นิทานศาลพระภูมิ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 1 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เรื่องของมนุษย์นี้ เราสอนมนุษย์ เราก็แทบเป็นแทบตายอยู่แล้ว เรื่องอะไรจะเอาท้าวมหาพรหม เทวบุตรเทวดามาเป็นตัวอย่าง จะเอามาเป็นตัวอย่างได้ยังไง ท้าวมหาพรหมเป็นยังไง สอนท้าวมหาพรหมยังไง อรรถธรรมเกี่ยวกับเทวบุตรเทวดาสอนกันยังไง พวกเราไม่รู้เรื่อง ตั้งแต่สอนมนุษย์เวลานี้มันยังไม่รู้เรื่อง อย่างที่การ์ตูนเขาว่า มันไม่รู้เรื่องสอนมนุษย์ อย่างที่การ์ตูนเขาเขียนเอาไว้ มีศาลพระภูมิอยู่ข้างบน ปู่ใหญ่อยู่ข้างบนศาลพระภูมิ ก็มีหลานตัวดื้อๆ มันไปจุดธูปเทียนบูชา กราบศาลพระภูมิ ปู่มองเห็นก็เลยว่า

    ทำอะไรหลาน เป็นอะไรเหรอ
    หลานเป็นทุกข์มากปู่
    เป็นทุกข์เพราะอะไร
    เป็นทุกข์เพราะปฏิบัติตามที่ปู่สอนนั้นแหละ
    แล้วปู่สอนว่ายังไงถึงได้รับความทุกข์
    ปู่สอนว่าให้มีความปรารถนาน้อย
    แล้วหลานไปทำยังไงล่ะ
    หลานไปมีเมียน้อย

    นั่นเห็นไหมมันเสือกไปอย่างนั้น พวกเราพวกเสือกอย่างนี้ แล้วก็มีแต่พวกจุดธูปเต็มไปหมดไหว้ปู่ ปู่เลยจะตาย ปู่ก็ไม่มีคำจะพูดมีแต่ เฮ้อ เท่านั้น หมดท่าเลย เพราะหลานอย่างนี้มันเต็มไปหมด มีแต่พวกจุดธูปจุดเทียน พวกหลานปู่เป็นอย่างนั้น แล้วหลานปู่บัวเป็นยังไง มันก็แบบเดียวกัน ปู่เลยจะตาย นี่ละที่มันดีดออกไปมันเป็นอย่างนั้น เข้าใจไหม ถ้าดำเนินตามพระพุทธเจ้าสอนมีความปรารถนาน้อย สำหรับนักบวช สำหรับผู้ครองเรือนให้มีขอบเขต มีความปรารถนาน้อย เช่นท่านยกตัวอย่างไว้เลยทีเดียว เพราะตัวสำคัญอยู่จุดนี้ว่า ให้มีผัวเดียวเมียเดียว นั่นฟังซิธรรมพระพุทธเจ้าจ่อลงจุดนี้ จุดไฟเผาโลกอยู่จุดนี้ ผัวเมียทะเลาะแตกแยกจากกันเพราะจุดนี้ พระองค์ก็ลงจุดนี้ ให้เป็นผู้มีผัวเดียวเมียเดียวไม่เอามาก หญิงชายเต็มโลกสงสารนั้นไม่ใช่ของเราเท่านั้น ปัดออกหมด ของเรามีเพียงเท่านี้ มีผัวมีเมียเท่านี้เป็นของกันและกัน นั่นท่านบอกปรารถนาน้อยสำหรับฆราวาสท่านสอนอย่างนั้น แต่เมื่อดีดออกไปจากนี้แล้วมันก็ไปจุดธูปกันทั้งนั้นแหละ เข้าใจเหรอ พวกเรานี่พวกดื้อด้าน พวกจุดธูปตลอดเวลา ให้พากันจำเอานะ

    เราเป็นหลานปู่ หลานประเภทจุดธูปเหรอ ปู่เลยจะตาย พระพุทธเจ้าที่สอนโลกก็แทบเป็นแทบตาย เพราะหลานของท่านมีแต่ตัวดื้อๆ ลูกหลานหลวงตาบัวก็เหมือนกัน ลูกศิษย์หลวงตาบัวมีแต่ตัวดื้อๆ เหมือนกัน บอกอย่างนี้มันไปทำอย่างนั้น บอกอย่างนั้นมันไปทำอย่างนี้ ก็ลำบากลำบน เราก็ทนสอนโลก เพราะไม่นานเราบอกตรงๆ เราจะตาย เมื่อตายแล้วการแนะนำสั่งสอนกิริยาอย่างนี้ จะไม่มีให้โลกทั้งหลายได้ยินได้ฟังพอเป็นคติเครื่องเตือนใจ

