ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพแถมของการแวะไปถ่ายรูปอีกที่วัดครับ ตอนท้าย

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 ธันวาคม 2012
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ช่วงเย็นในเวลาประมาณ 18.50 น.ผมได้รับแจ้งจากตัวแทนคณะกรรมการฯ ที่ไปเยี่ยม และเฝ้าดูอาการของ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ประธานที่ปรึกษาทุนนิธิฯ ที่รักษาตัวอยู่ที่ รพ.เอกชล จ.ชลบุรี ว่า ท่านอาจารย์ฯ ได้เสียชีวิตโดยอาการสงบในเวลา 18.45 น.แล้ว โดย ท่านอาจารย์ฯ เพิ่งจะผ่านพ้นวันคล้ายวันเกิดครบ 92 ปี ในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา

    นับว่าทุนนิธิฯ ได้สูญเสียบุคคลที่มีความรู้ ประสบการณ์และมีความสามารถในทางจิต ที่สามารถแยกแยะพระตระกูลวังหน้าในสมัย ร.4 ถึง ร.5 รวมถึงพระพิมพ์สมเด็จร่วมสมัยเดียวกันที่นอกมาตรฐานวงการพระเครื่อง, พระของหลวงปู่บรมครูพระธรรมฑูตโลกอุดรทั้ง 5 พระองค์, พระผงคลุกรักของหลวงปู่ทิม, หลวงปู่สิม, ท่านอาจารย์ฝั้น หรือท่านเจ้าคุณนรฯ หรือพระในสายเมืองชลเกือบทั้งหมดก็ว่าได้ ซึ่งจากความรู้ดังกล่าวในทุกครั้งที่ไปพบท่านยามมีชีวิตก็จะมีการสอบถามในเรื่องต่างๆ ซึ่งท่านก็ได้เมตตาเล่าให้ฟังเป็นอย่างดี จนในที่สุดเมื่อเดือนที่ผ่านมาทางคณะศิษย์รวมถึงลูกชายของท่านอาจารย์ฯ จึงได้รวบรวมความรู้ทั้งหมดของท่าน ทำเป็นหนังสือ "ปู่เล่าให้ฟัง" ซึ่งเป็นเล่มสุดท้ายที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบเอามาไว้ให้คนรุ่นหลังได้อ่านกัน ซึ่งในขณะนี้ได้ทยอยเข้าเล่มแล้ว และเตรียมมาไว้ที่ทุนนิธิฯ เป็นบางส่วน ซึ่งผมจะได้ประชาสัมพันธ์ได้ทราบกันต่อไป

    สุดท้ายนี้ ในนามของประธานคณะกรรมการของทุนนิธิฯ ขอให้วิญญาณของท่านอาจารย์ ได้รับการไว้อาลัยจากคณะทุนนิธิฯ ที่ใช้ชื่อท่านเป็นสร้อยต่อท้ายนี้ เพื่อทำความดีด้วยการสงเคราะห์สงฆ์อาพาธตามจุดมุ่งหมายของท่านตลอดไปด้วยครับ

    พันวฤทธิ์
    28/12/55

    ปล.รายละเอียดของอาจารย์ประถมมีมากมาย ลองค้นดูในกูเกิ้ลดูครับ




    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2012
  3. natta_pea

    natta_pea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +1,515
    วันที่ 28 ธ.ค. 2555 ผมได้โอนเงิน 333 บาท ร่วมทำบุญฯ

    และขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของอาจารย์ประถม อาจสาคร
    ขอให้ดวงวิญญาณของท่านไปสู่สุขคติด้วยเทอญ
     
  4. black Bird

    black Bird เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +808
    ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของท่านอาจารย์ครับ
     
  5. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    กราบเท้าอาจารย์ปู่ประถมด้วยอาการคารวะอย่างสูงยิ่ง..... กราบ.

     
  6. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    วันนี้ (30/12/2555) ผมได้โอนเงินจำนวน 500.10 บาท เพื่อสงเคราะห์สงฆ์อาพาธเข้าบัญชีทุนนิธิฯ โดยผมนั้นอธิษฐานว่าผม...
    1. ขออุทิศบุญนี้ให้แด่คุณปู่้ประถม อาจสาคร ที่ละสังขารและเป็นผู้ที่ผมกราบนับถือท่านเป็นอาจารย์ท่านหนึ่ง
    2. ขอส่งบุญนี้ให้แก่คุณนวลพรรณ โยมศิลป์ ผู้มอบพระพิมพ์มงคลชีวิต และวัตถุมงคลอื่นๆ ให้กับผมไว้บูชาติดกาย
    3. ขอส่งบุญนี้ให้แก่ท่านผู้สละมวลสารและท่านผู้ดำเนินการสร้างพระพิมพ์มงคลชีวิตและวัตถุมงคลอื่นๆ ในโครงการเดียวกันนี้
    4. ขอน้อมถวายบุญนี้ให้แก่เทพยดาและทุกดวงจิตศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตรักษาพระพิมพ์มงคลชีวิตและวัตถุมงคลอื่นๆ ที่ผมครอบครองบูชาอยู่
    5. ขอน้อมถวายบุญนี้แด่พระคุณเจ้าผู้ปลุกเสก ผู้อธิษฐานจิตพระพิมพ์มงคลชีวิตและวัตถุมงคลอื่นๆ ที่ผมครอบครองบูชาอยู่
    6. ขอน้อมถวายบุญนี้แด่มารดา บิดา ครู อุปัชฌาย์ อาจารย์ ของผมทุกท่าน

    จึงเรียนมาเพื่อให้ท่านร่วมโมทนาบุญด้วยกันครับ
     
  7. ไทยโคราช

    ไทยโคราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +655
    ผมนายทนง นางวรรณพร ศรีสุนทร และครอบครัวร่วมทำบุญสมทบเพื่อสงฆ์อาพาธ
    เป็นเงิน500.12 บาท (30/12/55 13:33 น)
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    งานพิธีฌาปณกิจท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร จะมีขึ้นในวันที่ 2 มกราคม 2556นี้ เวลาประมาณ สี่โมงเย็น ที่วัดน้อย จ.ชลบุรี (วัดอยู่เส้นเดียวกันแยกไฟแดงหน้าวัดเขาบางทราย เลี้ยวขวาจากไฟแดงไปเรื่อยๆ จะมีทางบังคับเลี้ยวไป ในเส้นทางจะมีวัดช่องลม วัดโพธิ์ แล้วก็ถึงวัดน้อย รับรองไม่หลงทางแน่ครับ)

