ชีวิตมาจาก สวรรค์ หรือ นรก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 12 สิงหาคม 2007.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    กำเนิดมนุษย์ In the Origin of Human 4

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed][​IMG][/FONT][FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ลายเส้นบนพื้นราบ

    ในที่ราบนาซก้าประเทศเปรู มีภาพวาดที่กว้างใหญ่และมีเบาะแสที่น้อยยิ่ง คนแรกที่ทำการศึกษารายละเอียดของมันเป็นชาวอเมริกันชื่อ พอล โคซอค ผู้ที่ได้ยินเรื่องลายเส้นนี้ขณะออกทำการสำรวจระบบชลประทานโบราณอยู่ เช่นเดียวกับผู้คนที่มาพิสูจน์เรื่องราวที่ได้ยินเกี่ยวกับลายเส้นนี้ โคซอครู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่เขาเห็น มีเส้นที่ลากแตกแขนงออกไปเป็นรูปพัดนับพันเส้นลากข้ามทะเลทราย บางเส้นสิ้นสุดที่ตีนเขา ขณะที่อีกลายเส้นลากยาวไปไกลพาดข้ามภูเขา มันถูกสร้างอย่างง่ายๆด้วยการเจาะผิวดินชั้นบนออกจากดินบนทะเลทรายและเผยให้เห็นดินชั้นล่างที่สีอ่อนกว่า หลังจากที่เขาพยายามจะตามรอยเส้นบนพื้นดินเขาก็เปลี่ยนไปเป้นใช้เครื่องร่อนแทน มีเพียงบนอากาศเท่านั้นที่เขาสามารถชื่นชมการแผ่ขยายของมันได้อย่างแท้จริง นอกจากลายเส้นชุดนี้ก็ยังมีรูปภาพอื่นๆอีกมากมาย เช่นนก ปลา แมลง และเป็นที่น่าพิศวงที่สุดที่แต่ละรูปถูกวาดอย่างต่อเนื่องบนเส้นเดียว มันเริ่มต้นและสิ้นสุดลงที่จุดเดียวกัน นาซก้าไลน์ มีหลายรูปแบบ ชนิดท ี่เป็นทรงเรขาคณิตก็มี ทรงสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม สี่เหลี่ยมคางหมู วงกลมเส้นหยัก เส้นแคบ ยาวกว่า 5 ไมล์ นอกจากนั้นยังมีรูปนก สัตว์เลื้อยคลาน ปลาวาฬ ลิง แมงมุม บางภาพก็คล้าย เครื่องปั้นดินเผาโบราณของชาวเมืองนาซคาที่อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล


    นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นงานของชาวเมืองนี้อายุตกอยู่ในยุค 1000 ปีก่อนคริสตศักราชนาซก้าไลน์ แม้จะดูทำขึ้นแบบง่ายๆ แต่คำนวณแล้วว่าต้องใช้เวลามาก ไม่ว่าจะเป็นการเกลี่ยหินหน้าทรายการจัดแนวหินให้เป็นเส้นตรง การออกแบบหาไอเดียเพื่อให้เหมาะกับภูมิประเทศ ซึ่งไม่มีฝนตกเลย อย่างน้อยก็พันปีมาแล้ว มีการเดาไปต่างๆ นานา บ้างว่าเป็นถนนก่อนประวัติศาสตร์ ฟาร์ม สนาม ยานอวกาศ เครื่องหมายหรือสัญญาณบอกเรื่องราวแก่สิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า เช่น มนุษย์ต่างดาว หรือพระเจ้าในความเชื่อถือทางศาสนา แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครรู้จริง นอกจากจะสันนิษฐานว่าเป็นผลงานทางศิลปะของอินเดียนแดงโบราณ ทว่าไม่มีใครรู้เลยว่าชาวอินเดียนแดงโบราณสร้างมันขึ้นมาทำไม ? ในปี ค.ศ.1968 สถานบันเนชั่นแนลจีโอกราฟฟีค ฝ่ายสังคมศึกษาพบว่า ลายเส้นต่างๆ ในพื้นที่เหล่านี้ตั้งอยู่ในจุดระหว่างกลางดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ขึ้นและตกในวันเวลาที่มันอยู่ห่างไกลจากเส้นศูนย์สูตรโลกที่สุดตั้งแต่ในสมัยโบราณ แต่ข้อมูลเหล่านี้ยังไม่มีใครคาดคิดได้ว่ามันจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมากับการศึกษาลายเส้นนาซก้า ความประหลาดลึกลับของลายเส้นต่างๆ ในทะเลทรายเปรูยิ่งดูเหมือนท้าท้ายคำถามต่างๆ อาทิ ทำไมชาวนาซก้าโบราณจึงทุ่มเทเวลาสร้างสรรค์ลายเส้นมโหฬารเหล่านี้มากมาย ทั้งที่บางอย่างพวกเขาอาจจะไม่เคยเห็น และผู้คนจะเห็นนาซก้าไลน์ก็ต่อเมื่อมองลงมาจากอากาศเท่านั้น
    [/FONT]

    [​IMG]
    นอกจากตัวลายเส้นเองแล้ว อารยธรรมและชุมชนมนุษย์ยุคนาซก้า ก็ยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้
    [​IMG]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed] บุคคลสำคัญที่สุดที่ทุ่มเทเวลาศึกษานาซก้าไลน์ถึง 25 ปีคือ มาเรีย ไรเช่ เธอได้ถ่ายภาพและทำแผนที่งานของเธอเรียกว่า ลาส ลีเนียร์ รูปเครื่องหมายลายเส้นต่างๆ เป็นร้อยๆภาพ ซึ่งปรากฏอยู่บนทรายสูงทะเลทรายแห่งนี้ กินเนื้อที่สำรวจถึง 30 ไมล์ โดยอาศัยแผนที่จากสายการบินแพนแอมซึ่งทำไว้ก่อน กับความสนับสนุนจากสถาบันเนชั่นแนลจีโอกราฟิคช่วยเหลือในงานของเธอ ซึ่งมาเยือนโลกเมื่อสมัยก่อนยุคประวัติศาสตร์ ลายเส้นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูนี้ ถ้าจะสันนิษฐานว่าเกิดจากความคิดของนักเรขาคณิตบ้าๆ คนหนึ่งก็อาจเป็นข้อสันนิษฐานที่น่าฟัง เพราะจากลายเส้นที่ใหญ่โตและที่เล็กๆ ทอดก่ายกัน แม้จะมีระเบียบแต่ก็อ่านจุดประสงค์ไม่ได้ว่า เขาต้องการจะบอกอะไร และดูเหมือนว่าเขาไม่สู้จะคำนึงถึงลักษณะภูมิประเทศด้วยรูปทรงเรขาคณิตแบบสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่าอีกบริเวณหนึ่ง

    ในหุบเขาใหญ่ใกล้ที่ทำการกสิกรรมของนาซก้าซึ่งสามารถยืนมองจากหุบเขาอินเกนิโอ ก็เป็นสิ่งที่น่าประหลาดที่ว่ามันถูกขีดขึ้นประกอบด้วย รูปสี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยมไม่สับสนจากที่ลาดต่ำไปสู่ที่ลาดสูง และก็เช่นเดียวกันเช่นรูปทรงเรขาคณิตแบบต่างๆ ที่ค้นพบคือไม่ทราบจุดประสงค์ นอกจากสันนิษฐานว่าอาจเป็นแบบฟอร์มของระบบการชลประทาน “ ลายเส้นทั้งหมด “ มิสไรเช่ให้ข้อสังเกต “ เป็นเส้นตรง ยาวเป็นไมล์ๆ ข้ามหุบเขาและภูเขา ไม่มีสักเส้นเดียวที่จะคดเคี้ยว มันเป็นแนวตรงอย่างน่าประหลาดทุกเส้น “


    ชาวนาซก้าจะได้ประโยชน์อะไรจากลายเส้นเหล่านี้ เส้นตรงบางเส้นมีร่องรอยคล้ายเป็นจุดของยามทุกๆ 1 ไมล์ สงสัยกันว่าจะเป็นจุดสังเกตการณ์สำหรับการส่งข่าวแบบอินเดียนแดง แต่เหตุผลนี้ก็แทบนับไม่ได้ว่าเป็นเหตุผลลายเส้นที่น่าทึ่งอีกภาพหนึ่งคือ ลายเส้นของลิงในท่าคว้าจับอะไรบางอย่าง แขนซ้ายของมันวัดได้ยาวถึง40 ฟุต สังเกตลักษณะรูปร่างของมันคล้ายลิงหลายชนิด ขนดกเป็นปุย อาจเป็นลิงชนิดหนึ่งที่เรียกว่า คาปูชินซึ่งอยู่ในป่าเขตร้อนทางทิศตะวันออกของเทือกเขาแอนดิส ห่างไปจากจุดที่นั่นถึง 200 ไมล์ ศิลปินชาวนาซก้าซึ่งคงจะรู้จักลิงชนิดนี้จากการบอกเล่าของพ่อค้าชาวป่า โดยที่ไม่รู้เรื่องทางสรีระของลิงชนิดนี้อย่างละเอียดออกมาเป็นว่าลิงตัวนี้มี 4 นิ้วจากมือข้างหนึ่ง และอีกข้างหนึ่งมี 5 นิ้วและหางซึ่งเกาะเกี่ยวกิ่งไม้ได้กลับม้วนขึ้นไป แทนที่จะห้อยลงตามธรรมชาติวิสัยของลิงชนิดนี้