    ธรรมะที่นำมาสอนพี่น้องทั้งหลายนี้ เป็นธรรมะที่เราตายใจได้แล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ เราไม่สงสัยในหัวใจของเรา ที่นำออกมาสอนโลกไม่ว่าธรรมะขั้นใดภูมิใด เราถอดออกมาจากหัวใจที่รู้ที่เห็นที่เป็นอยู่ภายในใจออกมาสอน ใครจะยอมรับไม่ยอมรับ เชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นกรรมของโลก กรรมของสัตว์เท่านั้นเอง เมื่อสอนเต็มที่แล้วเราก็ไป เราไม่ได้หวังเอาความดีความชั่วผลประโยชน์จากผู้ใด เราพอทุกอย่างแล้ว เป็นแต่เพียงสอนเพื่อสงเคราะห์สงหาผู้ที่ยังไม่รู้ให้รู้ให้เข้าอกเข้าใจ ให้รู้วิธีปฏิบัติตัวเองเท่านั้นเอง

    นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าอาจหาญหรือไม่อาจหาญ เลยไปแล้ว เลยสมมุติไปแล้ว คำว่าอาจหาญก็เลยสมมุติ เอาความจริงออกประกาศป้างๆ อย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเพียงพระองค์เดียว สอนโลกได้ทั้งสามโลกเห็นไหมล่ะ พระองค์อาจหาญหรือสะทกสะท้านอะไรไหม นั่นละของจริงอยู่ในพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว สอนโลกได้ทั้งสามโลก ขอให้อยู่ในหัวใจของใครเถอะ สอนใครไม่ได้สอนตัวได้แล้วก็อยู่สบายเท่านั้นเอง ได้ก็ได้ตามนิสัยวาสนาของผู้สอนผู้มารับ

    เราเวลานี้มีชีวิตอยู่ให้พากันตั้งอกตั้งใจ เรื่องจิตตภาวนานี้เรายกให้เป็นเอกเลย เป็นชั้นเอกของพุทธศาสนาเรา จะเด่นขึ้นที่จิตตภาวนาของผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าลงอันนี้ได้ปรากฏขึ้นแล้วไม่ไหวไม่หวั่นกับอะไรเลย หมุนติ้วไปเรื่อยๆ เลย มั่นคงไม่มีอะไรจะเทียบธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน ใครจะว่าอะไรก็ตามไม่สนใจ เป็นความแน่นอนในตัวเอง นี่ละเรื่องจิตตภาวนา สร้างความมั่นใจให้ตัวเองเป็นลำดับลำดาไป มันจะรู้เป็นลำดับลำดานะ เวลาอยู่อย่างนี้มันก็มีแต่จอกแต่แหนคือกิเลส ปกคลุมหุ้มห่อจิตใจไว้ เราเหมือนท่าน ท่านเหมือนเรา ไม่ทราบว่าใครได้ดิบได้ดีมาจากไหน โลกธาตุนี้ต่างคนต่างเสาะแสวงหาความสุข แล้วไปถามดูซิทั่วโลกนี้ใครได้รับความสุข มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้กัน ส่วนย่อยส่วนใหญ่เต็มไปหมด ไม่มีว่างจากกองทุกข์ เพราะกิเลสเป็นเจ้าเรือน เป็นเจ้าอำนาจอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก

    ใครจะใหญ่ขนาดไหนไม่เหนือกิเลส มีแต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน เหนือกิเลสโดยประการทั้งปวง ทุกข์จึงไม่เข้าไปแทรกในจิตใจของท่านเลย เพราะกิเลสเป็นตัวสร้างทุกข์มันสร้างอยู่บนหัวใจสัตว์ เพราะกิเลสอยู่ที่หัวใจสัตว์ เมื่อปัดออกหมดโดยสิ้นเชิง กิเลสตัวใดจะเข้าไปแทรก แล้วทุกข์จะเกิดขึ้นที่ไหนเมื่อตัวเหตุมันดับลงไปแล้ว นั่นละท่านนำมาสอนโลก ท่านนำมาด้วยความรู้แจ้งแทงทะลุไปหมดมาสอนโลก ไม่ได้สอนแบบหูหนวกตาบอดลูบๆ คลำๆ พอจะให้เราชาวพุทธทั้งหลายเกิดความสงสัย ท่านสอนไว้แม่นยำ แม่นยำมาตั้งแต่โน้นจนกระทั่งบัดนี้ และยังแม่นยำตลอดไป ถ้าผู้ปฏิบัติตามอรรถธรรม มรรคผลนิพพานจะตักตวงเอาเสมอไป เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ถ้าไม่สนใจแล้ว แม้แต่เกาะชายจีวรพระพุทธเจ้าอยู่ก็ไม่มีความหมาย มันสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าหรือไม่ปฏิบัติเท่านั้นเอง ให้ยึดนี้เป็นหลัก

