เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตอบคำถามคุณ Chayutt ข้อ 3

    พี่นักเขียนไม่ขอนำคำนิยามจากหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัย ไปเปรียบเทียบกับคำนิยามอื่นๆในศาสนาใด เพราะไม่ใช่ผู้รู้เกี่ยวกับศาสนศาสตร์ ข้อมูลความรู้ของท่านอาจารย์อนาลัยไม่ได้อิงศาสนาใดเป็นการจำเพาะหรือเป็นพิเศษ ขอให้ผู้อ่านตีความหมายไปตามคำอธิบายของท่าน หากพยายามตีความหมายให้ตรงกับหลักศาสนาใด รังแต่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งและถกเถียงกันโดยเปล่าประโยชน์ด้วยความแปลกแยกของการใช้ภาษาและการให้คำจำกัดความ

    เมื่อคุณ Chayutt รับคำว่า มนุษย์ต่างดาว และจิตจักวาลได้ ซึ่งพี่นักเขียนเชื่อว่า เป็นคำที่ไม่ได้ปรากฏในพระคัมภีร์พุทธศาสนา ก็คงจะพอรับคำว่าตัวตนรวมได้ไม่ยากไปกว่ากัน
    (rose)(rose)(rose)
     
  2. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตอบคำถามคุณ Chayutt ข้อ 4

    แม้ว่าพี่นักเขียนไม่ใช่ผู้รู้ทางพุทธศาสนา แต่เชื่อว่าพระพุทธองค์ไม่ได้ทรงสอนเรื่องมนุษย์ต่างดาว
    และไม่ได้ทรงสอนเรื่องจิตจักรวาล แต่คุณ Chayutt ก็ดูเสมือนจะรับเอาได้โดยสดวกใจ
    หากคำอธิบายจากมนุษย์ต่างดาวและจากจิตจักรวาล ขยายความรู้ให้คุณ Chayutt ได้
    พี่นักเขียนเชื่อว่า คุณ Chayutt ก็คงมีที่พอใส่ข้อมูลความรู้ของท่านอาจารย์อนาลัยได้
    ไม่น้อยไปกว่ากัน

    พี่นักเขียนเชื่อว่า การแสวงหาความรู้ใดๆ หากเราพยายามเอาความรู้เดิมที่มีอยู่เดิมมาสร้างกรอบหรือแบบแผน เรามักจะประสพกับปัญหาความขัดแย้งมากมาย เพราะกรอบเดิมแม้ว่าจะมีขนาดหรือปริมาตรไม่น้อยไปกว่าปริมาณหรือปริมาตรของข้อมูลใหม่ แต่อาจมีสัณฐานต่างกัน เช่น อุปมาอุปมัยว่า กรอบเดิมมีสัณฐานเป็นวงกลม และเราพยายามนำความรู้ใหม่ที่มีสัณฐานเป็นสามเหลี่ยมมาใส่ลงไป ปลายของสามเหลี่ยมอาจจะไม่สามารถบรรจุเข้าไว้ในวงกลมเดิมนั้นได้ ฉันท์ใดก็?ฉันท์นั้น เมื่อเรานำเอาคำนิยามเดิมและความรู้เดิมขึ้นมาตีกรอบไว้เพื่อรับความรู้ใหม่ มันย่อมเข้ากันสนิทไม่ได้

    แต่ถ้าหากเราเปิดใจกว้าง เราอาจพบว่า ความรู้เดิมที่มีสัณฐานเป็นวงกลม มีคุณค่าสำหรับเราในทิศทางหนึ่ง และความรู้ใหม่ที่มีสัณฐานเป็นสามเหลี่ยม ก็มีคุณค่าสำหรับเราในอีกทิศทางหนึ่ง และสองทิศทางนี้ อาจทำให้เราสามารถแตกแขนงความรู้ทั้งสองได้ ทำให้ก่อเกิดความรู้สัณฐานใหม่ๆขึ้นอีกมากมาย
    (rose)(rose)(rose)(rose)
     
  3. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตอบคำถามคุณ Chayutt ข้อ 5

    จากหนังสือ อมตะแห่งจิตวิญญาณ-ภาคต้น ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้แต่แรกเริ่มว่า การอธิบายเกี่ยวกับชาติภพ ชีวิตหลังความตาย ชีวิตก่อนมาถือกำเนิด และชีวิตนอกเหนือชาติภพ ล้วนเกี่ยวพันกับความเป็นไปของจิตวิญญาณ ซึ่งตามธรรมชาติแล้วอยู่นอกเหนือเครื่องพรางของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา สิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตวิญญาณจึงเป็นไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน

    แต่ท่านจำเป็นจะต้องอธิบายถึงสาระเหล่านี้ตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก เมื่อท่านกล่าวถึงการหลงทางด้วยความเชื่อที่ทำให้จิตวิญญาณยีดติดกับภาวะที่เรียกว่าสวรรค์หรือนรก ท่านกล่าวว่า มันจะเป็นไปอยู่ได้ไม่นานเพราะในที่สุดจิตวิญญาณที่ยึดติดกับภาวะอันเรียกว่าสวรรค์จะพบว่า การยึดติดกับภาวะนั้นทำให้จิตวิญญาณหยุดนิ่ง-ไม่ก้าวหน้า และพบว่ายังมีพัฒนาการอื่นๆที่จิตวิญญาณจะดำเนินต่อไปได้อีกอย่างไม่มีวันจบสิ้น ส่วนจิตวิญญาณที่ยึดติดกับนรก ซึ่งหมายถึงจิตวิญญาณทีจนปัญญาและหมดหนทางแก้ไขให้ภาวะจิตดำเนินต่อไปในภาวะที่ดีกว่าเดิม จะได้รับการอบรมจากจิตวิญญาณที่เป็นมัคคุเทศก์หรือเป็นผู้นำทาง ซึ่งจะช่วยเหลือแนะนำให้เรียนรู้ที่จะใช้ปัญญาให้พ้นจากขุมนรกหรือภาวะอันเป็นทุกข์

    กาลเวลาที่ท่านกล่าวว่า-ไม่นาน จึงหมายถึงว่า-ไม่ใช่เวลาชั่วกัลปวสาน ไม่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ แต่ท่านไม่ได้หมายถึงเวลาอันเป็นตัวเลขจริงๆ หรือระยะเวลาที่เรียกว่าไม่ถึงข้ามปีจริงๆตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก เพราะภาวะของจิตวิญญาณที่แท้จริงปราศจากกาลเวลา คำกล่าวของท่านเป็นเพียงอุปมาอุปมัยให้เราเข้าใจได้เท่านั้นว่า จิตวิญญาณดำเนินไปในภาวะนั้นๆนานเพียงไรหากอุปมาอุปมัยกับกาลเวลาที่เรารู้จัก

    พี่นักเขียนไม่ได้ทราบว่า พระคัมภีร์ทางพุทธศาสนาเปรียบเทียบคำว่า-พันปี-กับเวลาของโลก หรือเป็นเพียงคำกล่าวที่เป็นอุปมาอุปมัยว่า ยาวนาน

    พระอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งเป็นพระธรรมฑูตไทยประจำอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ที่ได้นำพี่นักเขียนไปแสวงบูญ ณ ยอดเขาหิมาลัย ท่านได้ศึกษาอยู่ในประเทศอินเดียเป็นเวลากว่า 20 ปี และจำวัดอยู่ที่กุสินารา ท่านพูดภาษาฮินดีได้ดี ท่านกล่าวว่า คำว่าห้าร้อยในความหมายที่แท้จริงของฮินดี แปลว่ามากมายมหาศาล คนจีนอาจกล่าวว่า การเดินทางแสนลี้ หรือสรรพสิ่งหมื่นสรรพสิ่ง ฝรั่งกล่าวว่า Ten Thousand Things คนไทยกล่าวว่า ห้าร้อยจำพวก คำกล่างเหล่านี้ไม่ได้หมายถึงตัวเลขและปราศจากจำนวนที่แท้จริง แต่เป็นเพียงการแสดงออกซึ่งความหมายที่ว่ามากมายเท่านั้น จะเปรียบว่าของไทยเราแค่ 500 ของฝรั่งแค่ 10,000 และของจีน 100,000 และตัดสินว่า คำว่ามากมายของไทยน้อยกว่าจีนหรือฝรั่ง ก็คงเป็นการเปรียบเทียบที่ทำให้ความหมายกลางซึ่งแปลว่า-มากมาย-หายไป การเปรียบเทียบตัวเลขในที่นี้นอกจากจะสูญเสียความหมายที่แท้จริงไปแล้ว ยังก่อให้เกิดความขัดแย้งตามมาอีก

