นิทานศาลพระภูมิ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 1 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    โยม อันนี้สุดท้ายครับ กราบนมัสการถามหลวงตา กระผมขอเรียนถามเรื่อง สีลัพพตปรามาส คือว่าเราต้องไหว้ศาลพระภูมิหรือไม่ เราจะทำอย่างไร

    หลวงตา ถ้าไม่มีอะไรไหว้ก็ไปไหว้กองขี้หมาก็ได้นะ มันสารพัดถามมา เราก็ต้องตอบแบบนั้นละซิ ไม่งั้นไม่ทันกัน ไม่มีศาลพระภูมิจะไหว้อะไร มีขี้หมูขี้หมาที่ไหนให้ไหว้ไปก่อน พอเจอศาลพระภูมิเมื่อไรค่อยไหว้ บอกอย่างนั้น เอาละ ทีนี้มันติดแล้วมันบ้าเท่ากันก็พอดีละได้มีทุกอย่าง แล้วคำพูดก็จะออกรับกันทุกแบบเข้าใจไหม

    โยม เราจะไหว้ศาลพระภูมิหรือไม่นี่ครับ

    หลวงตา
    ศาลพระภูมิอะไรจะเลิศกว่าพระพุทธเจ้า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ติดอยู่นี้ นี่ละศาลพระภูมิ ขอให้ดีศาลพระภูมิเหล่านี้นอกนั้นล้มเหลวไปหมด ศาลพระภูมิมันเหลวไหลอย่างที่ว่า อย่างที่เขาออกในการ์ตูนเราเคยมาพูดให้ฟัง เออ ศาลพระภูมินั่นเข้าใจเหรอ มันได้ฟังกันแล้วมัง นิทานศาลพระภูมิพวกนี้ได้ฟังกันแล้วยัง เขามีศาลพระภูมิ สายระโยงระยางลงมาจากศาลพระภูมิใหญ่ ปู่ใหญ่อยู่ข้างบน หลานก็มาจุดธูปเทียนอยู่ที่ถังธูปนี้ ปู่ใหญ่ก็ถามว่า เออ เป็นอะไรหลานถึงมาจุดธูปจุดเทียน

    หลาน โอ๊ย.หลานเป็นทุกข์มาก หลานนั้นก็หลานเป็นเป็นที่โปรดปรานเหลือเกินเป็นทุกข์มาก
    ปู่ เป็นทุกข์มากอะไร
    หลาน ก็เป็นทุกข์เพราะปฏิบัติตามปู่นั่นแหละ
    ปู่ ปู่สอนยังไงถึงได้ทุกข์มาก
    หลาน ปู่สอนให้มีความปรารถนาน้อย
    ปู่ แล้วหลานไปทำยังไง
    หลาน ไปมีเมียน้อย

    ฟังซิน่ะ เสือกไปมีเมียน้อย ทางปู่หมดท่าก็ เฮ่อ เอาละพอ ทีนี้ปู่จะไปละนะ เสือกไปมีเมียน้อย ให้มีความปรารถนาน้อยมันไปมีเมียน้อย

    Luangta.Com -

    (คัดลอกมาบางส่วน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 กุมภาพันธ์ 2013
  2. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    ผมคนนึงไม่จำเป็นก็ไม่ไหว้ศาลพระภูมิ
     
  3. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ผมไหว้ครับ แต่ยังไม่เคยไหว้กองขี้หมานะ
    ส่วนตัวแล้ว ศาลพระภูมิ.. จริงๆแล้วที่ไหว้นะ ไหว้เทวดาพระภูมิเจ้าที่
    หนึ่ง ไหว้ในความดีที่ท่านได้เป็นเทวดา
    สอง ไหว้เนื่องด้วยท่านเป็นผู้ใหญ่ในที่แห่งนี้

    ไหว้แบบนี้มันคนละเรื่องกับการนับถือพระรัตนตรัย คนละอย่างกัน
    แต่เป็นอย่างเดียวกันกับเทวตานุสสติที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำไว้
     
  4. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,613
    เห็นด้วยค่ะ อนุโมทนาสาธุ
     
