พระพุทธเจ้า มี 3,584,192 พระองค์

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ศักยิ์กมล, 14 ธันวาคม 2012.

  1. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,673
    ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายความนอบน้อมสักการะแด่สมเด็จองค์ปฐม
    และถวายความนอบน้อมสักการะแด่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  2. AYACOOSHA

    AYACOOSHA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +2,253
    จะกี่พระองค์ก็ตามท่านก็สอนเรื่องเดียวกันคือ "อริยสัจ 4 "
     
  3. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    v :cool: อนุโมทนาสาธุครับ คุณเตหิณรัตน์ หลวงปู่บุญเหลือ แสดงมา คล้ายเจ้าของกระทู้ ซึ่งท่านเป็นฆราวาส แต่จะมาตรัสรู้ ในกัปนี้ แต่คุณกล่าวมา เมล็ดทรายในมหาสมุทร ทั้งสี่ทิศ ผมเข้าใจ คุณแสดงมาละเอียดดีครับ ผมต่ออีกนิด ต่อไปในอนาคต พระโพธิสัตว์ ที่จะมาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า เมล็ดทรายในมหาสมุทร ทั้ง ๔ ทิศก็ไม่เท่า เหมือนเช่นคุณกล่าวมาเหมือนกัน ฉนั้นการที่ทุกคนกล่าวมา ก็มิผิดดอก แต่จะไม่ละเอียด เขารู้มาแค่นั้น เขาย่อมเถียงเป้นธรรมดา รู้น้อยกับรู้มาก มันอยู่ที่แต่ละคนสั่งสมอบรมมา คำสอนของพุทธองค์ไม่มีใครเอาไปได้หมดหรอกครับ


    แต่ว่าควรเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน คนที่รู้น้อย ก็ควรเคารพ ผู้รู้มากกว่า สิ่งใดเรายังหาคำตอบมาไม่ได้ ควรอยู่กลางๆก่อนจนพิสูตรได้เราก็ ยอมรับโดยดุษดีภาพ สิ่งที่เรายังไม่รู้มีอีกเยอะเอาแค่โลกเรา ยังรู้ไม่หมดเลย จะไปเอาอะไรกับโลกอื่น แต่การเรียนรู้ ก็มิอาจรู้ไปถึงได้ จะเกิดเท่าไหร่ ก้ไม่หมดในการเรียน แต่ทางธรรม มีวันจบครับ ผมก้ยังภูมิใจ ที่มีคนรู้เพิ่ม สูงไปเรื่อยๆ ปรกติพระพุทธเจ้าไม่ไหว้ใคร แต่พอสมเด็จองค์ปฐมท่านเสด็จ พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ยืน ๒ แถว ยกมือพนม ทำความเคารพสมเด็จองค์ปฐม ท่านตรัสรู้ไม่มีครูอาจารย์มาก่อน ท่านเป็นต้นแบบ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย


    พระพุทธเจ้าบางองค์ ท่านจะ นำมากล่าวกี่พระองค์ ความเข้าใจของผมอาจจะ ด้วยที่ท่านบำเพ็ญ มาช่วงนั้นหรือได้รับการพยากรณ์มาก็ได้ ใครจะไปรู้ แต่ผมว่าท่านต้องแสดงละเอียดทุกองค์เพียงแต่พวกเรา เรียนไปไม่ถึงต่างหากครับ แม้พระอรหันตื แสดงฤทธิ์ ท่านยังห้าม เพราะคนจะไปติดในฤทธิ จะไม่เอาธรรมมะ มาปฏิบัติห่างหากครับ การเป็นพระสาวก เขาเรียนกันไม่มาก บางองค์เอาไปปฏิบัติข้อเดียวก็บรรลุมรรคผลนิพานแล้ว แต่คนที่ จะไปเป็นครูเขา ต้องเรียนรู้หมดทุกอย่าง จำพวกพระโพธิสัตว์ ผมเข้าใจ แต่ยังไม่ละเอียด


    อย่าไปกล่าวโทษโจษจรรยซึ่งกันเลย ให้อภัยซึ่งกันและกัน จะดีมาก มันจะไม่ไป ก่อกรรมเวรกันอีกครับ สิ่งใดคุณรู้ ผมไม่รู้นั้นมีอยู่ แต่สิ่งใด ที่ผมรู้คุณไม่รู้ก้ยังมีอีกเยอะครับ เอาแค่ผี อย่างเดียว ยังไม่ค่อยรู้เลย จะไปรู้ ที่มันไกลและละเอียด กว่านี้ ก้ยากมากครับ เอาธรรมะของพระองค์ท่านมาปฏิบัติ เป็นแนวทาง เดี๋ยวก็รู้ เองครับ ไปตามขั้นตอน ของธรรมนั้นๆ ครับสวัสดี
     
