จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขันธ์ ๕ หรือ ร่างกายของคนเรา

    นับนานวันไปมีแต่ความเสื่อม เสื่อมทุกวัน เพียงแต่เราไม่ได้สังเกตุกันเท่านั้น
    ถึงจะมีวิทย์ศาสตร์การแพทย์อันทันสมัยหรือเทคโนฯล้ำสมัยอยู่ก็ตาม
    อย่างมากก็แค่ ยืดออกไปได้นิดหน่อยเท่านั้นเอง

    เห็นมีแต่จิตเท่านั้น ที่ยังต้องพัฒนาต่อไปได้เรื่อยๆ
    จิตไม่มีคำว่า เสื่อม
    สำหรับคำพูดที่ว่า "ศาสนาพุทธไม่มีวันเสื่อม เห็นมีแต่จิตใจคนเสื่อม"
    อันนี้เห็นจะจริงสำหรับ ผู้ที่ไม่พัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น
    หรือไม่ยอมเจริญสติภาวนา

    แต่สำหรับผู้ที่เจริญสติภาวนา หรือพัฒนาจิตใจของตนโดยไม่หยุดยั้ง
    โดยเฉพาะผู้ที่สนใจดูจิตตนเอง
    จากจิตปุถุชนหรือคนธรรมดาๆ ให้พัฒนาจิตใจให้สูงยิ่งๆขึ้นไป
    หรือให้เป็นจิตอริยบุคคล ตั้งแต่จิตพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์

    โดยเริ่มจากคุณสมบัติของคนดีก่อน ก็คือ รักษาศีล ๕ ให้ครบบริบูรณ์ก่อน
    โดยวัดกันที่ตัวเจตนาเป็นหลักก่อน
    โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติเพื่อมรรค ผล นิพพาน อย่ามองข้ามเรื่องศีล
    อย่าหาว่าเรื่องศีลเป็นเรื่องเล็กน้อย
    แต่ถ้าผู้ปฎิบัติท่านใดคิดอย่างนี้ละก้อ ไม่มีทางที่เจริญในศีล ในธรรมอย่างแน่นอน
    ถึงท่านจะมีความเพียรสักเท่าใด การปฎิบัติของท่านก็จะติดๆดับๆ
    เพราะศีลไม่แน่นพอ จิตของผู้ปฎิบัติก็ไม่แน่นตามไปด้วย
    มันเกี่ยวข้องกันอย่างนี้นะ ได้โปรดระวัง!

    เมื่อผู้ปฎิบัติรักษาศีลของตนเองดีแล้ว
    ต่อไปก็ว่ากันที่ การภาวนา หรือ การเจริญสติ
    วิธีนี้จะทำให้จิตของท่านเห็นผลในการปฎิบัติหรือจิตจะนิ่งเร็วหรือช้า
    ก็คือ ความเพียร หรือ ความเอาใจใส่ในการปฎิบัติ

    เมื่อสอบผ่านวิปัสสนา จิตก็จะทรงตัวมากยิ่งขึ้น นั่นก็คือ วิปัสสนาญาณหรือปัญญาญาณ
    เมื่อจิตสามารถผ่านมาถึงตรงนี้กันแล้ว เราเรียกว่า "มีดวงตาเห็นธรรม"
    ผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมนั้น จะเป็นผู้ที่มีทั้งศีล ทั้งธรรม
    หรือผู้ที่มองเห็นสรรพสิ่งด้วยอริยจักษุญาณ
    โดยเฉพาะพระนิพพานเป็นคำสุขุมนัก เป็นธรรมที่ต้องเห็นด้วยอริยจักษุ
    เป็นธรรมอันบุคคลผู้เพรียบพร้อมด้วยมรรค(เท่านั้น) จะพึงถึงได้
    เพราะฉะนั้น คำว่า นิพพาน จึงมิใช่เรื่องของการเข้าใจ แต่อยู่ที่การเข้าถึง
    อันเป็นผลจากการปฏิบัติธรรมของตนเอง เท่านั้น!

    แต่ถ้าผู้ปฎิบัติท่านใดยังไม่หยุดยั้ง ก็อาจจะพัฒนาจิตใจให้สูงยิ่งกว่าอีกได้
    นั่นก็คือ "จิตพุทธะ" (จิตคือพุทธะ)

    หรือการเข้าถึงจิตของพระพุทธเจ้า แต่ผู้เขียนไม่สามารถบรรยายในที่นี้ได้
    ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย



     
  2. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 62 คน ( เป็นสมาชิก 14 คน และ บุคคลทั่วไป 48 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    Dhammanee, ภูทยานฌาน2, chusakpu, watta chan, UncleGee, คนฝั่งโขง, kaewkaow, มาลินี UK, เมธญา, fein, kwansuwee, นิติทอง

    เออ..ตอนนี้ที่เมืองไทยยังเช้าตรู่อยู่เลยค่ะ หรือว่า ตปท.ค่ะเนี่ย...โฮ๊ะๆๆๆ:cool:
     
  3. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    ครูเกษ เมืองไทย ประมาณเจ็ดโมงเช้า ครับ..แต่วันนี้ผู้ชมหนาแน่นมาก
    เพราะข่าวคราวเรื่องภัยพิบัตินี้แหละ 555
     
  4. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=NqJpBieCyZ0]กำลังใจ โฮป - YouTube[/ame]


    กำลังใจ

    ขอบมอบเพลงคั่นเวลายามเช้า เพื่อเติมกำลังใจ..