  5. นักรบธรรม

    นักรบธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    970
    ค่าพลัง:
    +1,178
    ไหว้เพราะเขาเป็นผู้ใหญ่กว่า เพราะเขาเป็นเหมือนปู่ เหมือนย่า ของแต่ละที่ ซื่งเราก็ควรนอบน้อมอยู่แล้วตามนิสัยคนไทย แต่ไม่ใช่ไหว้เพราะขอเลขหวย ซึ่งหากจะว่าไปจะบอกว่าไหว้ผี เทวดาสิ่งที่มองไม่เห็น งมงายหรือไม่ เช่นเดียวกัน หากเรานำพระมาตั้งไว้แล้วไหว้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าท่านรับรู้หรือไม่เราก็ไหว้ ฉนั้น ไหว้อะไรก็อยู่ที่ใจ เช่นไหว้ก้อนหิน แต่ใจคิดถึงพระพุทธเจ้า ท่านคิดว่าถึงหรือไม่ หากคุณบอกว่าไม่ถึง วันหน้าไม่ต้องไปใหว้พระพุทธรูปอีก เพราะสิ่งเหล่านั้น วางกองไว้ที่ร้านค้าเขาเรียกว่า หิน ทราย ปูน เหล็ก พอนำมารวมกันกองไว้ที่วัด เรียกว่าพระ เราก็กราบ ฉนั้น คิดเอาเอง จะโสดาบันหรือไม่ ก็รู้ด้วยใจ 90%
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กุมภาพันธ์ 2013
  6. nam-ning

    nam-ning เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +285
    ไหว้เหมือนกันค่ะ แต่ไม่ได้ไหว้เพราะจะขอโน้น นี่ นั้น น่ะค่ะ ส่วนต้วไหว้เพราะคิดว่าจะเข้าบ้านใคร ไปอยู่ถิ่นของใคร ก็ควรไหว้ทำความเคราพน้อบโน้มแด่เจ้าของบ้าน
     
  7. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    เทวดานุสติ นึกถึงความดีของเทวดา หรือไว้เทวดา เพราะเค้ามีความดีเคารพ
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ตำนานศาลพระภูมิ

    ตามตำนานสายพุทธะกล่าวว่า ยุคที่มนุษย์ เทวดา และ..ฯลฯ อยู่ร่วมกัน พระเจ้าทศราช ก่อตั้งเมืองพาลี
    ขึ้นในโลกมนุษย์ ผู้คนเรียกขานว่า "พระเจ้ากรุงพาลี" หรือ "พระเจ้าพลี" อภิเษกสมรสกับพระนางสันทร
    ทุกะเทวี และต่อมาประสูติโอรส 9 พระองค์
    เมื่อพระโอรสทั้ง 9 พระองค์เติบโตเต็มวัย พระเจ้ากรุงพาลี ทรงจัดแบ่งพื้นที่ครอบครองดูแลตามลำดับ
    ดังนี้
    พระชัยมงคล ครอบครองดูแล เคหสถาน บ้านเรือน
    พระนครราช ครอบครองดูแล ประตู ป้อมค่าย บันได
    พระเทเพนหรือเทเพล ครอบครองดูแล คอกสัตว์
    พระชัยศพณ์ ครอบครองดูแล คลังเสบียง ยุ้ง ฉาง
    พระคนธรรพ์ ครอบครองดูแล สถานที่มงคลสำหรับหนุ่มสาว เรือนหอ
    พระธรรมโหรา ครอบครองดูแล ภูเขา ป่า นาและท้องทุ่ง
    พระเทวเถร ครอบครองดูแล วัดวาอาราม สำนักสงฆ์และกิจการศาสนา
    พระธรรมิกราช ครอบครองดูแลพืชพรรณ อุทยาน
    พระทาษธารา ครอบครองดูแล ห้วย หนองน้ำ คลอง แม่น้ำ ลำธาร