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ค้นหาพระพุทธเจ้า

    ก่อนที่เราจะมานับถือวิธีวิทยาอย่างฝรั่งนั้น พระพุทธเจ้ารวมทั้งพระธรรมเจ้าและพระสังฆเจ้า เป็นสรณะสูงสุดที่เราเคารพนับถือ เพราะถ้าเราเชื่อมั่นในพระพุทธานุภาพแล้ว เราอาจเดินตามครรลองของพระธรรม เพื่อเอาชนะโลภโกรธหลงได้ หรือกลายสภาพจากความโลภมาเป็นทาน การให้ แปรสภาพจากความโกรธมาเป็นเมตตากรุณา และแปรสภาพจากความหลงมาเป็นปัญญา การรู้แจ้ง รู้จริง และรู้สึก อย่างเป็นองค์รวมที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว ยิ่งถ้าเราต้องการเดินเข้าให้ถึงแก่นพระธรรมด้วยแล้ว เราย่อมสละละบ้านรือนและความสุขทางกาม ขอเข้าเป็นสมาชิกของคณะสงฆ์ เพื่อมีชีวิตอย่างเรียบง่ายที่สุด อย่างปราศจากอาชีพการงาน มีเวลาอย่างเต็มที่ในการสำรวจตรวจดูตัวเอง ให้วิถีชีวิตของตนเป็นไปอย่างบรรสานสอดคล้องกันทั้งทางกายและทางใจ พร้อม ๆ กันนั้น แต่ละสมาชิกของสงฆ์ก็อยู่ร่วมกันอย่างบรรสานสอดคล้องกันทั้งหมด สมกับเป็นภราดรภาพ อันมีเสมอภาคเป็นแกน เพื่อเดินทางไปสู่เสรีภาพจากกิเลสอาสวะ โดยที่คณะสงฆ์ก็อยู่อย่างบรรสานสอดคล้องกับชาวบ้านรอบ ๆ วัด และคฤหัสน์นั้นนอกจากจะอุดหนุนพระภิกษุสงฆ์แล้ว ยังเรียนรู้จากวิถีชีวิตของท่าน เพื่อชาวบ้านจะได้รู้จักปล่อยวาง อย่างพอใจในชีวิตความเป็นอยู่อันเรียบง่าย มีทานการให้เป็นส่วนสำคัญของชีวิต และมีศีลสังวรเพื่อให้แต่ละคนเป็นคนปกติ คือลดความรุนแรงลงเรื่อย ๆ ทั้งทางด้านชีวิต ทรัพย์สิน คู่ครอง ฯลฯ โดยมีเวลาภาวนาให้จิตใจสงบอย่างงดงาม ทั้งพระและชาวบ้านย่อมเกื้อกูลกันและกัน ทางอามิสทานและธรรมทาน ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สุขของสังคมวงกว้าง ซึ่งรวมถึงสรรพสัตว์และสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติทั้งหมด

    คนไทยสมัยก่อนไม่ได้สนใจพุทธประวัติ ว่ากรุงกบิลพัสดุ์อยู่ที่ไหน สวนลุมพินีห่างจากกรุงกบิลพัสดุ์เท่าไร พุทธคยากับกรุงราชคฤห์ห่างกันเพียงใด ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ที่ทรงแสดงปฐมเทศนา และกรุงกุสินาราที่เสด็จดับขันธปรินิพพานอยู่ที่ไหน เพราะสังเวชนียสถานนั้น ๆ เป็นเพียงสถานที่ที่ช่วยให้เจริญพุทธานุสติ ดังเราอาจสร้างสถานที่นั้น ๆ ขึ้นได้ในเมืองไทย ดังพระพุทธบาทและพระพุทธฉายก็อยู่ที่สระบุรีนี้เอง พระแท่นดงรังในจังหวัดกาญจนบุรี ก็คือที่ที่เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ดังทางจังหวัดอุทัยธานีก็มีวัดสังกัด ณ เชิงเขาเตี้ย ๆ ทางลุ่มแม่น้ำสะแกกรัง โดยสมมติให้ว่านั่นคือที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์สวรรค์ หลังจากที่เสด็จไปจำพรรษาและทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดา ดังยังมีพระภิกษุสงฆ์เดินตามเสด็จพระพุทธรูปลงมาจากภูเขานั้นในวันหลังจากออกพรรษาทุกปี ให้ชาวบ้านได้ตักบาตรเทโว แม้จนถึงรัชกาลที่ ๖ แล้ว ยังมีการสร้างสวนลุมพินีขึ้น ณ กรุงเทพมหานครนี้เอง