    ขอประชาสัมพันธ์ให้ทราบเพิ่มเติม หากใครไปแต่ไม่รู้จักผม ให้ตามรูปในงานกิจกรรมที่ผ่านมา ทักทายกันบ้างครับ ผมจะติดพระพิมพ์สมเด็จ สกุลเจ้าคุณกรมท่าไปด้วย ใครขอก็ให้ คิดว่าเป็นการสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าก็แล้วกัน
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ความสุขในยามปีใหม่ที่ยั่งยืน

    ความสุข ห้า ขั้น

    [​IMG]

    พระพรหมคุณาภรณ์
    วัดญาณเวศกวัน นครปฐม



    ขั้นที่ ๑ คือ ความสุขจากการเสพวัตถุ
    หรือสิ่งบำรุงบำเรอภายนอกที่นำมาปรนเปรอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเรา


    ขั้นที่ ๒ ความสุขจากการเจริญคุณธรรม
    เช่น มีเมตตากรุณา มีศรัทธา

    ขั้นที่ ๓ ความสุขเกิดจากการดำเนินชีวิตถูกต้อง
    สอดคล้องกับความเป็นจริงของธรรมชาติ
    ไม่หลงอยู่ในโลกของสมมติ

    ขั้นที่ ๔ ความสุขจากความสามารถปรุงแต่ง

    ขั้นที่ ๕ สุดท้าย ความสุขเหนือการปรุงแต่ง


    ขั้นที่ ๑ คือ ความสุขจากการเสพวัตถุ
    หรือสิ่งบำรุงบำเรอภายนอกที่นำมาปรนเปรอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเรา
    ข้อนี้เป็นความสุขสามัญที่ทุกคนในโลกปรารถนากันมาก
    ความสุขประเภทนี้ขึ้นต่อสิ่งภายนอก เพราะว่าเป็นวัตถุ หรืออามิสภายนอก
    เมื่อเป็นสิ่งภายนอก อยู่นอกตัว ก็ต้องหา ต้องเอา
    เพราะฉะนั้นสภาพจิตของคนที่หาความสุขประเภทนี้
    จึงเต็มไปด้วยความคิดที่จะได้จะเอา แล้วก็ต้องหา
    และดิ้นรนทะยานไป เมื่อได้มาก ก็มีความสุขมาก
    แล้วก็เพลิดเพลินไปกับความสุขเหล่านั้น
    พอได้มาก ๆ เข้า ต่อมาก็นึกว่าตัวเองเก่งมาก ๆ
    ไป ๆ มา ๆ โดยไม่รู้ตัวก็มีภาวะอย่างหนึ่งเกิดขึ้น
    คือ ชีวิตและความสุขของตัวเองต้องไปขึ้นกับวัตถุเหล่านั้น
    อยู่ลำพังง่าย ๆ อย่างเก่า ไม่สุขเสียแล้ว


    ตอนที่เกิดมาใหม่ ๆ นี้ ไม่ต้องมีอะไรมากก็พอจะมีความสุขได้
    ต่อมามีวัตถุมาก เสพมาก ที่นี้ขาดวัตถุเหล่านั้นไม่ได้เสียแล้ว
    กลายเป็นว่าสูญเสียอิสรภาพ ชีวิตและความสุขต้องไปขึ้นกับวัตถุภายนอก
    แต่เข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเก่ง อันนี้เป็นข้อสำคัญที่คนเราหลงลืมไป
    ทางธรรมจึงเตือนไว้เสมอว่าเรา
    อย่าสูญเสียอิสรภาพนี้ไป พร้อมทั้งอย่าสูญเสียความสามารถที่จะเป็นสุข
    สิ่งที่คนเราจะพัฒนากันมากก็คือ
    การพัฒนาความสามารถที่จะหาสิ่งเสพมาบำเรอความสุข
    แม้แต่การศึกษา ทำไปทำมาก็ไม่รู้ตัวว่า
    กลายเป็นการพัฒนาความสามารถที่จะหาสิ่งเสพบำเรอความสุข
    แต่อีกด้านหนึ่งของชีวิตที่ลืมไป
    คือการพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข
    ถ้าเราไม่พัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข
    หรือแม้แต่ไม่รักษามันไว้เราก็สูญเสียความสามารถที่จะมีความสุข
    อาการของคนที่สูญเสียความสามารถที่จะมีความสุข
    ก็คือยิ่งอยู่ในโลกนานไปก็ยิ่งกลายเป็นคนที่สุขยากขึ้น
    คนจำนวนมากสมัยนี้มีลักษณะอย่างนี้
    คืออยู่ในโลกนานไป เติบโตขึ้น กลายเป็นคนที่สุขได้ยากขึ้น
    ต่างจากคนที่รักษาดุลยภาพของชีวิตไว้ได้
    โดยพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุขควบคู่ไปด้วย
    จะเป็นคนที่มีมีลักษณะตรงข้าม
    คือยิ่งอยู่ในโลกนานไป ก็ยิ่งเป็นคนที่สุขได้ง่ายขึ้น
    ถ้าเป็นคนที่สุขได้ง่ายขึ้น ก็ดี ๒ ชั้น คือ
    เราพัฒนาสองด้านไปพร้อมกัน
    ทั้งพัฒนาความสามารถที่จะหาสิ่งเสพบำเรอความสุขด้วย
    และพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุขด้วย
    ผลก็คือ เราหาสิ่งมาบำเรอความสุขได้เก่ง
    ได้มากด้วย และพร้อมกันนั้นเราก็เป็นคนทีสุขได้ง่ายด้วย
    เราก็เลยสุขซ้อนทวีคูณ
    ส่วนคนที่สูญเสียความสามารถที่จะมีความสุข
    แม้จะหาสิ่งเสพบำเรอความสุขได้มาก
    แต่ความสุขก็ที่เดิมเรื่อยไป เพราะข้างนอกได้มา ๑
    แต่ข้างในก็ลดลงไป ๑ เลยเหลือ 0 ที่เดิม
    กระบวนการวิ่งหาความสุขจึงดำเนินไปไม่รู้จักจบสิ้น
    เพราะความสุขวิ่งหนีเราไปเรื่อย ๆ
    เพราะฉะนั้น จะต้องพัฒนาความสามารถ
    ที่จะมีความสุขไว้ด้วยคู่กัน เป็นคนที่สุขได้ง่าย
    ก็เป็นอันว่าสบาย อย่างน้อยก็ฝึกตัวเองไว้
    อย่าให้ความสุขต้องขึ้นกับวัตถุมากเกินไป


