เข้าไม่ได้ ...จุกอก หายใจไม่ออก เหมือนจะตาย ช่วยแนะนำกระผมทีครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ถิรวิริโย, 16 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ทำไม เจ้าของกระทู้ ทิ้งครู ตัวเอง ที่ท่าน ได้ กสิณทั้ง 4กองและยังเป็นพระผู้ใหญ่ที่สอนเราโดยตรง

    ควรทำตามที่พระท่านสอน
     
  2. ถิรวิริโย

    ถิรวิริโย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +15
    ไม่ได้ทิ้งครับ ผมทำตามท่านแหละครับ หลวงพ่อท่านเป็นผู้ที่ผมนับถือมากเสมือนพ่อทางธรรมเลยที่เดียว แต่ว่าผมแพ้เพราะติดเวทนาตรงนี้ร่วมๆ 200ครั้งได้แล้ว มันทรมานน่ะครับ อีกอย่างคงเป็นเพราะวิจิกิจฉาของผม เลยต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมจากท่านอื่นๆบ้าง เผื่อว่าผมทำผิดหรือบกพร่องรายละเอียดเรื่องใดไป ผมจะได้แก้ไขตัวเองให้ถูกทาง
    จะว่าไปเหมือนกับว่าเอาดอกเตอร์มาสอนเด็กอนุบาลน่ะครับ หลวงพ่อท่านอยู่สูงเกินไป จะมาสอนเด็กอนุบาลทางธรรมอย่างผมให้ผ่านอารมณ์สมาธิขั้นต้นท่านก็คงมองเป็นเรื่องเล็กมากๆ แต่เรามองมันเป็นปราการด่านสำคัญ มองว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ที่เรายังก้าวไม่ผ่าน ณ จุดนี้ ผมจึงมาลองสอบถามผู้ที่เคยมีประสบการณ์เดียวกัน ดูว่าท่านเหล่านั้นผ่านมาได้ยังไง ซึ่งผมก็ได้ข้อคิดวิธีปฏิบัติจากท่านๆเหล่านั้นดังที่เห็นในกระทู้นี้
    ก็ขอขอบพระคุณทุกท่านที่เมตตาได้เขียนตอบไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
     
  3. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    บางคนปฎิบัติเพราะความอยาก
    ความเป็นจริงแล้วสิ่งหนึ่งหรือส่วนหนึ่งคือ
    ความอยากล่อเรามา

    อยากน้อยๆ
    อยากกลางๆ
    และอยากมากๆ

    รู้สึกอยาก
    อยากเหมือนเขา

    สร้างอุปทานไว้ตั้งมากมาย
    ตามเขา

    ที่แน่ๆอาการเช่นนี้หากเราปล่อยวาง
    ไม่รีบเร่ง
    ไม่อยากรู้อยากเห็น
    ตามลมไปเรื่อยๆ
    ปกติ

    เกิดเห็นเกิดเหตุ
    ปล่อย
    วาง
    ตาม
    ดู

    หากเราไม่มาเพราะความโลภ
    หากเรามาเพราะความอยากแบบเบาๆ
    สิ่งที่เราได้รับคงไม่ใช่เรื่องยากลำบากวิบากมากมาย
    อะไรขนาดนั้นหรือไม่อย่างไร
    หากเราต้องการรู้
    ผ่าวิบากนี้
    เรามีบุญสักครึ่งหนึ่งไหม
    สิ่งที่เราอยากนั้นเราจะละจะวางหรือยัง
    หากยังไม่ละไม่วาง
    ไม่มีทางขอรับ

    หากมั่นใจแน่ใจว่าเราเป็นคนดี
    ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ
    บุญญาพอมี
    และเราเป็นคนดีคนหนึ่ง
    ที่ไหว้ตัวเราเองได้
    ตรงนี้ลุยเลย

    ตายเป็นตาย
    เพราะไม่มีใครขาดใจตายในขณะปฎิบัติ
    นอกจากอยากมากๆแล้วเพี้ยนไปเท่านั้น
    นี่คือผลที่ตรงกันข้ามกับปิติสงบสุขเอกคตารมณ์หรือไม่อย่างไร
    ก็มาทางตรงข้ามกันก็ได้ผลนั้น
    หรือไม่อย่างไรขอรับ

    ลองทำบุญเล็กทำทานน้อยดูสักระยะไหม
    และไม่ลืมบรมครูพุทโธ
    มวยไม่มีครูบาอาจารย์คอยดูแล
    นับลมหายใจไม่เอาพุทโธแล้วจะเอาอะไรขอรับ