    ภายหลังมอบอำนาจบริหารจัดการกับพระราชโอรสทั้ง 9 พระเจ้ากรุงพาลีมิทรงอยู่ในทศพิธราชธรรมใช้พระราชอำนาจเบียดบัง
    ที่ดินชาวบ้านสร้างพระราชวังใหญ่โต แวดล้อมข้าราชบริพารทั้งมนุษย์ เทวดา นางฟ้า ..ฯล.. สร้างความเดือดร้อนเกิดแก่มนุษย์ สัตว์
    ทุกหย่อมย่าน
    ที่สุดต้องรวมตัวกันร้องเรียนความทุกข์ยังสรวงสวรรค์
    เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว พระนารายณ์ อวตารมาเป็นพระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญภาวนาใต้โพธิ์ใหญ่เขตนครพาลี พระเจ้ากรุงพาลี
    พบเห็นทรงไม่พอพระทัยสั่งทหารขับไล่พระพุทธองค์เพื่อพ้นกรุงพาลี พระพุทธองค์อ้อนวอนขอพื้นที่สัก 3 ก้าวเพื่อใช้บำเพ็ญเพียร
    พระเจ้ากรุงพาลีใคร่ครวญออกปากว่า.. ก็ได้แต่ห้ามไม่ให้ออกนอกพื้นที่ 3 ก้าว ไม่ว่าจะกิน ขับถ่าย อาบน้ำ.. ต้องอยู่ภายในพื้นที่นั้น
    พระนารายณ์ในรูปพระพุทธเจ้าตอบรับ พระเจ้ากรุงพาลีทรงอนุญาต
    ได้ยินดังนั้น พลันพระพุทธองค์ทรงคืนร่างเป็นพระนารายณ์สี่กรสูงใหญ่เทียมฟ้า ออกย่างเท้าเพียงก้าวเดียวก็สุดขอบโลก แล้ว
    ทรงขับไล่พระเจ้ากรุงพาลี มเหสี ราชโอรสทั้ง 9 ให้พ้นแผ่นดินพร้อมกำหนดข้าทาสแค่ 3 คนคือนายจันถี, นายจันทิศและนายจันสพ
    ไม่ให้พื้นที่ทั้งโลกมนุษย์ บาดาลหรือสวรรค์ ทั้งหมดต้องลอยกลางอากาศด้วยความยากลำบากหลายสิบปี
    ที่สุดพระเจ้ากรุงพาลีไม่อาจจะทานทนต่อไป ได้ให้ข้าทาสทั้งสามกราบสำนึกผิดต่อพระนารายณ์ และพระนารายณ์ทรงเล็งเห็น
    ว่าถ้าให้พระเจ้ากรุงพาลี ปกครองแผ่นดินอาจจะก่อความทุกข์เข็ญแก่พี่น้องประชาชน ทรงตั้งเงื่อนไขว่า ..ถ้าต้องการแผ่นดินก็จะให้
    โดยให้ทำหน้าที่กำกับดูแลแผ่นดินเท่านั้น ห้ามสร้างพระราชวังใหญ่โต ให้สร้างได้แค่บ้านหลังเล็กบนเสาต้นเดียวเท่านั้น ..!! ถ้าทรง
    ยินยอมก็จะให้มนุษย์เคารพกราบกรานในฐานะผู้ทรงกำกับดูแลพื้นแผ่นดิน เรียกว่า "พระภูมิ"
    พระเจ้ากรุงพาลีได้ยินดังนั้นทรงตอบตกลง และต่อมาพระเจ้ากรุงพาลี มเหสีสิ้นพระชนม์ มนุษย์ยังคงให้ความเคารพต่อพระภูมิ
    ในฐานะประธานหรือผู้ดูแลแผ่นดิน โดยจัดสร้างศาลพระภูมิสูงเสมอสายตามนุษย์สำหรับตั้งบูชารูปปั้นพระชัยมงคล พระราชโอรส
    ลำดับต้นของพระเจ้ากรุงพาลี กระทั่งทุกวันนี้