    ถ้าใครได้อ่านพุทธประวัติจาก ปฐมสมโพธิกถา ที่กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสทรงพระนิพนธ์ไว้แต่ในรัชกาลที่ ๓ จะได้รับความไพเราะในทางกวีวัจน์ อย่างไปพ้นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์อย่างฝรั่ง หากช่วยให้เกิดศรัทธาปสาทะในพระพุทธานุภาพ เพื่อเราจะได้เจริญทศบารมีตามอย่างพระพุทธองค์ เริ่มแต่ทานและศีลเป็นต้นไป

    ต่อถ้าใครอ่าน พุทธประวัติ ที่สมเด็จพระสังฆราช (สา) และที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเรียบเรียง ก็จะเห็นได้ว่านั่นคือชีวประวัติบุคคลในอดีต ที่มีข้อเท็จจริงตามวิธีวิทยาของฝรั่ง อย่างปราศจากอิทธิปาฏิหาริย์ใด ๆ สิ้น เพราะฝรั่งรังเกียจอภินิหารต่าง ๆ เราอยากศรีวิไลอย่างฝรั่ง ก็ต้องเป็นไปเช่นนั้นบ้าง

    เราต้องไม่ลืมว่าเมื่อฝรั่งแรกรู้จักพุทธศาสนานั้น มักไม่เชื่อกันว่า พระพุทธเจ้ามีพระองค์จริงตามทางประวัติศาสตร์อย่างที่เขารู้จักกัน ในขณะที่บรรพชนของเรา ไม่ถือว่านี่เป็นประเด็น โดยที่เราเชื่อกันว่าในภัทรกัลป์นี้มีพระพุทธเจ้าซึ่งตรัสรู้มาแล้ว ๔ พระองค์ เริ่มแต่พระกกุสันโธ พระโกนาคมโน และพระกัสสโป ซึ่งเป็นพระอดีตพุทธเจ้า พระองค์ปัจจุบันที่ร่วมสมัยกับเราคือพระสมณโคดม แล้วก็จะมีพระศรีอารยเมตไตรย์มาตรัสรู้เป็นพระอนาคตพุทธเจ้า ก่อนจะสิ้นกัลป์นี้

    ก่อนกัลป์นี้ก็มีพระอดีตพุทธเจ้าอีกมากมาย ที่พอจะนับได้ก็ ๒๗ พระองค์ ดังปรากฏพระนามและพระองค์ เป็นภาพเขียนอยู่รอบพระวิหารวัดสุทัศน์ โดยถ้านับถอยหลังไป ก็มีพระพุทธเจ้าเท่าเม็ดกรวดเม็ดทราย ดังพระมหานิกายที่ห่มคลุมอย่างสมัยกรุงศรีอยุธยา ยังสวดมนต์บทสัมพุทเธนอยู่

    คำเริ่มต้นบทสวดแปลความได้ว่า "ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ๕ แสน ๑ หมื่น ๒ พัน ๒๗ พระองค์ด้วยเศียรเกล้า" แล้วขยายจำนวนไปเป็น "พระสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ล้าน ๒ หมื่น ๔ พัน ๕๕ พระองค์" แล้วเป็น "๒ ล้าน ๔ หมื่น ๘ พัน ๑๐๙ พระองค์"

    สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงเห็นว่าเหลวไหล หรือทรงถือว่านี่เป็นอิทธิพลของมหายาน ที่เคารพนับถือพระพุทธเจ้าเป็นอันมาก จึงทรงพระนิพนธ์บทสวดใหม่แทนบทสัมพุทธ ให้พระธรรมยุติสวด แล้วต่อมาพระมหานิกายแปลงที่ห่มแหวกอย่างธรรมยุติก็สวดตาม คือบทที่ขึ้นต้นว่า โยจกฺขุมา ที่ใช้สวดสังวัธยายสรรเสริญพระพุทธคุณของพระสมณโคดมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้เท่านั้น