    คำภาวนา

    ความจริงหากเก่งมากๆไม่ต้องนับก็ได้
    แต่เราลืมปรมาจารย์ได้อย่างไร

    ว่ายาวเป็นยาว

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้วขอรับ
     
  4. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    คนที่มีความรู้พร้อม สอน ดีกว่า ผู้รู้ไม่พร้อมสอนแน่นอน

    เหมือนผู้ปราถนาธรรม เจอผู้รู้แจ้ง อย่างพระพุทธเจ้าสอนไม่นาน บรรลุธรรม

    สมัยนี้พระพุทธเจ้าไม่อยู่แล้ว
    พระสงฆ์ท่านก็นำคำสอนพระพุทธเจ้ามาสอนแทน

    ฝึกกรรมฐาน เมื่อมั่นคงเลือกแล้ว ต้องไปให้สุดทาง
    ไปไม่สุดทางช่วงมัน แต่ย้ายไปทำอย่างอื่นแทน
    มันก็จะไปกล่าวตู่กรรมฐานครูที่เราฝึก
    ทั้งๆที่ตัวเองไม่จริงจัง ไม่มั่นคง ไม่อดทน ไม่แน่วแน่
    มันก็จะแพ้เรื่อยไป


    อาการจุก บีบอัด ผมก็เคยเป็น ไม่รู้จะเหมือน จขกท หรือเปล่า

    ของผมเป็นจุกๆ ที่ลิ้นปี่ เป็นก้อนเหมือนกลมๆ
    ตอนรู้สึกแรกๆ ยังสงสัยว่า ฝึกสมาธิมันจะเป็นมะเร็งได้ด้วยเหรอ
    จะรู้สึกทั้งเวลาที่นั่งสมาธิ และไม่นั่งสมาธิ
    เริ่มเกิดขึ้นและรู้สึก ช่วงที่เราอัด การอบรมอย่างต่อเนื่อง
    สุดท้ายมันก็ไม่เห็นตาย

    กลับทำให้เข้าใจในเรื่องที่ข้อง และนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้อีกด้วย
     
  5. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คุณได้รับการฝึกสอนมาผิด คุณก็ปฏิบัติแบบผิดๆ อาณาปานสติ แม้จะจัดอยู่ใน หมวด กรรมฐาน แต่ หลักการปฏิบัติ ไม่ได้ปฏิบัติอย่างที่คุณได้รับการสอนมา
    ถ้าคุณจะปฏิบัติสมาธิ คุณก็ต้อง เลือกเอากสิณใดกสิณหนึ่ง ถ้าคุณจะเลือกเอากสิณลม การปฏิบัติ ก็เหมือนอย่างที่คุณกำลังปฏิบัติอยู่ แต่ไม่ใช่เรียกว่า "อาณาปานสติ" เขาเรียกว่า "กสิณลม" ลมไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต้องใดความรู้สึกจากการหายใจ และต้องระลึกไว้เสมอว่า ถ้าคุณปฏิบัติสมาธิ ต้องเรียนรู้ลักษณะงานของระบบการทำงานของร่างกาย ในขณะปฏิบัติสมาธิ ซึ่งในทางพุทธศาสนา เรียกว่า "ฌาน"(ชาน) อ่านให้ดีนะขอรับ พิจารณาให้ดีนะขอรับ อย่าไขว่เขว่ เพ้อเจ้อ
    เมื่อเรียนรู้ ลักษณะงานของระบบการทำงานของร่างกาย ที่ทางพุทธศาสนา เรียกว่า "ฌาน"(ชาน)แล้ว ก็ให้เลือกข้อ กสิณ ใดกสิณหนึ่ง เป็นเครื่องมือในการฝึก ยกเว้นกสิณลมที่ไม่ต้องมีเครื่องมือใดก็ได้ ส่วนกสิณอื่นๆ ควรมีเพราะถ้าไม่มี จะเป็นการสร้างภาพหลอนให้กับระบบสมอง ฯลฯ ช่วยได้เท่านี้ขอรับ
     
