้นจะรู้ตัว (ลอง ๆ สังเกตุดูก็ได้ว่า จริงหรือไม่) เรียกได้ว่า ได้ กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน การที่จะใช้ คลื่นความถี่สูงมาแทนการบริกรรม ก็ทำได้ แต่ควร "อยู่" กับความรู้ตัว สลับกันไปด้วย นะครับ
ขออนุญาติถามด้วยคนค่ะ เมื่อวันก่อนๆหลังจากอ่านกระทู้ของท่านธรรมชาติแล้ว ในตอนกลางคืนลองนั่งสมาธิได้สักพักก็ได้ยินเสียงคลื่นความถี่สูงเช่นกัน ก็มีสติระลึกรู้ พอสักพักความรู้สึกเหมือนตัวเราหลุดไปอยู่อีกที่หนึ่ง โล่งๆ ว่างเปล่า มืดเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดอยู่รอบๆตัวเรา เคยรู้สึกเช่นนี้มาหลายครั้งแล้วครั้งแรกที่เจอก็งงๆ พยายามมองหาใครก็ไม่มี พยายามจะดูว่าเราจะมีนิวรณ์ก็ไม่มี เงียบทุกอย่างไปหมด พอวันหลังอ่านกระทู้ท่านธรรมชาติก็พยายามนิ่ง ตรึง แช่อยู่กับความรู้สึก ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ออกจากสมาธิ แต่ในช่วงหลังรู้สึกว่าจะทำสมาธิได้นานขึ้น ความรู้สึกในความนิ่ง เงียบเราไม่สนใจก็มีสติระลึกรู้ไปเรื่อยๆ ถ้าเปรียบเทียบความรู้สึกตอนนั้นเหมือนเราเป็นคนมองไม่เห็นและกำลังเดินไปในความมืด เราก็เดินไปเรื่อยๆเพื่อให้ถึงปลายทางซึ่งเราไม่สามารถรู้ว่าจะไปที่ไหน พยายามอ่านในหลายกระทู้ก็ไม่มีท่านใดเจอเหมือนข้าพเจ้า ขอให้ท่านธรรมชาติช่วยชี้แนะด้วยค่ะว่าข้าพเจ้าควรจะผ่านจุดนี้ไปอย่างไร ขอบคุณค่ะ
+++ เสียงคลื่นความถี่สูงซึ่งมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ มีประโยชน์ในการวัดความต่อเนื่องของสติ ด้วยเหตุที่เสียงนี้ละเอียดกว่าปกติ จิตที่เกาะอยู่กับมันจึงละเอียดตามไปด้วย เสียงวี้ๆๆนี้ ดิฉันสังเกตุเมื่อครั้งที่ใช้ชีวิตอยู่เมืองนอก รักษายังไงก็ไม่หาย แรกๆที่เริ่มได้ยินจะรู้สึกรำคาญและเครียดมาก พอนานๆไปก็ชินไปเองค่ะ และที่จับเสียงวี้ๆๆ สาเหตุเพราะคิดฟุ้งซ่านน่ะค่ะ สังเกตดู พอหยุดคิดมันก็พูด พอหยุดพูดมันก็คิด พาเดินจงกรมก็แล้ว สวดอิติปิโสฯ 108 จบก็แล้ว สวดพระคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า 108 จบก็แล้ว ก็เลยหาอุบายให้จิตโดยไปจับอยู่กับเสียงวี้ๆๆนี่ล่ะค่ะ +++ การถอดกาย จากฐานกายเวทนา จะมีอาการเหมือนกายมนุษย์ ความรู้สึกนึกคิดไม่ต่างกันมากนักกับยามปกติ เพียงแต่ทุกอย่างจะละเอียดกว่า ซึ่งเป็นไปตามความละเอียดของกายที่ถอด (ความละเอียดของภูมิ จะ compatible (สัมประยุตา) สอดคล้องกันทุกประการกับความละเอียดของกาย ในขณะถอด) การถอดฐานกายเวทนา หากยังไม่ชำนาญ การถอดแต่ละครั้งอาจมีความละเอียดไม่เท่ากัน