    สำหรับผู้แวะมาเยี่ยมเยือน ที่นี่มีกำลังใจ และความอบอุ่น..ไว้รอต้อนรับทุกท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 ธันวาคม 2012
  5. kan10270

    kan10270 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +306
    ขอขอบคุณครูปลื้มและครูบัวที่กรุณาส่งเอกสารสัมมนาจิตเกาะพระเมื่อวันที่ 17/11/55 ไปให้ค่ะ เมื่อวานได้รับเรียบร้อยแล้วนะคะ ขออนุญาต copy เอกสารนี้ให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาแนวทางการปฏิบัติด้วยนะคะ
     
  6. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027

    ไม่ได้เจอบรรยากาศแบบนนี้มานานหล่ะ ขออนุญาตินำส่วนหนึ่งของการบ้านลูกศิษย์มาลงให้ได้โมทนาบุญกันนะค่ะ สาธุ :cool:

    สวัสดีครับ ครูพี่เกษ
    การบ้านครับ
    วันที่ 12 ตื่นเช้ามา ก็ปั่นผ้า แล้วอาบน้ำ ก็ไปทำบุญถวายสังฆทาน กันที่วัด (ได้ทำบุญแล้วอารมณ์ใจดี)เสร็จจากนั้นก็ไปทานข้าวและไปซื้อของใช้ภายในบ้าน พอกลับถึงบ้าน ก็ปั่นผ้าอีกชุดและอาบน้ำอีกรอบ ให้สบายใจ เสร็จกิจกรรมก็ประมาณ บ่ายโมงกว่า ก็มานั่งสมาธิ พอเริ่มนิ่งก็เปิดด้วยขอบารมีท่านพ่อและอุทิศเปิดบุญให้น้องเขา แล้วก็เริ่มพิจารณาร่างกาย พิจารณาอยู่ได้พักใหญ่ เหน็บก็เริ่มมา แต่ผมเราต้องอดทน นั้นเป็นอาการของกาย อย่าได้ไปสน นี้แหละร่างกาย มีแต่ความทุกข์ นั่งอยู่เฉยๆก็ยังทุกข์ แต่จิตยังนิ่ง และดิ่ง แล้วพิจารณาต่อ จนมาถึงเป็นเหมือนประตูของแต่ละห้อง ผมเข้าไปห้องแรก มีผู้หญิงเปลือยกายหลายคน ล้วนแต่งามทั้งนั้น แต่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลย กับสิ่งที่เห็น กับเห็นนี้เป็นกามราคะ แล้วก็ถ่อยหลังออก ไปอีกประตูเห็นเป็นนรกที่มีแต่ความทรมานความเจ็บปวดของผลกรรมที่ทำตอนเป็นคน นี้แหละนรกเราไม่ขอมาที่นี้ แล้วก็ถ่อยหลัง ออก แล้วไปอีกประตูหนึ่งเห็นสวรรค์ มีเทวดา มีนางฟ้า อยู่กันอย่างมีความสุข สวรรค์เป็นอย่างนี้เราจะมาไหม ไม่มา แล้วก็ไปอีกประตู น่าจะเป็นชั้นพหรม รายละเอียดจำไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้จบลงที่ตรงชั้นนี้ ก็ไปอีกประตูหนึ่ง ผมรู้ว่าเป็นนิพพาน มีปราสาทแก้ว แพรวพราว วาบวับ จับตา หลายหลังด้วยกัน ในจิตก็คิดว่า ที่นี้มีแต่ความบริสุทธ์ ทุกๆอย่าง มีความเที่ยง ไม่มีการไปเวียนวาย ตายเกิดอีกแล้ว เป็นความสุขที่แท้จริง ผมก็กลับมาพิจารณาว่า แล้วประตูแรกนั้นคงเป็นโลกที่มีแต่กามราคะ และชั้นสวรรค์ หรือ พหรมเองเมื่อเราหมดบุญ เราก็ต้องเวียนวายตายเกิด อีก สู่เข้านิพพานดีกว่า มีความบริสุทธ์เป็นยิ่งนัก หลังจากผ่านตรงนี้ไป ก็กลับมาที่ร่างกายอีก เราคิดไปว่าร่างกายนี้เป็นสมบัติของทางโลก เราตายไปร่างนี้ก็คืนสู่ธรรมชาติ สิ่งที่ติดเราไปก็คือกรรม ทั้งดีและชั่ว ที่เราได้ทำมา พิจารณาได้ดังนั้น อยู่ดีๆ ภาพพระก็ผุดออกจากองค์เดิม ภาพพระท่าน เป็นแก้ว ขาว ใสมาก ไม่เคยเห็นมาก่อน มีรัศมีรอบกายท่าน ขาวนวล สัมผัสได้ถึงบารมีของท่าน ปลึ้มมากจิตยิ้ม ปราบปลื้มท่านมาก พอนิ่งได้อีกสักพักหนึ่งก็ออกจากสมาธิ พอยืดตัวเหน็บก็กิน ดูนาฬิกา เรานั่งไป 3 ชั่วโมงเห็นจะได้ ก็เย็นพอดีแล้วก็นั่งทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เย็นมา ความทุกข์ก็เริ่มมา นั้นคือความหิว ต้องไปหาอะไรเติมเพื่อดับทุกข์ ตอนเดินไปตลาดและเดินกลับบ้าน จิตผมก็อยู่ที่ภาพพระ เป็นภาพใหม่ที่ได้มาจากตอนนั่งสมาธิ
     
  7. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    เอ๋อ...รึอาจจะเป็นเพราะว่า เค้าเข้ากระทู้ผิดค่ะ...5555:boo:
     
  8. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ถ้าเรามีความจำเป็นต้องทำลายศีล ๕ เราก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลงนรก
    ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

    สิ่งที่มีความสำคัญก็ขอย้ำว่า พยายามทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ อย่าคิดว่ามันมีความจำเป็นอะไรต้องทำลายศีล ๕ ถ้าเราถือว่าเรามีความจำเป็น เราก็ต้องคิดว่า เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลงนรก คิดไว้ด้วยนะ

    เพราะถ้าจำเป็นจะต้องทำลายศีล ๕ ข้อใดข้อหนึ่ง ก็ต้องถือว่า เรามีความจำเป็นจริงๆที่จะไปพระนิพพานยังไม่ได้ ต้องลงนรกก่อน เตือนไว้นะ เพราะศีล ๕ แต่ละข้อ ถ้าผิดข้อไหนก็ตาม เปิดโอกาสลงอบายภูมิทั้งหมด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2012
  9. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    เราจะเอาตัวรอดพ้นจากอบายได้
    ต้องอาศัยศีลเป็นหลักประกันความปลอดภัย
    ดังนั้นอาตมาเทศน์ที่ไหน ก็ย้ำอยู่ที่ศีล ๕
    เพราะเป็นกฎเกณฑ์ที่จะละความชั่วได้โดยเจตนา"

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย​
     
  10. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    การรักษาศีลนี้ มันมีดีอย่างนี้
    มันทำให้เกิด ความเจริญ
    ปัญญา มันจะเกิดขึ้นมา