  6. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คุณได้รับการฝึกสอนมาผิด คุณก็ปฏิบัติแบบผิดๆ อาณาปานสติ แม้จะจัดอยู่ใน หมวด กรรมฐาน แต่ หลักการปฏิบัติ ไม่ได้ปฏิบัติอย่างที่คุณได้รับการสอนมา
    ถ้าคุณจะปฏิบัติสมาธิ คุณก็ต้อง เลือกเอากสิณใดกสิณหนึ่ง ถ้าคุณจะเลือกเอากสิณลม การปฏิบัติ ก็เหมือนอย่างที่คุณกำลังปฏิบัติอยู่ แต่ไม่ใช่เรียกว่า "อาณาปานสติ" เขาเรียกว่า "กสิณลม" ลมไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต้องใช้ความรู้สึกจากการหายใจ และต้องระลึกไว้เสมอว่า ถ้าคุณปฏิบัติสมาธิ ต้องเรียนรู้ลักษณะงานของระบบการทำงานของร่างกาย ในขณะปฏิบัติสมาธิ ซึ่งในทางพุทธศาสนา เรียกว่า "ฌาน"(ชาน) อ่านให้ดีนะขอรับ พิจารณาให้ดีนะขอรับ อย่าไขว่เขว่ สับสน
    เมื่อเรียนรู้ ลักษณะงานของระบบการทำงานของร่างกาย ที่ทางพุทธศาสนา เรียกว่า "ฌาน"(ชาน)แล้ว ก็ให้เลือกข้อ กสิณ ใดกสิณหนึ่ง เป็นเครื่องมือในการฝึก ยกเว้นกสิณลมที่ไม่ต้องมีเครื่องมือใดก็ได้ ส่วนกสิณอื่นๆ ควรมีเพราะถ้าไม่มี จะเป็นการสร้างภาพหลอนให้กับระบบสมอง ฯลฯ อีกประการหนึ่ง การนั่งสมาธิ หรือปฏิบัติสมาธิ อย่าปฏิบัตินานเกินกว่าร่างกายจะทนไหว ถ้าจะให้ดี ไม่ควรเกิน สองชั่วโมงเป็นอย่างสูงสุด ช่วยได้เท่านี้ขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2013
  7. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    เอ.ผมคิดว่าคุณต้องคิดจะทำอะไรบางอย่างอยู่เเน่ๆ คราวก่อนก็สอนเรื่องอานาปานสติว่าไม่ใช่สมาธิ เป็นเเค่อนุสสติ ไม่ทำให้เกิดสมาธิหรืออะไรสักอย่าง ทำนองว่าไม่ทำให้หลุดพ้น เเต่ทีนี้มาบอกว่าเป็นกรรมฐาน (ถ้าใช้อรรถเเละพยัญชนะของพระพุทธองค์ ความหมายมันเข้าใจได้อย่างเดียวคือ การไถนา การค้าขาย)
    เเต่ผมก็อนุโลมให้นะ สำหรับคนอื่นๆบางเรื่องก็ต้องใช้เวลาในการเข้าใจ ผมก็พูดตามๆนั้น เเต่ถ้าระดับคุณเเล้วไม่น่าผิดพลาดอะไรกับศัพท์ที่ง่ายๆเเบบนี้ เเล้วจุดประเดนไปอีกว่า การปฏิบัติรู้ลมหายใจเข้าออกไปเป็นเรื่องกสิณเเทน ตรงนี้ผมไม่ได้ศึกษา. ว่าจริงๆเเล้วกสินลมคืออะไรกันเเน่ พอเข้าใจอยู่ว่าการใช้นิมิต เเต่คุณจะมากล่าวทำนองว่า ลมก็คือกสิณ ตามความคิด มาเหมารวมโดยการขยี้ให้เละในหลักคำสอน ซึ่งจริงๆเค้าก็ฝึกอานาปานสติอยู่ เเล้วเค้าก็บอกว่าลมหายใจระเอียดขึ้น มันก็คืออาการของสมาธิเค้า จึงต้องมองกว้างๆว่า สมาธิมันก็มีกี่เเบบ อนิมิตสมาธิก็มี ไม่ใช่ว่าต้องใช้กสิณเท่านั้นถึงจะเรียกว่าฌาน
     