    ศีล ๕ เป็นตัวอย่างของวิธีฝึกไม่ให้เราสูญเสียอิสรภาพ
    โดยไม่เอาความสุขไปขึ้นต่อวัตถุมากเกินไป
    แปดวันก็รักษาศีล ๘ ครั้งหนึ่ง
    ลองหัดดูซิว่าให้ความสุขของเราไม่ต้องขึ้น
    กับการบำรุงบำเรอทางกายด้วยวัตถุ
    เริ่มด้วยข้อวิกาลโภชนาฯ
    ไม่ต้องบำเรอลิ้นด้วยอาหารอร่อยอยู่เรื่อย
    ไม่คอยตามใจลิ้น กินแค่เที่ยง
    เพียงพอ ที่ร่างกายต้องการเพื่อให้มีสุขภาพดี
    แข็งแรง ตลอดจนข้อ อุจจาสยนะฯ ไม่บำเรอตัวด้วยการนอน
    ไม่ต้องนอนบนฟูก ลองนอนง่าย ๆ บนพื้น
    บนเสื่อธรรมดา ลองไม่ดูการบันเทิงซิ ทุก ๘ วัน
    เอาครั้งเดียว จะเป็นการรักษาอิสรภาพของชีวิตไว้
    และฝึกให้เรามีชีวิตอยู่ดีได้โดยไม่ต้องขึ้นกับวัตถุมากเกินไป
    พอฝึกได้แล้วต่อมาเราจะพูดถึง
    วัตถุหรือสิ่งบำรุงความสุขเหล่านั้นว่า
    “มีก็ดี ไม่มีก็ได้”
    ต่างจากคนที่ไม่พัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข
    ซึ่งจะเอาความสุขไปขึ้นต่อวัตถุ
    ถ้าไม่มีวัตถุเหล่านั้นเสพแล้วอยู่ไม่ได้ ทุรนทุราย
    ต้องพูดถึงวัตถุหรือสิ่งเสพเหล่านั้นว่า
    “ต้องมีจึงจะอยู่ได้ ไม่มีอยู่ไม่ได้”
    คนที่เป็นอย่างนี้จะแย่ ชีวิตนี้สูญเสียอิสรภาพ
    คนยิ่งอายุมากขึ้นสถานการณ์ก็ไม่แน่นอน ถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย
    ร่างกายเสพความสุขจากสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ เช่น ลิ้นไม่รับรู้รส
    กินอาหารก็ไม่อร่อย ถ้าไม่ฝึกไว้
    ความสุขของตัว ไปอยู่ที่วัตถุเหล่านั้นเสียหมดแล้ว
    และตัวก็เสพมันไม่ได้
    จิตใจก็ไม่มีความสามารถที่จะมีความสุขด้วยตนเอง
    ก็จะลำบากมาก ทุกข์มาก
    เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้ฝึกไว้
    รักษาศีล ๘ นี้แปดวันครั้งหนึ่ง จะได้ไม่สูญเสียอิสรภาพนี้ไป เพราะฉะนั้นเอาคำว่า
    “มีก็ดี ไม่มีก็ได้”
    นี้ไว้ ถามตัวเอง เป็นการตรวจสอบอยู่เสมอว่า
    เราถึงขั้นนี้หรือยัง หรือต้องมีจึงจะอยู่ได้ ถ้ายังพูดได้ว่า
    มีก็ดีไม่มีก็ได้ ก็เบาใจได้ว่า เรายังมีอิสรภาพอยู่
    ต่อไปถ้าเราฝึกเก่งขึ้นไปอีก
    อาจจะมาถึงขั้นที่พูดได้ในบางเรื่องว่า
    “มีก็ได้ ไม่มีก็ดี” ถ้าได้อย่างนี้ก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก
    คนที่พูดได้อย่างนี้ จะมีความรู้สึกว่าของพวกนี้เกะกะ
    เราอยู่ของเราง่าย ๆ ดีแล้ว มีก็ได้ไม่มีก็ดี
    ไม่มีเราก็สบาย ชีวิตเป็นอิสระโปร่งเบา
    ความสุขเริ่มไม่ขึ้นต่อวัตถุอามิสสิ่งเสพภายนอก
    ความสุขเริ่มไม่ต้องหา
    ความสุขที่ต้องหา แสดงว่าเราขาด
    คือยังไม่มีความสุขนั้นเราหาได้ที เสพทีก็มีสุขที
    แต่ระหว่างนั้นต้องอยู่ด้วยการอยู่ด้วยความหวัง บางทีก็ถึงกับทุรนทุราย กระวนกระวาย


    เพราะฉะนั้น จะต้องทำตัวให้มีความสุข
    ด้วยตนเองสำรองไว้ให้ได้
    ด้วยวิธีฝึกรักษาอิสรภาพของชีวิต
    และรักษาความสามารถที่จะมีความสุขไว้

    ขั้นที่ ๒ พอเจริญคุณธรรม
    เช่น มีเมตตากรุณา มีศรัทธา
    เราก็มีความสุขเพิ่มขึ้นอีกประเภทหนึ่ง
    แต่ก่อนนี้ชีวิตเคยต้องได้วัตถุมาเสพต้องได้ ต้องเอา
    เมื่อได้จึงจะมีความสุข ถ้าคือเสียก็ไม่มีความสุข
    แต่คราวนี้ คุณธรรมทำให้ใจเราเปลี่ยนไป
    เหมือนพ่อแม่ที่มีความสุข
    เมื่อให้แก่ลูก เพราะรักลูก ความรักคือเมตตา
    ทำให้อยากให้ลูกมีความสุข
    พอให้แก่ลูกแล้วเห็นลูกมีความสุข ตัวเองก็มีความสุข
    เมื่อพัฒนาเมตตากรุณาขยายออกไปถึงใคร
    ให้แก่คนนั้น ก็ทำให้ตัวเองมีความสุข
    ศรัทธาในพระศาสนาในการทำความดี
    และในการบำเพ็ญประโยชน์เป็นต้น


    ก็เช่นเดียวกัน เมื่อให้ด้วยศรัทธา
    ก็มีความสุขจากการให้นั้น
    ดังนั้นคุณธรรมที่พัฒนาขึ้นมาในใจ
    เช่น เมตตากรุณา ศรัทธา
    จึงทำให้เรามีความสุขจากการให้
    การให้กลายเป็นความสุข