    ทำให้ การทำสมาธินี่ มีจิตสงบ
    ...
    เมื่อจิตสงบแล้ว มันก็เห็นชัด
    เมื่อเห็นชัดแล้ว ปัญญามันก็เกิด

    ปัญญาเกิด มันก็เห็นสิ่งที่ผิด-ที่ถูก
    เมื่อเห็นสิ่งที่ผิด-ที่ถูกแล้ว มันก็ละ สิ่งที่มันผิด
    มันก็ประพฤติ สิ่งที่มันถูก เท่านั้น
    เมื่อมันถูกแล้ว มันก็ดี มันก็ชอบ เท่านั้น
    ตรงนั้น คือ "ผล" ที่เกิดขึ้นมา


    พระธรรมคำสอน…หลวงปู่ชา สุภัทโท
     
  11. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    ศีล.........เป็นประกันความเป็นปกติสุขของชีวิต เป็นกำแพงป้องกันอบายภูมิ๔ เมื่อครั้งชีวิตแตกดับไป เป็นองค์ธรรมที่ทำให้เราเป็นมนุษย์

    สมถะกรรมฐาน....เปรียบเหมือนการฝึกฝนให้จิตมีกำลังเข้มแข็งใช้ประกอบการงานต่างๆให้สำเร็จลุล่วง อันมีองค์ฌานตั้งแต่รูปฌาน จนถึงอรูปฌานเป็นองค์ประกอบกันของสมถะ สมถะจะข่มอารมณ์ความรู้สึกต่างๆที่เป็นอกุศลกรรมไว้ไม่ให้กำเริบ เปรียบดังหินทับหญ้าไว้ เปรียบดังกรงเหล็กที่ขังเสือร้
    ายไว้ แต่หากหินที่ทับหญ้าโดนยกออก หญ้าก็เจริญงอกงามได้ใหม่ หากเสือร้ายที่โดนขังหลุดออกมา ก็จักมีอิสระและทำร้ายผู้คนได้

    วิปัสสนากรรมฐาน.......เปรียบเหมือนอาวุธที่ใช้ประหัตประหารฆ่าศึก(กิเลส)ให้พินาศย่อยยับด้วยการใช้ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในทุกสรรพสิ่ง และไม่ยึดติดในสิ่งใด มีความเห็นจริงตามกฏของธรรมชาติ กฏของกรรม กฏของพระไตรลักษณ์ กฏของสิ่งที่มีเหตุปัจจัยโยงใยถึงกันในปฏิจจสมุปบาท


    เมื่อมีศีลแล้ว..การเจริญสมถะกรรมฐานก็ง่ายขึ้น เกิดความคล่องแคล่วในการเข้าออกฌาน เกิดญานทัศนะต่างๆอันเป็นของแถมที่เกิดจากการพลังการตั้งใจแน่วแน่วที่จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จิตจะเสวยอารมณ์สุขที่แนบแน่นประณีต ยิ่งกว่าสุขในกามคุณทั้งหลาย บุคคลที่คล่องแคล่วในฌานจนเกิดวสี จึงสามารถข่มอารมณ์ต่างๆที่เกิดจาก ราคะ โลภะ โทสะได้ชั่วคราว จนบางครั้งอาจหลงผิดคิดว่าตนเป็นพระอริยะไป หากไม่ใช้วิปัสสนาเข้ามาตามรู้เท่าทันในอารมณ์เหล่านั้น

    เพราะฉะนั้นแล้ว ไตรสิกขาอันมี ศีล สมาธิ ปัญญานี้ จึงต้องประกอบควบคู่กัน ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปก็จักไม่สมบูรณ์

    หากขาดศีล การเจริญสมาธิก็หาได้มีผลไม่ จิตจะไม่สามารถตั้งมั่นในองค์สมาธินั้น เนื่องจากนิวรณ์ทั้ง๕ตามรบกวน จนจิตไม่มีกำลังในการใช้สติปัญญาเพื่อใช้วิปัสสนาตัดอารมณ์ ละ โลภ โกรธ หลง ประหัตประหารกิเลสเป็นสมุทเฉทปหาน ดังนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา จึงมีปัจจัยโยงใยถึงกัน แลขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ จักควบคู่กันไป เหมือนขาสองข้างที่ก้าวเดินไปด้วยกัน ขาดข้างใดข้างหนึ่ง ก็จักเดินไปสู่จุดมุ่งหมายไม่ได้

    หากเราเป็นพุทธศาสนิกชนโดยแท้แล้วไซร้ จงพึงสร้างกุศลอีกอันหนึ่ง ซึ่งเป็นปัจจัยตัดความโลภโดยตรงและเป็นการลงทุนมีโภคทรัพย์เอาไว้จุนเจือใช้สอยในสัมปรายภพ คือการทำทาน โดยที่ ทานนั้นจักต้องบริสุทธิ์ ทั้งผู้ให้และผู้รับ จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดในทาน

    ผู้ให้...... ก่อนให้ก็อิ่มเอมใจ ขณะให้ก็สุขใจ หลังให้แล้วก็มีความสุขทุกครั้งที่ให้และเกษมสุข อิ่มใจทุกครั้งที่คิดถึงทานนั้น
    ผู้รับ....พึงเป็นผู้มีศีล สมาธิ ปัญญา โดยสมบูรณ์จึงจักเกิดผลกับผู้รับโดยสูงสุด

    สิ่งเหล่านี้ อันมี ทาน ศีล ภาวนา เราซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชนพึงทำให้ประจำสม่ำเสมอ เพื่อที่สุดแห่งเอกันตบรมสุข อันเป็นสุดยอดของสุขทั้งปวงคือ พระนิพพานเ็ป็นที่ไป


    ขอเจริญในธรรม

    ปาราเมศ..........นิวเวป จบ.๑๔

    **********************************************

    เป้าหมายสุดท้ายของชีวิต คือ พระนิพพาน
     
  12. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    พบหลวงพ่อฤๅษีฯ ครั้งแรก

