จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ลายแทงพระนิพพาน!

    ไม่ต้องไปตามหาจากที่ไหน
    เพราะนั่น ก็คือ จิต(จิตบุญ)

    ทุกข์ก็อยู่ที่จิต
    ธรรมะก็อยู่ที่จิต
    นิพพานก็อยู่ที่จิตของคนเรา นี่แหล่ะ!

    แต่เราจะต้องนำจิตมาเดินมรรคให้ถูกต้อง
    มิใช่ เรา(สติ)ไปทำแทนจิต



     
  2. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    อย่าจุดไฟในดวงจิตเธอ
    ไฟในดวงจิตเธอจะเผาเจตสิกของเธอ
    ไฟในเจตสิกของเธอจะเผาความดีของเธอ
    เมื่อความดีของเธอถูกเผาผลาญเสียแล้ว
    ไฉนเลยเจ้าจะมีหน้ากลับมาหาพ่อได้

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=7wBH3MjMXHE]เพลง ไฟ - ทิพวัลย์ ปิ่นภิบาล - YouTube[/ame]

    ไฟ...ที่แผดและเผาทุกสิ่ง
    ไฟ..ผู้ไม่ประวิง หยุดผลาญทำลาย
    ร้อนจนสุด จะทานทน
    พืช คนและสัตว์ จะวางวาย
    และสิ่งสุดท้าย.. เหลือเพียงเถ้า.. ธุลี...

    ไฟ ที่แผดและเผาในอก...
    ไฟ เหมือนดั่งนรก หมกสุมชีวี
    ไฟกิเลสในใจคน จุดความหมองหม่นมานานปี..
    ถ้าดับไฟนี้ โลกคงมีสุข ไม่ซบเซา

    ร้อนไม่เห็น... เย็นไม่มี..
    ชื่อว่าไฟหรือปราณี ใครเล่า?..
    อาจจะเป็นน้ำ ช่วยหยุดแผดเผา
    แต่ความร้อนเร่า ใครหรือ จะดับมัน?..

    ไฟ ผู้จุดโลกใสสว่าง..
    ไฟ ผู้สร้างชีวิต ให้ทุกชีวัน..
    แล้วก็จบที่กองไฟ หยุดความฝันไฝ่ มลายพลัน...
    โอ้ เปลวไฟนั้น เหมือนใจ ไม่หยุดนิ่งเลย
     
  3. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ปุจฉาธรรม ของครู ลูกพลัง ในหัวข้อ "ถ้ารู้แน่ๆ และชัวร์ๆ ว่าจะตายแน่ๆ"
    สําหรับความคิดของดิฉัน ก็จะเตรียมตัวรอ โดยมีสติ หรือ ภาวนา กําหนดจิต ถึงความตายว่ามันเป็นของเที่ยง ไม่มีอะไร?จะมาทําให้มันไม่เกิดได้เพราะเราก็ภาวนาทุกวันนี้ก็เพื่อสิ่งนี้อยู่แล้วคือ "การเตรียมตัวตาย"การเตรียมที่จะตายก็เหมือนเราเตรียมพร้อมจะออกสู่สงคราม ถ้าเราเป็นทหาร ก็คือ ออกรบ ถ้าจะตายในแนวหน้า คือการออกรบ ตายเพื่อประเทศชาติ ตายเพื่อรักชาติบ้านเมือง ก็จะภูมิใจเป็นที่สุด ก็เช่นเดี่ยวกัน กับ การเตรียมตัวรอตายสําหรับนักปฏิบัติแล้วเป็นของง่ายมาก เพราะท่านได้ผ่านทุกข์มาแล้ว และได้เห็นการเกิดนี้ มันน่ากลัวกว่า การตายเสียอีก เพราะฉะนั้น การเตรียมตัวที่จะตายจึงง่ายเพราะผู้ปฏิบัติก็เบื่อหน่ายในกองสังขารที่เป็นภาระในหนักน่วงอยู่แล้ว ก็ในเมื่อมันถึงเวลานั้นจริงๆก็จะไปแบบมีสติ และการไปแบบนี้ไม่ได้หมายความเป็นการฆ่าตัวตายเพราะ การรู้ล่วงหน้า เป็นการเตรียมตัวตาย เหมือนผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบที่ท่านได้หยั่งรู้ถึงวาระของท่าน ท่านก็จะเตรียมเลยที่เดียว เหมือนสมัยพุทธกาล ท่านโมกข์คลาท่านเหาะหนี้โจรไปก็ได้แต่ท่านก็ไม่ได้หนี้ เพราะท่านรู้วาระกรรมของท่าน เพราะฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้เตรียมพร้อมถึงสิ่งที่จะเกิดกับเราได้ทุกเมื่อ นั้นก็หมายถึ่งท่านก็ต้องฝึก สติให้แก่กล้าสามารถ ที่จะไม่ไหวหวั่นในวันข้างหน้า อะไรจะเกิด มัน ก็ เกิด อะไรจะดับมันก็จะดับ ห้ามไม่ได้ ขอให้ท่านจงมีสติทุกๆเมื่อเทอญ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2012
  4. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ปฏิบูชาพุทธชยันตี สองพันหกร้อยขวบปี. แห่งองค์สมเด็จพระสัมมา. ขอยกกรขึ้มมาประณตวันทา อัญเชิญพรหม เทพ เทพา มนุษย์ ยักษ์ชา คนธรรพ์ ปิตา มาตา ครูผู้อนันต์
    บูรพกษัตริย์นักรบนั้น สรรพสัตว์ โอปปาติกา ถวายบุญปฏิบัติบูชา มโน กาย วาจา เมตตาคุณธรรมกรรมดี งดเว้นบาปเวรอย่ามี สงบสุขทุกวิธี ปลดเปลื้องทุกข์โศกโรคภัย กระแสบุญ
    สั่งสมเกรียงไกร ทุกภพภูมิวารสมัย ยิ่งใหญ่อุปถัมภ์ค้ำจุน พุทธกิจดำเนินเกื้อหนุน เป็น
    ศูนย์กลางไพบูลย์ ทั่วเทศต้อนรับตอบศัทธา ยึดมั่นร่มเย็นความเป็นมา เฉลิมฉลองถ้วนหน้า อนุโมทนาชื่นชมยินดี สังคมพุทธจำเริญสุขี ปัญญาคน บุญ ความดี จงสุขศรีทั่วโลก
    โลกา ด้วยกุศลผลปวงข้ากระทำมา ด้วยอำนาจสัจจวาจา ปราถนาจึ้งสมสัตย์ปฏิญาณ
    มนุษย์สวรรค์สมบัติพระนิพพาน แม้จะเกิดดับอีกกี่กาล เป็นสุขศานติ์ปุญญเดชสมเจตน์เทอญ. คัดมาจากหนังสือธรรมะสว่างใจ. วัดสันติวงค์สาราม เบอรมิ่งแฮม U.K ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2012
  5. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    โมทนาสาธุ สาธุด้วยครับกับคุณเพ็ญ2และคุณพี่นี
    สมแล้วที่เป็น"จิตบุญแห่งUK"ทั้งสองท่านเลย
    (แม้นปุจฉาธรรมนั้น จะมีรายการชี้นำอยู่..555 ก็มิอาจพ้นสายปัญญาของท่านได้..สาธุๆ)