  8. ถิรวิริโย

    ถิรวิริโย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +15
    เอ่อ นิดนึงครับ ฌาน อ่านว่า ชาน ผมรู้ครับ และต้องสะกด ด้วยตัว ฌ-า-น ส่วน ญาณ อ่านว่า ยาน และมันคนล่ะเรื่องกัน
    ฌาน คือความสงบ ความนิ่ง ที่ได้จากการทำสมถสมาธิ
    ส่วนญาณคือ ปัญญา ที่ได้จากการเจริญวิปัสสนา
    การทำสมถะนั่นพระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้แค่40ก็จริง แต่ถ้าเราไม่ยึดติดจนเกินไป อะไรๆก็สามารถนำมาทำสมถะได้ทั้งนั้น เพราะสมถะคือการเพ่งอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง จนจิตดิ่งเข้าสู่ฌาน และมีองค์บริกรรมนั้นเป็นที่ตั้ง
    ผมจะไม่พูดถึงญาณเพราะผมได้แต่อ่าน ไม่ได้ปฏิบัติถึงหรือใกล้เคียง
    แต่การที่คุณมาบอกว่าการปฏิบัติของผมมันผิด มันไม่ใช่อาณาปานสติ กรุณาบอกที่มาที่ไปด้วยครับ มี reference อะไร จากไหน บอกด้วย เพราะเท่าที่ผมศึกษามาแม้จะเป็นเรื่องพื้นๆว่า"กรรมฐาน 40 นั้น ประกอบไปด้วย กสิณ10 อสุภ10 อนุสสติ10 อาหาเรปฏิกูล1 จาตุธาตุ1 พรหมวิหาร4 อรูปฌาน4" เห็นได้ว่ากสิณก็ยังเป็นแค่ส่วนหนึ่งของกรรมฐานที่ทรงบัญญัติไว้เท่านั้นเอง ถ้าคุณมาพูดแบบนี้ แล้วพวกดูจิต ดูเวทนา เขาไม่ได้ปฏิบัติสมาธิรึไงครับ ถ้าเอาแต่ส่งจิตออกนอกมองแต่กสิณแล้วติดนิมิต มันไม่ยิ่งกว่าอีกหรอครับ
    แล้วช่วยกรุณาเมตตาบอกผมทีว่าอะไรคือ อาณาปานสติ ในมุมมองของคุณ อ้างอิงจากไหนบอกด้วยครับ
     
  9. tOR_automotive

    tOR_automotive เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    582
    ค่าพลัง:
    +184
    ผมมีอาการประมาณว่า อยู่ดี ๆ ก็เหมือนหวิวๆ วาบ ๆ คล้ายโดนบีขย้ำที่กล้างหน้าอก บางทีหลับ ๆ อยู่กลางดึกก็ตื่นเหมือนถูกปลุก แล้วก็มีอาการอย่างนี้ หรืออยู่กับเพื่อน ทำอะไรมีความสุขดีอยู่ดี ๆ ก็เป็น ตอนนี้ดีขึ้นบ้าง กำลังพยายามอยู่ รู้สาเหตุบ้างล่ะครับ

    ลองถามคนนี้ดูนะครับ ผมก็อาศัยหลวงพี่ช่วยอยู่นะครับตอนนี้
    http://palungjit.org/members/thitiwats.440697/
     
  10. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    กราบเท้าขออนุญาติ นำเรียนท่านว่า

    ท่าน telwada เป็น ข้าราชการไทย รับใช้ชาติ และ ตอนนี้ หากข่าวสาร
    ที่ได้รับมาจาก เจ้าของเว็บไซท์แห่งนี้ ไม่ผิด

    ท่าน telwada เป็น ทหารปลดประจำการ และ ถือว่าเป็น ทหารผ่านศึก
    แบบโชกโชน ชนิด เสียเลือด เสียเนื้อ เพื่อเรา !!

    ดังนั้น

    อะไรบางอย่าง หากคุณฟังจาก ท่าน telwada แล้ว รู้สึก ไม่ชอบใจ
    ไม่เหมือนกับที่เราทำ เหมือนมาทำให้เรา "มั่นใจของเราเท่านั้นที่ถูก"
    อะไรแบบนี้ สู้สละออกไป ถือว่าเป็นการรับฟังเอาไว้ แต่ไม่จำเป็น
    ต้องชี้แจงอะไร ถ้าเราไม่ต้องชี้แจงอะไรเลย ก็ตามเห็น การสลัดคืน
    ทั้งหมด เน้นว่า ทั้งหมด ได้อีก

    ทั้งหมด ตรงหน้า ระวัง !!

    ทำความเคารพ ทหารผ่านศึก !!