    ขั้นที่ ๓ ความสุขเกิดจากการดำเนินชีวิตถูกต้อง
    สอดคล้องกับความเป็นจริงของธรรมชาติ
    ไม่หลงอยู่ในโลกของสมมติ
    ที่ผ่านมานั้นเราอยู่ในโลกของสมมติมาก
    และบางทีเราก็หลงไปกับความสุขในโลกของสมมตินั้น
    แล้วก็ถูกสมมติ ล่อหลอกเอา


    อยู่ด้วยความหวังสุขจากสมมติที่ไม่จริงจังยั่งยืน
    และพาให้ตัวแปลกแยกจากความจริงของธรรมชาติ
    และขาดความสุขที่พึงได้จากความเป็นจริงในธรรมชาติ
    เหมือนคนทำสวนที่มีหวังความสุขจากเงินเดือน
    เลยมองข้ามผลที่แท้จริงตามธรรมชาติจากการทำงานของตัว
    คือความเจริญงอกงามของต้นไม้
    ทำให้ทำงานด้วยความฝืนใจเป็นทุกข์
    ความสุขอยู่ที่การได้เงินเดือนอย่างเดียว
    ได้แต่รอความสุขที่อยู่ข้างหน้า
    แต่พอใจมาอยู่กับความเป็นจริงของธรรมชาติ
    อยากเห็นผลที่แท้จริงตามธรรมชาติของการทำงาน
    ของตน คือ อยากเห็นต้นไม้เจริญงอกงาม
    หายหลงสมมติ ก็มีความสุขในทำสวน
    และได้ความสุข จากการชื่นชมความเจริญงอกงามของต้นไม้อยู่ตลอดเวลา
    ดังนั้น คนที่ปรับชีวิตได้ เข้าถึงความจริงของธรรมชาติ
    จึงสามารถหาความสุขจากการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง
    ตามความเป็นจริงของธรรมชาติ ได้เสมอ
    พอปัญญามาบรรจบให้วางใจถูก
    ชีวิตและความสุขก็ถึงความสมบูรณ์
    ขั้นที่ ๔ ความสุขจากความสามารถปรุงแต่ง
    คนเรานี้มีความสามารถในการปรุงแต่ง
    ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของมนุษย์
    ปรุงแต่งทุกข์ก็ได้ ปรุงแต่งสุขก็ได้
    โดยเฉพาะที่เห็นเด่นชัดก็คือปรุงแต่งความคิด
    มาสร้างสิ่งประดิษฐ์ จนมีเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมาย
    ที่สำคัญก็คือในใจของเราเอง
    เรามักจะใช้ความสามารถในทางที่เป็นผลร้ายแก่ตนเอง
    แทนที่จะปรุงแต่งความสุข เรามักจะปรุงแต่งทุกข์
    คือเก็บเอาอารมณ์ที่ไม่ดี ที่ขัดใจ ขัดหู ขัดตา
    เอามาครุ่นคิดให้ไม่สบายใจ ขุ่นมัว เศร้าหมอง
    โดยเฉพาะคนที่สูงอายุนี่ ต้องระวังมาก
    ใจคอยจะเก็บอารมณ์ที่กระทบกระเทือน
    ไม่สบาย แล้วก็มาปรุงแต่ง ให้เกิดความกลุ้มใจ
    ว้าเหว่ เหงา เรียกใช้ความสามารถไม่เป็น
    พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรารู้จักใช้ความสามารถในการปรุงแต่ง
    แทนที่จะปรุงทุกข์ ก็ปรุงสุข
    เก็บเอาแต่อารมณ์ที่ดีมาปรุงแต่งใจให้สบาย
    แม้แต่หายใจ ที่ยังให้ปรุงแต่งความสุขไปด้วย
    ลองฝึกดูก็ได้เวลาหายใจเข้า ก็ทำใจให้เบิกบาน
    เวลาหายใจออก ก็ทำใจให้โปร่งเบา