    เย็นวันนั้นจำวันที่ไม่ได้ มันตั้ง 29 ปีที่แล้ว(ประมาณปี 2519) แต่ที่ไม่มีวันลืมก็คือ
    ผู้เขียนนั่งคอยพ่อ (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) อยู่แถวหน้า ติดตั่งที่พ่อนั่ง
    เมื่อพ่อลงมาจากที่พักชั้นบนของบ้านก็จะมานั่งตรงนั้น
    เราก็เลยว่าพอจะคุกเข่ากราบก็ถึงหลังเท้าพ่อพอดีเลยละ
    สักครู่ได้ยินเสียงพี่อ๋อย (คุณ เฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) เจ้าของบ้านพูดว่า "หลวงพ่อ
    มาแล้ว"


    ท่านผู้อ่านเอย..... เมื่อผู้เขียนเหลียวไปมองด้านหลังตรงประตูจากชั้นบน ผู้เขียนเห็นพระสงฆ์ องค์หนึ่ง รูปร่างค่อนข้างผอม (ขณะนั้นนะ) ผิวพรรณคล้ำแต่ประกายผ่องใส เดินหลังตรงมาที่ตั่ง แต่เท้าของท่านซี ท่านเอย........ เท้าท่านดูลอยจากพื้นสักคืบหนึ่ง เดินแบบเหิร ตาจ้องมองผู้เขียนเขม็ง พ่อเอย.....

    แม้ดวงตาพ่อจะดุ แต่สายตาและวงหน้านั้นมีแต่ความเมตตาอารี
    ผู้เขียนไม่ใช่คนงมงายเด็ดขาดเคลิบเคลิ้มเด็ดขาด แต่ก็ต้องยอมรับว่า พระองค์นี้ไม่ใช่พระธรรมดา
    กระแสจิตที่มองเพ่งมามันแรงกล้า พาให้ขนเรานี่ลุกชูชันสั่นไปหมด
    เสียงบรรดาศิษย์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตรีมีอายุมากกว่าผู้เขียน อุทานขานเรียกกันเซ็งแซ่ว่า
    "หลวงพ่อเจ้าขา...หลวงพ่อเจ้าขา..." ท่านก็ยิ้มรับ "เอ๊อ..ดี..ดี..ลูก.."
    แล้วก็นั่งลงบนตั่งตั้งกายตรงสง่างามหนักหนา ลูกศิษย์ลูกหาก็ประนมกราบไหว้ดูน่าตื่นตาซึ่งใจ
    ภาพและเสียงศิษย์รักเทิดทูนอาจารย์นั่นจับใจผู้เขียนนัก ต่างคนต่างก็รายงานอารมณ์ถามธรรมตามลักษณะ
    วาสนาของตน ใบหน้าน้ำเสียงก็ชื่นบานเป็นสุข องค์หลวงพ่อก็เมตตานุ่มนวล แต่หนักแน่นให้ลูกศิษย์ศรัทธา
    ดูแล้วไม่มีอะไรจะเคลือบแคลงสงสัยในน้ำใจท่านได้ เป็นไปอย่างนี้สักครึ่งชั่วโมง ก็ซาสร่างว่างโอกาส

    ผู้เขียนซึ่งนั่งเซ่อโด่เด่ขวางทางเขาอยู่นานแล้วก็ฉวยโอกาสนั้น
    คุกเข่าพนมมือ.. กะให้สวยสมใจเชียว กราบลงไปที่หลังเท้าหลวงพ่อฤาษีฯ พร้องกับพูดเสียงมั่นมาด ปรารถนาว่า

    "กระผมขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อขอรับ....."
    เท่านั้นแหละท่านผู้อ่านเอ๋ย..เท่าที่ผู้เขียนไผ่ฝันจะกราบแนบหน้าคารวะก็รีบชักเท้าหนี
    พร้อมกับพูดว่าอย่างนี้
    "โอ้ย!...ฉันไม่รับหรอก ฉันไม่รับสัตว์นรกเป็นลูกศิษย์หรอก..."
    มันยังไง....มันอื้ออึ้ง... มันร้อนผ่าวใจนักหนาท่านผู้อ่านเอย ผู้เขียนในระยะนั้นตระเวนหาอาจารย์
    ยังไม่ได้ดื่มด่ำในรสพระธรรมให้ใจเย็นลงแม้แต่น้อย ปากผู้เขียนสวนออกไปเลย! ..
    ทุกวันนี้ก็ยังแปลกใจว่าพูดออกไปได้ยังไงว่า
    "ต้องยังไง..ถึงจะรับเป็นศิษย์ได้!"
    "อ๊าว..ก็ต้องเป็นผู้เป็นคนพอจะรับรู้รสพระธรรมได้... อย่างคุณนี้.. ยังเป็นสัตว์นรกเต็มตัวนี่
    เป็นคนยังเป็นไม่ได้ แล้วจะมาเป็นศิษย์ฉันยังไง"

    "ทำไม?" ตอนนั้นโกรธหรือ รู้แค่ว่าหน้าตาร้อนผ่าว มือที่ยกไหว้นี้ลดลงมาท้าวพื้นแล้ว
    "ทำไม.. ก็คือยังไม่มีทุนคุณสมบัติเลยไงล่ะ อย่างคุณนี่ศีล 5 ทำได้สักข้อไหม เอาที่มั่นใจจริงๆ
    ซักข้อเดียวเข้าใจไหม?"
    เงียบคอแข็ง
    "จำได้ทุกข้อ...แล้วผิดเต็มตีนทุกข้อไช่ไหมล่ะ?"
    เงียบ...อึดอัด
    "เงียบทำไมล่ะ เข้าใจกับเขาบ้างไหมว่าศีล 5 เป็นยังไงเขารักษากันยังไง?"
    เงียบชักอายคนรอบข้าง

    "ไป..ไป ถอยไปห่างตีนฉันหน่อย.. จะบอกให้เอาบุญสักข้อเดียว
    ถ้าเข้าใจก็ยังพอรอดขุมนรกขุมลึกได้บ้าง ฉันขอถามแกตรงๆ รู้สึกอย่างไรตอบอย่างนั้น..ตกลงไหม?"
    "ครับ" เสียงคงอ๋อยแล้วล่ะ ท่านผู้อ่านอย่านึกว่าหลวงพ่อตีเบาลง
    อย่าเข้าใจเข้าข้างผู้เขียนมากเกินไปบอกได้เพียงว่าหนัก
    เท่านั้นแหละ! พ่อ(หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง) ก็หันหน้ามองหน้าผู้เขียน
    "เรื่องข้อสามก่อนนะ นี่...ฉันจะถามเรื่องจริง แกก็ตอบจากใจจริงๆ แบบลูกผู้ชาย
    ไม่ต้องโกรธกันนะ"
    "ครับ"