    ( ป๋ม เป็น ลูกชายทหารผ่านศึกเกาหลีฮับ ! )
    ****************************

    ปล. รูป <img src='http://palungjit.org/customavatars/avatar31_1.gif' นี้มีประวัติ
    ด้วยน๊า เห็น จข id เล่าว่า เจ้าหน้าที่เว็บเป็นคนจัดให้ ดูๆไปแล้ว ก็เหมือน ดอกป๊อปปี๊ เนาะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2013
  11. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    คุณแพ้ตั้งแต่ตอนที่พอเกิดเวทนา แล้วคุณไปภาวนา"รู้ๆๆๆ" นั่นแสดงว่าคุณหลุดจากสมาธินั้นแล้ว คุณออกมาเป็นส่วนหนึ่งกับเวทนา ออกมาคิดมาปรุงแล้วค่ะ

    ก็สมควรแล้วที่ถูกถีบ ถูกถีบออกจากสมาธินั่งไง :'(
    การที่คุณหลุดออกมาจากสมาธิเพื่อมาภาวนาว่า "รู้ๆๆๆ" รู้ว่าเกิดขึ้น ก็ให้มันเกิดไป ทำให้คุณไปต่อไม่ได้ค่ะ

    เดี๋ยวมาต่อนะค่ะ พอดีติดธุระค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2013
  12. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    กรรมฐาน แบบนี้ก็มีนะครับ ชีแนะด้วยครับ ท่านกล่าวไว้อย่างไร คำว่ากรรมฐาน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ตาม อยู่ ณ โคนไม้ก็ตาม อยู่ใน
    สถานที่สงัดก็ตาม นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติบ่ายหน้าสู่กรรมฐาน ภิกษุนั้นย่อมมีสติหายใจ
    เข้า มีสติหายใจออก เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้สึกว่าหายใจเข้ายาว หรือเมื่อหายใจออกยาว ก็รู้สึก
    ว่าหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้สึกว่าหายใจเข้าสั้น หรือเมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้สึกว่า
    หายใจออกสั้น ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งกองลมทั้งปวงหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า
    เราจักรู้แจ้งซึ่งกองลมทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจเข้า ย่อม
     
  13. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    วิตกมาแล้ว
    วิจารณ์มาแล้ว
    ปิติไม่มา
    หากปิติมาคงไม่ผิดปกติเช่นนี้
    อาการจุกอกเป็นปิติหรือไม่
    หากปิติก็จุกบ่อยๆ

    ปิติ
    สงบ
    สุข
    เอกคตารมณ์

    ไม่ปิติก็ปัญหา
    ทุกข์
    เอกามีหลายกา...ฟุ้ง
    หลงนิวรณ์ไป
    เป็นธรรมหรือไม่อย่างไรขอรับ
    เมื่อเราพิจารณานิวรณ์
    ไม่ได้มาที่ขันธ์

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้วขอรับ
     
  14. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เนื้อหาสำคัญ อยู่ที่ "สติ" กับ "รู้" ไม่ได้อยู่ที่ "กรรมฐาน"
     
  15. ถิรวิริโย

    ถิรวิริโย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +15
    เข้าใจคุณเทวดาแล้วครับ!

    โอเคครับพอดีผมพิมพ์เสร็จแล้ว กดส่งข้อความไปแล้วเพิ่งมาเห็นตรง"ลายเซ็น"ของคุณเทวดา เลยเข้าใจแล้วครับ แบบนี้ขอปล่อยผ่านครับ ปล่อยผ่านยาวๆ ^^

    ปล. เท่าที่ผมอ่านๆของหลายๆท่านมา ดูเหมือนว่าพอเกิดอาการผมดันไปเปลี่ยนฐาน จากมองลม ไปอยู่ที่จุดอื่นอย่างนั้นหรือครับ เช่นไปจับเวทนา(จุกอก แสบคอ บีบเค้น) เลยเป็นดังที่กล่าวไว้ข้างต้น(เครื่องน๊อค ถูกถีบ บลาๆ) ผมค่อนข้างจะเห็นด้วยกับตรงนี้มากแต่จะให้ใช้สติจับที่ไหนล่ะครับ ในเมื่อหาลมไม่เจอ หรือว่าแค่ตั้งสติลอยๆไว้เหมือนกับ"รู้ตัวทั่วพร้อม"รึเปล่า
    ....
    หลวงพ่อท่านบอกว่า"ผมมีศรัทธาแต่ไม่มีปัญญา แค่ทนไปมันไม่ข้ามเวทนาตรงนั้นได้หรอก" <<ตอนแรกท่านพูดประโยคแรกผมแอบเคืองเล็กน้อย ไอ้เราก็เป็นทั้งวิทยากร เป็นทั้งนักลงทุน คิดว่า"เรา"ไม่ใช่คนโง่แน่ๆ ทำไมหลวงพ่อพูดแบบนี้ (แต่ชั่วแว๊บมีสติเลยรู้ว่าแหม่เราเอาตัวตนมาอีกแล้ว รีบละทิ้งแทบไม่ทัน) แต่พอท่านพูดว่าแค่ทนไปมันไม่ข้ามเวทนาตรงนั้นได้ ผมเลยพอจะคิดได้ว่างั้นมันก็ต้องเป็นปัญญาในความหมายของพุทธ ไม่ใช่อวิชชาตัวตนที่เราถือๆกันอยู่ ไม่ใช่ IQ หรือ EQ อะไรเทือกนั้น
    ....
    วิจิกิจฉาผมเยอะ ขออภัยทุกท่านไว้ด้วย มันเหมือนเป็นนิสัยสันดาน ผมชอบรวบบรวมข้อมูล ก่อนจะตัดสินใจหรือทำอะไร ต้องมีขั้นมีตอน มีเหตุมีผล มี check point อย่าเพิ่งรีบรำคาญนะครับ ถือว่าผมเป็นมารตัวน้อยๆล่ะกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2013
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ปัญญาของพุทธ คำพูดที่ใกล้เคียงที่สุดคือคำว่า " ปล่อยวาง "