    พระอาจารย์ได้กล่าวอีกว่า ที่พระคัมภีร์กล่าวถึงการตรัสรู้และระลึกได้ถึงชาติภพอื่นๆของพระพุทธองค์ได้ 500 ร้อยชาตินั้น เป็นการตีความหมายที่มักบิดเบือนไปด้วยความไม่เข้าใจในภาษาในทิศทางเดียวกันนี้ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว พระคัมภีร์ต้นฉบับหมายถึง การระลึกถึงชาติภพอื่นๆได้มากมายมหาศาล เมื่อพระคัมภีร์เดียวกันถูกนำไปแปลเป็นภาษาจีน สายใดแปลเป็นจำนวน 500 ตรงๆ ก็โต้แย้งกันต่อไปอีกไม่มีวันจบสิ้น เพราะคำว่ามากมายของแต่ละชาติภาษา หากใช้เป็นตัวเลขแล้ว-มากไม่เท่ากัน ชนชาติที่ว่าแสนคือมาก เมื่อรับเอาข้อมูลว่าพระพุทธองค์ระลึกชาติได้ 500 ชาติ ก็อาจจะว่า-ระลึกได้เพียง 500 ชาติภพเท่านั้น เพราะถ้าระลึกได้มากมายมหาศาลแล้ว ฝรั่งก็ต้องว่า หมื่นชาติ จีนก็ต้องว่า แสนชาติ เป็นต้น
    (rose)(rose)(rose)(rose)(rose)
     
  4. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตอบคำถามคุณ Chayutt ข้อ 6-7


    ข้อ 6 เห็นว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นเฉยๆ ไม่ใช่คำถาม จึงขอข้ามไปตอบข้อ 7 นะคะ

    ที่ว่าขัดแย้งกับพุทธศาสนาสุดๆนั้น พี่นักเขียนเชื่อว่า คุณ Chayutt อาจต้องตั้งคำถามตนเองไม่มากก็น้อยว่า เรามีความรู้ที่ตั้งอยู่ ณ จุดศูนย์กลางของพุทธศาสนอย่างแท้จริงหรือเปล่า เราจึงจะสามารถตัดสินได้ว่า สิ่งที่เราพบเห็นหรือเรียนรู้ใหม่นั้น ห่างจากจุดศูนย์กลางนั้นมากน้อยเพียงใด หากเราอยู่เหลื่อมจากจุดศูนย์กลางออกไปเพียงก้าวเดียว แต่เราเชื่อว่าเราอยู่ ณ จุดศูนย์กลาง สิ่งที่อยู่ถัดเราไปเพียงก้าวเดียว และไม่ใช่เนื้อแท้ของวงกลมนั้น ก็อาจทำให้เข้าใจผิดได้ง่ายๆว่า มันคือส่วนของวงกลมเดียวกับเรา แต่ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่อยู่ในวงกลมอย่างแท้จริง กลับหลุดออกไปอยู่นอกรัศมี ทำให้เราเข้าใจผิดว่ามันไม่ใช่ส่วนของเรา

    พุทธศาสนาเกิดขึ้นหลังการปรินิพานของพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกันกับที่คริสต์ศาสนาเกิดขึ้นหลังการตายของพระเยซู กลุ่มชนผู้บริหารศาสนาในยุคสมัยโบราณ ล้วนบริหารการเมืองด้วยการใช้ศาสนาเป็นกลไก ซึ่งแตกต่างไปจากโลกในยุคปัจจุบัน ซึ่งการเมืองแยกออกจากศาสนา แม้บางประเทศในโลกการแบ่งแยกยังไม่เด็ดขาด และยังคงเป็นไปในลักษณะเดิม ซึงก่อให้เกิดสงครามก็มี แต่คนจำนวนมากที่นับถือศาสนาหนึ่งๆ มักจะนับถือ ศรัทธา เชื่อ โดยไม่เคยตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองนับถือว่า สิ่งที่เราได้รับนั้นถูกต้องตามต้นกำเนิดของข้อมูลความรู้ที่บุคคลผู้ค้นพบธรรมชาติความเป็นจริง ที่กลายมาเป็นศาสนาในภายหลังหรือไม่

    แม้ตามหลักพุทธศาสนาเอง เราจะพบว่าการตีความหมายพระคัมภีีร์ที่ปรากฏในหนังสือก็ผิดเพี้ยนไปเรื่อยๆตามกาลสมัย ทำให้ศาสนาพุทธแบ่งแยกเป็นนิกายต่างๆ และแม้แต่นิกายหนึ่งๆ ก็ยังแปลกแยกไปอีกตามวัฒนธรรมของโลก ภาษาพูดดั้งเดิมของพระพุทธองค์นั้นคือ ภาษา Maagadhii แต่ภาษาที่ใช้บันทึกคำสอนของพระพทุธองค์นั้นคือภาษา สันสกฤต และ บาลี การบันทึกพระคัมภีร์ล้วนมีการตีความหมายหลายทอดจาก Maagadhii มาเป็น บาลี สันสกฤต จีน กว่าจะถูกแปลเป็นฉบับภาษาไทยก็ผ่านการแปลมาแล้วหลายทอด และหลายการเปลี่ยนแปลงกว่าจะมาสู่สายตาเราในปัจจุบัน

    เราไม่อาจสีบสาวกลับไปหาข้อมูลต้นฉบับได้ แต่คนจำนวนมากก็มักจะรับเอาโดยปริยายว่า พระคัมภีร์ที่ปรากฏเป็นฉบับภาษาไทย ฉบับที่อยู่ในมือเรานั้น บรรจุด้วยข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องตามความเป็นจริงทั้งหมด ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว-แม้แต่คนสองคนซึ่งอ่านพระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับเดียวกัน ก็อาจตีความหมายพระคัมภีร์แตกต่างกันไปอีกไม่มากก็น้อย ทั้งนี้ไม่ต้องกล่าวถึงการรับเอาสาระที่เรารับฟังต่อมาอีกหลายทอด ปากต่อปาก โดยไม่ได้ศึกษาจากพระคัมภีร์ฉบับใดๆโดยตรง แต่ไม่ว่าเราแต่ละคนจะตึความหมายพระคัมภีร์อย่างไร - เราก็เชื่อและรับเอาโดยปริยายว่า ความหมายที่เราตีความตามความเชื่อส่วนบุคคลนั้น เป็นความเป็นจริง

    เมื่อเรานำเอาความหมายที่เราเรีียกอย่างเป็นส่วนตัวนั้นว่า ความเป็นจริง ไปเทียบเคียงกับสาระของข้อมูลที่ถูกตีความหมายมาจากแหล่งอื่นๆ บ่อยครั้งเราจะพบความขัดแย้ง เช่น ขัดแย้งกับความคิดของผู้อื่นในศาสนาเดียวกัน หรือ ขัดแย้งกับความคิดของศาสนาอื่นๆ ความเป็นจริงเหล่านี้จะพบได้จากการที่ศาสนาเดียวกันมีหลากหลายนิกาย แต่ละนิกายไม่เพียงแต่จะมีระเบียบวินัยแตกต่างกันไป แม้ว่าวินัยก็มีปรากฏในพระคัมภีร์ด้วยเช่นกัน แต่เราก็ไม่เคยตั้งคำถามว่า เหตุใดความแตกต่างเหล่านี้จึงปรากฏ

    เราก็ไม่เคยตั้งคำถามว่า นิกายใดคือนิกายที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ และนิกายใดเป็นนิกายที่เกิดขึ้นภายหลังแปลกแยกไปจากพระคัมภีร์ การจะเรียกร้องให้นิกายใดตรวจสอบหรือระบุความเป็นจริงต่างๆ ใครคือผู้เลือกว่านิกายใด ควรตรวจสอบพระคัมภีร์ฉบับใด ? เหล่านี้ล้วนเป็นสาระที่พี่นักเขียนไม่ได้กล่าวขึ้นเพื่อกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งแต่ประการใด เพียงแต่กล่าวตามความเป็นจริงเพื่อให้พวกเราลองพิจารณาดูว่า ความเชื่อ กับความเป็นจริง ที่เราทั้งหลายยึดถืออยู่นี้ เราจะทราบได้อย่างไรว่า มันเป็นเพียงความเชื่อที่เรายึดถือว่าคือความเป็นจริง และอะไรคือความเป็นจริงที่แท้จริง