    บริเวณทุ่งหญ้า ซึ่งมีนก รูปปลาวาฬว่ายน้ำ และสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆโครงสร้างหลายภาพคล้ายคลึง กับเครื่องปั้นดินเผา ของชาวนาซก้าโบราณดังกล่าว มากมาย ปลาวาฬเคลือบซึ่งสร้างในปลายสมัยคริสตวรรษที่ 3ก็มีรูปคล้ายคลึงกับลายเส้นปลาวาฬซึ่งพบในทะเลทราย ต่างกันตรงที่ลายเส้นปลาวาฬที่พบมีห่วงห้อยไว้ด้วยคงคล้าย เป็นการประกาศความเป็นผู้พิชิต เช่นเดียวกับปลาวาฬเคลือบ ซึ่งสร้างไว้เป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ความเก่งกล้าของผู้พิชิตปลาวาฬ นอกจากนั้นยังมีรูปคนเขียนไว้บนเนินเขา คล้ายคลึงกันกับเครื่องปั้นดินเผาโบราณของอินเดียนแดงนาซก้าที่นี้มาถึงรูปนก ซึ่งสันนิษฐานตอนแรกๆ ว่าอาจเป็นรูปยานอวกาศ อย่างไรก็ดีลักษณะลายเส้นบ่งชัดว่าเป็นรูปนกต่างๆ กันถึง 18 ภาพที่แจ่มชัดเป็นลายเส้นนกฮัมมิ่งเบิร์ด นกเป็นน้ำและนกทะเลซึ่งยาวถึง 450 ฟุต แต่ภาพกลับเขียนไม่เต็มตัว

    [​IMG]
    [/FONT]
    อลัน ซอว์เยอร์ นักประวัติศาสตร์ศิลป์ให้ความเห็นว่า “ เราแน่ใจว่ามันมีความหมาย แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่ามันมีความหมายว่ายังไง เส้นต่างๆ โดยเฉพาะลายเส้นของนกประกอบด้วยเส้นลายเพียงเส้นเดียว ซึ้งไม่มีการลากตัดกันเลย บางทีอาจจะเป็นลายเส้นเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นอาจสันนิษฐานได้ว่าพวกเขาคงยอมรับนับถืออะไรก็ได้ที่ศิลปินเขียนขึ้น เช่นอย่างอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ ยึดถือกัน โดยเขียนภาพขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น “เครื่องหมายเคลือบดินเผาที่มีอยู่หมายถึงที่คล้ายคลึงภาพลายเส้นซึ่งปรากฏในทะเลทราย ส่วนใหญ่จัดได้ว่ายังเป็นงานฝีมือระดับต่ำ แต่ว่างานเหล่านี้บอกถึงความอุดมสมบูรณ์ หลักประกันในเรื่องอาหารและชีวิต
    [​IMG]

    ดร. ซอว์เยอร์กล่าวว่า “ ถ้าจะคิดตามแนวทางความคิดของศิลปินจากงานที่ค้นพบมันก็เป็นการแสดงออกถึงความคิดของผู้แร้นแค้น สะท้อนสภาวะความรู้สึกออกมาจากวิญญาณ “ อีกแนวความคิดหนึ่งที่ได้มาจากภาพลายเส้นแมงมุมที่มีความยาวถึง 150 ฟุต ที่ถ่ายภาพไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1963 เปรียบเทียบกับภาพถ่ายลายเส้นนี้ในปัจจุบัน คล้ายกับว่าเป็นซากแมงมุมยักษ์ซึ่งนอนตาย และซากของมันค่อยๆ เลือนหายไป ลายเส้นนี้กำลังถูกทำลายในปัจจุบัน จากพายุทรายบ้าง รถจิ๊บของนักท่องเที่ยว รอยย่ำบ้างนาซก้าไลน์ ในไม่ช้าก็เร็วคงจะถูกทำลายไปดังกล่าว มันอาจเป็นสนามยานอวกาศอาจเป็นงานของนักเรขาคณิตผู้บ้าคลั่ง อาจเป็นโครงร่างของระบบชลประทาน อาจเป็นงานศิลป์ของชาวอินเดียนแดง อาจเป็นอะไรก็ได้ด้วยเหตุผลซึ่งสันนิษฐานจากข้อมูลต่างๆ เท่าที่มีอยู่ แต่ความจริงเกี่ยวกับความเป็นมาของมัน คงจะยังเป็นสิ่งประหลาด ที่ท้าทายการพิสูจน์ไปอีกนานเท่านาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2007
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    กำเนิดมนุษย์ In the Origin of Human 5

    [​IMG]
    อากาศยาน ก่อน 5000ปี


    ...จุดประสงค์การสร้างนาซก้าไลน์จะถูกไขกระจ่าง หากพิสูจน์ได้ว่าคนโบราณเคยใช้เครื่องบิน!!!


    ฟังดูเหลวไหลดีใช่ไหมครับ แต่ก็อย่างที่จั่วหัวเอาไว้ สมมุติฐานเรื่องสนามบินโบราณนาซก้าจะสามารถไขได้กระจ่างหมดโดยไม่ต้องพึ่งคินดะอิจิยอดนักสืบ หากเราหาร่องรอยของยานอวกาศที่จะมาเชื่อมเข้ากับที่ราบนาซก้าได้

    ปัญหาก็คือ บริเวณดังกล่าวไม่มีหลักฐานของอากาศยานแม้ซักกระผีกนี่สิครับ แต่ก็นั่นแหละ ใช่ว่าบนโลกอันกว้างใหญ่ของเราใบนี้ จะไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับอากาศยานโบราณเอาเสียเลย ดูจากรูปที่ผมนำมาให้ท่านทัศนาดูนะครับ ว่าใช่หรือใกล้เคียงกับเครื่องบินในปัจจุบันหรือไม่
    [​IMG]
    [​IMG]
    ทั้ง2 ภาพถ่ายจากวิหารของชาวสุเมเรี่ยน/บาบิโลเนียน แสดงตำนานเทพเจ้าพร้อมกับยานของพระองค์ ???
    [​IMG]
    ภาพนี้คือแบบจำลองของเครื่องร่อน แต่กลับถูกขุดพบในปีรามิดอีจิปที่มีอายุกว่า5000ปี ปัจจุบันถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ณ กรุงไคโร มันมีความยาวประมาณ 6 นิ้ว และความยาวปีกวัดได้เจ็ดนิ้วเศษ ทำจากไม้ไซคามอร์ที่มีน้ำหนักเบา มันสามารถร่อนได้จริงๆเป็นระยะทางพอสมควร เมื่อเราร่อนมันด้วยมือ เจ้าแบบจำลองนี้พบได้ในอียิปต์และบางส่วนของอเมริกาใต้ครับ

    มันคือความบังเอิญ? มันเป็นเครื่องประดับ? ผมว่าไม่ใช่หรอก เพราะบางชิ้นที่พบในอเมริกาใต้มีลักษณะของเครื่องเจ็ทปีกสามเหลี่ยมอย่างชัดเจน โมเดลเหล่านี้ถูกค้นพบนานแล้วครับ คือตั้งแต่ปี 1898 แถบซัคคาราของอียิปต์ ประมาณว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นราว 200 ปีก่อน ค.ศ. หรือสองพันกว่าปีมาแล้ว ในช่วงที่ค้นพบมันนั้น เป็นสมัยที่โลกยังไม่รู้จักเครื่องบินเหมือนทุกวันนี้ ดังนั้นโมเดลดังกล่าวจึงถูกผนึกใส่กล่อง แปะสลากเอาไว้ว่า "เครื่องประดับลักษณะคล้ายนก" แล้วก็เก็บมันไว้ใต้ถุนพิพิธภัณฑ์อย่างไม่มีใครแยแส

    Dr. Khalil Messiha เป็นคนแรกที่นำมันมาศึกษาอีกครั้ง เขาสนใจในรูปทรงของโมเดลเหล่านี้เป็นอย่างมาก Dr. Messiha ทำให้รัฐบาลอียิปต์สนใจกับสิ่งที่เขาพบและจัดคณะทำงานเพื่อศึกษาโมเดลเหล่านี้เป็นกรณีพิเศษ ผลที่คณะทำงานแถลงออกมาก็คือ โมเดลที่ซัคคาราเป็นแบบจำลองของเครื่องบินอย่างจริงแท้แน่นอน และเมื่อทดลองสร้างเครื่องเล็กๆตามแบบแปลนของโมเดล วิศกรการบินบอกว่า มันบินได้แน่นอนไม่มีปัญหา ไม่ว่าจะในลักษณะของเครื่องร่อนหรือว่าติดเครื่องยนต์

    ครับ ก็เก็บเป็นการบ้านให้คิดกันเล่นๆละกัน ว่าเมื่อสองพันปีถึงห้าพันปีที่ผ่านมา ในสมัยที่ประวัติศาสตร์บอกกับเราว่ามนุษย์ยังไม่รู้จักพื้นฐานของแอร์โรว์ไดนามิค แต่ดันมีโมเดลของเครื่องบินที่สร้างตามแบบของวิศวกรรมการแบบเด๊ะๆ มันมาจากไหน ชาวอียิปต์โบราณรู้จักมันได้อย่างไร สาเหตุใหญ่ ๆ สุดท้ายก็กลายเป็นปัญหาที่ปล่อยให้คนรุ่นหลังขบไม่แตกต่อไปตามยถากรรมอีกข้อล่ะครับ
    [​IMG]
    อากาศยานแห่งพระเจ้าของชาวภารตะ และ ในพระพุทธศาสนา


    ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว มหาอาณาจักรเก่าแก่ในดินแดนแถบลุ่มน้ำสินธุโบราณ ซึ่งเรียกกันว่า ‘Rama Empire’ ได้เจริญรุ่งเรืองแผ่ขยายอำนาจไปทั่วดินแดนซึ่งปัจจุบันคืออินเดียตอนเหนือและประเทศปากีสถาน ประมาณว่าอาณาจักรนี้มีอายุย้อนหลังไปถึงหนึ่งหมืนห้าพันปี เก่าแก่สูสีกับแอตแลนติสนั่นเลยทีเดียว เพราะในบันทึกของอาณาจักรนี้ มีการกล่าวถึงการทำสงครามกับชนเผ่า Asvin ซึ่งน่าจะหมายถึงชาวแอตแลนติสอยู่ด้วย


    แถมไม่ได้รับกันแบบธรรมดาด้วยนะครับ พวกเขามียานพาหนะที่เรียกกันว่า "วิมานะ" หรือ วิมาน ซึ่งจากคำบรรยาย วิมานะมันก็ยานอวกาศเราดีๆนี่เอง
    สำหรับในพระพุทธศาสนา ก็ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏก ถึงการสร้าง "เรือนยอด" แล้วนิมนต์ให้พระพุทธองค์กับพระสาวกอีก500รูป ขึ้นไปบนยาน(เรือนยอด) แล้วเรือนยอดนั้นก็ลอยขึ้นสู่อากาศ ไปเยี่ยมพระปุณณะ มีกล่าวไว้หลายที่เรื่อง "เรือนยอด"
    จะขอสรุปเอาง่ายๆว่า ดินแดนภารตะหรืออินเดียโบราณนั้น ก็มีเรื่องราวหลักฐานของเครื่องบินอยู่ด้วยเหมือนกัน แถมยังมีบันทึกของการใช้อาวุธแบบอะตอมมิคบอมบ์เสียอีกด้วย ในเรื่อง "มหาภารตยุทธ" เรียกว่ารบกันด้วยแสงเลเซ่อร์ ว่าไปนู่น.... ไว้มีโอกาสจะเอามาเขียนให้อ่านกันทั้งสองเรื่องเนี่ยะ แปะไว้ก่อนละกันนะ !
     