    ท่านสอนไว้ว่าสภาพจิต 5 อย่างอย่างนี้
    ควรปรุงแต่งให้มีในใจอยู่เสมอ คือ
    ๑. ปราโมทย์ ความร่าเริงเบิกปานใจ
    ๒. ปีติ ความอิ่มใจ
    ๓. ปัสสัทธิ ความสงบเย็น ผ่อนคลายกายใจ ไม่เครียด
    ๔. ความสุข ความโปร่งโล่งใจ คล่องใจ
    สะดวกใจ ไม่มีอะไรมาบีบคั้น หรือติดขัดคับข้อง และ
    ๕. สมาธิ ภาวะที่จิตอยู่กับสิ่งที่ต้องการ
    ได้ตามต้องการ ไม่มีอะไรมารบกวน จิตอยู่ตัวของมัน
    ขอย้ำว่า ๕ ตัวนี่สร้างไว้ประจำใจให้ได้
    เป็นสภาพจิตที่ดีมาก
    ผู้เจริญในธรรมจะมีคุณสมบัติของจิตใจ ๕ ประการนี้
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    ตโต ปาโมชฺชพหุโล ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสติ
    แปลว่า ภิกษุปฏิบัติถูกต้องแล้ว
    มากด้วยปราโมทย์ มีจิตใจร่าเริงเบิกบานอยู่เสมอ
    จักทำทุกข์ให้หมดสิ้นไป
    ท่านพูดไว้ถึงอย่างนี้
    ฉะนั้น ท่านผู้เกษียณอายุนั้น
    ถึงเวลาแล้ว ควรจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์
    ถือเป็นโอกาสดี มาปรุงแต่งใจ
    แต่ก่อนนี้ปรุงแต่งแต่ทุกข์ทำให้ใจเครียด ขุ่นมัว เศร้าหมอง
    ตอนนี้ปรุงแต่งใจให้มีธรรม 5 อย่างนี้
    คือ ปราโมทย์ มีความร่าเริงเบิกบานใจ ปีติ ความอิ่มใจ
    ปัสสัทธิ ความผ่อนคลาย สงบเย็นกายใจ สุข โล่งโปร่งใจ
    สมาธิ สงบใจตั้งมั่น ไม่มีอะไรมารบกวน อยู่ตัว สบายเลย
    ทำใจให้ได้อย่างนี้อยู่เสมอ ท่องไว้เลย 5 ตัวนี้
    คือ ปราโมทย์ ปีติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ
    พระพุทธเจ้าประทานไว้แล้ว
    ทำไมเราไม่เอามาใช้ นี่แหละความสามารถในการปรุงแต่งจิต
    เอามาใช้ สบายแน่ และก็เจริญงอกงามในธรรมด้วย
    โดยเฉพาะ ท่านผู้สูงอายุนั้นก็เป็นธรรมดาว่า
    จะต้องมีเวลาพักและเวลาว่างที่ว่างจากกิจกรรม
    มากกว่าคนหนุ่มสาวและคนวัยทำงาน
    ที่เขายังมีกำลังร่างกายแข็งแรงดี
    ว่างจากงานเขาก็ไปเล่นไปทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้มาก
    แต่ท่านที่สูงอายุ นอกจากออกกำลังบริหารร่างกายบ้างแล้ว
    ก็ต้องการเวลาพักผ่อนมากหน่อย จึงมีเวลาว่าง
    ซึ่งไม่ควรปล่อยให้กายว่างแต่ใจวุ่น
    เพราะฉะนั้น ในเวลาที่ว่าง ไม่มีอะไรทำ
    และก็ยังไม่พักผ่อนนอนหลับ
    หรือนอนแล้วก่อนจะหลับ ก็พักผ่อนจิตใจให้สบาย
    ขอเสนอวิธีปฏิบัติง่าย ๆ ไว้อย่างหนึ่งว่า
    ในเวลาที่ว่างอย่างนั้น ให้สูดลมหายใจเข้า
    และหายใจออกอย่างสบาย ๆ สม่ำเสมอ
    ให้ใจอยู่กับลมหายใจที่เข้าและออกนั้น
    พร้อมกันนั้นก็พูดในใจไปด้วย
    ตามจังหวะลมหายใจเข้าและออกว่า
    จิตใจเบิกบานหายใจเข้า
    จิตใจโล่งเบาหายใจออก
    ในเวลาที่พูดในใจอย่างไร
    ก็ทำใจให้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ด้วย
    หรืออาจจะเปลี่ยนเป็นสำนวนใหม่ก็ได้ว่า
    หายใจเข้า สูดเอาความสดชื่น
    หายใจออก ฟอกใจให้สดใส
    ถูกกับตัวแบบไหน ก็เลือกเอาแบบนั้น
    หายใจพร้อมกับทำใจไปด้วยอย่างนี้
    ตามแต่จะมีเวลาหรือพอใจ
    ก็จะได้การพักผ่อนที่เสริมพลังทั้งร่างกายและจิตใจ
    ชีวิตจะมีความหมาย มีคุณค่า และมีความสุขอยู่เรื่อยไป

    ขั้นที่ ๕ สุดท้าย ความสุขเหนือการปรุงแต่ง
    คราวนี้ไม่ต้องปรุงแต่ง คืออยู่ด้วยปัญญา
    ที่รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต
    การเข้าถึงความจริงด้วยปัญญาเห็นแจ้ง
    ทำให้วางจิตวางใจลงตัวสนิทสบาย
    กับทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่อย่างผู้เจนจบชีวิต
    สภาพจิตนี้จะเปรียบเทียบได้เหมือนสารถีที่เจนจบการขับรถ
    สารถีผู้ชำนาญในการขับรถนั้น จะขับม้าให้นำรถเข้าถนน
    และวิ่งด้วยความเร็วพอดี
    ตอนแรกต้องใช้ความพยายาม ใช้แซ่ ดึงบังเหียนอยู่พักหนึ่ง
    แต่พอรถม้านั้นวิ่งเข้าที่เข้าทางดี ความเร็วพอดี อยู่ตัวแล้ว
    สารถีผู้เจนจบ ผู้ชำนาญแล้วนั้น
    จะนั่งสงบสบายเลย
    ตลอดเวลานั้นเขาไม่มีความประหวั่น ไม่มีความหวาด จิตเรียบสนิท
    ไม่เหมือนคนที่ยังไม่ชำนาญ จะขับรถนี่ ใจคอไม่ดี
    หวาดหวั่น ใจคอยกังวลโน่นนี่ ไม่ลงตัว
    แต่พอรู้เข้าใจความจริงเจนจบดี ด้วยความรู้นี่แหละ
    จะปรับความรู้สึกให้ลงตัว เป็นสภาพจิตที่เรียบสงบสบายที่สุด
    คนที่อยู่ในโลกด้วยความรู้เข้าใจโลกและชีวิตตามเป็นจริง
    จิตเจนจบกับโลกและชีวิต วางจิตลงตัวพอดี
    ทุกอย่างเข้าที่อยู่ตัวสนิทอย่างนี้ ท่านเรียกว่าเป็นจิตอุเบกขา
    เป็นจิตที่สบาย ไม่มีอะไรกวนเลยเรียบสนิท
    เป็นตัวของตัวเอง ลงตัว เมื่อทุกสิ่งเข้าที่ของมันแล้ว
    คนที่จิตลงตัวเช่นนี้ จะมีความสุขอยู่ประจำตัวอยู่ตลอดเวลา
    เป็นสุขเต็มอิ่มอยู่ข้างใน ไม่ต้องหาจากข้างนอก
    และเป็นผู้มีชีวิตที่พร้อมที่จะทำเพื่อผู้อื่นได้เต็มที่
    เพราะไม่ต้องห่วงกังวลถึงความสุขของตน
    และไม่มีอะไรที่จะต้องทำเพื่อตัวเองอีกต่อไป
    จะมองโลกด้วยปัญญาที่รู้ความจริง
    และด้วยใจที่กว้างขวางและรู้สึกเกื้อกูล
    คนที่พัฒนาความสุขมาถึงขึ้นสุดท้ายแล้วนี้
    เป็นผู้พร้อมที่จะเสวยความสุขทุกอย่างใน ๔ ข้อแรก
    ไม่เหมือนคนที่ไม่พัฒนา ได้แต่หาความสุขประเภทแรกอย่างเดียว
    เมื่อหาไม่ได้ก็มีแต่ความทุกข์เต็มที่และในเวลาที่เสพความสุขนั้น
    จิตใจก็ไม่โปร่งไม่โล่ง มีความหวั่นใจหวาดระแวงขุ่นมัว
    มีอะไรรบกวนอยู่ในใจ สุขไม่เต็มที่
    แต่พอพัฒนาความสุขขึ้นมา ยิ่งพัฒนาถึงขั้นสูงขึ้น
    ก็มีโอกาสได้รับความสุขเพิ่มขึ้นหลายทาง
    กลายเป็นว่า ความสุขมีให้เลือกได้มากมาย
    และจิตใจที่พัฒนาดีแล้ว ช่วยให้เสวยความสุขทุกอย่างได้เต็มที่
    โดยที่ในขณะนั้น ๆ ไม่มีอะไรรบกวนให้ขุ่นข้องหมองมัว
    เป็นอันว่าธรรมะ ช่วยให้เรารู้จักความสุขในการดำเนินชีวิตมากยิ่ง ๆขึ้นไป
    สู่ความเป็นผู้เต็มเปี่ยมสมบูรณ์
    จนกระทั่งความสุขเป็นคุณสมบัติของชีวิตอยู่ภายในตัวเองตลอดทุกเวลา
    ไม่ต้องหาไม่ต้องรออีกต่อไป
    ความสุข ๕ ขั้นนี้
    ความจริงแต่ละข้อต้องอธิบายกันมาก
    แต่วันนี้พูดไว้พอให้ได้หัวข้อก่อน
    คิดว่าคงจะเป็นประโยชน์พอสมควร
    ขออนุโมทนา ท่านผู้เข้าร่วมประชุมทุกท่าน
    ขอตั้งจิตส่งเสริมกำลังใจ ขอให้ทุกคนประสบจตุรพิธพรชัย
    มีปีติอิ่มใจอย่างน้อยว่า ชีวิตส่วนที่ผ่านมาได้ทำประโยชน์
    ได้ทำสิ่งที่มีค่าไปแล้ว ถือว่าได้บรรลุจุดหมายของชีวิตไปแล้วส่วนหนึ่ง
    เพราะฉะนั้นจึงควรตั้งใจว่า
    เราจะเดินหน้าต่อไปอีกสู่จุดหมายชีวิตที่ควรจะได้ต่อไป
    เพราะยังมีสิ่งที่จะทำชีวิตให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปอีกไม่ใช่แค่นี้
    ชีวิตนั้นยังเป็นสิ่งที่มีคุณค่า
    เป็นประโยชน์ ที่จะทำให้เต็มเปี่ยมได้ยิ่งกว่านี้
    จึงขอให้ทุกท่านเข้าถึงความสมบูรณ์ของชีวิตนั้นสืบต่อไป
    และขอให้ทุกท่านมีความร่มเย็นเป็นสุขในพระธรรม
    ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยทั่วกันตลอดกาลทุกเมื่อ.