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า ธรรมชาติความเป็นจริงเป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในทุกศาสนา และเราจะเห็นได้ไม่ยากว่าอะไรคือความเชื่อที่ถูกกำหนดขึ้นโดยกลุ่มบุคคลผู้บริหารศาสนา และอะไรคือธรรมชาติความเป็นจริงที่ปรากฏในศาสนา เพราะความเป็นจริงทั้งหลายนอกจากจะปรากฏในทุกศาสนาแล้ว ย่อมปราศจากความขัดแย้ง

    สาระที่เป็นมรดกตกทอดมาจากคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วพี่นักเขียนเห็นว่า แม้จะถูกแปลเป็นหลายภาษา และอาจจะใช้คำแปลที่เคลื่อนไปบ้าง แต่สาระหลักๆมักเป็นสิ่งที่สะดุดความคิดของผู้อ่านทุกชาติภาษา ซึ่งเป็นส่วนของข้อมูลที่พีนักเขียนเชื่อว่า แม้จะเพี้ยนไปด้วยการแปลหลายทอด แต่ก็น่าจะคงสาระไว้ได้มากกว่าส่วนอื่นๆของพระคัมภีร์ เพราะเป็นสาระที่ไม่เคยก่อให้เกิดความข้ดแย้ง แต่ก็เป็นสาระที่มีคุณค่าและเป็นที่ยกย่องของชาวโลกทุกชาติ ภาษา และศาสนา และเป็นคำกล่าวที่ถูกนำไป Quote ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามากว่า 2000 ปี ในหนังสือทุกหมวดความรู้ สาระเหล่านี้ได้แก่พุทธศาสนสุภาษิต

    ในที่นี้ พี่นักเขียนไม่ขอตีความหมายคำว่ากรรมจากมุมมองส่วนตัว แต่ขอนำบทความจากพระคัมภีร์ฉบับภาษาไทยที่อ่านพบมาให้พิจารณากันว่า เมื่อพระพุทธองค์ได้แสดงธรรมไว้ว่า ชีวิตของคนเราไม่ได้ถูกกำหนดด้วยชะตา หรือพรหมลิขิตที่เมื่อเราถือกำเนิดมาแล้ว เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราไปในทิศทางใดๆไม่ได้ เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง แต่ละคนเกิดมาไม่ต้องคิดทำอะไร เป็นเพียงพรหมลูกฟัก ปราศจากแขนขา นอนกลม-กลิ้งไปวันๆ-ก็พอแล้ว เพราะเราปราศจากอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าไปเสียแล้ว

    แต่พระพุทธองค์กล่าวว่า ชีวิตของเราไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น เราสามารถแก้ไขและเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
    ซึ่งหมายความว่า แก้ไขและเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้ด้วยการกระทำในทิศทางที่เป็นกุศล การฝึกปฏิบัติตน และ การศึกษาหาความรู้

    ดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า
    โยคา เว ชายเต ภูริ
    ปัญญา ย่อมเกิดขึ้น เพราะการฝึกฝน

    อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา
    บัญฑิตย่อมฝึกตน

    สากจฺฉาย ปญฺญา เวทิตพฺพา
    ความมีปัญญา ย่อมรู้ได้จากการสนทนา

    พุทธสุภาษิตเหล่านี้ทำให้พี่นักเขียนตระหนักว่า คำสอนของท่านอาจารย์อนาลัยนอกจากจะคล้องจองกับคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว ยังสนับสนุนและชีัแนะให้พวกเราฝึกปฏิบัติ โดยเน้นให้ฝึกสติสัมปชัญญะให้คมชัด และให้ศึกษาหาความรู้ ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า เป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณคือ การเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้

    หากผู้ที่อ่านหนังสือชุดนี้แล้วเกิดความรู้สึกหวั่นไหว เนื่องจากรู้สึกว่า ข้อมูลความรู้จากหนังสือชุดของท่านอาจารย์อนาลัยขัดแย้งกับความเป็นจริงที่ตนเองศึกษามาจากพุทธศาสนา พี่นักเขียนเชื่อว่าเราจะพิสูจน์ได้ไม่ยากว่า อะไรคือความรู้และความเป็นจริง และอะไรเป็นเพียงความเชื่อ

    หากสิ่งที่เรารู้ คือความรู้ที่แท้จริง มันย่อมหวั่นไหวไม่ได้
    กล่าวคือ หากข้อมูลความรู้ที่เรารับมาจากพุทธศาสนา หรือศาสนาใดๆก็ตาม
    เป็นความรู้ที่เราตีความหมายได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง ความรู้นั้นๆย่อมมั่นคงถาวร
    และไม่อาจทำให้เราหวั่ันไหวหรือสะทกสะท้าน เพราะเมื่อจิตวิญญาณได้รับความรู้ที่แท้จริง
    กล่าวได้ว่า ความเชื่อที่ผิดได้เปลี่ยนเป็นความรู้แล้ว ซึ่งหมายถึงว่าจิตวิญญาณได้บรรลุเป้าหมายสูงสุดแล้วในสาระนั้นๆ มันจะหวั่นไหวไม่ได้ เพราะความรู้คือแก่นแท้ของจิตวิญญาณ เมื่อส่วนใดของความเชื่อแปลงสภาพเป็นความรู้
    มันก็แปลงสภาพเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ มันจะเป็นอื่นต่อไปอีกไม่ได้ มันจึงมั่นคงถาวรเสมือนจิตวิญญาณต้นกำเนิด

    แต่ถ้าหากข้อมูลความรู้ที่เรารับมาเป็นสิ่งที่เราตีความหมายตามความเชื่อส่วนบุคคล
    ซึ่งทำให้เรามีความเชื่ออื่นๆตามมาอีกมากมาย ซึ่งยังไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริง
    ความเชื่อนั้นๆย่อมหวั่นไหวเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราเผชิญกับข้อมูลความรู้อื่นๆที่แตกต่างไป

    พุทธศาสนสุภาษิต
    นัตถิ ปัญญา สะมา ลาภา
    แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี

    หลักคำสอนของพระพุทธองค์ที่ชาวพุทธรู้จักดีคีือ
    อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
    ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน


    คำกล่าวนี้แม้จะเป็นที่ยอมรับของคนจำนวนมากที่เรียกตนเองว่า ชาวพุทธ
    แต่คนจำนวนมากกลับมองไม่เห็นว่า สังคมทุกวันนี้นำเสนอให้คนเราพึ่งวัตถุที่อยู่ภายนอก
    แทนที่จะพึ่งสติปัญญาของตนเอง แต่ท่านอาจารย์อนาลัยกำลังสอนให้เราพึ่งตนเอง

    พุทธศาสนสุภาษิต:
    ปญฺญาว ธเนน เสยฺโย
    ปัญญาย่อมประเสริฐกว่าทรัพย์


    คำกล่าวนี้ก็เป็นพุทธสุภาษิตอีกเช่นกัน ซึ่งพี่นักเขียนเชื่อว่า พวกเราที่ได้อ่านหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัย และเข้าใจในความหมายได้อย่างถ่องแท้จะพบว่า ท่านอาจารย์อนาลัยสอนให้เราชนะตนเองอยู่เสมอ ด้วยการขจัดความเชื่อในทางที่ผิด ฝึกปฏิบัติให้มีสติสัมปชัญญะให้คมชัดเพื่อทำให้เราสามารถติดตามรู้เห็น อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกในแง่ลบของตนเองที่ก่อให้เกิดประสบการณ์ชีวิตในแง่ลบที่เราไม่พึงปรารถนา
    (rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)
     
  5. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตอบคำถามคุณ Chayutt ข้อ 8

    เมื่อพูดถึงนรก-สวรรค์ เราต่างก็ตีความหมายของนรก-สวรรค์ไปตามความเชื่อส่วนบุคคลอีกไม่มากก็น้อย
    แม้นรกของไทยหรือนรกของพุทธศาสนา ก็แตกต่างไปจากนรกฝรั่งหรือนรกของคริสต์ศาสนาอยู่แล้วอย่างเห็นได้ชัดจากจินตนาการที่ปรากฏให้เห็นในภาพยนต์