  3. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ลองมองดูลักษณะของกระโหลกแล้วนึกถึงภาพทรงผมหรือหมวกของชาวอียิปต์ที่มีลักษณะยาวเป็นโคนดูสิครับ รับกับกระโหลกเหล่านี้เป๊ะๆ
    [​IMG]
    ภาพที่ 1

    [​IMG]
    ภาพที่ 2 จากหุบเขากษัตริย์ในอีจิปต์
    [​IMG]


    เป็นหัวกระโหลกของชาวดาวดวงอื่นที่มาสู่โลกในฐานะเทพเจ้าของอียิปต์และจากนั้นก็กลายมาปกครองชาวพื้นเมือง รวมทั้งการถ่ายทอดอารยะธรรมในหลายๆแห่งบนโลก
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    กำเนิดมนุษย์ In the Origin of Human 6


    [​IMG]
    The Ancient Astronaut นักบินอวกาศยุคโบราณ II.



    นอกจากภาพวาดแล้ว นักโบราณคดียังพบความน่าทึ่งเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณอีกมากมาย ยิ่งมีการศึกษาอารยธรรมของกลุ่มชนที่เจริญผิดยุคในสมัยก่อนมากขึ้นเท่าไหร่ วงการโบราณคดีก็ยิ่งได้ตระหนักถึงความสามารถของมนุษย์สมัยก่อนมากขึ้นเท่านั้น ใครเล่าจะคาดคิดว่า เมื่อหกพันปีก่อนชาวสุเมเรี่ยนรู้ว่าโลกใบนี้กลมดิกแถใยังรู้ลึกซึ้งเข้าไปอีกว่า ระบบสุริยะของเรามีดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 12 ดวง (พวกเขานับดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์รวมเข้าไปอีก) ถึงอย่างนั้นถ้าไม่นับดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ที่ชาวสุเมเรี่ยนรู้จักก็ยังมากกว่าที่ปัจจุบันทราบกันอยู่ 1 ดวง เมื่อหกพันปีก่อนพวกเขารู้จักดาวยูเรนัส เนปจูน พลูโต ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เพิ่งใช้กล่องดูดาวตรวจพบเมื่อหลังศตวรรษที่ 18 นี้เท่านั้นเอง


    นักวิชาการของโลกยุคปัจจุบันส่วนใหญ่ จะสอนลูกศิษย์ลูกหา ให้มีทัศน์วิสัยที่ชี้นำแนวทางการมองบรรพชนของเราว่าป่าเถื่อนล้าหลัง งมงายในไสยศาสตร์ ซึ่งเป็นการสร้างพันธุกรรมด้านการทำลายข้อมูลประวัติศาสตร์โลกอย่างไม่น่าให้อภัย !

    จำได้ไหมครับว่า เมื่อปี 1543 นิโคลัส คอปเปอร์นิคัส เป็นคนแรกที่แย้งว่าโลกมิได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล แต่ก็ไม่มีใครเชื่อแถมโดนศาสนจักรหมายหัวเอาอีก จนกระทั่งปี 1610 ที่กาลิเลโอสร้างกล้องดูดาวได้สำเร็จนั่นแหละ โลกถึงได้ประจักษ์ความจริงข้อนี้ ทั้งๆที่ชาวสุเมเรียนรู้ก่อนหน้านี้มาหลายพันปี นี่ยังไม่นับชาวอียิปต์ที่รู้ว่าโลกกลมและหมุนรอบดวงอาทิตย์อีกด้วยนะ
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]
    ปี 1659 คริสเตียน ฮิวเกนส์ ค้นพบว่าดาวเสาร์มีวงแหวนล้อมรอบ ในขณะที่จากรึกแผ่นดินเหนียวของชาวสุเมเรียนเขียนภาพนี้เอาไว้อย่างชัดเจนเลย ลองมาดูแถบอาฟริกากันดูบ้าง คนป่าผิวดำเผ่าโดกอน ซึ่งอาศัยอยู่แถบละแวกถ้ำเมืองบันเดียการา ห่างจากทิมปักตูไปทางใต้ประมาณสามร้อยกิโลเมตร เป็นคนป่าที่แสนจะยากจนและมีมาตรฐานการดำรงชีวิตต่ำ แต่เชื่อไหมครับว่า พวกเขามีความรู้เกี่ยวกับด้านดาราศาสตร์อย่างลึกซึ้ง โดยสามารถบอกได้ว่ามีดาวเล็กๆดวงหนึ่งโคจรรอบดาวซิริอุส-เอ ใช้เวลารอบละห้าสิบปี ปัจจุบันเรารู้จักดาวดวงนี้ในนามของดาวซิริอุส-บี ดาวดวงนี้ไม่มีทางจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าหรือกล้องโทรทัศน์ทั่วไป เพราะมันอยู่ห่างไกลไปจากโลกถึง 8.7 ปีแสง และเราเพิ่งถ่ายภาพดาวดวงนี้ได้ในปี 1970 ก็เมื่อเร็วๆนี้นี่เอง แล้วชาวโดกอนเมื่อหลายร้อยปีก่อนทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร?

    ชาวโดกอนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ พวกเขาถ่ยายทอดเรื่องราวเหล่านี้แบบปากต่อปาก ตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษและพูดล่วงหน้าว่า ยังมีดาวเหลืออยู่ในกลุ่มนี้อีกดวงหนึ่งโคจรอยู่ทางมุมขวาของดาวซิริอุส-บี ตอนนั้น นักดาราศาสตร์ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนกระทั่งเมื่อปี 1995 (ไม่กี่ปีนี้อีกนั่นแหละ) ก็เจอดาวดวงที่สามหรือซิริอุส-ซี ตรงตามที่ชาวโดกอนบอกเอาไว้จริงๆ โดยอยู่ห่างไกลจากโลกออกไป 325 ปีแสง (เอา 5,880,000,000,000 คูณเข้าไปนะครับ มีหน่วยเป็นไมล์) ความรู้เกี่ยวกับกลุ่มดาวซิริอุสทั้งหมด ชาวโดกอนเปิดเผยว่าจดจำมาจากพระเจ้าผู้ลงมาจากห้วงอวกาศแห่งระบบดาวซิริอุส ซึ่งมีลักษณะของคนผสมปลา อาศัยอยู่ใต้บาดาลเรียกว่า Nommos


    แม้ในปัจจุบัน พวกเขาก็ยังฉลองกันเพื่อระลึกการมาเยือนของ Nommos ในทุกๆ 60 ปี ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นระยะเวลาที่ดาวแม่ของพระเจ้าของพวกเขาโคจรครบหนึ่งรอบ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่ ครับ)


    เรื่องของมนุษย์มัจฉาผู้ถ่ายทอดวิทยาการให้แก่โลก ยังไปปรากฏอยู่ในตำนานของชนชาติอื่นที่เก่าแก่ เช่น บาบิโลเนีย ว่าทุกเช้าจะขึ้นมาจากน้ำเพื่อสั่งสอนความรู้ให้กับมนุษย์ เช่น กสิกรรม คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ ระเบียบของสังคม ก่อนจะกลับลงสู่ทะเลในตอนเย็น ชาวบาบิโลเนียเทิดทูนพวกเขาเสมือนพระเจ้า และเรียกว่า Oannes ซึ่งไปตรงกับภาษาของชาวมายาในคำว่า Oaana อันหมายถึง "คนที่อาศัยอยู่ในน้ำ"

    [​IMG]
    ในประเทศญี่ปุ่น นักโบราณคดีขุดพบตุ๊กตาอายุหมื่นกว่าปี เรียกกันตามภาษาญี่ปุ่นว่าโดกุ สวมเสื้อผ้าเหมือนนักบินอวกาศมากแถมยังเกี่ยวข้องกับมนุษย์ที่อยู่ในน้ำด้วยสิ


    โลกที่เราอาศัยอยู่นี้มีอายุประมาณ 4.5 พันล้านปี แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพิ่งวิวัฒนาการขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ 25 ล้านปีก่อน จากซากฟอสซิลที่ขุดพบในอาฟริกา ทำให้เชื่อว่าบรรพบุรุษของตระกูลลิง Ape ได้เกิดขึ้นเมื่อ 13 ล้านปีก่อน และต่อมาอีก 3 ล้านปี จึงได้วิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์สายพันธุ์แรกหรือ Homo อย่างแท้จริง