    คนทีมีสัมมาทิฏฐิดีขึ้นมาหน่อย จะนิยมใช้คำว่า " ปล่อยรู้ "

    คนที่ตัณหามากๆ เวลาได้ยินคำว่า ปล่อยวาง หรือ ปล่อยรู้ ก็จะมีความ
    คิดแล่นไปในเทือก ทำนองว่า ไม่ทำฮาอะไรเลย

    จริงๆ

    วาง เนียะ ก็คือ การวาง

    คำว่า ปล่อยวาง นั้น เขาสื่อกันคือ ปล่อย การวาง อีกชั้นหนึ่ง

    ก็เหมือนกับคำว่า ปล่อยรู้ ปล่อย การรู้ อีกชั้นหนึ่ง

    เหมือน เราถือของหนัก เราปล่อยวางลงไปแล้ว มันเบา แต่ ปัญญา
    ทางพุทธต้อง พิจารณา ความเบาที่เกิดขึ้นนั้นด้วย ไม่ให้ใจหลงเพลิน
    กับความ บาง เบา ใดๆ ปล่อยภูมิธรรมที่เกิดจากวาง จึง ดับสนิท

    ก็เหมือน กับ รู้ ปล่อยรู้ รู้อะไรมาก็ตาม ปล่อนรู้ออกไปแล้ว มันจะ
    เกิดความเบา จิตเบา กายก็เบา ให้พิจารณาสภาวะ ความเบาจิต
    เบากาย นี้ด้วย ปล่อยภูมิธรรมใดๆที่เกิดจากการรู้ จึง ดับสนิท

    ************

    ทีนี้ คุณจะเห็นว่า คุณปล่อยลมได้ แต่ แล้วมันเกิด ตัวรู้ ตัวรู้มันหิวอารมณ์
    คือมันต้องการปักหยั่งลงสู่ครรภ(นาม , รูป) เราก็เลย เพลินไปกับมัน พยาม
    หวงแหนแทน " ตัวรู้ " กลัวว่า จะไม่มีอะไรเหลือให้รู้ เหลือให้วาง ก็เลยมอง
    หาอะไรสักอย่างเอามา คล้า ไว้ให้อุ่นใจ พักใจ เกยตื้น ไม่เกิด วิริยะ ทั้งๆที่
    สมาธิเกิด ( ซึ่งเป็นเรื่องของบุคคลที่มี ตัณหาจริตแฝงอยู่ )

    ซึ่งหากจะเรียก คนที่สนใจฟังธรรม( คือ สามารถรู้สภาวะปล่อยวาง และปล่อยรู้)
    แต่ลืมแลอยู่ ไม่เอาวิเวกวุธเป็นใหญ่ แล้วเกิดตัณหาแทรก อยากจะ รู้อะไรสัก
    อย่าง สักเรื่อง กันเหนียว ก็เรียกว่า " ศรัทธามีแต่ไม่มีปัญญา "

    เหมือน ทหารที่นายกองโบกธงให้รุกหน้า เท้าเขาก็ก้าว แต่แทนที่จะย่ำลงไป
    กลับเมียงมองเพื่อนๆ เผื่อว่าพลาดอะไร จะได้คว้าฉุดเพื่อนให้เสียแนวรบ

    แต่.....สนามรบพุทธนั้นเวลาที่ใช่ แนวหน้าจะมีคุณคนเดียว ไม่มีเพื่อน
    และ ...............................ไม่มีคนโบกธง