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนในหนังสือ โนวา อนาลัย ขยายความธรรมชาติของชาติภพ บทที่ 9 หน้า 123-126 ว่า

    สวรรค์และนรกเป็นภพภูมิซึ่งพวกเธอส่วนมากเข้าใจกันไม่ค่อยถูกต้อง ทั้งสวรรค์และนรกไม่ใช่สถานที่ ไม่กินเนื้อที่ ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีระยะทางจากโลกมนุษย์ไปสู่สวรรค์หรือนรก ไม่มีการเดินทางและไม่มีการใช้เวลาเพื่อไปให้ถึง ทั้งสวรรค์และนรกเป็นสภาวะแห่งอารมณ์ของจิตวิญญาณ เมื่อเธอไม่รู้จักธรรมชาติแห่งความเป็นจริงว่า จิตวิญญาณยังคงดำเนินวิถีชีวิตต่อไปโดยมีอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดไม่น้อยไปกว่าสภาวะในร่างกายของมนุษย์ เพียงแต่ว่าอารมณ์ของจิตวิญญาณไม่ได้ขึ้นอยู่กับประสาทสัมผัทั้งห้า แต่ขึ้นอยู่กับความรู้-ความละเอียดอ่อนของจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
     
  6. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตอบคำถามคุณ Chayutt ข้อ 9

    พี่นักเขียนขอคัดลอกเพียงบางส่วนของบทความจากหนังสือ อมตะแห่งจิตวิญญาณ-ภาคปลาย บทที่ 15 ธรรมชาติของความดี-ความชั่ว ซึ่งยังมีสาระอีกมากมายที่ท่านอาจารย์อนาลัยได้ให้รายละเอียดของความสำคัญของ"นักพูด" เพื่อให้ผู้ที่ยังไม่มีโอกาสอ่านหนังสือได้เข้าใจว่า บทบาทของ"นักพูด" ตามคำกล่าวของท่านอาจารย์อนาลัย ไม่ใช่บทบาทที่ท่านไม่ให้ความสำคัญ ในทางตรงกันข้ามเป็นบทบาทที่สำคัญต่อโลกมนุษย์เป็นอย่างสูง ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวว่า

    ในอดีตกาลมนุษย์ผู้ล่วงรู้โลกแห่งความเป็นจริงภายในเป็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2007
  7. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตอบคำถามคุณ Chayutt ข้อ 10

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า เราทั้งหลายจะเลือกมาถือกำเนิดในวงจรของชาติภพเป็นมนุษย์ จนกว่าเราจะเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตได้จนบริบูรณ์แล้ว จิตวิญญาณของเราก็จะดำเนินชีวิตต่อไปนอกเหนือวงจรของชาติภพ เหตุผลที่จิตวิญญาณที่ถือกำเนิดเป็นมนุษย์-ชาติภพแล้ว-ชาติภพเล่าโดยไม่ไปถือกำเนิดเป็นสัตว์โลกชนิดอื่นๆจนกว่าบทเรียนในการเป็นมนุษย์จะบริบูรณ์ เป็นเพราะจิตวิญญาณบันทึกความทรงจำข้ามชาติภพ ซึ่งทำให้มีแนวโน้มที่จะเป็นไปในชาติภพอื่น ซึ่งแนวโน้มนั้นๆแปลงสภาวะเป็นโครโมโซมส่วนหนึ่ง เป็นยีนส์อีกส่วนหนึ่ง และท่านก็กล่าวว่า ท่านคือจิตวิญญาณที่ปราศจากร่างกายตัวตนที่เป็นเนื้อหนัง เพราะท่านได้ใช้ชีวิตเป็นมนุษย์มามากมายหลายชาติภพเหลือคณานับจนกระทั่ง จิตวิญญาณของท่านเป็นอิสระจากความปรารถนาในวัตถุธาตุ

    จาก โนวา อนาลัย ขยายความธรรมชาติของชาติภพ
     
  8. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตอบคำถามคุณ Chayutt ข้อ 11

    เมื่อวานนี้ ชั่วโมงที่แล้ว หรือแม้แต่นาทีที่แล้วนี้อยู่ที่ไหน เราทำอะไรกับเมื่อวานนี้ ชั่วโมงที่แล้วหรือแม้แต่นาทีที่แล้วนี้ได้หรือไม่

    พรุ่งนี้ ชั่งโมงต่อไป หรือแม้แต่นาทีต่อไปอยู่ที่ไหน เราทำอะไรกับพรุ่งนี้ ชั่งโมงต่อไป หรือแม้แต่นาทีต่อไปได้หรือไม่

    เราทำทุกสิ่งทุกอย่างได้เพียงแค่ในขณะปัจจุบันของเราเท่านั้น เพราะมันเป็นเวลาที่เป็นจริงเพียงเวลาเดียวที่เราเผชิญอยู่เสมอ และเป็นเพียงเวลาเดียวที่เรามีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินชีิวิตไป รู้ได้ เห็นได้ สัมผัสได้ กระทำได้ มีเพียงแค่ปัจจุบัน

    ความเป็นจริงที่ว่าอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต มีอยู่เป็นอยู่พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน นี้อยู่ใกล้ตัวเราเสมือนเส้นผมบังภูเขา แต่เรากลับเข้าใจธรรมชาติความเป็นจริงที่ืท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวนี้ได้ยาก เพราะอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเรา มักคิดย้อนไปสัมผัสกับอดีต กังวลหรือคาดการณ์กับอนาคต แล้วเราก็มักเผชิญกับเหตุการณ์ในอนาคตที่เป็นไปตามอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเรา ที่เรามีให้กับอดีตและอนาคตนั้นจริงๆ แม้ว่าทั้งหมดนี้จะดูเสมือนว่าเกิดขึ้นบนเส้นทางแห่งกาลเวลาเป็นลำดับ 1-2-3 คือ
    1. การทำผิดในอดีต
    2. การมีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด ในปัจจุบัน
    3. การรับผลสืบเนื่องในอนาคต
    เช่นเมื่อเรากังวลกับการกระทำผิดในอดีต และหวาดหวั่นต่อผลลัพธ์ที่เราจะต้องเผชิญในอนาคต เราไม่ได้ตระหนักว่าอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราในปัจจุบันคือ ปัจจัยที่เหนี่ยวนำให้เราต้องเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและอนาคต-ในความคิดของเรา แต่เวลาที่แท้จริงที่เราเผชิญกับมัน ก็ไม่ใช่ภาวะอื่นใด มันเป็นภาวะที่เรียกว่า ปัจจุบันอีกนั่นแหละ

    ท่านอาจารย์อนาลัยจึงกล่าวว่า อำนาจที่แท้จริงของเรานั้นมีอยู่ในปัจจุบัน เพราะเราสามารถจินตนาการถึงอดีตและอนาคตได้ และท่านกล่าวว่า ความคิดเป็นพลังงานที่เมื่อถูกส่งออกไปแล้วไม่สูญหาย ความคิดในขณะปัจจุบันจึงส่งผลกระทบต่ออดีตและอนาคตได้เสมอ อีกนัยหนึ่ง หากเราทำผิด และในขณะปัจจุบัน เรามีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่จดจ่ออยู่กับการแก้ปัญหาในทิศทางที่ดี ให้ประโยชน์แก่ผู้อื่นและตนเอง และคาดหวังผลลัพธ์ที่ดีต่อทุกคน เราก็ย่อมเผชิญกับผลลัพธ์นั้นๆได้ในที่สุด ภาวะหรือเวลาที่เราเผชิญกับผลลัพธ์ที่ดีก็ไม่ใช่ภาวะอื่นใด มันเป็นภาวะที่เรียกว่า ปัจจุบันอีกนั่นแหละ

    ท่านอาจารย์อนาลัยจึงกล่าวว่า เราไม่เพียงแต่จะแก้ไขอดีตหรือสร้างอนาคตได้จากปัจจุบันเท่านั้น แต่เราสามารถสร้างอดีตและแก้ไขอนาคตได้จากปัจจุบันอีกด้วย
    ยกตัวอย่าง หากเราเคยเผชิญกับอดีตที่เศร้าหมอง หากเรามีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในปัจจุบันที่จดจ่อกับอดีต เราก็แทบจะคาดการณ์ได้ไม่ยากว่า อนาคตเราก็จะเศร้าหมองไม่น้อยไปกว่ากัน