    คัดลอกจากหนังสือคู่มือชีวิต ของ : พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันนี้นั่งสนทนาธรรมะกับครูอาจารย์ เลยขอเก็บตกธรรมะเล็กๆ น้อยมาฝาก แทนการแนะนำพระเครื่องดีประจำสัปดาห์


    ผมถาม - วันนี้ใส่บาตรตอนเช้ากับพระที่ตลาดแถวบ้าน มีคนใส่บาตรเบียดเสียดยัดเยียดกันมาก พระสงฆ์ที่มารับบาตร พอข้าวเต็ม ของเต็ม ก็ทยอยถ่ายใส่ถังที่วางอยู่ข้างๆ โดยมีรถกระบะจอดรออยู่ ใส่รอบนึง คนที่ใส่ก่อน ก็รอคนที่ใส่ที่หลัง เพื่อรอพระสงฆ์ท่านกล่าวยะถา สัพพีฯ มันช่างเป็นภาพที่อเน็จนาถแท้ บุญที่ได้จะเต็มที่มั๊ยครับ

    อาจารย์ตอบ - เอายังงี้ เวลาจะใส่บาตรหรือถวายสังฆทานแบบที่ว่าในช่วงปีใหม่ หรือในช่วงที่มีคนเยอะ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ยกของขึ้นจบเหนือหัว แล้วอธิษฐานว่า ข้าพเจ้าขอถวายภัตตาหารหรือเครื่องสังฆทานนี้ แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ ขอพระองค์ได้โปรดรับภัตตาหารหรือเครื่องสังฆทานนี้ เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้า แก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า แก่...แล้วก็เรียกครูอาจารย์ที่นับถือ หรือพระพุทธรูปอันศักดิสิทธิ์ หรือท่านท้าวเวสฯ ได้มาเป็นพยานบุญและโมทนาบุญให้เราด้วย แค่นี้ละพอ ของที่จะถวายท่านจะไปให้ใคร ท่านจะไปทำอะไร ก็เป็นเรื่องท่าน บุญบาปอยู่กับท่านแล้ว ส่วนเรา ข้างบนท่านรับรู้แล้ว รับรองไม่ตกบุญแน่นอน

    ผมถาม - จิตเราจะมีกำลังมากที่สุดตอนไหน

    อาจารย์ตอบ - จิตเราจะมีกำลังมากที่สุดก็ตอนที่เราเพิ่งออกจากสมาธิ ดังนั้น หากเป็นไปได้ หากนั่งสมาธิเสร็จใหม่ๆ ให้หาที่กรวดน้ำวางไว้ใกล้ตัว ออกจากสมาธิปุ๊บ กรวดน้ำอุทิศ ปั๊บ รับรองเจ้ากรรมการนายเวร เทวดาทั้งหลาย พรหมทั้งหลาย ญาติทั้งหลาย สัมภเวสีทั้งหลาย รวมถึงเจ้าที่พระภูมิได้บุญเป็นสองเด้งมากกว่ายามปกติแน่นอน

    ผมถาม - บุญของการให้ของ ให้ทรัพย์กับพ่อแม่ ต่างกับบุญของการตักบาตรพระหรือเหมือนกันมั๊ยครับ

    อาจารย์ตอบ - การให้ของ ให้ทรัพย์ หรือให้อย่างอื่นกับพ่อแม่นั้น นั่นละคือบุญที่แท้จริง เพราะพ่อแม่คือเนื้อนาบุญของลูกๆ เพราะท่านเป็นยิ่งกว่าพระอรหันต์ เป็นยิ่งกว่าพรหมของพวกเรา ส่วนการตักบาตรพระสงฆ์นั้น เป็นการถวายทานให้แก่ท่าน ซึ่งผลของทานนั้นจะทำให้เราไม่อดไม่อยาก ไม่ตกต่ำ สังเกตุดูได้ คนที่ตักบาตรทุกเช้าเป็นประจำ จะไม่อดอยาก เพราะเทวดาประจำตัวเค้าอยากได้บุญด้วย เค้าก็เลยบันดาลให้มีมีเงินใช้ไม่ขาดมือ รวมถึงการมีอาหารดีๆ มาให้ได้รับประทานบ่อยๆ และมีโอกาสที่ดีกว่าคนอื่นในเรื่องโชคลาภในบางครั้ง (เทวดาช่วย)