    "สมมุติว่าแกเดินไปกับเมียแก..."
    เดี๋ยว!...ผู้เขียนต้องจำเป็นต้องใช้ภาษาจริงๆ ที่พ่อพูด พ่อคงจะทราบสันดานผู้เขียนดีว่า
    ของหยาบต้องเอาคำหยาบมาขัดถู
    "...เกิดมีผู้ชายคนหนึ่งเดินเขามาจับก้นเมียแก บีบเล่นต่อหน้าต่อตานี่...แกว่าดีใหม?"
    "ไม่ดีครับ!"
    "เอ้า...ตอบดีๆ หูแดงหน้าแดงทำไม เอาอีกที.. ถ้าไอ้คนนั้นมันพาพวกมาจับเมียแกลงไปข่มขืนข้างถนน
    ต่อหน้าต่อตาแกนี้ มัน..."
    "ไม่ดี.. ไม่ได้ มันจะมากไป..."
    "เอ๊..นี่เราจะตกลงกันแล้วนาว่าจะไม่โกรธกัน.."
    พ่อชี้หน้ารุกคืบต่อ..
    "ขอถามอีกทีเถอะวะ ไอ้หนู ..ถ้าเมียแกไม่ซื่อ แอบสนุกไปสนุกกับคนอื่นสวมเขาให้แกนี้
    ลูกผู้ชายอย่างเราทนได้ไหมวะ?"
    "ไม่ได้ครับ"
    "แล้ว ไอ้.. อี.. คนที่นอกใจละเมิดสิทธิ์อันชอบธรรมหยามน้ำใจคนอื่นเขานี่
    มันเป็นคนเลวหรือคนดี"
    "เลวครับ!"
    "ใช่เลวมาก.. เลวจนถ้ายังมีชีวิตอยู่ ควรจะจับเอาไปขังรวมกันไว้ ไม่ให้มาทำร้ายใจ
    ทำลายของรักของคนอื่นได้อีกเลยใช่ไหม?"
    "ใช่ครับ"
    ชักเต็มใจตอบเต็มสียง นี่.... ท่านถามเข้าข้างเรานี่ ท่านถามถูกต้องนี่พระองค์นี่
    "เออ..แล้วคนประเภทนี้ ตายไปควรที่จะไปตกนรกคุมขังทรมานไว้ กันไม่ให้เกิดมาทำเลวอีก
    ควรที่จะโดนทรมาน อบรมตามหลักสูตรสัตว์นรก จนรู้สึกรู้สาเข็ดหลาบ จึงจะปล่อยขึ้นมาเป็นมนุษย์ใหม่
    จริงไหม?"
    "จริงครับหลวงพ่อ ..มัน ต้องอบรมกันนานนานด้วย!"
    "เออ.. แล้วแกว่า ถ้าคนเราในโลกนี้ ควรจะเคารพสิทธิ์ผู้อื่น ต่างถนอมน้ำใจกันนี่ มันจะมีความสุข
    มันดีไหม?"
    "ควรครับ.. ดีครับ.. " มั่นใจตอบแล้วทีนี้
    "อ๊าว.. แกก็พอมีปัญญาอยู่บ้างแล้วนี่ พอจะมีเชื้อความเป็นคนอยู่ในใจพอสมควรแล้วนี่
    แกกลับไปคิดต่อ คิดให้รอบคอบศีลห้าข้อ คิดคล้ายๆ อย่างนี้แหละ เดือนหน้ามาเจอกันที่นี่
    ข้าจะพิจารณาอีกทีว่าจะรับแกเป็นศิษย์ได้ไหม.."

    ท่านผู้อ่านเอย ผู้เขียนนั่งมองหน้าหลวงพ่อ หลีกหลบออกมาไตร่ตรอง พระอะไรดีอย่างนี้หนอ..
    ไม่เคยพบไม่เคยเห็น ช่างถามตรงประเด็น เหมือนกับรู้ว่าผู้เขียนเป็นคนที่รักและหวงแหนครอบครัวเป็นที่สุด
    ท่านช่างกล้าถามไม่กลัวเราช้ำใจเลยหนอ
    "แล้วตัวแกเองนี่.. ควรจะมองตัวเองและสอนลูกแกให้เป็นคนดีมีศีล มันดีใช่ไหม?"
    "ใช่ครับ.. หลวงพ่อ"

    หลังจากนั้นหลวงพ่อก็นำศิษย์ทั้งหมดในห้อง สมาทานศีลห้า สมาทานพระกรรมฐาน พ่ออบรมอย่างไร
    สอนอะไรบ้างวันนั้น..ผู้เขียนฟังไม่เข้าไปในใจเลย.. ในใจของผู้เขียนเต็มแน่นไปด้วยความหมายของศีลข้อสาม
    รับรู้ได้ถึงความเจ็บช้ำน้ำใจของเจ้าของสิทธิ์ที่ถูกละเมิด
    รับทราบน้ำใจของพ่อที่ราดรดบาดลึกเข้ามาในใจของผู้เขียน มันยิ่งกว่าน้ำกรด ว่าเข้าไปนั่น..