    ศาลพระภูมิไม่ได้จำกัดเฉพาะบ้านเรือนที่อยู่อาศัย สำนักงานเท่านั้น โดยทั้งนี้พระชัยมงคล คุ้มครองดูแลบ้านเรือน สำนักงาน
    พระนครราช จะดูแลประตูเมือง บันไดหรือทางเข้า-ออก หรือนัยหนึ่งคือท้าวจตุคามนั่นเอง, พระเทเพนหรือเทเพลคือพระภูมิประจำ
    คอกสัตว์, พระชัยศพณ์ คือพระภูมิประจำยุ้งฉาง เสบียง คลังหรือสถานที่เก็บอาหาร, พระคนธรรพ์ คือพระภูมิประจำเรือนหอ หรือ
    แหล่งบันเทิงของคนหนุ่ม-สาว, พระธรรมโหรา คือพระภูมิประจำเรือกสวนไร่นา, พระเทวเถรคือพระภูมิประจำวัด, ปูชนียะสถาน,
    สำนักสงฆ์ พระธรรมิกราช คือพระภูมิประจำอุทยาน สวน และสุดท้ายคือพระทาษธารา คือพระภูมิประจำห้วย, หนองน้ำ, คลอง,
    แม่น้ำ
    ปัจจุบันเหลือเพียงศาลพระภูมิประจำบ้านเรือน สำนักงาน ได้แก่ พระชัยมงคลเท่านั้น โดยมักตั้งพร้อมกับศาลเจ้าที่ นั่นหมายถึง
    วิญญาณผู้ดูแลผูกพันกับสถานที่นั้น ลักษณะศาลเจ้าที่จะเป็นเรือนสี่เสา ขนาดฐานใหญ่กว่าศาลพระภูมิ ความสูงเพียงครึ่งหนึ่งของ
    ศาลพระภูมิ ภายในตั้งรูปปั้นตา-ยาย และจากจุดนี้ผู้คนส่วนใหญ่เรียกว่า ศาลพระภูมิ-เจ้าที่ หลักที่ถูกต้องคือพระภูมิ เปรียบเหมือน
    "ประธาน" ส่วน "เจ้าที่" คือผู้จัดการ
    การตั้งศาลพระภูมิ และ/หรือศาลเจ้าที่ เพื่อแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์ จิตวิญญาณ ก่อเกิดความเจริญรุ่งเรือง รอดพ้นโพยภัย
    ตรงตามหลัก "ฮวงจุ้ยไทย ชัยภูมิศาสตร์" คือการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และจิตวิญญาณหรือสิ่งเร้นลับนั่นเอง

    อาจารย์สมเจตน์ แสงคำ ณ เวียงกำพู
     
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อนาถปิณฑิกเศรษฐี ขับไล่เทวดา
    ขณะนั้นเทวดาตนหนึ่งผู้เป็นมิจฉาทิฎฐิ ซึ่งสิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูบ้านของท่าน
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี ไม่เลื่อมใสพุทธศาสนา เบื่อระอาที่พระภิกษุสงฆ์เดินรอดซุ้มประตูเข้าออก
    ทุกวัน เพราะในขณะที่ภิกษุสงฆ์เดินรอดซุ้มประตูนั้นตนไม่สามารถจะอยู่บนซุ้มประตูได้ เมื่อ
    เห็นเศรษฐีกลับกลายมีฐานะยากจนลงเพราะทำบุญแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงปรากฎ
    กายต่อหน้าท่านเศรษฐีกล่าวห้ามปรามให้เศรษฐีเลิกทำบุญเสียเถิด แล้วทรัพย์สินเงินทองก็จะ
    เพิ่มพูนขึ้นเหมือนเดิม

    ท่านเศรษฐีจึงถามว่า
    “ท่านเป็นใคร ?”

    “ข้าพเจ้าเป็นเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูเรือนของท่าน”

    “ดูก่อนเทวดาอันธพาล เราไม่ต้องการเห็น ไม่ต้องการฟังคำพูดของท่าน ขอท่านจง
    ออกไปจากซุ่มประตูเรือนของเรา อย่ามาให้ข้าพเจ้าเห็นอีกเป็นอันขาด”

    เทวดาตกใจ ไม่สามารถจะอยู่ที่ซุ่มประตูเรือนของเศรษฐีได้อีกต่อไป กลายเป็นเทวดา
    ไร้ที่สิงสถิต ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เข้าไปหาเทวดาผู้มีศักดิ์สูงกว่าตนให้ช่วยเหลือ
    แต่ไม่มีเทวดาองค์ใดจะสามารถช่วยได้ เพียงแต่บอกอุบายให้ว่า

    “ทรัพย์เก่าของเศรษฐีจำนวน ๘๐ โกฏิ ซึ่งใส่ภาชนะฝังไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำถูกน้ำเซาะตลิ่ง
    พังจมหายไปในสายน้ำ ท่านจงไปนำทรัพย์เหล่านั้นกลับคืนมามอบให้ท่านเศรษฐี
    แล้วท่านเศรษฐีก็จะหายโกรธยกโทษให้ และอนุญาตให้อยู่อาศัยที่ซุ้มประตูบ้านดังเดิมได้”

    เทวดาทำตามนั้น ได้นำทรัพย์เหล่านั้นมามอบให้เศรษฐีด้วยอำนาจฤทธิ์เทวดา
    เมื่อเศรษฐียกโทษให้แล้วได้อยู่ ณ สถานที่เดิมของตนสืบไป