    เราอย่าเชื่อกิเลสจนล้มทั้งหงายๆ กิเลสว่าอะไรเชื่อเร็วนะ เวลานี้บุญบาปไม่มี มรรคผลนิพพานไม่มี พระพุทธเจ้าปรินิพพานเท่านั้นปีแล้วมรรคผลนิพพานหมดไปๆ นั่นฟังซิกิเลสหลอก ตัวหัวมันมันเคยภาวนาไหม มันเคยเห็นมรรคผลนิพพานไหม แล้วมันเอามรรคผลนิพพานมาจากอำนาจป่าเถื่อนที่ไหนมาหลอกลวงสัตว์โลก สัตว์โลกก็เป็นสัตว์โลกป่าเถื่อนก็เชื่อมันตลอดมา ถ้าเชื่อธรรมแล้วตีออกเลย เหล่านี้เป็นข้าศึกทั้งนั้น พระพุทธเจ้าสอนว่า อกาลิโก ธรรมมีอยู่ตลอดเวลา เอ้า เปิดออกๆ เหมือนน้ำที่มีอยู่ในสระ เต็มสระอยู่ตลอดเวลา เป็นแต่เพียงจอกแหนปกคลุม เอ้า เปิดจอกแหนออกถ้าอยากเห็นน้ำ มีหรือไม่มีในสระนี้ เอ้า เปิดจอกเปิดแหนออก ใครเปิดออกมากออกน้อยก็ปรากฏเห็นน้ำในสระๆ นั้น เปิดออกหมดโล่งไปหมด สระนี้มีแต่น้ำทั้งนั้น นั่นเห็นไหม

    นี่ละจิตใจเราเท่ากับสระ ธรรมอยู่ในหัวใจ สระคือใจ น้ำคือธรรมอยู่ในหัวใจ กิเลสคือจอกแหนปกคลุมไว้เวลานี้ มันทำให้พวกเราทั้งหลายมืดบอด น้ำมีเต็มสระหาที่อาบดื่มใช้สอยไม่ได้ วิ่งว่อนเป็นบ้ากันทั้งๆ ที่น้ำเต็มสระอยู่ เพราะมันไม่เข้าไปหาน้ำที่มี ไม่เปิดจอกเปิดแหนให้เห็นน้ำอยู่ภายในใจ เพราะฉะนั้นให้พากันเปิดจอกเปิดแหน ทานเป็นการเปิด รักษาศีลเป็นการเปิดจอกเปิดแหน การภาวนานี้เป็นทางตรงแน่วเลย เปิดจอกเปิดแหนออก มันจะเปิดออกให้เห็นชัดเจนๆ เมื่อเห็นน้ำในสระเต็มเปี่ยมแล้ว ทีนี้น้ำในสระนี้มีไหม ท้าทายได้เลย หัวใจอันนี้ก็เหมือนกัน ท้าทายได้เลย ธรรมเต็มหัวใจ เหมือนว่าน้ำเต็มสระท้าทายได้เลย ใครเชื่อไม่เชื่อก็ตาม น้ำเต็มสระคือธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วจากจิตตภาวนาคือการบำเพ็ญของเราโดยลำดับมาได้ประจักษ์แล้ว