    อ่านต่อไปอีก.. เรื่องสำคัญมันต่อเนื่องกัน กลับถึงบ้านคืนนั้น ก็นอนคิดต่อ
    ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเข้าใจและยอมรับว่า "ไม่ควร..ที่ใครๆเลยจะผิดศีลข้อกาเม"

    ทีนี้.. เรื่องสะเทือนใจของผู้เขียนเกิดขึ้นในตอนเย็น หลังจากกลับจากทำงานแล้ว
    ผู้เขียนไปนั่งอยู่ใต้ต้นมะม่วงเขียวเสวยหลังบ้าน ที่จริงไม่ใช่นั่งใต้ต้น แต่เป็นนั่งใต้กิ่งมะม่วง
    เพราะต้นมันอยู่ในรั้วบ้านติดกัน มันเป็นมะม่วงของคนอื่นเขามะม่วงเจ้ากรรมนี้.. มันดกมาก
    โดยเฉพาะกิ่งใหญ่ที่ทอดข้ามรั้วสังกะสี เข้ามาในเขตหลังบ้านผู้เขียนนี่ มันดกเป็นพิเศษ
    ท่านผู้อ่านเดาใจถูกไหมว่า.. ผู้เขียนจะทำอย่างไรกับมะม่วงต้นนั้น ขโมยซีจ๊ะ

    ตลอดเวลาที่เช่าบ้านนั้นอยู่สามปี ก่อนจะถึงวันที่พบพ่อ ผู้เขียนมีความตื่นเต้น
    สมใจทุกฤดูมะม่วงผลิตดอกออกผล นั่งรอเวลาที่มะม่วงจะแก่พอกินลิ้มรสมะม่วงเขียวเสวย
    ผู้เขียนไม่เข้าใจว่าทำไมมะม่วงที่ขโมยเขากินจึงอร่อยกว่าซื้อจากตลาด
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เจ้าของละสายตาที่จ้องจากหน้าต่างบ้านไป..
    เราก็ยื่นมือไปเด็ดทันใดหน้าด้านๆซ่อนไว้ข้างหลัง ไอ้ลูกนั้นแหละ ทำไมจึงอร่อยเป็นพิเศษไม่ทราบได้

    แต่วันนั้น.. ท่านผู้อ่านเอย.. วันนั้นอารมณ์ใจของผู้เขียนมันไม่เหมือนกับวันก่อนๆ
    ที่เคยอร่อยอารมณ์กับการขโมยมะม่วงเขากิน.. ในใจเรานี้ มันนึกถึงแต่หน้าหลวงพ่อ
    มันกังวาลเสียงสีหนาทที่หลวงพ่อบรรลือข่มมิจฉาทิฏฐิ ในใจผู้เขียน
    ..ท่านได้ฉีกขยี้ทำลายความคะนองฤทธิ์บาป ของเราจนอ่อนแรงไปแล้ว ..มันกลายเป็นความเศร้าหมองใจ
    ที่เราได้ล่วงละเมิดสิทธิมะม่วงของเจ้าของมาโดยตลอด ขณะที่นั่งคิดอยู่ใต้ต้นกิ่งมะม่วงคู่เวรนั้นแหละ

    ก็ได้ยินเสียงเปิดหน้าต่าง .. เสียงพี่ชายเจ้าของกระแอมแบบ ไม่ใช่อาการป่วยกาย
    ..มันเป็นเสียงกระแอมที่บอกเจตนาจะบอกว่า "ฉันมาแล้วนะ เจ้าขโมยหน้าด้าน"
    ชำเลืองมองไปก็เห็น พี่แกหวีผมถ่วงเวลาไว้ท่า ชำเลืองมองผู้เขียนแบบคนที่มีความหงุดหงิดหวาดระแวง

    ..นี่ถ้าเป็นวันก่อนหน้านี้ก่อนจะพบพ่อ (หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง) ผู้เขียนจะต้องยิ้มเฮอะ
    ..ยิ้มมีเลศนัยของความหยิ่งทะนงคงมั่นในความเลวเฉพาะตัว ..คนอย่างเรา.. ถ้าตัดสินใจว่าจะขโมยให้ได้
    มันต้องได้ เอาเหอะ ..แกเผลอเมื่อไหร่ เป็นได้รู้ฤทธิ์สัตว์นรกกัน!
    ขโมยตอนแกยังไม่กลับบ้านจะไปเก่งอะไร.. นี่นะ.. เดี๋ยวจะเอามันเฉพาะหน้า มันถึงอร่อยถึงใจ

    แต่วันนี้..ใจมันไม่อร่อย มันกร่อย.. มันไม่กระตือรือร้น วันนี้เห็นหน้าพี่เจ้าของต้นมะม่วงมัน
    แล้วรู้สึกได้ทันทีว่า พี่เขา มีทุกข์ เขามีความหวาดระแวง เขามีความรังเกียจเหยียดหยาม
    ตัวอะไรตัวหนึ่งที่นั่งใต้กิ่งมะม่วงคอยจังหวะละเมิดน้ำใจเขา...
    พ่อเอย.. ทำไมวันนี้ภาพของพ่อจึงได้ติดใจลูกไม่หลุดไปเสียที
    ทำไมเสียงหลวงพ่อจึงก้องกังวานจับใจลูกไม่เลือนหาย เสียงที่เสียบแทง คาใจ คาหู
    "....ฉันไม่รับสัตว์นรกเป็นลูกศิษย์หรอก"
    "....อย่างคุณนี้.. ยังเป็นสัตว์นรกเต็มตัวนี่ เป็นคนยังเป็นไม่ได้
    แล้วจะมาเป็นศิษย์ฉันยังไง"
    "....แล้ว ไอ้.. อี.. คนที่นอกใจละเมิดสิทธิ์อันชอบธรรมหยามน้ำใจคนอื่นเขานี่
    มันเป็นคนเลวหรือคนดี"
    พ่อเอย... ช่างดุดันรุกเร้ายิ่งนัก ช่างสมกับเป็นความเลวที่ยังค้างคาใจสุดสาสม ลูกอยู่บ้านนี้ 3ปี
    ..เพื่อนบ้านทุกข์มาตลอด 3ปี ลูกเลวเองเฉพาะตัว ถูกรังเกียจเฉพาะตัวไม่เป็นไร
    ..แต่นี่ถ้าลูกได้เป็นศิษย์ของพ่อ จะยอมให้เขาดูถูกครูบาอาจารย์ได้อย่างไร

    ในกาละนั้นเอง ผู้เขียนเต็มใจเงยหน้ามองพี่ผู้ชายที่บานหน้าต่างบ้าน ผู้เขียนกราบลงที่พื้นธรณี
    ใต้ต้นมะม่วง 1 ครั้ง แล้วประนมมือไหว้เจ้าของ...
    "พี่ครับ..ฟังผมหน่อย.." พี่แกจะทำหน้างงงันอย่างไร ก็ทำไป เราก็เปล่งคำในใจออกมา
    "...ผมสร้างความทุกข์ให้พี่มานานแล้ว ผมขโมยมะม่วงพี่กินมาคงจะร้อยลูก
    ผมเจตนาละเมิดและหยามน้ำใจพี่ ผมเลวเต็มตัวมาตลอดหลายปี...
    แต่วันนี้ผมพบครูบาอาจารย์แล้ว"

    "...พี่ครับ ผมเป็นศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ผมเข้าใจศีลห้า
    ผมมีศีลห้าแล้วพี่ ผมขอขมาพี่ด้วย ผมจะชดใช้ให้ ..ขออย่างเดียว อย่าให้ครูบาอาจารย์ผมต้องแหนงหน่ายใจ หรือมัวหมองเพราะผมเลย..."