    แต่ถ้าหากเราเคยเผชิญกับอดีตที่เศร้าหมอง แต่เรามีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในปัจจุบันที่จดจ่อกับอดีตที่สดใส เราก็แทบจะคาดการณ์ได้ไม่ยากอีกเหมือนกันว่า อนาคตเราก็จะสดใส เพราะสภาวะจิตของเราเปลี่ยนไป เราเปลี่ยนความคิดและความเชื่อไปจากเดิม

    ท่านอาจารย์อนาลัยจึงกล่าวว่า พลังอำนาจของอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเรามีอยู่ในปัจจุบัน

    พุทธศาสนสุภาษิต:
    อนาคตปฺปชปฺปาย อดีตสฺสานุโสจนา
    เอเตน พาลา สุสฺสนฺติ นโฬว หริโต ลุโต
    ชนทั้งหลายผู้ยังอ่อนปัญญา เฝ้าแต่ฝันเพ้อถึง สิ่งที่ยังไม่มาถึง และ
    หวนละห้อยถึงความหลังอันล่วงไปแล้ว จึงซูบซีดหม่นหมอง
    เสมือนต้นอ้อสดที่เขาถอนขึ้น ทิ้งไว้ในกลางแดด

    อตีตํ นานุโสจนฺติ นปฺปชปฺปนฺติ นาคตํ
    ปจฺจุปฺปนฺเนน ยาเปนฺติ เตน วณฺโณ ปสีทติ
    ผู้ถึงธรรม ไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง ดำรงอยู่ด้วยสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ฉะนั้น ผิวพรรณจึงผ่องใส


    (rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)
     
  9. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตอบคำถามคุณ Chayutt ข้อ 11-A

    พี่นักเขียนขอคัดลอกบทความมาจากหนังสือ โนวา อนาลัย ขยายความธรรมชาติของชาติภพ
    ศาสนาล้วนเกิดขึ้นภายหลังการค้นพบธรรมชาติแห่งความเป็นจริงส่วนบุคคล แต่แล้วศาสนาก็พาคนจำนวนมากหลงทางด้วยกฎเกณฑ์และความเชื่อส่วนบุคคลหรือส่วนกลุ่มชนที่มนุษย์ผู้บริหารศาสนาตั้งขึ้น ศาสนาซึ่งบริหารตามความเชื่อของกลุ่มชนจึงไม่อาจเข้าถึงธรรมชาติของความเป็นจริงได้ เธอจะเห็นความเป็นจริงนี้ได้ง่ายๆจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างศาสนา ระหว่างลัทธิความเชื่อ เพราะหากทุกศาสนาและทุกลัทธิความเชื่อยึดถือในธรรมชาติแห่งความเป็นจริงร่วมกัน ความขัดแย้งย่อมไม่ปรากฏ

    เราทุกคนตระหนักดีว่า ความรู้ในโลกทุกสาขาแตกแขนงไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด และเราก็รับเอาความรู้ใหม่ๆมาใช้เสมอ ยกตัวอย่างง่ายๆ เทคโนโลยีการสื่อสาร Internet และสิ่งต่างๆที่ปรากฏให้เราได้ใช้งานอยู่ตรงหน้าเราด้วยเครื่อง computer นี้เป็นสิ่งที่โลกเมื่อร้อยปีที่แล้วไม่รู้จัก ?ณ วันนี้เรารับเอาความแปลกใหม่ของมันมาใช้โดยปราศจากข้อข้องใจ เราเห็น เราทดลองใช้ เราพิสูจน์ได้ว่า เทคโนโลยีเหล่านี้มีคุณค่า และทำให้ชีวิตของเราเป็นไปได้ง่ายดายขึ้น-สะดวกขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้การแสวงหาความรู้ของเราเป็นไปได้กว้างขวางมากขึ้น เราแทบจะไม่ต้องเสียเวลาไปร้านหนังสือ ไปห้องสมุด เพื่อค้นคว้าหาข้อมูลความรู้ที่เราปรารถนาอีกต่อไป เพราะข้อมูลความรู้มากมายปรากฏใน Internet ทุกภาษาในโลก

    แต่เรากลับไม่กล้าพอที่จะมองดู รับเอา หรือลองศึกษา และลองใช้ข้อมูลความรู้ ที่เรา Label กันว่าคือ ศาสนา เหตุใดสาระเกี่ยวกับศาสนาจึงดูเสมือนเป็นของต้องห้าม สิ่งที่เคยปรากฏมาแล้วหลายพันปี กลายเป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้ ไม่มีการพัฒนาต่อกระนั้นหรือ

    ในที่นี้พี่นักเขียนไม่ได้มีเจตนาที่จะท้าทาย หรือกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้ง แต่แสดงความคิดเห็นในฐานะคนไทยที่ใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกนาน อยู่ในสังคมตะวันตกที่ความคิดเห็นส่วนบุคคลเป็นสิ่งที่ทำได้อย่างเป็นอิสระเสมอ และเป็นสังคมที่กล่าวได้ว่ามีความก้าวหน้าในวิทยาการทุกด้าน
    (rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)
     
  10. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตอบคำถามคุณ Chayutt ข้อ 11-B

    จากพุทธศาสนสุภาษิต:
    อวิทฺทสู มารวสานุวตฺติโน
    คนโง่ มักตกอยู่ในอำนาจ แห่งมาร

    มาร คือ อวิชชา
    อวิชชา คือ ความไม่รู้


    หากการแสวงหาความรู้ เป็นหนทางทีทำให้เผชิญกับ มาร หรือ อวิชชา หรือความไม่รู้
    พี่นักเขียนเชื่อว่า พระพุทธองค์คงไม่สอนให้เราใช้ปัญญาแสวงหาความรู้



    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวเสมอว่า ธรรมชาติของจิตวิญญาณเป็นระบบเครือข่าย
    ซึ่งเต็มไปด้วยความรักและการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
    ไม่มีจิตวิญญาณหน่วยใด ขัดขวางการพัฒนาของจิตวิญญาณหน่วยอื่นๆ

    จากพุทธศาสนสุภาษิต:
    ผาตึ กยิรา อวิเหฐยํ ปรํ
    ควรทำแต่ความเจริญ อย่าเบียดเบียนผู้อื่น

    พี่นักเขียนเชื่อว่า ปัญญา เป็นปัจจัยที่ทำให้เราทุกคนสามารถแยกแยะได้ไม่ยากว่า
    อะไรคือสิ่งที่ให้คุณ อะไรคือสิ่งที่ให้โทษ
    อะไรคือความรัก อะไรคือ ความเกลียด

    เราจะกลัวทำไม เราต่างก็ถือกำเนิดมาพร้อมกับปัญญาและอิสระที่จะแสวงหาความรู้


    ไม่มีสิ่งใดที่จะมีอำนาจเหนือบุคคล หรือบีบบังคับให้บุคคลตกเป็นเหยื่อของสิ่งใดได้
    นอกเสียจากว่า บุคคลผู้นั้นจะตกเป็นเหยื่อของความเชื่อในทางที่ผิดของตนเอง

    สากจฺฉาย ปญฺญา เวทิตพฺพา
    ความมีปัญญา ย่อมรู้ได้จากการสนทนา

    โยคา เว ชายเต ภูริ
    ปัญญา ย่อมเกิดขึ้น เพราะการฝึกฝน

    ปญฺญาว ธเนน เสยฺโย
    ปัญญานั่นแหละ ประเสริฐกว่าทรัพย์

    สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ
    ผู้ตั้งใจศึกษา ย่อมได้ปัญญา

    ปญฺญา นรานํ รตนํ
    ปัญญาเปรียบเสมือน เครื่องประดับแห่งตน

    ปญฺญา โลกสฺมิ ปชฺโชโต
    ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก

    อวิทฺทสู มารวสานุวตฺติโน
    คนโง่ มักตกอยู่ในอำนาจ แห่งมาร

    พวกเราในห้องวิทย์ฯไม่ใช่ผู้ที่ไร้ศีลธรรม ไร้ศาสนา ไร้ปัญญา ซึ่งเห็นได้จากข้อมูลที่ท่านทั้งหลายนำมา Post
    พี่นักเขียนเชื่อว่า เราคงไม่ถึงขนาดต้องป่าวประกาศราวกับว่าจะให้กองดับเพลิงมาดับเพลิงในห้องวิทย์ฯหรอกนะคะ
    อย่างมาก เราก็มี Gas หลากชนิด มีีข้อมูลความรู้ มีการทดลองใหม่ๆ มีความคิดเห็นใหม่ๆมาแลกเปลี่ยนกัน