    ทั้งนี้ก็เพราะชนชั้นนำของไทยตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา ถือว่าพระพุทธศาสนาของเรานั้นทันสมัย ไม่มีอภินิหารใด ๆ หรือเรื่องราวในอดีตใด ๆ ที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ตามวิธีวิทยาของฝรั่ง โดยเราถือว่าอภินิหารต่าง ๆ นั้นเป็นของที่แต่งเติมกันภายหลัง เพราะเนื้อแท้ของพระธรรมนั้น "ไม่จำกัดกาลเวลา เรียกร้องให้ผู้อื่นมาดูได้ (มาพิสูจน์ได้) อันวิญญูชนทั้งหลายพึงรู้ได้"

    เราไปเข้าใจว่า ฝรั่งเป็นวิญญูชน ฉะนั้นอะไรที่ฝรั่งพิสูจน์ไม่ได้ เราก็ไม่ถือว่าสำคัญแม้ในทางพระพุทธศาสนา โดยที่เวลานั้น (โดยที่ในยุโรปนั้น แม้ก่อนรัชกาลที่ ๔ ขึ้นไปแล้ว) ฝรั่งชั้นนำเริ่มต่อต้านคริสตศาสนา หาว่าล้าหลังและขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ ยิ่งตั้งแต่ชาร์ล ดาวินเรียบเรียงเรื่อง The Origin of Spicies ในปี ค.ศ. ๑๘๕๙ และ Descent of Man ในปี ค.ศ. ๑๘๗๑ ด้วยแล้ว ชนชั้นนำในตะวันตกก็เลยเชื่อกันสนิทว่า คนมาจากวานร ไม่มีบิดามารดาเดิมที่ชื่อว่า อดัมและอีวา ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาตามที่ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิ้ล

    ฝ่ายชาวไทย ผู้ที่อธิบายพุทธศาสนาตามทางอย่างฝรั่งและเขียนเป็นหนังสือที่ตีพิมพ์อย่างแพร่หลายแต่ในรัชกาลที่ ๔ คือเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) ซึ่งเป็นศิษย์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ แต่สมัยยังทรงผนวช และได้มาเป็นเสนาบดีกรมท่า (กระทรวงการต่างประเทศ) ในรัชสมัยของพระองค์ หนังสือเล่มสำคัญของท่านผู้นี้คือ กิจจานุกิจ ที่ปฏิเสธความเชื่ออย่างโบราณของไทยแทบทั้งหมด โดยที่คนไทยสมัยก่อนถือว่า ไตรภูมิพระร่วง หรือ เตภูมิกถา คือโลกทัศน์ของเรา กล่าวคือโลกทัศน์ของเราอิงอยู่กับทฤษฎีของพราหมณ์ ที่ว่าโลกแบนและมีปลาอานนท์หนุนอยู่ มีเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลางของโลก ฯลฯ กิจจานุกิจ ปฏิเสธเรื่องเหล่านี้ โดยอธิบายพุทธศาสนาอย่างใหม่หมด สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงตั้งข้อสังเกตว่า กิจจานุกิจ ไม่ยักปฏิเสธเรื่องที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาบนดาวดึงส์สวรรค์

    ความข้อนี้ท่านอาจารย์พุทธทาสก็เคยปรารภกับข้าพเจ้า ว่าทางภารตประเทศถือว่านี่เป็นเรื่องจริงมาแต่ก่อนสมัยพระเจ้าอโศกเอาเลยด้วยซ้ำ ดังมีศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกปักไว้ ณ ที่ที่เชื่อกันว่าพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์สู่โลกพิภพนี้

    กิจจานุกิจ เป็นหนังสือสำคัญที่ฝรั่งในเมืองไทยทึ่งมาก ถึงกับนายอาลาบัสเตอร์ (ต้นตระกูลเศวตศิลา) แปลและเรียบเรียงเป็นภาษาอังกฤษ ตีพิมพ์ที่กรุงลอนดอนในชื่อว่า The Wheel of the Law แต่ปี ค.ศ. ๑๘๗๑ โดยชี้ให้ฝรั่งด้วยกันเห็นว่า วงล้อแห่งธรรม หรือ ธรรมจักร นั้น อธิบายคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างสมเหตุสมผล ไปได้ด้วยดีกับวิทยาศาสตร์ตะวันตก ไม่มีอะไรในทางอิทธิปาฏิหาริย์อย่างศาสนาคริสต์เอาเลย