    ปล. สำหรับผมในเรื่องนี้เป็นความจริงอย่างแน่นอน เพราะผมเองรู้จักคนๆ หนึ่ง และเค้าได้เล่าให้ฟังว่า ทุกวันเค้าจะตื่นตอนตีสี่เพื่อหุงข้าวและรอใส่บาตรพระตอนเช้ามิได้ขาด วันไหนข้าวสารใกล้จะหมด ก็จะมีคนนำมาให้ พ่อแม่บ้าง ญาติบ้าง เพื่อนบ้านบ้าง เป็นยังงี้ตลอด จนมาเล่าให้ผมฟัง ผมจึงได้อธิบายถึงอานิสงส์ในการใส่บาตรให้ฟัง เค้าถึงได้ถึงบางอ้อ ดังนั้น หากใครไม่อยากอดอยากต้องทำทานเยอะๆ ครับ เห็นผลในชาตินี้ทีเดียว



    ผมเองก็หวังว่า เก็บตกจากการสนทนาธรรมกับครูอาจารย์ของผม คงจะมีประโยชน์กับทุกท่านที่เผอิญได้เข้ามาอ่านในกระทู้นี้ และคิดอยากทำบุญใส่บาตรในช่วงปีใหม่นี้ไม่มากก็น้อย จึงขออนุโมทนาและสาธุบุญล่วงหน้ากับทุกๆ ท่านครับ

    พันวฤทธิ์
    30/12/55
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    คำอธิษฐานบุญที่โดนใจผมมาก ถึงขั้นตัดพับใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์เป็นแรมปีโดยปัจจุบันก็ยังใช้อยู่ และจะอธิษฐานทุกครั้งถ้าไม่ลืม คำอธิษฐานนี้ ส่งผลให้เด็กชาวนาจากภาคอีสานจนๆ คนหนึ่ง กลายเป็นคนที่มีสง่าราศี มีกินมีใช้ มีคนนับหน้าถือตาเทียบชั้นคุณหญิงในปัจจุบัน ท่านมีตัวตนจริง และได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ทุกวันนี้ หลังจากการทำบุญทำทานทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นงานบุญทานเล็กหรือใหญ่ ท่านจะอธิษฐานต่อท้ายเสมอว่า

    "ขอให้ชีวิตพบแต่สิ่งดีๆ มีแต่ความสุขความเจริญก้าวหน้าสูงยิ่งๆ ขึ้นไป อย่าได้พบกับความตกต่ำลำบากใดๆ ทั้งในชาตินี้และชาติหน้าเทอญ.."


    ไม่สงวนสิทธิในการจดจำและนำไปอธิษฐาน ขอให้ท่องให้ได้ จำให้ดี ก็แล้วกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2013
  12. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +329
    ขออนุโมทนาครับ สำหรับสิ่งดี ๆ ที่มอบให้
     
  13. channarong_wo

    channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวพี่น้องและลูกศิษย์ลูกหาทุกท่าน
    ที่ต้องสูญเสียอาจารย์ปู่ไป
    ขอท่านอาจารย์ปู่หลับให้สบาย จิตสู่สรวงสวรรค์ มีความสุขอยู่เบื้องบนครับ

    วันนี้มีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะไปส่งปู่เป็นครั้งสุดท้าย .......ที่ชลบุรี
     
  14. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ และขออุทิศบุญความดีที่ได้กระทำมาดีแล้ว แด่ ปู่ ด้วยครับ
     
  15. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    สวัสดีปีใหม่พี่เสือและทุกท่านด้วยนะครับ ขอให้ทุกท่านมีสุขกาย สุขใจ เจริญทั้งโลกและธรรม
     
  16. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    กราบท่านอาจารย์คุณปู่ประถมด้วยครับ
    ผมเองเพิ่งทราบข่าว ไม่ทันได้ไปส่งคุณปู่เลยครับ
    ขอแสดงความไว้อาลัยครับ:'(
     
  17. kratium

    kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +3,670
    ได้มีโอกาส พบอาจารย์ประถม 2 ครั้ง เมื่อคราวที่มาทำบุญที่โรงพยาบาลสงฆ์ ท่านเป็นผู้สูงวัย ที่ดูใจดี มีเมตตาค่ะ ขอแสดงความเสียใจ กับการจากไปของท่านด้วยค่ะ และขออุทิศบุญความดีที่ได้กระทำมาดีแล้ว แด่ ท่านอาจารย์ด้วยค่ะ
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ครับ การเสียชีวิตของอาจารย์ฯ พวกเราเองก็เสียใจไม่น้อยเหมือนกัน เพราะ อ.ประถมฯ ท่านเป็นคนที่รู้เรื่องพระเครื่องในสมัย ร.4 และ ร.5 ชนิดที่เรียกว่า "ลึกซึ้ง" เป็นอย่างมาก มีความสามารถในการตรวจได้ทั้งรูป และนาม รวมถึง มีการสอบทานไปถึงการสร้างและการเสกพระพิมพ์ในสมัยดังกล่าวจนสามารถเขียนเป็นตำราได้