    อนาถปิณฑิกเศรษฐี
    เอตทัคคะในฝ่ายผู้เป็นทายก
    http://palungjit.org/threads/อนาถปิณฑิกเศรษฐี-ขับไล่เทวดา.363162/
     
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ในพระไตรปิฏกไม่มีบันทึกเรื่อง "พระนารายณ์อวตารมาเป็นพระพุทธองค์" ครับ
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    มนุษย์ชาวชมพูทวีป ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและเทวดาชั้นดาวดึงส์

    สัตตาวาสวรรคที่ ๓
    ฐานสูตร
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป ประเสริฐกว่า
    เทวดาชั้นดาวดึงส์และพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป
    ด้วยฐานะ ๓ ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ
    ไม่มีทุกข์ ๑
    ไม่มีความหวงแหน ๑
    มีอายุแน่นอน ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปประเสริฐกว่า
    พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์และพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป
    ด้วยฐานะ ๓ ประการนี้แล ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาชั้นดาวดึงส์ ประเสริฐกว่า
    พวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป
    ด้วยฐานะ ๓ ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ
    อายุทิพย์ ๑
    วรรณะทิพย์ ๑
    สุขทิพย์ ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาชั้นดาวดึงส์ประเสริฐกว่า
    พวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป
    ด้วยฐานะ ๓ ประการนี้แล ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีป ประเสริฐกว่า
    พวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและเทวดาชั้นดาวดึงส์
    ด้วยฐานะ ๓ ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ
    เป็นผู้กล้า ๑
    เป็นผู้มีสติ ๑
    เป็นผู้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันเยี่ยม ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีปประเสริฐกว่า
    พวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์
    ด้วยฐานะ ๓ ประการนี้แล ฯ
    จบสูตรที่ ๑

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๓ หน้าที่ ๓๑๙/๓๗๙
     
  12. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "มนุษย์ประเสริฐกว่าเทวดา"
    เทวดามีตาหูจมูกลิ้นกายใจเหมือนมนุษย์ครับ มีรักโลภโกรธหลงครบครับ
    แต่ดีกว่ามนุษย์หน่อยตรงที่มีกายทิพย์ มีอาหารทิพย์ มีวิมานอันเป็นทิพย์
    เทวดาตายถ้าไม่มีศีลธรรม ก็ไม่พ้นนรกแบบเดียวกับมนุษย์ที่ไม่มีศีลธรรม
    ศาลพระภูมิเป็นสิ่งสมมติ สร้างมาจากก้อนดิน มนุษย์สมมติขึ้นมา
    รูปทั้งหมดมาจากธาตุดิน มนุษย์สร้างรูปก็สร้างได้ตามจินตนาการ
    แล้วอุปทานว่ารูปเป็นอย่างนี้ๆ
    นับถือศาสนาพุทธ แล้วนับถือเทพของพรหมณ์ด้วย
    ให้ผมไหว้ศาลพระภูมิ ผมไหว้กองขี้หมาดีกว่าครับ
     
  13. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    มารแปลงร่างเป็นพุทธเจ้า
    สูรอัมพัฏฐะ เกิดในตระกูลเศรษฐี บิดามารดามีศรัทธาเลื่อมใสนักบวชอัญเดียรถีย์
    ตนเองเมื่อเจริญวัยขึ้นมาอยู่ในฆราวาสวิสัยก็มีใจศรัทธาเลื่อมใสให้การบำรุงอุปัฏฐาก
    อัญเดียรถีย์ตามบิดามารดาด้วยเช่นกัน

    ความคิดมีเหตุผล
    ในเวลาใกล้รุ่งสว่างของราตรีหนึ่ง พระบรมศาสดาทรงตรวจดูอุปนิสัยของสัตว์โลกได้
    ทอดพระเนตรเห็นเหตุแห่งอุปนิสัยโสดาปัตติมรรคของสูรอัมพัฏฐะ ครั้นรุ่งสางแล้ว จึงทรงถือ
    บาตรเสด็จไปประทับยืนที่ประตูบ้านของเขา เมื่อเขาแลเห็นพระผู้มีพระภาคแล้วคิดว่า