    ขอสรุปวิวัฒนาการของสายพันธุ์มนุษย์แบบย่อๆให้ฟังอีกครั้งหนึ่งนะครับ เมื่อสองล้านปีก่อน มนุษย์ดึกดำบรรพ์พวกแรกที่มีโครงสร้างกระโหลกและกระดูกคล้ายกับมนุษย์ปัจจุบันมากที่สุดแรกว่า แอดวานซ์ ออสตรัลโลพิทธิคัส เริ่มปรากฏในทวีอาฟริกา และต้องใช้เวลาอีกหลายล้านปีทีเดียว กว่าที่พวกเขาจะวิวัฒน์มาเป็นสายพันธุ์โฮโม อิเร็คตัส มนุษย์พวกแรกที่เริ่มมีภาษาใช้ในการสื่อสาร รู้จักใช้ไฟ และหินเป็นเครื่องมือในการล่าสัตว์ มีมันสมองที่โตขึ้นกว่าเดิมอีก 100 เปอร์เซ็นต์ และอีกเก้าแสนปีต่อมา พวกเขากลายเป็นมนุษย์นีแอนเดอร์ธัล (เรียกตามแหล่งที่ขุดพบครั้งแรกในประเทศเยอรมัน) มนุษย์พวกนี้จัดเป็นพวกแรกที่น่าจะเป็นวิวัฒนาการสายเดียวกับมนุษย์ปัจจุบัน และเป็นบรรพบุรุษสายตรงของมนุษย์ ที่รู้จักงานศิลปะ เชื่อถือในเรื่องไสยศาสตร์


    วิวัฒนาการทางสมองของมนุษย์เป็นไปอย่างเชื่องช้ามาก บรรพบุรุษของเราทำไมใช้เวลาร่วมๆสองล้านปีพัฒนาตัวเองจากสายพันธุ์แอดวานซ์ ออสตรัลโลพิทธิคัส สู่สายพันธุ์นีแอนเดอร์ธัล โดยใช้เครื่องมือหินที่มีลักษณะไม่ต่างกันเลย แต่แล้วจู่ๆเมื่อประมาณสองแสนสี่หมื่อนกว่าปีก่อน มนุษย์สายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อโฮโม เซเปี้ยน ก็ดันปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่รู้รากเหง้า เพราะไม่ได้วิวัฒนาการมาจากมนุษย์ยุคหิน มันวมองใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีกครึ่งหนึ่ง รู้จักเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ไม่เดินโทงเทงเปล่าเปลือยเพราะรู้จักใช้หนังสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่ม และรู้จักการมีสังคมอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน

    ทำไมครับ? ทำไม...

    ทำไมมนุษย์ใช้เวลายาวนานร่วมสองล้านปีเพื่อพัฒนาเครื่องมือหินไปสู่วัสดุอื่น แต่ไม่ต้องใช้เวลาเป็นล้านๆปีเพื่อเรียนรู้วิทยาการที่ยุ่งยากซับซ้อนกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการก่อสร้าง การคำนวณ การดูดาว การเกษตร ฯลฯ เพราะมนุษย์กลับพัฒนาตัวเองได้เร็วเหลือเชื่อ จากเกวียนเทียมวัวอันเชื่องช้า สู่จรวดความเร็วสูง จากบูมเมอแรงสู่ดาวเทียมที่โคจรอยู่รอบวงโคจรโลก การเปลี่ยนแปลงจากมนุษย์ถ้ำไปสู่มนุษย์อวกาศทั้งหมดนี้บรรพบุรุษของเราใช้เวลาเพียง 35,000 ปี ที่มากระจุกตัวกันอยู่ในช่วงหลังนี้เอง


    ดังนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่า มนุษย์เราอาจจะได้รับการถ่ายทอด เปลี่ยนแปลง ทางเทคโนโลยีเฉกเช่นมนุษย์มัจฉาซึ่งมีอารยธรรมสูงกว่า ?


    นาย Zecharia Sitchin ซึ่งนับเป็นนักวิชาการหนึ่งในไม่กี่คนของโลกที่สามารถอ่านอักษรลิ่มของภาษาสุเมเรี่ยนได้ เขาใช้เวลากว่าสามสิบปีศึกษาแผ่นจารึกสุเมเรียนร่วมสองพันแผ่น จนค้นพบกุญแจไขปริศนาสู่ดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า Nibiru หรือ Marduk ในภาษาบาบิโลเนียน โดยสรุปการค้นคว้าของเขาว่า เมื่อครึ่งล้านปีก่อนมนุษย์จากดาวเคราะห์ดวงนี้ได้เดินทางมายังโลก และถ่ายทอดวิทยาการต่างๆให้กับมนุษย์จนมีอารยธรรมเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ชนิดชาวสุเมเรียนเรียกว่า "ของขวัญจากพระเจ้า" รวมทั้งได้แต่งงานกับผู้หญิงสายพันธุ์โฮโม อิเร็คตัส ก่อนแพร่ลูกแตกหลาน จนเป็นมนุษย์โฮโม เซเปียน อย่างทุกวันนี้ อ้อ.. ชาวสุเมเรียนเรียกพระเจ้าของพวกเขาว่า Anunnaki ครับ

    [​IMG]
    [ พระเจ้าของชาวมายา ดูดีๆนะครับว่าพระองค์กำลังทำอะไร ขับยานอวกาศ? ]
    [​IMG]
    [ ภาพวาดก่อนประวัติศาสตร์ในถ้ำแถบคิมเบอร์ลี่ ออสเตรเลีย ชื่อรูปคือวอร์จิน่า เทพเจ้าไร้ปาก เป็นรูปวาดของชนเผ่าที่เก่าแก่กว่าชาวอะบอริจินส์มาก ]
    พระคัมภีร์ไบเบิลเองก็พูดถึงเรื่องนี้ ว่าบุตรแห่งพระเจ้าได้แต่งงานอยู่กินกับสาวชาวโลก ในภาษาฮิบรูว์เรียกว่า Nefilim ซึ่งมีความหมายตรงกันกับคำว่า Anunnaki อย่างน่าตกใจว่า "ผู้มาเยือนจากเบื้องบน" เมื่อศตวรรษก่อนมนุษย์ยังไม่รู้ว่ามีดาวพลูโต(มารู้จักเอาปี 1930 นี้เอง) และน่าเซอร์ไพรส์มากครับ ปัจจุบันเราได้เค้าลางมาแล้วว่ามีดาวที่มีขนาดใหญ่กว่าโลก 4 เท่า โคจรอยู่ทางท้องฟ้าด้านทิศเหนือ ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส มีชื่อเรียกชั่วคราวว่า Planet X ซึ่งน่าจะปรากฏออกมาให้เราได้ยลโฉมในไม่ช้านี้ หากคำนวณจากวงโคจร
    [​IMG] [​IMG]
    แล้วสองรูปนี้ล่ะครับ เป็นภาพโบราณอายุหมื่นกว่าปีที่เขียนถึงพระเจ้าของพวกเขา เห็นแล้วคิดถึงอะไร?
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]
    [/FONT]
    [/FONT]
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    กำเนิดมนุษย์ In the Origin of Human 7


    [​IMG]
    The Yonaguni Factor รหัสพิศวง ยานากูนิ !!?
    ณ บริเวณชายฝั่งของเกาะเล็กกระจ่อยร่อยในญี่ปุ่นนามว่า โยนากุนิ สิ่งก่อสร้างลักษณะคล้ายปีรามิดยักษ์ ที่ใหญ่กว่าปีรามิดกีซาในอีจิปต์ จมอยู่ใต้น้ำ โดยรอบก็ประกอบด้วยวิหารหินขนาดมหึมาที่แม้ปัจจุบันหลายฝ่ายก็ยังถกเถียง และหาคำอธิบายที่ฟังขึ้นเกี่ยวกับมันไม่ได้ ประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันมากที่สุดก็คือว่า อนุสาวรีย์แห่งโยรากุนินี้ เกิดขึ้นจากธรรมชาติหรือเกิดจากผลงานทางอารยธรรมของมนุษย์ ถ้าเป็นฝีมือมนุษย์ เทคโนโลยีขนาดไหนถึงจะรังสรรค์มันออกมาให้เกิดขึ้นได้ในรูปลักษณ์ที่โอ่อ่าอลังการเช่นนี้ หากเกิดจากธรรมชาติ คำอธิบายเกี่ยวกับเหลี่ยมมุมและแนวกำแพงที่ตรงแหนวแม่นยำราวกับเกิดจากการวัดคำนวณของวิศวกรมือเอกนี่เล่า จะอธิบายอย่างไร?


    บรรดานักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ที่ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้ต่างพากันลงความเห็นว่า อนุสาวรีย์ยักษ์นี้เกิดขึ้นจากฝีมือของมนุษย์ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ อนุสาวรีย์หินที่โยนากุนิก็นับเป็นการค้นพบทางโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบศตวรรษ โดยเฉพาะในประเด็นของโบราณสถานใต้น้ำ แต่ก็นั่นล่ะครับ อายุอานามของอนุสาวรีย์(ขอเรียกแบบนี้ไปก่อนละกัน)แห่งนี้ เท่าที่คำนวณคร่าวๆแล้ว นักวิทยาศาสตร์หลายคนลงความเห็นว่า น่าจะอยู่ในตอนปลายของยุคน้ำแข็ง ซึ่งมันก็หมื่นสองพันกว่าปีมาแล้ว บางท่านว่าน่าจะเก่ากว่านั้นด้วยซ้ำ เอ... ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ยุคใหม่เราย้อนหลังไปไกลขนาดนั้นหรือครับ แถมถ้าเป็นอารยธรรมโบราณก่อนยุคน้ำแข็งจริง สิ่งก่อสร้างนั้นคือผลงานของอารยธรรมใดกัน? สิ่งก่อสร้างมหึมาเหล่านั้นใครเป็นผู้สร้างมันเอาไว้ให้มีขนาดใหญ่โตเกินเหตุ ในยุคโบร่ำโบราณที่อารยธรรมของมนุษย์ยังไม่ก่อกำเนิดแบบนี้
    [​IMG]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed] สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นข้อสรุปที่ดีสำหรับข้อถกเถียงในวงการโบราณคดีที่ว่า อารยธรรมโบราณก่อนหน้าที่มนุษย์จะรู้จักและยังคงเป็นตำนานอยู่นั้นมีจริงหรือไม่ เพราะจากหลักฐานเท่าที่มีในปัจจุบัน อารยธรรมของมนุษย์ที่พอยอมรับได้ว่าเป็นอารยธรรมมันเริ่มก่อตัวขึ้นมาเมื่อประมาณ 6000 ปีก่อนนี้เท่านั้นเอง แต่น่าประหลาดมากครับ อนุสาวรีย์ที่โยนากุนิ มีลักษณะคล้ายหรือใกล้เคียงกับอนุสรณ์สถานต่างๆในอเมริกาใต้เป็นอย่างมาก บางคนถึงกับเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า "ปิระมิดใต้ทะเลแห่งเอเชีย"เลยทีเดียว [/FONT]
    โบราณสถานแห่งนี้ อาจเป็นคำอธิบายที่ดี สำหรับอารยธรรมต่างๆในแถบอเมริกากลางและใต้ เช่น แอสเท็ค อินคา มายา นาซก้า ได้ว่า เหตุใดชนชาติเหล่านั้นจึงเจริญขึ้นอย่างไม่มีที่ไปที่มา และรังสรรค์งานสะท้านโลกออกมาให้มนุษย์ยุคใหม่อย่างพวกเราได้พิศวงกันจนถึงทุกวันนี้ ทฤษฎีที่เสนอแนะว่า บรรพบุรุษหรือผู้รอดตายจากแถบโยนากุนิ ได้เดินทางข้ามมหาสมุทรไปสู่โลกใหม่นั้น สร้างความเกรียวกราวในวงการอยู่พอสมควร มีหลักฐานจากสิ่งก่อสร้างใต้น้ำมายืนยัน ว่ามันเป็นลักษณะและไสตล์ที่เหมือนกันราวกับแหล่งเดียว แต่ว่า.. ยังมีแต่อยู่นิดนึงครับ
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]<hr>