หยาบกว่าบ้าง ละเอียดกว่าบ้าง และภพภูมิหยาบละเอียดจะแปรไปตามกายที่ถอดเสมอ ดังนั้นหากยังไม่ชำนาญ จึงยังไม่ควรออกไปนอกเขตรั้วบ้าน นะครับ เวลานี้เริ่มจะเข้าใจความสอดคล้องกันระหว่างภพภูมิกับกายละเอียดมากขึ้นแล้วค่ะ การจะปิดอบายเพื่อให้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ต้องรู้และเข้าใจเรื่องภพภูมิให้แจ้งก่อนใช่ไหมคะ? +++ จากตรงนี้คุณจิตวิญญาณ เริ่มมีประสพการณ์ในการ แยกจิตเป็น 2 แล้ว ให้จำการทำงานของจิตในขณะที่มันแยกให้ดี เช่นในขณะนั้น ความรู้ตัว VS ความรู้สึกตัว = กี่% ต่อ กี่% อารมณ์ในขณะนั้นมีอะไรเป็นลักษณะเด่น เช่น เพลิน สบาย เฉย ว่าง รู้ ประมาณ 4-5 อารมณ์นี้ ตัวไหนเด่น กี่% ตัวรองประมาณ กี่% ต่าง ๆ เป็นต้น เมื่อพอประมาณได้แล้ว ก็ให้เดินจิตเพื่อทดสอบเพื่อความคล่องตัวดูสัก 5-6 รอบ เมื่อได้แล้ว อาการตรงนี้จะรู้หมดค่ะ หูข้างซ้ายที่ฟังธรรมะ กับหูข้างขวาที่ฟังเสียงวี้ๆๆ จะมีอารมณ์แตกต่างกัน แต่อธิบายไม่เป็นน่ะค่ะ +++ ให้เข้าฐานที่ 15% ก่อนอ่าน หากจิตมารกำเริบ ให้เพิ่มไปอยู่ที่ประมาณ 30-50% ก็จะไม่มีการอ่านแบบ "ยาชนิดนี้กินแล้วแข็งแรงไม่.....มีโรคภัยเบียดเบียน " นะครับ ที่รู้ว่าเป็นจิตมาร เพราะดิฉันย้อนกลับไปอ่านรายละเอียดการทำงานของจิตมารที่กระทู้หูดับฯอีกรอบน่ะค่ะ จิตมารนี้มาแทรกช่วงที่เริ่มอ่านข้อความโพสท์ที่61ในกระทู้นี้ พออ่านจบ แปลความหมายเพี้ยน รู้สึกมีอาการวาปแล้วหัวใจเต้นแรงเหมือนตกใจน่ะค่ะ ก็เลยตั้งสติลองอ่านเพื่อทบทวนอีกรอบ พอเริ่มอ่านรอบที่2 เกิดความรู้สึกประหม่า อ่านจบ ก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลย คือยัง งง อยู่น่ะค่ะ ก็ เอ ทำไมอ่านสองรอบแล้วยังไม่เข้าใจ แต่หลังจากนั้นไม่นาน มันเหมือนความเข้าใจมันผุดขึ้นมาเอง ผุดออกมาจากส่วนลึกๆในใจ อ่อ เข้าใจแล้ว ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าเป็นจิตมาร เพราะไม่มีอาการปรามาสสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ เข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด แต่ไปสงสัยว่าคงมีใครส่งจิตเข้ามาแล้วเราไปรับรู้วาระจิตเขา พอหลังจากนั้นสังเกตุตัวเองเวลาอ่านข้อความ อ่านอยู่ดีๆก็จะมีช่วงขณะหนึ่งที่อ่านข้ามวกไปวนมา จับใจความตรงนั้นไม่ได้ ทำให้ความหมายผิดเพี้ยน พอตั้งสติบังคับตัวเองให้อ่านใหม่ เกิดอารมณ์ไม่พอใจหงุดหงิดใส่ตัวเอง อ่าว ยังไงกันเนี่ย แต่ดูใจแล้วจะสงบดีนะคะ ไม่สุขไม่ทุกข์ ... อาการที่เป็น ตอนนี้หายแล้วค่ะ กราบขอบพระคุณมากค่ะที่ชี้แนะ