    "เฮ้ย..ไอ้น้อง.." พี่ผู้ชายคนนั้นชี้หวีมาที่ผู้เขียน
    "เฮ้ย..ไอ้น้อง..ถ้าน้องพูดได้อย่างนี้ ไม่ต้องชดใช้ กินต่อไป น้อง..พูดอย่างนี้ได้มาเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องกันดีกว่า กินตามสบาย..ตลอดไปเลยน้อง!..."
    โอ้หนอ..อัศจรรย์หนอ.. ช่างน่าฟังน่าครอบครอง น่ารักษาไว้จริงหนอ เจ้าประคุณศีลเอย..
    เพียงเราเห็นโทษอันมีแก่เรา และจะพึงมีแก่ท่านที่เราละเมิด
    ก็เกิดพลังอัศจรรย์ให้เกิดความอาจหาญผ่องใสในใจเรา ให้เกิดการให้อภัยปรองดองกับผู้อื่นที่อยู่รอบตัว
    อย่างนี้เองหนอ นี่เพียงข้อเดียวคือข้อ 2 อทินนา.. เราก็ยืดอกมองฟ้า เดินดิน นั่งนอนยืนไปได้ทุกสถานที่ โดยไม่ระแวงตัวเอง โดยใจประกาศ ก้องไปถึงไหนๆตามลม ทวนลมว่า
    "คนอย่างเรา จะไปอยุ่ที่ใด จะไม่มีสัตว์ มนุษย์ พรหม เทวดา ต้องเดือดร้อนเพราะตัวเรา
    ขาดเด็ดสมุจเฉทปหาน
    (แปลว่าอะไร.. มันยั้งมือไม่ได้ เขียนแล้วมันคึกใจดี)

    พ่อเอย..พ่อดุนัก เดือนหน้า ลูกจะไปกราบให้ดุด่าอีก
    ดุเถิด ด่าเถิด เคี่ยวเข็ญรุกรานลูกเถิด
    เอาลูกให้จนตรอก ประจานให้หมดศักดิ์ศรี
    อยากจะรู้เหลือกเกินว่าเมื่อถึงที่สุดแห่งความอับอายแล้ว
    ถึงที่สุดแห่งความแหนงหน่าย...เราจะเป็นอย่างไร
    มันต้องเข้าท่าแน่นอน....

    ว่าจะขยักไว้สักหน่อย ใจมันอยากเขียนต่ออีก ในเดือนถัดไปก็ไปพบพ่อ.. พ่อนั่งบนตั่งตามเดิม
    งามสง่าดุจพระอาทิตย์ทรงกลด ช่างอาจหาญสูงส่งพ้นพรรณนานัก พ่อเอย...คนอย่างลูก(คนเลวนะพ่อ)
    นี่ไม่เคยร้องไห้ให้ใครง่ายนัก แต่ลูกหลั่งน้ำตา เทน้ำใจกราบเท้าพ่อ ..พูดไม่ออก..! แต่พ่อก็พูดเสียเอง
    "เออ..เออ..อย่างนี้พอใช้ได้ เอ้าเข้ามาใกล้ๆ"
    พ่อรู้ไหมว่ามือพ่อที่ตบไหล่ลูกนั้นมีอานุภาพเพียงใด
    "อย่างนี้รับเป็นศิษย์ได้ แต่อย่าทะนงตัวนะ ยังไม่พ้นนรกหรอก หนีมันให้ได้

    ลูกผู้ชายเกิดมาพบพระพุทธศาสนา อย่าให้เสียชาติเกิด.."

    พระคุณพ่อเหนือเกล้าเอย..เพียงพอแล้ว พอที่ลูกจะพิสูจน์ตัวเองแล้ว พ่อดูเถิด ลูกจะทำให้พ่อดู..........

    ท่านผู้เขียนท่านใช้นามปากกาว่า "สายฟ้า" เนื้อเรื่องแต่ละตอนแฝงถึงเรื่องราวของตัวท่านเองตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นฆราวาสจนกระทั่งได้มาเป็นศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) และได้บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ...


    ขออนุโมทนาในธรรมทานจาก fb Tuangpron Luengchaiya
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2012
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=agISBYhn7OU]บทสวดอิติปิโสครอบจักรวาล // By ballbangpra - YouTube[/ame]​
    ลูกขออัญเชิญดวงจิตของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
    ปกปักษ์ รักษา ครอบคลุม ชาวคณะจิตเกาะพระ
    และเพื่อนๆ กัลยาณมิตรทุกท่าน ให้ปลอดภัยทุกภัยพิบัติด้วยเทอญ
    สาธุๆๆ​


    นับต่อจากนี้ไป
    พวกเราจะค่อยๆพบกับความไม่เที่ยงของโลกใบนี้
    พวกเราควรทำจิตให้นิ่ง ทำจิตให้เป็นบุญกุศล
    โดยเฉพาะจิตบุญ ที่ปรารถนาจะอยู่เพื่อถวายงานท่านพ่อ หรือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์
    ได้โปรดน้อมจิตยอมรับดวงจิตพระพุทธเจ้าประจำตัว ครอบกายครอบจิตให้ไว
    ขอให้กระทำด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า อย่าได้สงสัย
    บุคคลใดยิ่งสงสัยมาก นั่นแสดงว่าไม่ยอมเปิดใจรับเต็มที่
    จึงไม่มีผลอันใด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 ธันวาคม 2012
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ลูกเอ๊ย!
    ตราบใดพวกเจ้ายังอยู่ในกายหยาบ
    ย่อมหนีไม่พ้น คำว่า ทุกข์ไปได้
    จะหนีสิ่งมากระทบจิต ก็ไม่ได้
    เพราะฉะนั้น
    เจ้าอย่าไปหลบ อย่าไปปิดหู ปิดตา อย่าหนีหน้าผู้ใด อย่าหนีโลก
    เพราะไม่ใช่หนทางแก้ไขทุกข์ที่ถูกต้อง
    ที่ถูกต้อง ก็คือ ฝึกจิตให้เข้มแข็ง
    ให้แก้ไขที่จิตตนเอง
    อย่าไปคิดตามแก้ไขข้างนอก ที่ไม่ใช่เรื่องจิตตนเอง
     
  15. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ขอบพระคุณ คุณอุษาวดีค่ะ ที่เอาเรื่องศิล ๕ มาให้เป็นธรรมทาน.