    ศาสนาคริสต์เอง แม้จะถูกโจมตีอย่างหนักในยุโรปและสหรัฐ แต่พวกหมอสอนศาสนาในลังกาและอื่น ๆ ก็ถือว่าเป็นคำสอนที่มีคุณค่าในทางจริยธรรม ผิดกับพุทธศาสนาที่สอนกันในประเทศนั้น ๆ ที่มอมเมาให้คนเชื่อในเรื่องนรกสวรรค์ โลกนี้โลกหน้า ทั้งยังมีเทวดาและอินทร์พรหมเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยอีกมาก แถมพวกหมอสอนศาสนายังตั้งโรงเรียนในเมืองขึ้นของอังกฤษ สอนให้ชาวพื้นเมืองรู้ภาษาอังกฤษ และให้รู้จักคำสอนของศาสนาคริสต์ เมื่อจบออกมาแล้ว ก็อาจทำงานราชการกับจักรวรรดิอังกฤษในประเทศนั้น ๆ ได้ โดยที่การศึกษาตามวัดวาอารามนั้นล้าสมัย ปรับตัวไม่ทันกับความทันสมัยในคริสตศตวรรษที่ ๑๙

    การที่พวกหมอศาสนาพูดและเขียนโจมตีพุทธศาสนาในลังกาหนักเข้า ก็เลยเกิดการท้าทายให้มีวิวาทะกันเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ค.ศ. ๑๘๗๓ ณ เมืองพนะทุเร นอกกรุงโคลัมโบ ผู้คนมาร่วมฟังถึงห้าพันคน ซึ่งไม่เคยมีปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย ฝ่ายคริสต์เริ่มโจมตีฝ่ายพุทธ หาว่าเรื่องตายแล้วเกิดเหลวไหล เรื่องการทำให้คนสยบยอมกับโชคชะตา คือให้แล้วแต่บุญแต่กรรม ฯลฯ โดยที่ทางฝ่ายพุทธแก้ได้ตกหมด ทั้งยังอธิบายเรื่องการเกิดใหม่อย่างสมเหตุสมผลตามหลักวิทยาศาสตร์อีกด้วย โดยฝ่ายพุทธชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าของฝ่ายคริสต์นั้น ถ้าทรงฤทธาศักดานุภาพจริง ก็แสดงว่าใจร้ายและโหดเหี้ยม โดยอ้างจากคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้นเอง

    นี่นับเป็นครั้งแรกที่พุทธศาสนาเป็นเหตุให้ฝรั่ง แม้จนชนชั้นปกครองชาวอังกฤษในลังกาเริ่มหันมาสนใจพุทธศาสนา และข่าวการวิวาทะครั้งนี้แพร่ไปจนถึงสหรัฐ ซึ่งมีขบวนการต่อต้านทั้งคริสต์และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ หากพวกนี้ถือว่าคำตอบอยู่ที่ตะวันออก ซึ่งมีรหัสยนัยที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ของตะวันตก

    คนสำคัญของขบวนการนี้คือมาดามบลาวัตสกี้ (๑๘๓๑ - ๙๑) ซึ่งเป็นชาวยูเกรน (ก่อนรวมเข้าในสหภาพโซเวียต) แล้วอพยพไปอยู่นครนิวยอร์ค แล้วไปพบเฮนรี่ สตีล ออลคอต ซึ่งเคยสู้รบในสงครามระหว่างเหนือกับใต้ในสหรัฐจนได้ยศนายพันในกองทัพ ทั้งคู่นี้เห็นพ้องต้องกันว่าศาสนาคริสต์หมดดีเสียแล้ว และวิทยาศาสตร์ของตะวันตกก็ไม่ใช่คำตอบ หากควรค้นหาเทวธรรมและศาสนธรรมจากเอเชีย จึงร่วมกันตั้ง Theosophical Society (สมาคมของคนที่ต้องการแสวงหาธรรมะหรือปรัชญาจากเทพ) ขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๗๓ ปีเดียวกับที่เกิดวิวาทะครั้งสำคัญในลังกาทวีป ทั้งคู่นี้จึงอุดหนุนพระภิกษุชาวสิงหล และต่อต้านหมอสอนศาสนาฝรั่งในลังกา โดยที่ทั้งคู่ประกาศตนเป็นพุทธศาสนิก หากออลคอตรับไตรสรณาคมและปัญจศีลจากพระภิกษุที่ลังกาเลยทีเดียว