    ปริศนาที่ยังไม่คลี่คลาย


    ขอย้อนอดีตไปยังปี ค.ศ. 1985 ที่โยนากุนิ อันเป็นดินแดนที่อยู่ค่อนไปทางนะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น ใกล้ๆกับหมู่เกาะริวกิว โยนากุนิเป็นสถานที่ที่เลื่องชื่อในเรื่องของแหล่งท่องเที่ยว อาทิ เป็นที่อยู่ของตัวมอธพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีแนวปะการังที่สวยงาม และธุรกิจสอนประดาน้ำกับการดำชมปะการังก็กำลังเฟื่องฟูในตอนนั้น แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมายให้ความสนใจไปพักผ่อนกัน นอกจากนักท่องเที่ยวแล้ว นักวิทยาศาสตร์และนักชีววิทยาทางทะเลจำนวนไม่น้อย ก็แห่กันไปที่นั่น เพื่อศึกษาพฤติกรรมของฉลามหัวฆ้อน อันมีอยู่อย่างชุกชมและถือเป็นแหล่งที่อยู่ของฉลามหัวฆ้อนแหล่งใหญ่อีกแหล่งของโลกเลยครับ


    ... ท่ามกลางความคึกคักของแถบนี้ ยังไม่มีใครรู้เลยว่า ไกลออกไปจากชายฝั่งไม่กี่อึดใจ โยนากุนิ ได้ซ่อนเอาโบราณสถานใต้น้ำขนาดมหึมาเอาไว้โดยไม่มีใครทราบมาก่อน


    บุคคลแรกที่ค้นพบโบราณสถานใต้น้ำแห่งโยนากุนิ เป็นนักประดาน้ำท้องถิ่นชื่อ คิฮาชิโระ อาระทาเกะ เขาเป็นครูาอนประดาน้ำรวมทั้งเจ้าของกิจการโรงแรมเล็กๆที่มีรายได้ไม่เลวเหมือนกัน จกาปากคำของอาระทาเกะ เขาพบโบราณสถานแห่งนี้ในฤดูใบไม้ผลิของปี 1985 ในวันที่ลมสงบและทะเลไร้คลื่น ใช่แล้วครับ บรรยากาศแบบนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง และดูเหมือนเป็นใจให้กับการประดาน้ำอย่างที่สุด อาระทาเกะตัดสินใจที่จะไปดำน้ำสำรวจชายฝั่งด้วยความตั้งใจสองประการคือ หนึ่ง ดำไปตามกิจวัติประจำวันของเขา และสอง สำรวจหาแหล่งประดาน้ำและแนวปะการังใหม่ เพื่อต้อนรับลูกค้าของเขานั่นเอง


    เรือของอาระทาเกะเดินทางออกมาทางตอนใต้ของชายฝั่ง และเมื่อถึงจุดที่ต้องการ อาระทาเกะก็กระโจนผลุงลงไปอย่างไม่รอช้า นักประดาน้ำหนุ่มก็ต้องอ้าปากค้างกับสิ่งที่เขาได้พบ ใครล่ะครับจะคาดดิดว่า บริเวณชายฝั่งของที่ที่ครึกครื้นอย่างโยนากุนิ จะซุกซ่อนเอาโบราณสถานขนาดมหึมาที่ยังไม่มีใครค้นพบเอาไว้ แถมยังอยู่ใกล้กับชายฝั่งชนิดจ่อคอหอย ใกล้กันเหมือนตากับคิ้วว่างั้นเหอะ

    [​IMG]
    สิ่งที่อาระทาเกะค้นพบนั้นคือปีรามิดครับ และมีสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ที่คล้ายกับวิหาร มีความยาวมากกว่า 300 ฟุต สูง 75 ฟุต และกว้าง 100 ฟุต นับว่าใหญ่โตเอาเรื่องเลยทีเดียว หลังจากว่ายน้ำวนเวียนสำรวจอยู่ครู่ใหญ่ อาระทาเกะก็ยิ่งทึ่งในโบราณสถานใต้น้ำแห่งนี้หนักเข้าไปอีก มันมีเหลี่ยมคูที่เที่ยงตรงเหมาะเหม็ง การตัดเส้น แนวกำแพงที่ตรงแหน๋ว รวมทั้งบริเวณที่มีลักษณะคล้ายกับระเบียงวิหาร เขาเก็บภาพอีกชุดหนึ่ง แล้วจึงกลับขึ้นเรือของเขาเพื่อที่จะแจ้งข่าวใหญ่นี้ให้คนอื่นในญี่ปุ่นได้ทราบกัน


    อีกไม่กี่เดือนถัดมา นักวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดี และผู้สนใจก็แห่กันมาที่โยนากุนิให้ควั่ก มีการตั้งไซต์ขุดค้นทางโบราณคดีเพิ่มเติม โดยกระจายวงค้นหาไปทั่วบริเวณนับตั้งแต่ชายฝั่งของโอกินาวาไปจนถึงบริเวณหมู่เกาะริวกิว มีการค้นพบวิหารโบราณเพิ่มเติมจากเดิมเหมือนกันครับ บรรดานักสำรวจต่างก็งในความโอ่อ่าใหญ่โตของมัน แต่ก็ยังมีลักษณะแปลกๆของวิหารเหล่านี้อยู่ นั่นคือมันใหญ่โตเกินไปที่จะมาจากฝีมือของมนุษย์ หลายคนเสนอว่า โบราณสถานเหล่านี้ไม่น่าจะใช่โบราณสถานอย่างที่คิด มันอาจจะเป็นผลงานของธรรมชาติอันเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ที่บังเอิญรูปร่างรูปทรงของมัน ดันมาคล้ายวิหารหรือโบราณสถานโบราณให้คนที่ได้พบเห็นแตกตื่นเล่นเท่านั้นเอง ก็แล้วแต่จะว่ากันไปล่ะครับ


    [​IMG]
    ข่าวคราวของโบราณสถานใต้น้ำโด่งดังจนลอยไปเข้าหูของนักสำรวจชาวตะวันตก หลายคนมีความหวังเกี่ยวกับแอตแลนติสตะวันออกขึ้นมา ภายใต้การสำรวจที่เต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรค พวกเขามีข้อสรุปหลายอย่างที่น่าสนใจออกมาครับ ซึ่งผมจะเก็บความเอามาเล่าในตอนต่อๆไป ตอนนี้ก็ดูรูปไปพลางๆก่อนนะครับ พิจารณาด้วยสายตาของท่านเองว่า โบราณสถานเหล่านี้ เป็นฝีมือของธรรมชาติหรือเกิดจากอารยธรรมโบราณที่เรายังไม่รู้จักกันแน่
    [​IMG]
    อย่างไรก็ตาม หนึ่งในทีมงานสำรวจ Professor Masaaki Kimura แห่งมหาวิทยาลัยริวกิวได้ลงความเห็นว่า โบราณสถานเหล่านี้ น่าจะเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของมนุษย์มากกว่า เขาเชื่อมโยงลักษณะของโบราณสถานเข้ากับบรรดาปราสาทหิน และสุสานโบราณบนหมู่เกาะน้อยใหญ่ในบริเวณใกล้เคียง และชี้ว่ามันเป็นสถาปัตยกรรมที่ใกล้เคียงกันมาก โถ.. แม้แต่หลักฐานที่หลงเหลือบนเกาะ ก็ยังไม่มีใครทราบเลยครับว่ามันมาจากไหน ต่อให้รู้ว่ามันมาจากแหล่งเดียวกัน คำตอบที่วงการวิทยาศาสตร์และโบราณคดีต้องการก็ยังไม่กระจ่างแจ้งอยู่ดีแหละน่า
    [​IMG]
    แม้ Professor Masaaki Kimura จะลงความเห็นว่า ปีรามิด และโบราณสถานแห่งโยนากุนิจะเกิดขึ้นจากฝีมือของมนุษย์ แต่นักวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดีหัวเก่ากลุ่มอื่นในญี่ปุ่นไม่เห็นด้วยกับเขาอย่างสิ้นเชิง เพราะมันไปค้านกับวิชาโบราณคดีที่พวกเขาได้เรียนมาว่าปีรามิดเก่าที่สุดจะต้องอยู่ในอีจิปต์เท่านั้น (จัดเป็นความคิดประเภท "กบ") นี่ถ้าเป็นเมืองไทยต้องให้อ่านโคลงโลกนิติบทที่ว่า
    รู้น้อยว่ารู้มาก เริงใจ
    กลกบเกิดอยู่ใน สระจ้อย
    ห่อนรู้ทะเลไกล กลางสมุทร
    คิดว่าน้ำบ่อน้อย เลิศล้ำลึกเหลือ ฯ
    เพราะว่าทฤษฏี หรือ สิ่งที่เราได้รับรู้รับเรียน ก็เป็นเพียงสาระที่เอามาจากข้อมูลที่หาได้ในช่วงเวลานั้น ๆ เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป การค้นคว้าขุดค้นย่อมพบหลักฐานชิ้นใหม่ ๆ ก็ต้องโละทิ้งทฤษฏีเก่า ๆ แต่อย่างว่าละครับ พวกนักวิชาการยอมไม่ได้เรื่องเสียหน้า เพราะอาชีพหลักคือขายหนังสือ รับจ้างเขียนวิทยานิพนธ์ พอขุดค้นพบสิ่งที่ทำให้ตัวเองพลาดไปในการวิเคราะห์ ก็ออกมาคัดค้าน เป็นเรื่องปกติ