    ประสพการที่เห็นกับตนเองมาเล่าสู่กันฟัง. เพราะสิ่งที่เจอมาตอนนี้เป็นธรรม

    ทานแล้ว. สาธุอนุโมทนาค่ะ.
    .
     
  16. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    คำอาราธนาศีล ๕ - มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ
    ยาจามะ . ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ. ตะติยยัปิ มะยังภันเต วิสุง วิสุง รัขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ
    ยาจามะ. คำแปล คือ ข้าพเจ้าขอศีล๕ พร้อมทั้งสรณะ๓ เพื่อจะรักษาเป็นส่วนๆ
    แม้ครั้งที่ ๒ ข้าแต่ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอศีล ๕ พร้อม สรณะ ๓ เพื่อรักษาเป็นส่วนๆ แม้ครั้ง
    ที่ ๓ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอศีล ๕ พร้อมทั้ง สรณะ ๓ เพื่อรักษาเป็นส่วนๆ ขอให้
    พิจารณาเข้าใจทั้งหมดนี้ก่อนทำ. คำสมาทานศีล ๕. ข้อ ๑ ปาณาติปาตา เวระมะณี
    สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ. แปลความหมายว่า. ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบท คือการเว้นจากการฆ้าสัตว์. ข้อ ๒ อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ. แปลความหมายว่า.ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบท คือการงดเว้นจากการลักทรัพย์. ข้อ ๓ กาเมสุมิจฉาจารา
    เวระมะณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ. แปลความหมายว่า. ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบท คือยก
    เว้นจากปพฤติผิดในกาม. ข้อ ๔ มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ. แปลความหมายว่า ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบท คือการงดเว้นจากการพูดคำเท็จ. ข้อ ๕ สุราเมระยะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทังสะมาทิยามิ. แปลความหมายว่า ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบท คือการงดเว้นจากการเสพของมึนเมา.ที่ได้นำมาเขียนอีก เพราะศีลแต่ละข้อมีความสำคัญมาก.ทุกๆข้อ โปรดอย่าประมาท บางคนทราบและอาราธนาได้ทุกข้อ แต่ลืมไปว่าแต่ละข้อต้องปฏิบัติ อย่างไร ศีลธรรม พ่อและแม่ของเราท่านสอนเราตั้งแต่เราเริ่มจำ
    ความได้ เพราะท่านอยากให้ลูกของท่านเป็นคนดีมีศีลธรรม.ศีลอยู่กับตัวเราทุกเวลา. บาง
    คนบอกว่าจะไปวัดถือศีล. แต่ผู้เขียนคิดว่าไม่ต้องไปวัดเราก็ถือได้ ถ้าเรามีศีลประจำใจของ
    เรา.แต่บางคนไปถือศีลตอนที่อยู่วัด. แต่ตอนกลับบ้านทิ้งศีลไว้ที่วัดไม่เอาตัดตัวติดใจมา
    ด้วย. แล้วเมื่อไรล่ะจะมีศีลที่อยู่กับเราประจำเสียที จะมีศีลถือศีลได้สักที หวังว่าผู้อ่านทุก
    ท่านคงได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับศีลเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อยนะคะ. ขออนุโมทนาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2012
  17. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    จิต..

    คำสอนหลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์

    "จิตส่งออกนอกคือสมุทัย มีผลเป็นทุกข์
    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค มีผลเป็นนิโรธ"



    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2012
  18. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    แดนว่าง คือ ปล่อยวาง
    ปล่อยวางขันธ์ที่กองอยู่ ไม่ถือว่าเป็นเรา เป็นเขารู้ทันเห็นแจ้ง
    ปล่อยวางธาตุที่ตั้งอยู่ ไม่ยึดว่ารู้ ว่าดีอะไร เห็นว่าเป็นแค่ธาตุ
    ปล่อยอายตนะที่เป็นทางผ่านว่าไม่ดี เลว รัก ชังอะไรมันไหลอยู่
    ปล่อยอินทรีย์ที่เฉพาะ ไม่สาธารณ์ทั่วไป แล้วก็แตกดับไป
    ปล่อยวางปัจจัยที่สืบต่อว่า ไม่มีตัวตน ผลร้ายอะไรดับไปๆ
    ปล่อยวางอริยสัจจ์ เขามีอยู่ เป็นอยู่ เช่นนี้ไม่มีสัตว์ บุคคลอะไร
    ที่มา หนังสือ สาระของชีวิต โดย หลวงพ่อ ทองใบ ปภสฺสโร วัดนาหลวง จ.อุดรธานี.
     
  19. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ขออนุญาตประกาศจิตบุญดวงที่ ๑๒๒ และ ๑๒๓ ณ วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๕

    ขอท่านทั้งหลายจงโมทนา
    กับจิตบุญดวงที่ ๑๒๒
    ของกลุ่มจิตบุญเทอญ
    สาธุ สาธุ สาธุ
    [​IMG]
    ขอท่านทั้งหลายจงโมทนา
    กับจิตบุญดวงที่ ๑๒๓
    ของกลุ่มจิตบุญเทอญ
    สาธุ สาธุ สาธุ
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 12_Tan.jpg
      12_Tan.jpg
      ขนาดไฟล์:
      97.3 KB
      เปิดดู:
      290
    • 84097PR282708a.jpg
      84097PR282708a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.3 KB
      เปิดดู:
      291
  20. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ขอโมทนากับจิตบุญ ๑๒๒ จิตบุญ ๑๒๓ พร้อมทั้งครูผู้สอนทุกท่านด้วยครับ ...


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     

แชร์หน้านี้

Loading...