    “การที่พระสมณโคดมผู้เสด็จอุบัติในตระกูล
    กษัตริย์ ผู้ยิ่งใหญ่แล้วเสด็จออกบรรพชา โดยมิได้มีความห่วงอาลัยในราชสมบัติ ทรงบำเพ็ญ
    เพียรจนได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูเจ้า เที่ยวสั่งสอนมหาชนให้บรรลุมรรคผลตามอำนาจ
    วาสนาบารมี เป็นที่รู้จักเคารพนับถือของชาวโลกทั้งหลาย พระองค์เสด็จมาถึงประตูเรือนของ
    เราแล้ว ถ้าเรานิ่งเฉยอยู่ก็จะเป็นการไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง”

    เมื่อคิดดังนี้แล้วก็รีบลุกขึ้นไปเข้า
    ไปกราบแทบพระยุคลบาท รับบาตรจากพระหัตถ์ แล้ว กราบทูลอาราธนาให้เสด็จเข้าไป
    ประทับภายในเรือน แล้วถวายภัตตาหารอันประณีตแด่พระพุทธองค์
    ครั้นเสด็จภัตกิจแล้ว พระบรมศาสดา ทรงแสดงพระธรรมเทศนาตามอนุรูปแก่
    อุปนิสัยจริยาของเขา เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้วเขาก็ได้บรรลุโสดาปัตตผล ดำรงอยู่ใน
    อริยภูมิในพระพุทธศาสนา ส่วนพระบรมศาสดาก็เสด็จกลับพระเชตวันมหาวิหาร

    มารแปลงร่างเป็นพุทธเจ้า ขณะนั้น มารตนหนึ่งคิดว่า “สูรอัมพัฏฐะนี้เป็นสมบัติของเรา แต่วันนี้พระสมณโคดม
    เสด็จมาทำให้เขาดำรงอยู่ในอริยภูมิเสียแล้ว สมควรที่เราจะรู้ว่าเขาพ้นจากวิสัยของเราแล้วหรือ
    ยัง จึงเนรมิตรูปร่างให้ละม้ายคล้ายกับพระทศพล พร้อมทั้งทรงบาตรและจีวรมีสีสันฐานดุจ
    เดียวกัน แสดงท่าเสด็จพระราชดำเนินด้วยอากัปกิริยาของพระพุทธองค์ทรงด้วยพระลักษณะ
    ๓๒ ประการมาประทับยืนที่ประตูบ้านของสูรอัมพัฏฐะ"

    ฝ่ายสูรอัมพัฏฐะ ได้ทราบว่าพระผู้มีพระภาคเสด็จมาอีกก็คิดว่า “ธรรมดาการเสด็จไป
    ในที่ไหน ๆ แบบไม่แน่นอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้นไม่มีเลย เหตุไฉนหนอ พระพุทธองค์
    เพิ่งจะเสด็จกลับไปได้ไม่นาน จึงเสด็จกลับมาประทับยืนดังเดิมอีก” เมื่อคิดดังนี้แล้ว ก็รีบออก
    ไปถวายการต้อนรับกราบถวายบังคมแล้วยืน ณ ที่อันสมควรแก่ตน พลางกราบทูลว่า
    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงกระทำภัตกิจในเรื่องของข้าพระองค์แล้ว เพราะ
    เหตุไรพระองค์จึงเสด็จมาอีกพระเจ้าข้า ?”
    มารในรูปของพระพุทธองค์กล่าวว่า
    “ดูก่อนสุรอัมพัฏฐะ เรากล่าวธรรมแก่ท่านไม่ทันได้พิจารณาโดยได้กล่าวไปว่า
    ปัญจขันธ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หมายถึงทุกอย่างนั้น แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็น
    อย่างนั้นทั้งหมด เพราะว่า ขันธ์บางอย่างบางพวก ที่เป็นของเที่ยง มั่นคง ยั่งยืน ก็มีอยู่”

    มารร้ายพ่ายพระ
    สูรอัมพัฏฐะ ได้ฟังดังนั้นแล้วคิดว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องหนักอย่างยิ่ง ด้วยว่าพระพุทธเจ้า
    ทั้งหลายย่อมไม่ตรัสคำที่เป็นสอง” จึงคิดต่อไปอีกว่า “ขึ้นชื่อว่ามารทั้งหลายย่อมเป็นข้าศึกต่อ
    พระพุทธองค์ ท่านผู้นี้คงจะต้องเป็นมารแน่” จึงกล่าวถามไปตรง ๆ ว่า “ท่านเป็นมารหรือ ?”
    ด้วยถ้อยคำของพระอริยสาวกกล่าวเพียงเท่านั้น ประหนึ่งว่าเอาขวานฟันลงบนศีรษะ
    มารนั้น จนไม่สามารถจะดำรงภาวะของตนได้ จึงกล่าวรับว่า “ใช่แล้ว เราเป็นมาร”
    สูรอัมพัฏฐะ จึงชี้หน้าว่ากล่าวสำทับไปว่า