    [/FONT]
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ‘อะไมเลส’ เอนไซม์ที่ทำให้มนุษย์ครองโลก

    สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘มนุษย์’ สามารถครองโลกได้อย่างไรกัน เหตุใดอดัมและอีฟจึงสามารถอยู่รอดได้ท่ามกลางธรรมชาติมหัศจรรย์ รายงานข่าวล่าสุดนี้อาจทำให้คุณประหลาดใจเลยล่ะครับหากผมจะบอกต่อว่า ‘การยึดครองโลกโดยมนุษย์อยู่ใกล้ตัวแค่ในกระพุ้งแก้มนี่เอง’
    Science Daily- วารสาร Nature Genetics ฉบับวันที่ 9 ก.ย. รายงานว่าการยึดครองโลกของมนุษย์เริ่มต้นจากกระพุ้งแก้ม
    ซึ่งหมายความว่ามนุษย์ได้สืบทอดยีนควบคุมเอนไซม์อะไมเลส
    จากการศึกษาได้พบว่ายีนควบคุมเอนไซม์อะไมเลสในมนุษย์มีจำนวนชุดมากกว่าในเอป (APE-ญาติของพวกเรา) และมนุษย์ได้ใช้ประโยชน์จากยีนนั้นในการหลั่งเอนไซม์อะไมเลสในปากมาย่อยแป้ง การค้นพบนี้นำไปสู่แนวคิดที่ว่าแป้งจะต้องเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ยุคแรกอย่างแน่นอน และธรรมชาติก็ช่วยคัดสรรมนุษย์ที่สามารถผลิตเอนไซม์ตัวนี้ให้อยู่รอดต่อไปได้จนสืบมาถึงทุกวันน
    ี้ตามกฎแห่งการคัดเลือกตามธรรมชาติครับ
    ผศ.Nathaniel Dominy นักมนุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอเนียร์ ซานตาครูซ หนึ่งในผู้วิจัย กล่าวว่า “การดูวิวัฒนาการสิ่งมีชีวิตอาจดูได้จากจำนวนชุดยีนพิเศษในสปีชีส์นั้นว่าต่างจากสปีชีส์ใกล้เคียงอย่างไร มียีนมากกว่าก็หมายความว่าผลิตโปรตีนได้มากกว่า” แล้วเหตุใดจึงต้องรอให้ยีนกลายพันธุ์ก่อนจึงจะวิวัฒนาการซึ่งต้องใช้เวลานานโข ธรรมชาติและเวลาไม่เคยรอใครครับ การคัดเลือกโดยธรรมชาติจึงเกิดขึ้นคือใครอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ตายไป อย่าเพิ่งเห็นว่าธรรมชาติทารุณนะครับคิดในแง่ดีธรรมชาติเค้าคัดผู้มีจำนวนชุดยีนพิเศษมากกว่าให้อยู่รอดได้ จนเป็นพวกเราที่วิวัฒนาการจนเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทุกวันนี้ ไม่งั้นเราคงต้องเกิดมาพร้อมกับความทุกข์ทรมานเนื่องจากอะไร ๆ ก็ไม่พร้อม
    Dominy อธิบายว่าไพรเมทชนิดอื่นกินผลไม้สุกเป็นอาหารซึ่งมีแป้งน้อยมาก แต่มนุษย์สามารถกินแป้งซึ่งให้แคลอรีสูงกว่าได้เป็นการหล่อเลี้ยงสมอง
    ของพวกเราให้ใหญ่และเปิดหนทางหากินใหม่ ๆ จนในที่สุดมนุษย์ก็ครอบครองโลก
    นักวิจัยได้เก็บตัวอย่างน้ำลายจากชาวยุโรป-อเมริกัน 50 คนพบว่ามีชุดยีนควบคุมอะไมเลสถึง 15 ชุด ในขณะที่น้ำลายจากชิมแปนซี 15 ตัวกลับมียีนนี้เพียงแค่ 2 ชุด แสดงว่าน้ำลายจากมนุษย์มีเอนไซม์อะไมเลสเข้มข้นกว่า
    หลังจากนั้นนักวิจัยได้ทดสอบมนุษย์ที่มีโภชนาการต่างกันพบว่าการบริโภคอาหาร
    ที่ต่างกันของแต่ละกลุ่มส่งผลต่อค่าเฉลี่ยการผลิตเอนไซม์ที่ได้ในแต่ละกลุ่มเช่น ชาว Yakut แห่งอาร์คติก มีวัฒนธรรมการกินอาหารจำพวกปลา พบว่ามีจำนวนชุดยีนน้อยกว่าชาวจีนที่กินแป้ง เช่น ข้าว เป็นอาหารหลัก ผลการศึกษาในกลุ่มอื่นก็คล้ายกันครับในชาวแทนซาเนียกลุ่ม Datog ผู้มีอาชีพทำปศุสัตว์เป็นหลัก กับกลุ่ม Hadza ผู้เก็บหัวพืชใต้ดินกับรากไม้เป็นหลัก
    Dominy อธิบายว่า แม้ว่าทั้งสองเผ่าจะมีพันธุกรรมคล้ายคลึงกันและอาศัยในภูมิประเทศใกล้กัน แต่จำนวนชุดยีนสั่งการเอนไซม์อะไมเลสกลับแตกต่างกันมาก ดังนั้นจึงทำให้คิดว่าสายพันธุ์และภูมิประเทศที่ใกล้เคียงกันไม่น่าจะมีผลเท่ากับภาวะโภชนาการ
    Dominy กล่าวว่างานนี้อาจเรียกว่าเป็นการค้นพบกำเนิดมนุษย์จากเรื่องในปากก็ว่าได้ นักมนุษยวิทยาหยุดชะงักกับคำถามที่ว่าเหตุใดเราจึงมีสมองและขนาดร่างกายใหญ่
    ในขณะที่เอปแทบไม่เปลี่ยนแปลงมานานแสนนาน
    ที่จริงแล้วมนุษย์ยุคแรกก็แค่มีแหล่งอาหารที่ดีกว่าทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้
    เป็นความลับของนักมานุษยวิทยารุ่นเก๋าเลยนะครับ เอ...แล้วสมองของเราแตกต่างจากเอปขนาดนี้ได้อย่างไรต้องใช้พลังงานไม่น้อยเลย แล้วเหตุใดเราจึงกลายสัตว์สองเท้าที่มีศักยภาพมากที่สุด…
    คำตอบนั้นมีมานานแล้วครับรุ่นเก่าเค้าบอกว่าน่าจะเป็นเพราะการกินเนื้อของมนุษย์ ตั้งแต่ยุคล่าสัตว์ แต่ Dominy ค้านว่าเนื้อก็เป็นเพียงแค่ส่วนประกอบเล็กน้อยในแต่ละมื้อของการล่ายุคใหม่เท่านั้น ที่พิเศษกว่าคือการใช้ภาษาสื่อสารกัน ใช้ตาข่าย ธนูอาบยาพิษ จะเห็นว่าการล่าเนื้อนั้นไม่ได้ง่ายเลย หากเป็นเมื่อ 2 ถึง 4 ล้านปีที่แล้วสัตว์สองเท้าสมองเล็กและโง่เขลาไม่สามารถล่าสัตว์ได้เนื่องจากไม่รู้จักคิด
    นักมานุษยวิทยาบางท่านจึงให้ความเห็นว่าการบุกเบิกนี้อาจเกี่ยวกับการบริโภคแป้งที่เก็บ
    ไว้ในหัวหรือลำต้นใต้ดินพืชมากกว่า ที่รู้จักกันก็พวกแครอท หัวหอม มันฝรั่ง เมื่อมนุษย์ยุคแรกเรียนรู้ที่จะจดจำอาหารประเภทนี้จึงกลายเป็นข้อได้เปรียบเหนือบรรดาเอปทั้งหลาย
    เปรียบได้กับ ‘เหมืองแร่ทองคำ’ ‘สิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือขุด ขุด และขุด’ ทรัพย์ในดินจริง ๆ นะครับ
    พืชมีหัวจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ยุคแรกที่เรารู้จักกันในชื่อ Homo erectus ผู้เรียนรู้การประกอบอาหารโดยใช้ไฟ แนวคิดนี้เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้วนักวิทยาศาสตร์จึงพยายามหาหลักฐานที่จะสนับสนุนหรือจะคัดค้านความคิดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับที่จะพิสูจน์ทฤษฎีการกินเมื่อ 2 ล้านปีที่แล้ว แต่การศึกษาอันสุดแสนจะหลักแหลมของ Dominy และคณะล่าสุดนี้ได้ค้นพบว่าซากสัตว์กินพืชมีหัวและลำต้นใต้ดินให้ค่ากัมมันตรังสี
    เหมือนที่วัดได้ในฟอสซิลมนุษย์ยุคแรก
    การค้นพบนี้แตกต่างออกไปจากที่คาดการณ์กันไว้ โดยคิดว่าแป้งจำเป็นต่อการอยู่รอดของมนุษย์ยุคแรก เมื่อมนุษย์ยุดแรกก่อไฟเพื่อปรุงพืชผักที่มีแป้งเป็นส่วนประกอบย่อมทำให้กินง่ายขึ้น ขณะนั้นนั่นเองจึงก่อให้เกิดยีนอะไมเลสชุดพิเศษที่เพิ่มขึ้นและเป็นเหตุให้เกิดลักษณะที่พัฒนาตามมา
    Dominy กล่าวว่า ‘เราย่างพืชมีหัว กินเฟรนซ์ฟราย และอบมัน หลังจากปรุงเสร็จแล้วเรากินส่วนที่เหลือทั้งหมดเพราะเราย่อยมันได้ สำหรับสัตว์ชนิดอื่นอาหารแบบนี้มีอยู่ทั่วไปแต่กลับกินยากและจำเป็นต้องกินเมื่อหิวกระหายเท่านั้น แต่เราสามารถปรุงและกินเมื่อไรก็ได้ที่เราต้องการ ส่งผลให้เราเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วและครอบครองอาณาเขตในเวลาต่อมา’