    ธรรมพระพุทธเจ้าสอนเพื่อมรรคเพื่อผล ไม่ได้สอนเพื่อเสื่อมสูญอันตรธานของมรรคผลนิพพานนะ ให้ปฏิบัตินะ เดี๋ยววันพรุ่งนี้มรรคผลนิพพานจะหมดแล้วนะ ให้ทำเสียตั้งแต่บัดนี้ วันพรุ่งนี้วันมะรืนหามรรคผลนิพพานไม่มีนะๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น มีแต่กิเลสมันหลอก ถ้าจะก้าวเข้าสู่ความดีงามทั้งหลาย เช่นอย่างนักบวชจะก้าวเข้าทางจงกรมแล้ว หมอนมันร้องเรียกแล้ว ง่วงนอน พักเสียก่อนแล้วค่อยเดินจงกรมก็ได้ พักมันไม่เสียก่อนน่ะซี ฟังเสียงดังครอกๆ เหมือนคนตายแล้ว พระร้อยองค์มา กุสลา ธมฺมา ยังไม่ตื่นเลย เป็นยังไงกิเลสหลอกคน พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าทางจงกรมเดินภาวนา นี่ธรรมท่านสอนให้เข้าไปภาวนา แต่กิเลสมันลากเข้าหมอน นิมนต์พระกี่องค์มา กุสลา ธมฺมา ตายหรือยังนาๆ จะตายหรือไม่ตายก็ไม่รู้ ได้ยินแต่เสียงครอกๆ ไปดูเอาเท่านั้นเอง

    พวกเรานี่พวกเสียงครอกๆ อยู่ทั่ววัดป่าบ้านตาด เสียงทางนี้ก็เสียงพระครอกๆ ไปทางครัวก็เสียงประชาชนที่ว่ามาอบรมมันก็มาครอกๆ อยู่นั้น กอดหมอน มองไปที่ไหนเห็นแต่ ทำอะไรนั่นน่ะ กำลังปะเสื่อชุนหมอน เสื่อขาดหมอนแตก มีแต่เย็บเสื่อเย็บหมอน ปะชุนกันยุ่งไปหมดทั้งวัด งานอื่นไม่เห็นมี เพราะอะไรมันถึงได้แตกขนาดนั้น ก็นอนจมติดมันละซี หมอนทนไม่ไหวหมอนแตก พวกนี้พวกหมอนแตก เข้าใจเอานะ จำให้ดี เอาให้กิเลสแตกซี กิเลสแตกแล้วจ้าไปเลย ให้ท่านทั้งหลายจำเอา

    ได้อุตส่าห์พยายามสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย เปิดโล่งออกหมดในหัวใจ ไม่เคยสะทกสะท้านกับสิ่งใดที่จะมาเห่ามาหอนมาโจมตีอะไร ธรรมเลิศเลอเหนือสมมุติ เหล่านี้มีแต่สมมุติ คำสรรเสริญก็ดี นินทาก็ดี เป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น ธรรมชาตินั้นเหนือนี้แล้ว หวั่นอะไรกับสิ่งเหล่านี้ อะไรที่จะเป็นผลเป็นประโยชน์แก่โลกก็ทำไปๆ เท่านั้น นี่เรื่องของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกท่าน ท่านดำเนินอย่างนั้น ให้พากันตั้งใจปฏิบัตินะ

    ขอให้มีพุทธศาสนาประจำใจเถอะ ไปที่ไหน พุทโธ ธัมโม สังโฆ วันหนึ่งอย่างน้อยให้ได้สักกี่ครั้งก็เอา อย่าให้มันหมดทั้งวันๆ ไปเสีย มีแต่กิเลสถลุงทั้งวัน ตื่นนอนขึ้นมาถลุงจนกระทั่งหลับ ถ้าไม่หลับแล้วกิเลสก็จะถลุงเรื่อยไป เวลานั้นกิเลสก็สงบตัว เราก็ได้หลับสนิท มีความสุขตอนนั้นเท่านั้น นอกนั้นกิเลสถลุง พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่ได้ปิดบังปกป้องกันบ้างเลย เป็นอย่างนั้นนะพวกเรา เปิดอ้าๆ ถ้าเป็นนักมวยขึ้นไปตายก่อนต่อยกันแล้วนะ เปิดอกให้เขาเขาก็ซัดเอาละซี นี่มีแต่พวกเปิดอกให้กิเลสมันตีเอาๆ จำให้ดีนะ เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านั้น เหนื่อยแล้ว

    Luangta.Com -
    (คัดลอกมาบางส่วน)
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    “เทวดา (พระภูมิ) เป็นเทวดาชั้นต่ำ แค่บ้านอยู่ยังไม่มีปัญญาสร้าง ต้องให้คนเมตตาสร้างให้ สร้างบ้านให้เขาแล้ว
    เขาควรมากราบไหว้คนสร้างให้ นี่อะไร คนยังมานั่งไหว้เขาปลกๆ ดูแล้วมันน่าหัวเราะ...”