    “แม้มารตั้งร้อยตั้งพัน ก็ไม่สามารถทำ
    ศรัทธาของเราให้หวั่นไหวได้ พระพุทธองค์เมื่อทรงแสดงธรรมแก่เรา ก็ทรงแสดงปลุกเราให้
    ตื่นจากอวิชชาว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ดังนั้น ท่านจงอย่ามายืน
    ใกล้ประตูเรือนของเรา จงออกไปในบัดนี้”

    มารได้ฟังคำของอุบาสกแล้ว ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ รีบถอยกรูด ๆ ออกไปโดยไม่พูด
    จา อันตรธานหายไปจากที่นั้นในทันที
    เย็นวันนั้น สูรอัมพัฏฐอุบาสก ได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคกราบทูลเนื้อความให้ทราบ
    โดยตลอดแล้ว พระพุทธองค์ทรงปรารภเหตุนั้น และได้ประกาศยกย่อง สถาปนาสูรอัมพัฏฐ
    อุบาสก ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลาย ในฝ่ายผู้ให้ของเจริญจิต คือ ผู้
    มีศรัทธาไม่หวั่นไหว

    อนาถปิณฑิกเศรษฐี
    เอตทัคคะในฝ่ายผู้เป็นทายก
    http://palungjit.org/threads/มารแปลงร่างเป็นพุทธเจ้า.363161/
     
  14. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    วิธีรักษาพระไตรสรณคมน์ไม่ให้ขาดและไม่ให้เศร้าหมอง ดังนี้คือ :-

    ๑. เป็นผู้ตั้งอยู่ในความเคารพ ๖ ประการ คือ เคารพในพระพุทธเจ้า ๑ เคารพในพระธรรม ๑ เคารพในพระอริยสงฆ์สาวก ๑ เคารพในความไม่ประมาท ๑ เคารพในไตรสิกขา ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ๑ เคารพในปฏิสันถารการต้อนรับ ๑ ต้องเป็นผู้มีความเชื่อ ความเลื่อมใส นับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก ของตนจริงๆ ถ้าประมาทเมื่อไรก็ขาดจากคุณพระรัตนตรัยเมื่อนั้น

    ๒. เว้นจากการนับถือพระภูมิต่างๆ คือ ไม่นับถือภูตผีปีศาจ พระภูมิเจ้าที่ เทวบุตร เทวดา มนต์ คาถา วิชาต่างๆ ต่อไป ถ้านับถือเมื่อไรก็ขาดจากคุณพระรัตนตรัยเมื่อนั้น

    ๓. ไม่เข้ารีตเดียรถีย์ นิครณฐ์ คือไม่นับถือลัทธิ วิธี ศาสนาอื่น ภายนอกพระพุทธ ศาสนามาเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลีกของตนสืบต่อไป ถ้านับถือเข้ารีตเดียรถีย์เมื่อไร ก็ขาดจากคุณพระรัตนตรัยเมื่อนั้น

    ๔. ไม่นับถือลัทธิศาสนาพราหมณ์ คือไม่ดูไม้ดูหมอ แต่งแก้แต่งบูชา เสียเคราะห์เสียขวัญ เป็นต้น ถ้านับถือเมื่อไรก็เศร้าหมองในคุณพระรัตนตรัยเมื่อนั้น

    ๕. เป็นผู้เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม เช่น เชื่อว่า ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีได้ดีเป็นต้น ตลอดจนเชื่อความตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่สุด ไม่เชื่อมงคลตื่นข่าว ข้อนี้ต้องเป็นผู้มีสมาธิเสมอ ถ้าขาดสมาธิเมื่อไรก็ขาดศรัทธาความเชื่อมั่นนั้น ถ้าขาดศรัทธาความเชื่อเมื่อไรก็เศร้าหมองในคุณพระรัตนตรัยเมื่อนั้น