    พอเมียงมองจะหา มันเลยต้อง วกกลับมาที่โลก ร่ำไป

    ***********

    อานาปานสตินั้น ปล่อยลมอันคือกายแล้ว จะเหลือแต่ ตัวรู้ เด่นดวง
    หากปล่อย ตัวรู้ ได้อีกชั้นหนึ่ง ปล่อยจิตได้อีกชั้นหนึ่ง ก็จะค่อยเกิด
    การเจริญการเห็น ไตรลักษณ์ทำงาน เห็นภูมิธรรมอันเกิดจากการ
    ปล่อยในกริยาต่างๆ เห็นไปเนืองๆ ต่อไปเรื่อยๆ อานาปานสติจึง
    มีความละเอียดละออในการภาวนากว่า กรรมฐานชนิดใดๆ เพราะ
    มุ่งปล่อยภูมิธรรมที่เป็นสัมมาทิฏฐิออกเป็นงานหลัก ไม่ใช่แค่ปล่อย
    มิจฉาทิฏฐิกิ๊กก๊อกธรรมดาๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2013
  17. ปริฌาน

    ปริฌาน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +3
    ครูบาอาจารย์แนะนำไว้ดีแล้วค่ะ จะผ่านสภาวะนี้ได้ ต้อง "ยอม" ไม่ใช่ต้องสู้ ลองหันมาใช้คำบริกรรมดูค่ะ เพราะเมื่อก่อนเราก็ตามลม พอมาถึงขั้นนี้ ลมหาย ไม่มีลมให้ตามรู้ เลยเหวอไปพักหนึ่ง ลมหายทีกลัวตาย สติแตก แต่พอหันมาใช้คำบริกรรม จิตไม่ไปจดจ่อกับลม มีอะไรเกิดขึ้น สภาวะใดเกิดขึ้น บริกรรมไปลูกเดียว

    ขั้นนี้จะให้ผ่าน เราต้องถอดทอนตัวเองเป็นผู้รู้ ผู้ดู ดูกายมันหายใจหรือหยุดหายใจ ไม่ต้องลงไปร่วมแจมกับมัน ดูเหมือนดูอาการคนอื่นตาย แล้วหาอ่านมรณานุสติเยอะๆ ตายเป็นตายค่ะ ก็คิดไว้ซะว่า ตายตอนนี้ก็ได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

    ผ่านบททดสอบนี้เมื่อไหร่ ก็จะได้เลื่อนชั้นค่ะ
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เอ้อ ไหนๆ ก็ออกตัวขนาดนี้แล้ว

    ก็เลยต้อง แถ-ลง เอ้ย แถลง ว่า

    เวลาฟังคำอธิบาย ต่อไปนี้ คุณจะเจอ สองแนว

    แนวแรก จะบอกแค่ สิ่งที่คุณเป็น สิ่งที่คุณรู้อยู่แล้ว ฟังแล้วก็ไม่เห็น
    จะได้อะไรเพิ่ม นอกจาก รู้ในสิ่งที่ตนทำมาแล้ว อย่างมากก็รู้ว่าจะเรียก
    ว่าอะไร

    กับ อีกแนวหนึ่ง คือ จะบอกวิธีแก้ แก้อย่างงั้น แก้อย่างงี้

    ก็ต้องแถลงว่า ที่มันมีสองแนว เพราะ ตอนนี้โลก เขานิยมสองแนว

    แนววิปัสสนายานิก เน้น สมถวิปัสสนา กลุ่มนี้จะไม่ พูดวิธีแก้ จะพูดแต่
    "รู้ไปตามสิ่งที่เป็น" หรือ รู้ไปตามความเป็นจริง ผิดก็รู้ว่าผิด หากรู้ทันว่า
    ผิดตามความเป็นจริง จะผลิกหรือถึงพร้อมทิฏฐิขณะที่รู้ รู้แล้วดับ เหมือน
    ความรู้นั้นหายไปจากจิต ไม่ติดไม่ค้าง ไม่ฮานาก้า ดีอกดีใจอะไร

    แนวสมถยานิก เน้น สมถ นำหน้าจนกว่าจะสำเร็จ วิธีแก้ จึงเยอะ แยะ
    ตะแปะ ไก่กา พูดแต่อดีต หรือไม่ก็ อนาคต ซึ่ง หากได้รับการ ชี้ จาก
    คนที่รู้จริง มันก็ โอ เพราะ มันจะกลายเป็น ปัจจุบัน ขณะที่ ประจักษ์
    พอประจักษ์ มันจะเกิด ความมันส์น้อยๆ ซะใจน้อย ที่ เข้ามาเห็นได้
    ก็ว่ากันไป