    หลวงพ่อปัญญานันทะ
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ความเชื่อที่งมงาย
    พุทธทาส อินทปัญโญ


    อำนาจของความกลัวและความงมงายทำให้คนต้องกันเข้าหาที่พึ่งภายนอก คือแทนที่จะพึ่งความดีที่ตนเองกระทำ กลับไปพึ่งที่พึงภายนอก แล้วแต่เขาจะมีความงมงายไปทางไหน อาจจะถือที่พึ่งเป็นผีสางเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก หรือแม้ที่สุดการคิดพึ่งผู้อื่นอะไรก็ให้คนอื่นเขาช่วยเสียเรื่อยไป ถ้าไม่มีใครช่วยก็ถือว่าไม่ยุติธรรม อย่างนี้ก็ควรถือว่าเป็นการถือที่พึ่งภายนอกด้วยเหมือนกัน มีใครสักกี่คนที่มีความแน่ใจในการพึ่งการกระทำของตนเอง คือพึ่งความดี พึ่งการกระทำที่ถูกต้องของตนเอง แทบจะกล่าวได้ว่า คนที่มีจิตใจแน่วแน่กล้าหาญเฉียบขาดอย่างนี้หาได้ยากที่สุด มีแต่คนที่จะคิดพึ่งผู้อื่นแล้วยิ่งได้รับการสอนการอบรมมาผิด ๆ ก็ยิ่งคิดจะพึ่งผีสางนางไม้ พึ่งอะไรที่มองไม่เห็นตัวเหล่านั้นมากยิ่งขึ้น วัดความงมงายของคนได้ด้วยเหตุที่มีศาลพระภูมิมากขึ้น มีการดูฤกษ์ยามมากขึ้น ถ้ามีศาลพระภูมิ หรือมีหมอสะเดาะเคราะห์มากขึ้น ก็เป็นเครื่องแสดงที่แน่ชัดที่สุดว่า คนเราหวังที่พึ่งภายนอกมากขึ้น ๆ แทนการหวังที่พึงภายในคือการกระทำอันถูกต้องคลองธรรมด้วยสติปัญญาที่รุ่งเรืองตามองค์พระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ที่แท้จริง ซึ่งได้แก่การกระทำที่ถูกต้อง จนเกิดความสะอาด สว่าง สงบขึ้นในใจ

    ยังมีเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่า การถือที่พึ่งภายนอกมีมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งเชื่อได้ว่า ความงมงายไม่อยู่ในอำนาจแห่งเหตุผล ยิ่งหนาแน่นมากขึ้นเท่านั้น หุ้มห่อคนโง่เหล่านั้นให้มืดมิด ให้ตกจมไปในห้วงแห่งความงมงายมากขึ้น แล้วผลที่จะตามมาข้างหน้าต่อไปนั้น ก็จะต้องเป็นความสับสนยุ่งยากอลเวงมากขึ้นทุกที ๆ ตามสัดส่วนของความงมงาย จนกระทั่งเหลือวิสัยที่พวกเราจะปัดเป่าความยุ่งยากโกลาหลนี้ให้หมดสิ้นไปได้ เพราะว่าเราได้เพิ่มเติมความงมงายขึ้นในพวกของเรากันเองนี้อยู่เรื่อย ๆ ให้มันมากขึ้น ๆ เท่า ๆ กับที่การศึกษาในทางโลก ๆ ได้เจริญมากขึ้น พิสูจน์กันได้ง่าย ๆ โดยข้อเท็จจริงที่ว่าเครื่องหมายของการถือปัจจัยภายนอก เช่นการหวังพึ่งเทวดา หรือศาลพระภูมิ การดูฤกษ์ยาม หรือการอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก มันมีมากขึ้น หนาขึ้น มันไม่น้อยลง ผู้ที่มีความเข้าใจถูกต้องในพระพุทธศาสนา จะไม่อ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกมาเป็นเครื่องบันดาล มันเพิ่งเกิดมีขึ้นใหม่ไม่นานมานี้เอง เราจะเห็นได้ว่าในประเทศไทยเรานี้ ยิ่งมีความงมงายหนาแน่นยิ่งขึ้นกว่ายุคก่อน ๆ เป็นอันว่า เราไม่ควรจะนอนใจว่า ความงมงายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่น่าหวาดเสียว ไม่สำคัญสำหรับเรา “สีลัพพตปรามาส” ไม่ใช่ข้อปฏิบัติอย่างสุนัข อย่างโค แต่ร้ายไปยิ่งกว่าการปฏิบัติอย่างสุนัข อย่างโคเสียอีก ทำไมจึงว่าอย่างนี้ ถ้าเราจะพิจารณาดู ก็จะเห็นว่าสุนัขหรือโคที่เขาอ้างถึงในอรรถกถา มันไม่ได้กลัวผีกลัวเทวดา มันไม่ได้อ้อนวอนพระภูมิเหมือนกับพวกมนุษย์ มันไม่ได้หมอบกราบสิ่งที่มันไม่รู้จักตัวเหมือนกับพวกมนุษย์ ใครเคยเห็นสุนัขหรือโคกลัวผีกลัวเทวดา หรือทำพิธีบวงสรวงอ้อนวอน เราจะเห็นว่าไม่มีเลย แต่แล้วทำไมมนุษย์ที่เจริญด้วยการศึกษากลับมาหมอบราคาบแก้วหัวจรดดินไหว้ผีไหว้สาง บวงสรวงบุชาเทวดา อันไหนมันจะร้ายกว่ากัน ไม่ต้องสงสัยละ ความงมงายของคนที่เป็นถึงขนาดนี้ มันย่อมร้ายกาจยิ่งไปกว่าศีลและวัตรของสุนัขหรือโคแน่ ๆ