    หากเข้ามาแล้วหายใจไม่ออก เพราะควันธูปตลบไปหน่อย Gas มากไปนิด ก็ไม่มีใครบังคับค่ะ
    เข้า-ออก ตามความพอใจได้เสมอค่ะ ไปสูดอากาศนอกห้อง แล้วกลับมาร่วมวงใหม่อีกก็ได้
    สมาชิกห้องวิทย์ฯ และ พี่นักเขียนยินดีต้อนรับทุกท่านเสมอ
    ใครจะตรวจสอบฝ่ายไหน พี่นักเขียนก็ไม่ว่านะคะ เพราะตั้งแต่ได้รับการเชิญชวนจากหัวหน้าห้องให้เข้ามาในห้องวิทย์ฯนี้
    ยังไม่เคยแยกฝ่าย มีแต่ความอบอุ่นรักกันกลมเกลียว สนับสนุนเกื่้อกูลกัน ฉันท์ญาติมิตร พี่น้อง เสมอมา
    ไม่มีขาว ไม่มีดำ ไม่มีสูง ไม่มีต่ำ
    มีแต่การศึกษาหาความรู้ และ แลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นกัน
    หากจะทำให้ห้องวิทย์ฯ กลายเป็นห้องทดสอบที่มีการแยกฝ่าย ก็คงคล้ายๆกับเวลาที่เศรษฐกิจบ้านเมื่องกำลังดีๆ
    ก็มีการยุบสภา ไม่ไว้วางใจรัฐบาล
    ไม่เบื่อกันบ้างหรือคะ พี่นักเขียนยังเบื่อเลย เพราะมันทำให้ความเจริญอันเป็นไปหยุดชะงักเสมอๆ

    หากคุณ Chayutt ได้เข้ามาห้องวิทย์ฯบ่อยกว่านี้ พี่นักเขียนเชื่อว่า จิตจะรับได้ไม่ยากว่า
    อะไรคือสิ่งที่ดี อะไรคือสิ่งที่เป็นพิษ
    ตัดสินได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องกลัวหรือตกอกตกใจ เรียกใครนอกห้องให้มาช่วย
    เพราะพี่น้องในห้องวิทย์ฯย่อมยินดีช่วยเหลือคุณ Chayutt กันทุกคนอย่างแน่นอนที่สุด

    จากหนังสือ โนวา อนาลัย ขยายความ ธรรมชาติของชาติภพ ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า
    เธอไม่ต้องสงสัยหรอกว่า ฉันเป็นเพศใด เชื้อชาติภาษาใด สูงหรือต่ำ ดำหรือขาว ฉันไม่ได้เป็นใคร แต่ฉันเป็นพลังงานที่เต็มไปด้วยความรู้-บุคลิกภาพ-อารมณ์และความรู้สึกนึกคิด เธอเพียงแต่เรียกฉันว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2007
  11. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    วันนี้เนตของ TOT ขัดข้องตั้งแต่เช้า เนื่องจากรถบรรทุกชนสายเคเบิ้ลครับ
    เข้ามาอีกทีเห็นคำถาม+คำตอบมากมายเลยครับ สิ่งที่คุณชยุตกำลังสงสัย พี่นักเขียนก็ตอบให้อ่านทุกข้อแล้ว เห็นคุณชยุคอ่านล้ำหน้าพวกเราไปหลายเล่ม อิอิ คงจะกระจ่างขึ้นนะครับ โดยส่วนตัวเห็นว่าความรู้ของท่านอาจารย์อนาลัยนี้ เป็นความรู้ด้านจิตวิญญาณที่ละเอียดลุ่มลึกและเป็นธรรมชาติมาก..ถ้าถามว่าสงสัยไหม ก็ต้องตอบว่ามีบ้าง..แต่อ่านๆไปก็พบคำตอบในทิศทางให้เรานำเราไปสู่ความคิดที่ลุ่มลึกต่อเนื่องได้อีกหลายมิติ : ซึ่งมีความจริงชวนให้ค้นหามากกว่าที่เคยรู้ และเป็นองค์ความรู้ที่มนุษย์ส่วนใหญ่ยากจะเข้าถึงได้ง่ายๆ..แต่ชอบตรงที่ดิบๆเป็น original ไม่มีกรอบใดมาจัดเก็บความรู้นี้ไว้ได้

    ในเรื่องของ"พระเจ้า"หรือสรรพสิ่งอันหลากหลายที่ปรากฎในความเป็นจริงนี่ก็เคยสงสัยอยู่ ในความรู้เดิมๆที่รับรู้มาคือพระเจ้าเกิดจากการที่เราไปสร้างตัวตนท่านขึ้นมาเองว่าต้องยิ่งใหญ่มีอำนาจเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามจินตนาการ แต่ในความรู้ที่เปลื่ยนไปจากเดิมแล้วก็คือ สิ่งที่เรียกว่า"พระเจ้า"นั้นมีอยู่ในตัวเราทุกคน หรือจะเรียกว่า"พุทธจิตหรือจิตเดิมแท้"ก็เรียกได้ ซึ่งมีทิศทางสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกันกับสรรพสิ่งต่างๆอันหลายหลายมิติ เคยทราบว่าการได้ยินเสียงจากภายใน(ประสบการณ์ของผู้สัมผัสได้) มักได้ยินเหมือนเสียงพูดพร้อมๆกันประสานเสียงก้องกังวาลแต่มีทิศทางเดียวกัน+เป็นหนึ่งเดียวกันหมด อันนี้น่าจะเป็นเรื่องของมิติทับซ้อนอันมากมายที่เราสัมผัสรับรู้กันไม่หมด จริงๆก็คือเสียงจากจิตวิญญาณที่อยู่ในระบบเครือข่ายอันกว้างใหญ่ส่วนหนึ่งอยู่ในตัวเรานี่เอง (เราทุกคนก็เป็นหนึ่งของระบบ) การก่อกำเนิดสรรพสิ่งต่างๆนั้นก็ล้วนเกิดจากคลื่นความคิดในระบบใหญ่ที่ว่านี้ ได้ก่อเป็นสรรพสิ่งมีมวลหยาบๆที่มีแบบแผนขึ้นมาจากระบบเครือข่ายของต้นกำเนิดอีกที..แล้วเราก็ขานเรียกชื่อกันไปตามความเชื่อแต่ละศาสนา..อันมีรากฐานที่มาเดียวกันครับ

    สรุปว่าเรากำลังศึกษาสิ่งที่เป็นธรรมชาติของจิตน่าจะถูกต้องที่สุดครับ..ถ้าเรารู้จักนำความรู้เหล่านี้ไปทำประโยขน์เพื่อพัฒนาความรู้ คงอยู่ที่คนใช้แล้วล่ะครับว่าได้ประโยขน์มาก+น้อยแค่ไหน? ไม่ได้ล้มล้างความรู้เดิม แต่ต่อยอดความรู้มากกว่านะครับ

    -: เรามีความรู้ที่ตั้งอยู่ ณ จุดศูนย์กลางของพุทธศาสนอย่างแท้จริงหรือเปล่า เราจึงจะสามารถตัดสินได้ว่า สิ่งที่เราพบเห็นหรือเรียนรู้ใหม่นั้น ห่างจากจุดศูนย์กลางนั้นมากน้อยเพียงใด หากเราอยู่เหลื่อมจากจุดศูนย์กลางออกไปเพียงก้าวเดียว แต่เราเชื่อว่าเราอยู่ ณ จุดศูนย์กลาง สิ่งที่อยู่ถัดเราไปเพียงก้าวเดียว และไม่ใช่เนื้อแท้ของวงกลมนั้น ก็อาจทำให้เข้าใจผิดได้ง่ายๆว่า มันคือส่วนของวงกลมเดียวกับเรา แต่ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่อยู่ในวงกลมอย่างแท้จริง กลับหลุดออกไปอยู่นอกรัศมี ทำให้เราเข้าใจผิดว่ามันไม่ใช่ส่วนของเรา :-

