ไม่ควรพูดในสิ่งที่เป็นเหตุให้เถียงกัน

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 7 มกราคม 2013.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,176
    ถาม : พระเวสสันดรท่านเป็นพุทธภูมิ ชาติสุดท้ายทำไมท่านไม่ได้ทำทานปรมัตถบารมี ?

    ตอบ : ขึ้นอยู่กับโอกาสว่าชาตินั้นจะได้ทำอะไร บางรายปรารถนาพุทธภูมิชาติแรกก็ต้องสละสังขารเป็นอาหารคนอื่นแล้ว อยู่ที่โอกาสว่าจะได้ทำอะไร เพียงแต่ว่าทำให้จบก็แล้วกัน เหมือนกับทางโลก ถึงเวลาเขาให้เรียนระเบียบการทำวิจัยก่อน แต่เราดันไปเรียนวิชาอย่างอื่นจบก่อน แต่วิชานี้ไม่จบ ก็ต้องมาตามเก็บให้ได้

    ถาม : ทานปรมัตถบารมี ไม่น่าทำเป็นชาติสุดท้าย ?

    ตอบ : ก็บอกแล้ว บางคนเจอปรมัตถ์ตั้งแต่ชาติแรกที่ปรารถนาเลย ขึ้นอยู่กับโอกาสว่าจะได้ทำไหม ต่อให้คุณเรียนวิชาที่ยากที่สุดไปแล้วก็ตาม แต่ถ้าระยะเวลาเรียนไม่ครบก็จบไม่ได้ เก็บหน่วยกิตไม่ครบก็จบไม่ได้ ต้องรอจนกว่าจะครบทุกวิชา

    เราจะเห็นว่าในแต่ละชาติของท่าน มีหลายชาติที่สร้างเรื่องของปรมัตถบารมี กลายเป็นว่าชาติที่ท่านเป็นสัตว์ได้ทำก่อน ชาติที่เป็นคนก็ไปทำทีหลัง จริงๆ เรื่องของ พระโพธิญาณ พระพุทธเจ้าท่านไม่เสียเวลามาสอนพวกเราหรอก เพราะเป็นธรรมที่เนิ่นช้า คือต้องเกิดมาทุกข์แล้วทุกข์อีก พออาจารย์ระยะหลังท่านทราบ ท่านก็มาขยายความ แล้วก็ไปถูกจริตกับคนจำนวนมาก ก็เลยไปทำกันใหญ่

    แบบเดียวกับ สุขาวดีพุทธเกษตร ซึ่งก็คือ สวรรค์ชั้นดุสิต มหายานเขาไปเห็นแล้วก็เอามาสอนไปเรื่อย เพราะเขานิยมการเกิดมาช่วยคน ในเมื่อเถรวาทไม่สอน ก็เลยกลายเป็นแยกไปคนละสาย

    มีพวกนักวิชาการศาสนาหลายต่อหลายท่าน และส่วนมากด้วย ไปตีความว่าพุทธศาสนามหายานเกิดจากการปรับปรุง เพื่อที่จะได้ต่อสู้กับศาสนาฮินดู เพราะพระพุทธเจ้าของเราปรินิพพานแล้วไม่เหลืออะไรเลย แต่ของฮินดูยังมีเทวดาคอยช่วยศาสนิกชนเขาอยู่ ก็เลยต้องปรับให้เป็นพระโพธิสัตว์ อยู่เพื่อสงเคราะห์มนุษย์

    ในเมื่อเขาอธิบายมา ปรากฏว่าทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล อาตมาเองก็ไม่กล้าเถียงอาจารย์ เดี๋ยวท่านจะให้ตก..ก็ได้แต่ตั้งคำถามในเชิงแย้งว่า “เป็นไปได้ไหมครับท่านอาจารย์ ว่าท่านที่เขียนตำรามหายาน จริงๆ แล้วท่านไปเจอสถานที่แบบนั้นมา เพราะถ้าไม่ไปเจอมา ก็ไม่สามารถที่จะอธิบายอะไรที่เป็นเหตุเป็นผล สอดคล้องกันหมด โดยที่ไม่มีข้อบกพร่องให้เราติได้เลย" ท่านอาจารย์ก็บอกว่า “นี่ก็ถือว่าเป็นทฤษฎีหนึ่ง ซึ่งเราเป็นนักวิชาการ ควรจะเปิดใจให้กว้างแล้วก็รับฟังเอาไว้”

    สรุปว่าสิ่งที่มีเหตุผลที่สุดของเขาก็คือ เอาไว้สู้กับศาสนาฮินดู ส่วนความเป็นจริงจะใช่หรือไม่ใช่...ไม่สนใจ ไปเรียนหนังสืออย่าเถียงอาจารย์เป็นอันขาด ไปเถียงแบบไม่มีชั้นเชิงนี่ติด F เอาง่ายๆ..!

    วิธีจะให้หายสงสัยคือไปดูเสียเอง ถ้ายังไปไม่ได้ก็ขวนขวายฝึกฝนให้ไปให้ได้ จะได้หายสงสัย ไปถามคนอื่นก็ไม่มีประโยชน์ พอถามเสร็จเราเอาไปคุยต่อ พอคนอื่นค้านขึ้นมา เราก็ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร ก็ไปนั่งเถียงกันเปล่าๆ พระพุทธเจ้า ถึงบอกว่า เราไม่ควรพูดในสิ่งที่เป็นเหตุให้เถียงกัน เพราะว่าการถกเถียงกันจำเป็นต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมากจิตใจจะฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่านย่อมห่างจากสมาธิ แปลว่ามีแต่เสียกับเสีย

    ถ้าใครขี้สงสัยแต่ไม่สามารถไปดูได้ด้วยตัวเอง ให้หาใครก็ได้ที่ได้อภิญญาหรือได้มโนมยิทธิใหม่ๆ พวกนี้จะคัน ขอให้ไปไหนได้ทั้งนั้น ถึงเวลาก็ใช้ให้ไปดู แต่อย่าไปใช้อย่างที่อาตมาเคยหลอกเด็ก โดนหลวงพ่อฝากด่ามา อาตมาก็อยากรู้ว่าเด็กทำได้จริงหรือเปล่า แต่คราวนี้เวลาให้เด็กไปดูเหมือนลักษณะไปหลอกใช้เขา อยากรู้ว่าตรงกันไหม ? เลยโดนหลวงพ่อฝากด่ามา..สะใจมาก ยังดีฝากมาแค่ด่า ถ้าฝากที่หนักกว่านั้นมานี่คงแย่..!


    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕



    ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ - หน้า 2 - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน



    .
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...