    ที่มา http://www.sciencedaily.com/releases/2007/09/070909184006.htm

    [​IMG]
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td align="left" valign="top"><table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td class="headline" align="left" valign="baseline">ยันโครงกระดูก “ฮอบบิต” ในอินโด ฯ เป็นสปีชีส์ใหม่ </td></tr></tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td></tr></tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">14 ตุลาคม 2550 16:32 น.</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td align="center" valign="center">[​IMG]</td></tr></tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td align="center" valign="center">
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td align="right" height="1" valign="bottom" width="1">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/linedot_hori.gif" height="1" valign="bottom">[​IMG]</td> <td align="left" height="1" valign="bottom" width="1">[​IMG]</td></tr> <tr> <td align="center" background="/images/linedot_vert.gif" valign="center" width="1">[​IMG]</td> <td> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5" width="100%"> <tbody> <tr> <td align="center" valign="center">[​IMG]</td></tr></tbody></table></td> <td align="center" background="/images/linedot_vert.gif" valign="center" width="1">[​IMG]</td></tr> <tr> <td align="right" height="1" valign="top" width="1">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/linedot_hori.gif" height="1" valign="top">[​IMG]</td> <td align="left" height="1" valign="top" width="1">[​IMG]</td></tr></tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td class="body" align="center" valign="baseline">ภาพวาดมนุษย์ฮอบบิตที่อาศัยอยู่บนเกาะฟลอเรสในประเทศอินโดนีเซียเมื่อ 18,000 ปีก่อน ได้รับการยืนยันจากนักวิทยาศาสตร์แล้วว่าเป็นมนุษย์สปีชีส์ใหม่จริง</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td align="left" height="12" valign="bottom">[​IMG]</td></tr> <tr> <td bgcolor="#cccccc"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" width="100%"> <tbody> <tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff" valign="top"> <table cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td align="center" valign="top" width="160"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="4" width="100%"> <tbody> <tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td class="body" align="center" valign="baseline">คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</td></tr></tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td align="center" valign="center">[​IMG]</td></tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">ภาพแสดงบริเวณกระดูกข้อมือที่ต่างกันระหว่างบรรพบุรุษมนุษย์ยุคใหม่ (ซ้าย) กับมนุษย์ฮอบบิต (ขวา)</td></tr></tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td align="center" valign="center">[​IMG]</td></tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">เปรียบเทียบขนาดกระดูกข้อมือของฮอบบิตกับมือของมนุษย์ยุคใหม่</td></tr></tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td align="center" height="1" valign="center" width="165">[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td> <td background="/images/linedot_vert3.gif" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellspacing="7" width="100%"> <tbody> <tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">เอพี/เอเอฟพี/เนอเจอร์ – ผลการศึกษาชี้ชัด โครงกระดูกมนุษย์ที่พบในอินโดนีเซียเมื่อหลายปีก่อนเป็นของ “ฮอบบิต” มนุษย์สปีชีส์ใหม่จริง ไม่ใช่ของมนุษย์ที่ป่วยเป็นโรคจนร่างกายแคระแก็นแต่อย่างใด ชี้เคยอยู่ร่วมยุคสมัยเดียวกับบรรพบุรุษของมนุษย์ยุคปัจจุบันมาร่วมล้านปี

    นักบรรพชีวินวิทยาได้บทสรุปของโครงกระดูกมนุษย์โบราณที่พบในถ้ำของประเทศอินโดนีเซียเมื่อปี 2546 แล้ว หลังตรวจสอบโครงสร้างของข้อมือและกะโหลกด้วยภาพ 3 มิติ จากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และได้รายงานลงในวารสารไซน์ (Science) หลักฐานชี้เป็นญาติห่างๆ ของมนุษย์ยุคปัจจุบัน ทั้งยังเป็นสปีชีส์ใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อน มีขนาดตัวเล็ก กะโหลกศีรษะเทียบเท่าลิงชิมแปนซี นักวิทยาศาสตร์เรียก “ฮอบบิต” (Hobbit) ตามอย่างตัวเอกในนิยายแฟนตาซีเรื่องดัง

    แมทธิว โทเชอรี (Matthew Tocheri) จากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (National Museum of Natural History) สถาบันสมิธโซเนียน (Smithsonian Institute) ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา หัวหน้าคณะวิจัย เปิดเผยว่า เมื่อปี 2546 ทีมนักมานุษยวิทยาโบราณของออสเตรเลียและอินโดนีเซียได้พบโครงกระดูกมนุษย์เพศหญิง ขนาดสูงประมาณ 1 เมตร อายุราว 18,000 ปี ในถ้ำเหลียงบัว (Liang Bua) เกาะฟลอเรส (Flores) ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีขนาดเล็กคล้ายกับ “ฮอบบิต” มนุษย์แคระในหนังดัง “เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง” คาดว่ามีลำดับวิวัฒนาการมาจาก “โฮโม อิเรกตัส” (Homo erectus) และในบริเวณเดียวกันยังพบโครงกระดูกของช้างแคระ และมังกรโคโมโดอีกเช่นกัน

    ด้วยขนาดที่เล็กผิดปกติไปจากบรรพบุรุษของมนุษย์ยุคปัจจุบันและไม่เคยพบที่ไหนในโลกมาก่อน จึงเกิดเป็นข้อถกเถียงกันว่าโครงกระดูกที่พบนั้นเป็นมนุษย์โบราณสายพันธุ์ใหม่ หรือเป็นแค่มนุษย์โบราณที่ป่วยและมีความผิดปกติของสมอง ที่เรียกว่า ไมโครเซฟาลิค (microcephalic)

    ต่อจากนั้นนักวิชาการสหรัฐฯ ได้ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สร้างภาพ 3 มิติ ของโครงกระดูกมนุษย์ฮอบบิต พบว่าแตกต่างไปจากมนุษย์ยุคใหม่ (modern human) หรือโฮโม ซาเปียนส์ (Homo sapiens) และมนุษย์นีอันเดอร์ทัล (Neanderthal) โดยมนุษย์ฮอบบิตมีขนาดกะโหลกศีรษะพอๆ กันกับลิงชิมแปนซี

    กระดูกข้อมือก็เป็นอีกแห่งที่พบความต่างอย่างชัดเจน โดยกระดูกข้อมือตรงส่วนที่เรียกว่า แทรปซอยด์ (trapezoid) ของมนุษย์ฮอบบิตมีลักษณะเป็นรูปลิ่ม คล้ายของลิงหรือมนุษย์โบราณในยุคเดียวกัน ขณะที่กระดูกบริเวณเดียวกันของมนุษย์ยุคใหม่ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู

    นักวิทยาศาสตร์จึงได้ข้อสรุปว่าโครงกระดูกมนุษย์ฮอบบิตเป็นมนุษย์สปีชีส์ใหม่ เรียกว่า “โฮโม ฟลอเรไซเอนซิส” (Homo floresiensis) ไม่ใช่โครงกระดูกมนุษย์ที่มีความผิดปกติทางสมองอย่างที่เคยสมมติฐานไว้ในตอนแรก

    นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังพบโครงกระดูกมนุษย์กลุ่มเดียวกันเพิ่มในบริเวณถ้ำเหลียงบัวอีกหลายโครงกระดูก และคาดว่ามนุษย์ฮอบบิตอาศัยในหมู่เกาะแถบอินโดนีเซียและออสเตรเลียมานานหลายแสนปีแล้ว ซึ่งโทเชอรียังบอกอีกด้วยว่า มนุษย์ฮอบบิตกับบรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบันเคยร่วมยุคสมัยกันมามากกว่า 800,000 ปี และฮอบบิตก็อาจอพยพออกจากแอฟริกาตั้งแต่เมื่อ 1.8 ล้านปีก่อนแล้ว

    ด้านแดเนียล ลีเบอร์แมน (Daniel Lieberman) นักชีววิทยาโบราณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) รัฐแมสซาชูเซตต์ ตั้งข้อสังเกตว่า จากหลักฐานการค้นพบมนุษย์ โฮโม อิเรกตัส พบว่าลักษณะกระดูกข้อมือของโฮโม อิเรกตัส มีวิวัฒนาการไปมากกว่าของมนุษย์ฮอบบิต เป็นไปได้ว่ามนุษย์ฮอบบิตมีวิวัฒนาการมาก่อนหน้าโฮโม อิเรกตัส
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ‘สิ่งมีชีวิตเหลว’อนาคตช่วยมนุษย์ชาติ?