    [ชอบประโยคนี้ของพี่นักเขียนครับ จุดที่เรายืนอยู่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราดำรงตนอยู่ในตำแหน่งที่เรียกว่าศูนย์กลางของวงกลมแห่งความรู้นั้นๆ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2007
  12. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    วันนี้อาจารย์ตอบคำถาม 10 กว่าข้อก็ได้ความรู้ความเข้าใจเพิ่ม สงสารอาจารย์จัง ป่านนี้พักผ่อนแล้วนะ เที่ยงคืนกว่า แล้ว
    วันนี้คุณ mead คุณประสงค์ อยู่บ้านเหรอ เงียบดีนะ ผมก็นานๆอยู่บ้าน ทั้งๆที่สถานธรรมมีงานก็ไม่ได้ไป อยากพักผ่อน จับอารมณ์ ความคิดตัวเองบ้าง เพราะช่วงนี้ไม่รู้เป็นไงดูวุ่นใจยังไงไม่รู้ พยายามทำใจให้สดชื่นก็ได้แป็บเดียวเอง
     
  13. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    สวัสดีครับ
    ผมรอให้พี่นักเขียนตอบคุณชยุตก่อนแล้วค่อยโพส จะได้ไม่เป็นการสะดุด

    ตอนนี้ผมไม่ค่อยสบายเท่าไหร่เลย อาจจะเพราะว่าภูมิชีวิตต่ำ (นอนดึกก่อนที่จะไปโคราช) แล้วก็ไปเจอแอร์เย็นๆ ที่นั่น ก็เลยป่วย ตอนนี้เจ็บคออยู่ น้ำมูกไม่ค่อยไหล มีนิดหน่อย

    พี่นักเขียนบอกว่า จิตวิญญาณเรียนรู้ร่วมกันเป็นเครือข่าย เลยทำให้นึกถึงตอนที่พระเยซูตรึงกางเขน ทางคริสต์บอกว่าเพื่อไถ่บาปให้เราทั้งหลาย ตอนที่พระเยซูถูกตรึงนั้น พระเยซูไม่ได้มีอารมณ์โกรธหรือโมโหเลย แต่ยังเต็มไปด้วยความเมตตา จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า เหตุการณ์อย่างนั้น จะส่งผลต่อจิตวิญญาณอื่นโดยรวม ให้มีความเมตตามากขึ้น และนั่นก็เป็นความหมายอีกเชิง ในการที่พระเยซูทรงยอมถูกตรึงกางเขน เพื่อไถ่บาป (เพื่อเพิ่มความเมตตาให้กับจิตวิญญาณอื่น เพราะจิตวิญญาณเรียนรู้กันเป็นเครือข่าย)

    พอพูดเรื่องนี้ ก็นึกถึงหนังสือเรื่อง "สนทนากับพระเจ้า" ที่ นีล โดนัลด์ วอลช์ เป็นคนเขียน

    แต่ว่าเค้าเขียนโดยการที่มือของเค้า เขียนสิ่งเหล่านี้เอง เค้าเขียนคำถาม แล้วมือเค้าก็เขียนคำตอบเอง(ถ้าเข้าใจไม่ผิดนะ)

    สิ่งที่เค้าเขียน จะมาจากตัวเค้าเอง หรือพระเจ้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เนื้อหาก็ลุ่มลึกดี บางครั้ง บางตอน บางเรื่องที่เขียน ก็ดูคล้ายๆ กับที่ท่านอนาลัยสอนมา แต่เขียนอธิบายคนละอย่างเท่านั้นเอง

    อ้อ แล้วคำว่าพระเจ้าในหนังสือเล่มนี้หมายถึง ไม่ได้เป็นตัวตนจำเพาะตัวตนหนึ่ง ไม่ได้เป็นจิตวิญญาณที่มีรูปแบบจำเพาะแบบใดแบบหนึ่ง แต่พระเจ้าอธิบายตัวเองไว้ว่า เป็นทุกสิ่ง เป็นทั้งโต๊ะ ตู้ สิ่งมีชีวิตทุกชนิด และสาเหตุที่ไม่แสดงตัวมาให้เห็นในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งนั้น เพราะว่า ถ้าแสดงให้คนนี้เห็นในรูปแบบนี้ แล้วไปให้คนอื่นเห็นในรูปแบบอื่น ก็จะเข้าใจว่า สิ่งที่ทั้งคู่เห็นนั้น ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

    อันนี้ก็เป็นบางท่อนบางตอนของหนังสือเล่มนี้

    หน้า 69

    "เพราะฉะนั้นจงอย่าตัดสินเส้นทางกรรมที่ผู้อื่นได้ย่างก้าว อย่าริษยาในความสำเร็จหรือเวทนาผู้ล้มเหลว เพราะเธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งใดเรียกว่าล้มเหลว สิ่งใดเรียกว่าความสำเร็จจากมุมมองของวิญญาณดวงนั้น อย่าเรียกสิ่งใดว่าความวิบัติหรือเหตุการณ์แสนสุข จนกว่าเธอจะตัดสินใจว่ามันถูกใช้เพื่อสิ่งใด เป็นความวิบัติหรือถ้ามีคนตายเพียงหนึ่งแต่กลับสามารถช่วยชีวิตคนนับพัน? เราจะเรียกชีวิตหนึ่งว่าเป็นเหตุการณ์แสนสุขหรือ หากมันไม่นำสิ่งใดมาให้เลยนอกจากความทุกข์ระทม? แม้แต่เรื่องนี้เธอก็ไม่ควรตัดสิน... "
    <hr>
    หน้า 75

    บ่อยครั้งการพิพากษาหรือการตัดสินมีที่มาจากประสบการณ์ก่อนหน้า ความคิดที่เธอมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งมักมาจากความคิดก่อนหน้าเกี่ยวกับสิ่งนั้น และความคิดครั้งก่อนของเธอก็มาจากความคิดก่อนนั้นขึ้นไปอีก เหมือนกับการก่ออิฐซ้อนกันเป็นชั้นๆ จนกว่าเธอจะหาทางออกมาจากห้องแห่งกระจกเงา สู่สิ่งที่ฉันเรียกว่าความคิดแรกได้

    ทุกความคิดล้วนมีพลังสร้างสรรค์ และไม่มีความคิดใดจะมีพลังมากเท่ากับความคิดแรก นี่เองที่ว่าทำไมบางครั้งจึงถูกเรียกว่าบาปแรก

    บาปแรกคือการที่เธอคิดถึงสิ่งใดๆ ในครั้งแรกอย่างผิดพลาด และความผิดพลาดนั้นจะยิ่งผสมเพิ่มไปอีกเมื่อเธอคิดเช่นเดิมเป็นครั้งที่สองหรือสาม เป็นหน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะจุดประกายเธอสู่ความเข้าใจใหม่ๆ ซึ่งจะปลดปล่อยเธอจากความผิดพลาดนั้น
    <hr>
    หน้า 86

    ศักยภาพของเธอไร้ขีดจำกัดในทุกสิ่งที่เธอเลือกทำ พึงอย่าสันนิษฐานว่าจิตวิญญาณที่มีจุติในร่างที่เธอบอกว่ามีข้อจำกัดนั้นไม่อาจบรรลุถึงศักยภาพสูงสุด เพราะเธอไม่รู้หรอกว่าวิญญาณดวงนั้นกำลังพยายามทำอะไรอยู่ เธอไม่เข้าใจวาระทางจิตวิญญาณของมันหรอก เธอยังไม่แจ้งชัดในความมุ่งมาดของมันเลย

    เหตุนั้นจงชื่นชมต่อทุกผู้คน ทุกสภาวการณ์ และจงขอบคุณ นั่นเอง เธอได้รับรองถึงความสมบูรณ์แบบจากการรังสรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าและแสดงศรัทธาต่อสิ่งนั้น เพราะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญในโลกของพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าความบังเอิญ และโลกก็ไม่ได้ถูกกระหน่ำซัดตีจากการเลือกแบบสุ่มๆ หรือจากสิ่งที่เธอเรียกว่าโชคชะตาด้วย

    ถ้ารูปลักษณ์ของหิมะหนึ่งเกล็ดยังสมบูรณ์แบบอย่างสูงสุดได้ เธอไม่คิดหรือว่าสิ่งเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นกับสิ่งมหัศจรรย์เช่นชีวิตของเธอได้ด้วย
    <hr>
    หน้า 96-97