    หนังสือพระไตรสรณคมน์และสมาธิวิธี
    พระญาณวิศิษฎ์สมิทธิวีราจารย์ (พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม)
    วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา
    http://palungjit.org/threads/วิธีรักษาพระไตรสรณคมน์ไม่ให้ขาดและไม่ให้เศร้าหมอง.370960/
     
  15. ปานโสม

    ปานโสม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +18,151
    พอจะเข้าใจค่ะ

    การที่ผู้นับถือ พระภูมิเจ้าที่ ผี เทวดา
    หากนับถือไปโดยอุกฤษ์ อย่างที่สุด
    (แถวบ้านชาเป็นกันมาก ไหว้แต่ผี กะเทวดา พระไม่ไหว้ ไม่นับถือ)
    และไม่นับถือ คุณพระรัตนไตรเป็นที่สูงสุด ก็จัดเป็นมิจฉาทิฏฐิ

    ชาเคารพในธรรมและศีล ของเทวดาสัมมา เทวดาสัมมามีธรรมสูงกว่าเราๆก็มี
    ก็ไหว้ท่านตามวาระ เพราะเป็นผู้ใหญ่ของตระกูล เหมือนไหว้ บรรพบุรุษ
    ผีตายาย ชาก็ไหว้ ต้องเอาใจท่าน เพราะท่านแช่งเก่ง ตระกูลชาแช่งเก่ง
    ลูกหลานไม่ค่อยเจริญ เพราะแช่งกันไว้มาก
    เป็นมิจฉาทิฎิกันมาก มีนรกและทุกขภูมิเป็นที่ไป
    ก็ต้องส่งใจร่มๆ เย็นๆไปให้ พาทำให้เห็น
    ไม่งั้นก็ไม่รู้หรอก ว่าธรรมสัมมาเป็นยังไง

    ก็ถ้าเราเคารพคุณพระรัตนไตร ยึดเป็นสรณะสูงสุด
    จิตเกาะพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ ได้เสมอๆแล้ว
    ก็จะไม่ยึดอะไรที่เป็นอื่นแล้วก็จริงเหมือนกัน
    เพราะเทวดาสัมมานี่ ท่านก็ยึดคุณพระศรีรัตนไตร สูงสุด
     
  16. bombybamby

    bombybamby Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +46
    ผมอาจไม่ได้ยกมือไหว้ แต่ส่งใจไประลึกถึงคุณงามความดี ให้เป็นเทวดานุสติครับ
     
  17. chuchart_11

    chuchart_11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +2,932
    ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมใดที่ท่านสำเร็จแล้ว ขอข้าพเจ้าสำเร็จด้วยเทอญ สาธุๆๆ
     
  18. porntips

    porntips เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,410
    ไหว้แทบจะทุกที่ๆเห็น เหมือนเจอผู้ใหญ่แล้วยกมือไหว้ทำความเคารพน่ะครับ แต่ไม่ได้ยึดมาเป็นสรณะสูงสุดในการปฏิบัติธรรม คงไม่ขาดจากการเป็นพุทธหรอกครับท่านเจ้าของกระทู้ เครียดไปเปล่า
     
  19. รพินทร์นาถ

    รพินทร์นาถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +844
    ผมว่าถ้าถามหลวงตา ที่เทวดายังต้องมาฟังธรรมจากท่าน ท่านก็คงไม่ต้องไหว้ แต่ถ้ามนุษย์ที่ใควว่ามีบุญมากกว่าเทวดา ก็ขอให้เร่งปฎิบัติก่อน ค่อยคิดว่าเราสูงกว่า การไหว้เป็นของคนอ่อนน้อม การขอเป็นของที่คนขาดทำ ส่วนถ้าไหว้ดะขอดะ เป็นของ ผู้สมัครเลือกตั้ง 5555555 การหยิบยกพระสูตรบทหนึ่งบทใดมันยากเกินไป ให้ใช้ใจตึงตรองก็จะเห็นเหตุเห็นผล ดังที่สมเด็จโตไหว้กองดิน จนเณรและพระลูกวัดเรียนถาม .....
     
  20. al-qaeda

    al-qaeda Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +25
    ที่ไหว้ เพราะเทวดา หรือเทพ มีศีล 5 มากกว่า มนุษย์
    หากท่าน มีศีล 8 ท่านก็สูง กว่า เทพ เทวดา
    พระสงฆ์ มีศีล 227 เทพ เทวดา ก็เคารพ ท่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...