    นักวิทยาศาสตร์แถบยุโรปเขากำลังคร่ำเคร่งกับการวิจัยทำเรื่องชีวิตเทียมเหลว บางคนโผล่หน้าออกจากห้องทดลองแล้วพูดด้วยเสียงตะโกนลั่นว่า นี่เป็นเรื่องใหญ่โตมาก และมนุษย์ก็ควรจะรู้เอาไว้ เพราะเรากำลังพูดถึงเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลง”วิถีพื้นฐาน”ของมนุษย์


    เชื่อว่าหากใครเคยดูภาพยนตร์เรื่องA.I (Artificial intelligence) ที่มีเนื้อหาเกื่ยวกับมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยมีชีวิตเทียมเหมือนมนุษย์ ยกเว้นการมีอารมณ์และจิตสำนึก ก็คงจะมีจินตนาการฝังอยู่ใต้จิตสำนึกของคุณๆ ว่า วันหนึ่งมนุษย์เรา ก็คงจะถูกแทนที่ด้วยมนุษย์เทียม ไม่ช้าก็เร็ว เพราะรื่องพรรค์นี้ ยังไง ๆ ก็เลี่ยงไม่ได้แน่ ๆ ในเมื่อเทคโนโยโลยียุคนี้มันไปไม่หยุด-ฉุดไม่หยุด ไปไกลยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์ติดเนท’ไฮสปีด’เสียอีก



    ซึ่งเป็นเรื่องจริงแหละครับ! เพราะจิตสำนึกหรือความเข้าใจของคนเราในเรื่องที่ว่า ชักเขยิบใกล้ความจริงเข้าไปทุกที ๆ โดยเฉพาะการสร้างสิ่งที่เรียกว่า’ชีวิตเหลว”ที่นักวิทยาศาสตร์เขากำลังงุ่นง่วนซุ่มทดลองกับการวิจัยเรื่องนี้แบบเงียบ ๆ อยู่ ซึ่งเป็นการผลิตที่เรียกว่า ”Wet Artificial life” แต่ขออนุญาตบอกก่อนว่า ตัวตนของมันน่ะไม่ใช่ใกล้เคียงกับมนุษย์เท่าไหร่นักหรอกครับ เพราะจริง ๆ ก็คือ ชีวิตเทียมแบบเหลว ๆ หรืออาจจะพอเรียกได้วาเป็นแค่”มนุษยวุ้น”เท่านั้นเอง หากจะมองกันตามภาพบรรยายจริง ๆ



    เรื่องของเรื่องก็คือว่า ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์แถบยุโรปเขากำลังคร่ำเคร่งกับการวิจัยทำเรื่องชีวิตเทียมเหลว ซึ่งผู้สันทัดกรณีบอกว่า เทคโนโลยีที่ว่าคาดว่าจะบรรลุผล ได้แจ้งเกิดแน่ ภายในแค่ 3-10 ปีเท่านั้น ขณะที่นักวิทยาศาสตร์บางคนโผล่หน้าออกจากห้องทดลองแล้วพูดด้วยเสียงตะโกนลั่นว่า นี่เป็นเรื่องใหญ่โตมาก และมนุษย์ก็ควรจะรู้เอาไว้ เพราะเรากำลังพูดถึงเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลง”วิถีพื้นฐาน”ของมนุษย์ ซึ่งจริง ๆ แล้ว มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่คาดเดาเลยด้วยซ้ำ



    ถ้าจะถามว่า แล้ว’สิ่งที่มีชีวิตเหลว’มันคือะไรกันล่ะ นักวิทยาศาสตร์อย่างนายมาร์ค เบเดา หัวหน้าด้านปฎิบัติการแห่งศูนย์ชีวิตต้นแบบ ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ในอิตาลี หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่กำลังเร่งวิจัยเรื่องนี้ชนิดแข่งกับเวลา(ประเภทใครสำเร็จก่อน คนนั้นรวยก่อน?)อาสาเล่าให้ฟังอย่างละเอียดชนิดพอเห็นภาพได้บ้างครับ อรรถาธิบายคร่าว ๆ ก็คือ สิ่งมีชีวิตเหลวก็คือเซลล์ที่สร้างเลี้ยงตัวเอง พัฒนาเซลล์ตัวเองได้ แต่ยังไม่สามารถมีความรู้สึกหรือหัวจิตหัวใจอะไรทั้งนั้น เพราะมันก็ยังเป็นแค่เซลล์เทียม แล้วการสร้างมนุษย์วุ้น หรือเซลล์เทียมดังกล่าวนั้น



    นายเบดาว เขาอธิบายเป็นฉากๆ ว่า ก็เริ่มต้นจากการสร้างเยื้อหุ้มเซลล์ ที่นักวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่าเป็นเหมือนตู้คอนเทนเน่อร์ หรือคลังเซลล์ เพื่อพัฒนาให้เกิดเซลล์ที่มีโมเลกุลหยาบ กระทั่งจะสามารถพัฒนาเป็นโมเลกุลฉลาด ก่อนที่มันจะมีศักยภาพที่จะสามารถขยายตัวเซลล์เหล่านี้ไปได้

    ทีนี้ขั้นตอนที่สองก็คือ การสร้างระบบพันธุกรรม เพื่อควบคุมการทำงานของเซลล์ต่างๆ ทำให้มันสามารถแพร่พันธุ์ และกลายพันธุ์ เพื่อสามารถตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อมได้



    ส่วนขั้นตอนที่สาม ก็คือการสร้างกระบวนการเผาผลาญ หรือการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อ ที่จะสามารถดูดวัตถุดิบจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวมาแปรรูปเป็นอาหารสำหรับตัวเองมัน เพื่อแปลงเป็นพลังงาน!



    ถามว่า’เจ้ามนุษย์วุ้น’ หรือ’เซลล์เหลว’นี่มันจะสำคัญหนักหนาแค่ไหนกัน ชนิดที่นักวิทยาศาสตร์ต้องลงทุนแข่งขันอย่างหนักในขณะนี้



    คำตอบถือว่าต้องอึ้งครับ! เพราะนักวิทยาศาสตร์เขาบอกว่ามันเป็นการเปิดฉากเริ่มต้นการสร้างเซลล์ต้นแบบ ที่มีศักยภาพที่จะสร้างชีวิตใหม่บนที่ไหนก็ได้ในจักรวาล และมันจะสามารถขจัดปริศนาขั้นมูลฐานเกี่ยวกับการการสร้างจักรวาลและบทบาทของมนุษย์ชาติด้วย



    นอกเหนือจากนี้ กระบวนการ”ผลิตชีวิตเหลว”นี่แหละครับ ที่นักวิทยาศาสตร์ มันคือรูปแบบชีวิตที่ถูกสร้างให้เป็นมนุษย์ ที่วันหนึ่งมันจะเสนอทางออกในการขจัดปัญหาต่างๆ ให้แก่ชีวิตมนุษย์ ตั้งแต่กาต่อสู้กับโรคร้าย ไปจนถึงการปิดกั้นสารก่อภาวะเรือนกระจก ไปจนถึงการเขมือบกากพิษ



    เรียกว่าเป็นโครงการของมนุษย์ชาติ เพื่อมนุษย์ชาติโดยแท้ !อะไรประเภทนั้นล่ะครับ



    นายแจ๊ค ซาซอสตัค แห่งฮาร์วาร์ด เมดิคัล สคูล ได้ทำนายว่า ภายในระยะเวลา 4 เดือนนักวิทยาศาสตร์ก็จะ”โชว์ผลงานหลักฐานการสร้างเซลล์ศูนย์กลางสมองของพวกเขาแล้ว ซึ่งแจ๊คบอกว่า ฟัธงได้เลยว่า กระบวนการดังกล่าวไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์กำลังเล่นแร่แปรธาตุกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว!



    นอกจากนี้ เขายังมองการณ์ด้านดีไปถึงขั้นว่า นักวิทยาศาสตร์ จะสามารถเข้าสู่กระบวนการสร้างกลุ่มแผงดีเอ็นเอ เพื่อวางระบบการทำงานของพันธุกรรม โดยเมื่อสามารถสร้างเยื้อหุ้มเซลล์ได้แล้วไซร์ นักวิทยาศาสตร์เขาก็จะนำเอาเจ้าแผงดีเอ็นเอที่ว่านั่นแหละเข้าไปสวม ซึ่งเมื่อกระบวนการดังกล่าวอุบัติขึ้น นักวิทยาศาสตร์(ที่ประสบความสำเร็จ)ก็จะประกาศลั่นว่า ข้าสามารถนำทฤษฎีวิวัฒนาการของ’ชาร์ล ดาร์วิน’มาใช้ในการสร้างมนุษย์เทียม ได้แล้ว



    อย่างไรก็ตาม เมื่อมีฝ่ายชอบ ก็ย่อมต้องมีฝ่ายชัง สตีฟ เบ็นเน่อร์ นักเคมีชีวะแห่งมูลนิธิการวิวัฒนาการโมเลกุลเชิงประยุกต์ ออกโรงมาโจมตีเรื่องนี้ว่า มันจะสร้างปัญหาวุ่นวายติดตามมา โดยเฉพาะประเด็นการแหกกฎพันธุกรรมมนุษย์ เพราะปกติแล้ว ดีเอ็นเอจะประกอบด้วยสี่ฐานที่จับกันเป็นคู่ ๆ แต่ในกรณีนี้ นักวิทยาศาสตร์อย่างแบนเนอร์กลับจะเพิ่มฐานดีเอ็นเอเข้าไปถึง 8 ฐานพันธุกรรม

    ซึ่งแน่นอนว่า นี่เป็นเรื่องขัดต่อหลักจริยธรรมแบบพันเปอร์เซ็นต์ เพราะนายโซสตัคบอกว่า มันเป็นการสร้างสิ่งมีชีวิตเทียมที่’ไม่สามารถควบคุม’ได้ (เหมือนหนังเอเลี่ยนที่ฮอลลีวูดชอบนำมาสร้าง?)



    แต่ถึงตอนนั้นแล้ว นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็บอกว่า บางทีตอนนั้น นักวิทยาศาสตร์ก็อาจจะแก้ปัญหาตรงนั้นแล้วก็ได้ เพราะพวกเขายังมีเวลาอีกนานเหลือเฟือ ที่จะแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น



    เอาเป็นว่า แม้ว่า สิ่งมีชีวิตเทียมที่ว่ายังไม่ถึงขั้นเหมือนหนัง’I robot’ หรือ’A.I’เป็นแค่มนุษย์วุ้น หรือเซลล์เทียมเหลว ที่เราได้เคยเสพชมก็ตาม



    แต่คำถามมีอยู่ว่า นี่เป็นก้าวแรกหรือไม่ ที่มนุษยชาติได้เดินเข้าใกล้ความจริงของการก๊อปปี้ชีวิตเทียมของมนุษย์เองด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเข้าไปทุกขณะ นอกหนือจากการโคลนนิ่งมนุษย์ตัวเป็น ๆ !



    นิติรัตน์ การราวี
     

แชร์หน้านี้

Loading...