    พลังงานที่เหมือนกันจะดึงดูดกัน ก่อรูปเป็น "กลุ่มก้อน" (ใช้คำง่ายๆ) ของพลังงานชนิดเดียวกัน และเมื่อกลุ่มพลังงานี่คล้ายคลึงนี้ได้มาพันเกี่ยวหรือพบกัน มันจะ "ยึดเหนี่ยว" กันและกันไว้ (ใช้คำง่ายๆ อีก) และจะต้องใช้พลังงานที่คล้ายคลึงกันจำนวนคณานับ "ผนึกติดเข้าด้วยกัน" จึงจะเกิดสสารขึ้น แต่สสารจะก่อตัวขึ้นจากพลังงานบริสุทธิ์ จริงๆ แล้วนี่เป็นหนทางเดียวที่มันจะสามารถก่อรูปร่างขึ้นได้ เมื่อพลังงานกลายเป็นสสาร มันจะเป็นสสารอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน จนกว่าโครงสร้างจะถูกรบกวนหรือทำลายโดยพลังงานรูปแบบตรงข้ามหรือที่แตกต่าง พลังงานที่แตกต่างนั้น เมื่อกระทำต่อสสารจะทำให้สสารแยกแตกออกและจะปลดปล่อยพลังงานดิบที่ประกอบเข้าด้วยกันในตอนแรกออกมา

    นี่คือความหมายแบบง่ายๆ เบื้องหลังทฤษฎีระเบิดปรมาณูของเธอไอน์สไตน์ได้เข้าไปใกล้กว่ามนุษย์คนใดทั้งก่อนหน้าและหลังจากนั้น ในการค้นพบ อธิบาย และใช้ประโยชน์จากความลับแห่งการสรรค์สร้างของจักรวาล

    ตอนนี้เธอน่าจะเข้าใจดีขึ้นนะว่า คนที่มีจิตใจเหมือนหรือคล้ายกันสามารถร่วมสร้างความจริงที่เกื้อหนุนกันขึ้นมาได้อย่างไร วจนะทีว่า "ที่ไหนมีคนสองคนหรือมากกว่ามารวมกันในนามของเรา..."* มีความหมายยิ่งขึ้นเพราะเหตุนั้น

    แน่นอนเมื่อทั้งสังคมคิดไปในทางเดียวกัน บ่อยครั้งสิ่งน่าประหลาดใจจะบังเกิดขึ้น แต่ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาไปเสียทุกอย่างหรอกนะ ยกตัวอย่าง หากสังคมใดใช้ชีวิตอยู่ด้วยความกลัว สุดท้ายสังคมนั้นมักจะสร้างสิ่งที่ตนกลัวที่สุดแบบใดแบบหนึ่งขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่พ้น

    ที่คล้ายๆ กัน การชุมนุมหรือรวมตัวขนาดใหญ่มักจะพบพลังแห่งปาฏิหารย์อันเกิดจากการผนึกความคิดเข้าเป็นหนึ่ง (หรือที่บางคนเรียกว่าการอธิษฐานหมู่)

    แต่ต้องเข้าใจให้ชัดก่อนว่าต่อให้คนเพียงคนเดียว หากความคิดของเขา (การอธิษฐาน ความหวัง การตั้งความปรารถนา ความฝัน ความกลัว) เข้มแข็งอย่างน่าทึ่งละก็ คนผู้นั้นย่อมสร้างผลลัพธ์แบบนั้นได้เหมือนกัน เยซูเองทำอย่างนั้นสม่ำเสมอ เขาเข้าใจว่าจะเปลี่ยนแปลงพลังงานและสสารได้อย่างไร จะปรับเปลี่ยน จำแนกแจกจ่ายและควบคุมไว้ในกำมือด้วยวิธีใด คุรุหลายคนรู้เรื่องนั้นแล้ว และอีกหลายคนจะได้รู้ในเวลานี้
    <hr>
    * วจนะของพระเยซูในพระธรรมมัทธิว บทที่ 18 ข้อที่ 20 ความว่า "เพราะที่ไหนมีสองสามคนมารวมกันในนามของเรา เราก็อยู่กับพวกเขาที่นั่น"
     
  14. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    แหม พี่mead ให้กำลังใจกันอย่างนี้ สงสัยเย็นนี้ต้องไปกินหมูกะทะซะแล้ว 555

    เห็นคุณTK the Naka เข้ามาแล้ว ดีใจจัง เข้ามาคุยกันบ่อยๆนะ

    ช่วงนี้เห็นหายไปหลายคน สงสัยงานจะยุ่งๆเนอะ ตอนนี้นกก็อยู่ในห้องคอมเนี่ย ขี้เกียจเรียนมากกกกกกกก อยากกลับบ้านล่ะ
     
  15. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765

    ชอบประโยคนี้มากๆเลย หายไม่สบายเร็วๆนะคะคุณzipper
     
  16. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    อยู่บ้านครับพี่เจริญ อ่อ พี่เฉลย (ชื่อนี้อ่านได้หลากหลายมิติ)
    อาจารย์ตอบยาวเลยนะครับ คงไปพักผ่อนแล้วล่ะครับ เค้าว่าช่วงนี้สนานแม่เหล็กโลกกำลังปรับตัวขึ้นๆ ลงๆ เลยมีผลกับจิตใจมนุษย์บ้างพอสมควร..แสดงว่าพี่เหลยจิตละเอียด+ว่องไวมาก จึงสัมผัสพลังเหล่านี้ได้ เลยรู้สึกวูปๆหด เป็นช่วงๆน่ะครับ..พักผ่อนหน่อยเดี๋ยวก็หาย ตื่นมาก็เบิกบานแล้วครับ

    (b-2love)
     
  17. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    เรื่องเป็นการเป็นงานนกไม่เก่งอ่ะค่ะพี่ขจรวรรณขา
    แต่ตอนนี้เวลาเจอเพื่อนก็จะพูดให้เค้าฟังแล้วก็ลองให้เค้าได้อ่านเนื้อหาดู
    นกเองช่วงนี้ก็ยังอ่านหนังสือของอาจารย์ไปไม่ถึงไหนเลย
    อ่านมั่งหยุดมั่ง งึมๆ ต้องพยายามใส่ใจให้มากกว่านี้เนอะ
     
  18. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    เอาๆ นัดมาเลย...ร้านไหน
    เสาร์-อาทิตย์ ห้องวิทย์จะเงียบวังเวงแบบนี้ล่ะครับ
    เพราะ 80 % จะเล่นเนตที่ทำงานกันหมด (นกอย่าแอบหลับนะ! *-*)
     
  19. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    ที่ว่าจะเล่าให้ฟังวันก่อนนู้นเรื่องว่าฝันถึงการทดลอง
    ฝันไม่ค่อยปะติดปะต่อเท่าไหร่ ช่วงนี้สติไม่ค่อยคมชัดแหะ
    แต่จำได้คร่าวๆว่ามีพี่สาวที่เป็นผู้ใหญ่สุด ให้พวกเราประมาณ10กว่าคนได้
    เข้าไปนั่งในตู้กระจกสี่เหลี่ยม ตู้นึงนั่งกัน4คน พี่บอกว่าให้พวกเราฝึกฝันกัน
    จากนั้นก็จำไม่ค่อยได้ แต่ว่าไปเจอผู้หญิงคนนึงรู้สึกว่าเค้าจะมีพลังไม่ดีไงไม่รู้
    เราก็บอกว่าเดี๋ยวคืนนี้อาจารย์โนวา อนาลัยท่านจะมาหา ท่านเป็นอาจารย์ผู้ปราศจากร่างกายเนื้อหนัง ผู้หญิงคนนั้นเค้าก็ทำหน้าหยิ่งๆแบบไม่สนใจ

    ตอนนี้รอฟังอยู่ว่าจะได้presentงานอาทิตย์ไหน ภาวนาว่าอย่าให้เป็นวันอาทิตย์ที่14ตุลาเล้ยยยย เด๋วพลาดไปงาน

    ใครยังไม่ได้ส่งการบ้านรีบมาส่งกันหน่อยเน้อ
    ตอนนี้ก็เห็นหน้าพี่ๆหลายๆคนกันไปแล้ว เป็นไงล่ะหน้าตาใจดีกันทั้งน้านเลย
     
  20. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    เย้ๆๆๆๆ สรุป ได้presentอาทิตย์หน้าแล้ว หวุดหวิดมาก เป็นกลุ่มสุดท้ายพอดี
    หึหึ ได้ไปงานแล้ว พี่MOUNTAINอย่าลืมwindowนะ นกไปแน่ๆชัวร์100%
    เดี๋ยวอาทิตย์หน้าผ่านตู้ATMจะโอนเงินค่าเข้างานไป แต่วันไหนจะบอกอีกทีนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...