    สุลักษณ์ ศิวรักษ์
    ค้นหาพระพุทธเจ้า
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ ทรงอุบัติในขัตติยสกุล
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ได้เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ ทรงอุบัติในขัตติยสกุล
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าเวสสภู ได้เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ ทรงอุบัติในขัตติยสกุล
    พระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ ได้เป็นพราหมณ์โดยพระชาติ ทรงอุบัติในพราหมณสกุล
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโกนาคมนะ ได้เป็นพราหมณ์โดยพระชาติ ทรงอุบัติในพราหมณสกุล
    พระผู้มีพระภาคอหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ ได้เป็นพราหมณ์โดยพระชาติ ทรงอุบัติ ในพราหมณสกุล
    ดูกรภิกษุทั้งหลายเราผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ได้เป็นกษัตริย์โดยชาติ อุบัติในขัตติยสกุล ฯ
    [๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี เป็นโกณฑัญญโคตร
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี เป็นโกณฑัญญโคตร
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าเวสสภู เป็นโกณฑัญญโคตร
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ เป็นกัสสปโคตร
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ เป็นกัสสปโคตร
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เป็นกัสสปโคตร
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้เป็นโคตมโคตร ฯ
    [๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระชนมายุของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ประมาณ ๘๐,๐๐๐ ปี
    พระชนมายุของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี ประมาณ ๗๐,๐๐๐ ปี
    พระชนมายุ ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าเวสสภู ประมาณ ๖๐,๐๐๐ ปี
    พระชนมายุของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ ประมาณ ๔๐,๐๐๐ ปี
    พระชนมายุของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโกนาคมนะ ประมาณ ๓๐,๐๐๐ ปี
    พระชนมายุของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ ประมาณ ๒๐,๐๐๐ ปี
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนมายุของเราในบัดนี้มีประมาณน้อยนิดเดียว ผู้ที่มีชีวิตอยู่อย่างนาน ก็เพียง ๑๐๐ ปี
    บางทีก็น้อยกว่าบ้างมากกว่าบ้าง ฯ
    [๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสีตรัสรู้ที่ควงไม้แคฝอย
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี ตรัสรู้ที่ควงไม้กุ่มบก
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าเวสสภู ตรัสรู้ที่ควงไม้สาละ
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ ตรัสรู้ที่ควงไม้ซึก
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโกนาคมนะ ตรัสรู้ที่ควงไม้มะเดื่อ
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ ตรัสรู้ที่ควงไม้ไทร
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราผู้ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ตรัสรู้ที่ควงไม้โพธิ์ ฯ
    [๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสีมีพระขัณฑะและพระติสสะเป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญ
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี มีพระอภิภู และพระสัมภวะ เป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญ
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าเวสสภู มีพระโสนะและพระอุตตระ เป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญ
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ มีพระวิธูระ และพระสัญชีวะ เป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญ
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโกนาคมนะ มีพระภิยโยสะ และพระอุตตระ เป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญ
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ มีพระติสสะ และพระภารทวาชะ เป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญ
    ดูกรภิกษุทั้งหลายเราในบัดนี้ มีสารีบุตร และโมคคัลลานะ เป็นคู่อัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญ ฯ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๐ หน้าที่ ๒/๒๖๑
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2012
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย การประชุมกันแห่งสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ได้มีสามครั้ง
    ครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุหกล้านแปดแสนรูป
    อีกครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุม กันเป็นจำนวนภิกษุแสนรูป
    อีกครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุแปดหมื่นรูป
    สาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ซึ่งได้ประชุมกันทั้งสามครั้งนี้ ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย การประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ได้มีสามครั้ง
    ครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุแสนรูป
    อีกครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุแปดหมื่นรูป
    อีกครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุเจ็ดหมื่นรูป
    พระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี ซึ่งได้ประชุมกันทั้งสามครั้งนี้ ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย การประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าเวสสภู ได้มี ๓ ครั้ง
    ครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุแปดหมื่นรูป
    อีกครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุเจ็ดหมื่นรูป
    อีกครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุหกหมื่นรูป
    พระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าเวสสภู ซึ่งได้ประชุมกันทั้งสามครั้งนี้ ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย การประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ ได้มีครั้งเดียว มีจำนวนภิกษุสี่หมื่นรูป
    พระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ ซึ่งได้ประชุมกันครั้งเดียวนี้ ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย การประชุมกัน แห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโกนาคมนะ ได้มีครั้งเดียว มีจำนวนภิกษุสามหมื่นรูป
    พระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโกนาคมนะ ซึ่งได้ประชุมกันครั้งเดียวนี้ ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย การประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ ได้มีครั้งเดียว มีจำนวนภิกษุสองหมื่นรูป
    พระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ ที่ได้ประชุมกันครั้งเดียวนี้ ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย การประชุมกันแห่งสาวกของเราในบัดนี้ ได้มีครั้งเดียว มีจำนวนภิกษุหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบรูป
    สาวกของเราซึ่งได้ประชุมกันครั้งเดียวนี้ ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น ฯ
    [๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชื่อว่าอโสกะ เป็นอัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี
    ภิกษุชื่อว่าเขมังกระ เป็นอัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี
    ภิกษุชื่อว่าอุปสันตะ เป็นอัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าเวสสภู
    ภิกษุชื่อว่าวุฑฒิชะ เป็นอัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ
    ภิกษุชื่อว่าโสตถิชะ เป็นอัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโกนาคมนะ
    ภิกษุชื่อว่าสัพพมิตตะ เป็นอัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ชื่อว่าอานนท์ ได้เป็น อัครอุปัฏฐากของเราในบัดนี้ ฯ
    [๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชาพระนามว่าพันธุมา เป็นพระชนก
    พระเทวีพระนามว่าพันธุมดี เป็นพระชนนีบังเกิดเกล้าของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี
    พระนครชื่อว่าพันธุมดีได้เป็นราชธานีของพระเจ้าพันธุมา พระราชาพระนามว่าอรุณะเป็นพระชนก
    พระเทวีพระนามว่าปภาวดี เป็นพระชนนีบังเกิดเกล้าของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า สิขี
    พระนครชื่อว่าอรุณวดี ได้เป็นราชธานีของพระเจ้าอรุณะ พระราชาพระนามว่าสุปปตีตะเป็นพระชนก
    พระเทวีพระนามว่ายสวดี เป็นพระชนนีบังเกิดเกล้า ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าเวสสภู
    พระนครชื่อว่า อโนมะ ได้เป็นราชธานีของพระเจ้าสุปปตีตะ พราหมณ์ชื่อว่าอัคคิทัตตะเป็นพระชนก
    พราหมณีชื่อว่าวิสาขาเป็นพระชนนีบังเกิดเกล้าของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ
    ภิกษุทั้งหลาย ก็พระราชาพระนามว่าเขมะ ได้มีแล้วโดยสมัยนั้นแล พระนครชื่อว่าเขมวดี ได้เป็นราชธานีของพระเจ้าเขมะ
    พราหมณ์ชื่อว่ายัญญทัตตะ เป็นพระชนก พราหมณีชื่อว่าอุตตราเป็นพระชนนีบังเกิดเกล้าของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโกนาคมนะ
    ก็พระราชาพระนามว่าโสภะ ได้มีแล้วโดยสมัยนั้นแล พระนครชื่อว่าโสภวดี ได้เป็นราชธานีของพระเจ้าโสภะ
    พราหมณ์ชื่อว่าพรหมทัตตะ เป็นพระชนก พราหมณีชื่อธนวดี เป็นพระชนนีบังเกิดเกล้าของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ
    ก็พระราชาพระนามว่ากิงกี ได้มีแล้ว โดยสมัยนั้นแล พระนครชื่อว่าพาราณสี ได้เป็นราชธานีของพระเจ้ากิงกี
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชาพระนามว่าสุทโธทนะ เป็นพระชนก พระเทวีพระนามว่ามายา เป็นพระชนนีบังเกิดเกล้าของเราในบัดนี้
    พระนครชื่อว่า กบิลพัสดุ์ ได้เป็นราชธานีของพระเจ้าสุทโธทนะ
    พระผู้มีพระภาคตรัสดั่งนี้แล้วเสด็จลุกจากอาสนะ เสด็จเข้าพระวิหาร ฯ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๐ หน้าที่ ๒/๒๖๑
     
  7. ปญฺญาวโร

    ปญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    228
    ค่าพลัง:
    +788
    หาดูนอกเหนือทูเรนิทาน ยังครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...