    วันนี้จึงขอกล่าวถึงข้อเขียนของท่านฯ ที่มีผู้นำไปลอกเลียนแบบ และพิมพ์เป็นหนังสือ หรือทำเป็นบทความในเวบไซด์ต่างๆ โดยไม่ได้อ้างอิงข้อมูลว่ามาจากท่านแม้แต่น้อยเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย โดยข้อเขียนของท่านเริ่มเขียนตั้งแต่เรื่องพระของหลวงปู่โลกอุดร ตำนานที่รอการพิสูจน์ตั้งแต่ปี 2533 ต่อด้วยเรื่อง พระพิมพ์สมเด็จสกุลเจ้าคุณกรมท่า ในหนังสือ "ศูนย์พระเครื่อง" เป็นต้นมาจนถึงปี 2535 แล้วมาเขียนต่อในหนังสือ "พระเครื่องเมืองสยาม" ของคุณชินพร สุขสถิตย์ ที่ลงเรื่อง"พระมงคลมหาลาภ" (การสร้างและการเสก) พร้อมกับเรื่องอื่นๆ เช่นเรื่องของหลวงปู่แก้ว เกสาโร วัดละหารไร่ จ.ระยอง จนจบตอนราวปี 2535-2536 ซึ่งผู้ที่ลงบทความหลัีงจากนี้ นับว่าน่าจะนำบทความของท่านมาต่อเติมแทบทั้งสิ้น รวมถึงบทความจากหนังสือ "วิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จฯและพระสมเด็จท่านเจ้าคุณกรมท่า" ที่มีผู้นำมาลอกเลียนข้อมูลของท่านมากที่สุดทั้งๆ ที่มีการจดลิขสิทธิ์ของหนังสืออย่างถูกต้องเรียบร้อยแล้ว นับว่าสิ้นทางหากินในความรู้เรื่องพระพิมพ์สกุลนี้เป็นอย่างมาก โดยผู้ที่นำมาลอกเลียนแบบข้อมูล บางทีก็ลอกทั้งรูปที่ผมนำมาลงไว้ในกระทู้นี้ หรือบทความที่มีการตรวจพระเท่าที่ผมนำมาเผยแพร่ไว้ก็มี แถมนำไปตั้งราคาเป็นหมื่นๆ ซึ่งนับว่าแปลความหมายในการสร้างพระพิมพ์ฯ ของท่านเจ้าคุณกรมท่าเป็นอย่างมากทีเดียว น่าอนาถใจแท้ครับ

    การตรวจพลังพระไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับผู้มีฌาณจิตในระดับสูง แต่การเรียกชื่อพิมพ์ทรง หรือจำแนกเนื้อ หรือความรู้ด้านการปลุกเสกพระเครื่องต่างๆ รวมถึง ความอัศจรรย์แห่งจิตของท่านต่างหากที่ได้ตายไปพร้อมกับตัวท่าน พวกผมเอง ถึงรู้ว่าเวลามีน้อยขนาดเร่งรีบเก็บเกี่ยวความรู้จากท่านแล้ว แต่ก็นับเป็นส่วนน้อยมาก แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ทุนนิธิฯ ก็ได้จัดทำหนังสือขึ้นมาร่วมกับลูกชายท่านคือ คุณเอกชัย อาจสาคร ไว้เล่มนึง คาดว่าในวันทำกิจกรรมในเดือนนี้ ถึงจะนำมาเผยแพร่กัน โดยหนังสือนี้ ในวันเผาศพท่านฯ ทุกคนก็ได้รับอยู่แล้ว พร้อมกับพระพิมพ์อันวิเศษที่ท่านเตรียมไว้ก่อนตาย คือพระพิมพ์สมเด็จ พิมพ์ปิดตาสี่กร ชุดเฉลิมพระเกียรติวังหน้า ร.5 (ตามภาพตัวอย่างด้านล่างจากกูเกิล) ซึ่งโรยผงทองคำบางสะพานอย่างสวยสดงดงามและการอธิษฐานจิตสำเร็จโดยหลวงปู่อุตตระ หรือหลวงปู่พระธรรมฑูตโลกอุดรองค์ที่ 1 ที่มีคุณวิเศษด้านเมตตามหานิยมพร้อมสรรพด้วยอิทธิคุณด้านอื่ีน พร้อมกับพระพิมพ์ปรกใบมะขามของหลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก ซึ่งเป็นพระพิมพ์เนื้อผง (ได้ทราบมาว่าผงนี้ประกอบด้วยผงของหลวงปู่ม่น ผงของพระสมเด็จสกุลวังหน้า ผงของหลวงปู่บรมครูพระธรรมฑูตโลกอุดร ผงราชวรมันสรรพสิทธิ์ ผงโสฬสมหาพรหม และผงอ่อนใจรัก/ลูกชาย อ.ประถมให้ข้อมูลเมื่อวันที่ 6/1/56) ไว้เป็นที่ระลึก อันเป็นที่สุดของท่านฯ ที่ได้มอบให้ลูกหลานและผู้ที่เข้าร่วมงานได้เก็บไว้แล้วอย่างสมบูรณ์ ผมจึงขอคารวะในความเมตตาของท่านฯ ด้วยดวงใจครับ

    สุดท้าย พระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่า ที่ผมเตรียมไว้แจกฟรี ให้กับผู้ที่ทำบุญผ่านกระทู้ในเดือนมีนาคม 2556 ได้รับมาแล้วเรียบร้อย โดยผ่านการตรวจทั้งทางรูปและนามไว้เป็นอย่างดีแล้วเช่นกัน ผู้ตรวจถึงกับออกปากว่า ท่านยังแข็งแรงดีทุกองค์ (พลังจิตของท่านผู้เสกยังยอดเยี่ยมแม้กาลเวลาจะผ่านไปนับร้อยปี) ดังนั้น ท่านที่ทำบุญมาตั้งแต่ปีที่แล้ว จนถึงสิ้นเดือนกุมภาฯ 2556 มีสิทธิ์ขอมาได้คนละองค์ครับ ช่วย pm.มาด้วยก็แล้วกัน แต่ขอบอกล่วงหน้าด้วยเช่นกัน พระพิมพ์ที่อยู่ในมือผมผงทองคำจะมีน้อยเพราะผู้ที่ให้มาก็ยังตัดไม่ขาดในเรื่องนี้เช่นกัน แต่รับรองพิมพ์ทรงไม่ขี้เหร่ครับ อิทธิฤทธิ์และอิทธิคุณสบายมากครับ แขวนเดี่ยวได้ แจ้งให้ทราบแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2013
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สืบหาพระเครื่องดี ติดไว้ 1 วัน ครับ แต่เตรียมเรื่องไว้แล้ว เป็นพระหลวงพ่อโสธรแจกฟรี แต่คุณภาพปานมอเตรอ์ไขค์ 500 ซีซี ทีเดียว ท่านองค์ใหญ่ของหลวงพ่อท่านลงมาทำให้ครับ เลยแรงด้วยประการฉะนี้
     
  20. sirimanod

    sirimanod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +912
    ผมขอร่วมทำบุญประจำเดือน ม.ค.56 ด้วยนะครับ

    ผมได้โอนเงินเข้าบัญชีของทุนนิธิฯแล้วจำนวน 100 บาทเมื่อในวันที่ 4 ม.ค.56และผมขออนุโมทนากับทุกๆท่านที่ได้ร่วมทำบุญด้วยนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...