    http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/buddhadas/bdd-32.htm
    (คัดลอกมาบางส่วน)
     
  4. nai.jame

    nai.jame สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +2
    พุทธกับพราห์มแยกกันไม่ออกหรือ พระพุทธเจ้า กับพระนาราย แยกกันไม่ออกหรือ ตำนานจะนำมาเล่าพิจารณาให้ดีก่อน หาต้นฉบับมาอ่านก่อน อย่ามั่วไม่เคยมีตำนานไหนพระนารายอวตารเป็นพระพุทธเจ้า
     
  5. saekue20

    saekue20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +757
    ผม พนมมือขึ้น แล้วอธิฐานในใจว่า ขออุทิศบุญกุศลอันเกิดจากศิล นี้ ให้ท่าน ขอท่านจงอนูโมทนา จงได้รับบุญนี้ แล้ว คู้มครองข้าพเจ้าให้ทำงานปลอดภัยตลอดกาลทุกเมื่อด้วยเถิด

    ปล ศาลที่ทำงานอ่านะ ที่บ้านไม่มีครับ
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมไม่ได้มั่วครับ คนไทยอ่านหนังสือน้อยจริงๆ กลับไปอ่านกระทู้ใหม่ทั้งหมดแล้วค่อยแสดงความคิดเห็นครับ
    ผมนำตำนานมาเพื่อบอกว่า พระไตรปิฏกไม่มีบันทึกเรื่อง "พระนารายณ์อวตารมาเป็นพระพุทธองค์"
    อ่านกระทู้ทั้งหมดก่อน อย่าแสดงความคิดเห็นมั่วๆ ครับ
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เว้นจากการนับถือพระภูมิต่างๆ คือ ไม่นับถือภูตผีปีศาจ
    พระภูมิเจ้าที่ เทวบุตร เทวดา มนต์ คาถา วิชาต่างๆ
    ต่อไป ถ้านับถือเมื่อไรก็ขาดจากคุณพระรัตนตรัยเมื่อนั้น
     
  8. ป้าเม้า

    ป้าเม้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +166
    เราคนนึงล่ะที่ไหว้และให้ความเคารพนับถือพระภูมิเจ้าที่มาก เพราะทั้งพราหมณ์และซินแสบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ท่านเป็นเทวดามีรังสีมลังเมลืองด้วย ท่านแสดงอิทธิฤทธิ์หลายอย่างให้เห็น
    แต่พระภูมิเจ้าที่บางแห่งก็เป็นตายายซึ่งเคยเป็นเจ้าของที่มาก่อน บางแห่งก็เป็นพราหมณ์ที่ไม่มีรังสีแผ่ออกมาค่ะ
    และบางแห่งก็ไม่มีอะไรอยู่ จึงเป็นที่มาของความคิดหลายๆคนว่าศาลพระภูมิเป็นแค่อิฐหินปูนทราย
     
  9. tOR_automotive

    tOR_automotive เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    582
    ค่าพลัง:
    +184
    คนที่ก่อนจะไหว้ ควรจะระลึกถึงคุณความดี เป็นเทวตานุสติ
     

แชร์หน้านี้

Loading...