    ดังนั้น

    ออกตัวว่า เป็นคนชอบมี เช็คพ้อย อันนี้ก็มีไป แต่ เห็นเช็คพ้อย
    แล้วมีอาการอย่างไร ตรงนั้นต่างหาก ตัวตนแท้ๆ ที่จะสำแดง
    จริตแท้ๆ ออกมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2013
  19. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    เนี่ยผมชอบเเบบนี้เเหละ เวลาพูดประเดนอะไรขึ้นมาพอมันไม่ตรงจากที่ตนเข้าใจขึ้น มันก็จะมีเรื่องให้น่าสงสัยว่าใครกันเเน่ที่กำลังเข้าใจผิดอยู่. เเล้วประโยชน์ก็จะเกิดขึ้นคือความรู้กันทั้งคู่ เเต่อยากให้ทำความเข้าใจว่า ถ้าคุณศึกษาเเต่พระสูตรจริงๆก็คงเข้าใจดี จะเห็นหลักการสอนที่สอดรับกัน โดยบางครั้งคำพูดบางเรื่องต้องใช้ซ้ำๆกัน ถึงจะเห็นข้อความครายๆกันเเล้วสื่อความหมายให้เข้าใจตรง อย่างเช่น คำพูดที่ว่า "เป็นสิ่งที่น่ารักใคร่น่าพอใจมีลักษณะน่ารักเป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยเเห่งความใครเเห่งความกำหนัดย้อมใจ".ยกตัวอย่าง วลีคำพูดนี้ใช้เรียกกามคุณ ฉนั้นเวลาพระองค์อธิบายอาการของกามคุณจะพูดลักษณะนี้ไม่เปลี่ยนคำพูด. ทีนี้มันก็ครายๆกันกับเรื่องที่คุณยกมา มันมีวลีที่ใช้ซ้ำๆกันอยู่เเล้ว ที่ใช้ในเรียก อธิบายการนั้งสมาธิ เเละอานาปานสติ จะเห็นว่า บรรทัดที่มีคำว่ากรรมฐานนั้นเป็นสาวกใสเข้ามา ต้องไปดูใหม่ อยากให้ลองไปสังเกตุดูใหม่ว่าจริงๆมีหรือไม่มี เทียบบาลีดูก็ดีเหมือนกัน ซึ่งตรงนั้นจริงๆต้องพูดว่า นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบตั้งกายตรงดำรงสติเฉพาะหน้า ส่วนคำว่ากรรมฐานนั้นอะพึ้งใสเข้ามา คุณควรทำความเข้าใจดีๆตรงนี้ มันก็ครายๆกันกับเรื่องที่คุณยกพระสูตรที่ว่า พระโมคคัลลา บรรลุธรรมในเวลาที่ 2สำนักอาจารย์เก่าพระองค์ยังมีชีวิตอยู่ มันก็ทำนองนี้เเละ ครายๆกัน เเบบเดียวกันคือเกินจากคำสอน
     
  20. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    อานิสงค์ของอานาปานสติ--พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติสมาธิ อันบุคคลเจริยแล้ว ทำให้มากแล้ว เป็นไปเพื่อการละสัญโญชน์ ทั้งหลาย...ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ สมาธิ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากอย่างไรเล่า จึงเป้นไปเพื่อการละสัญโญชน์ทั้งหลาย...ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในกรณ๊นี้ ไปแล้วสู่ป่าก็ตาม ไปแล้วสู่โคนไมก็ตามไปแล้วสู่เรือนว่างก็ตาม นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบแล้ว ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น ภิกษุนั้นมีสติอยู่นั่นเทียว หายใจเข้า มีสติอยู่นั่นเทียว หายใจออก(มีรายละเอียดดังอานาปานสติที่กล่าวโดยทั่วไป จนกระทั่งถึงคำว่า) ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเ็นซึ่งความสลัดคืน อยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้...............ภิกษุทั้งหลายอานาปานสติ สมาธิ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อการละสัญโญชน์ทั้งหลาย....ภิกษุทั้งหลายอานาปานสติสมาธิอันบุคคลเจริยแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรอบรู้ซึ่งทางใกล(อวิชชา)---(มีใจความเหมือน สังโยชน์).....................ภิกาุทั้งหลาย อานาปานสตอิสมาธิ อันบุคคลเจริยแล้วทำให้มากแล้ว ย่อเป็นไปเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย--------------(มีใจความเหมือนที่กล่าวเรื่องสัญโญชน์)
     

แชร์หน้านี้

Loading...