    การรู้วาระตายล่วงหน้ากับการกระทำอัตวิบากกรรม(ฆ่าตัวตาย)นั้น
    ทั้งสองเรื่องนั้น"เป็นคนละเรื่องเดียวกัน"
    ที่ว่าเป็นเรื่องเดียวกันนั้นก็คือ "การรู้ตัวล่วงหน้า"ที่เหมือนกัน
    ส่วนที่ว่าคนละเรื่องกันนั้นก็คือ
    - วาระจิตของการกระทำอัตวิบากกรรมนั้น เกิดขึ้นจากการถูก"กิเลสเข้าครอบงำอย่างรุนแรง"
    มืดหน้าตามัวหรือสิ้นคิดแล้ว จึงตัดสินใจหนีปัญหาหรือหนีทุกข์อันสุดจะทนทานได้หรือ"เห็นผิด"
    ด้วยการกระทำอัตวิบากกรรมขึ้นมา ดวงจิตเมื่อละขันธ์ไปแล้วย่อมเคลื่อนไปสู่อบายภูมิ
    - ส่วนวาระจิตที่มีแต่ความสงบนิ่ง(ตั้งแต่น้อยไปสู่มากที่สุด) ไม่เจือด้วยอุปาทานกิเลส
    หรือความเศร้าหมองเข้าครอบงำ ยังคงมีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์และสมาธิจิตที่ตั้งมั่น
    ระลึกรู้แต่สิ่งที่ดีงามจนถึงความว่างอย่างที่สุด เมื่อละขันธ์ไปแล้วดวงจิตย่อมเคลื่อนไปสู่สุขคติภูมิเป็นเบื้องต้นหรือจนกระทั่งนิพพานเป็นเบื้องปลายนั้น ก็สุดแล้วแต่วาระจิตท่านนั้นๆ

    การจะอยู่รอความตายด้วยจิตอันสงบหรือจะการอพยพด้วยจิตอันสงบ
    ก็มิได้มีอะไรผิดหรืออะไรถูก มันขึ้นอยู่กับวาระจิตและวาระกรรมของแต่ละท่านๆนั้น
    กรรมเกิดขึ้นจากการที่เราเลือกที่จะกระทำ
    เมื่อมีเหตุปัจจัย จึงยังให้มีผลติดตามมาตามสภาพแห่งเหตุและปัจจัยนั้นๆ

    สุดท้ายแล้วหากจะละขันธ์ด้วย"จิตอันสงบ"ได้จริงแล้ว จิตนั้นจะต้องถูกฝึกฝนมาอย่างดี
    เมื่อนั้นแล.. จึงจะมีสุขคติภูมิ-นิพพานเป็นที่จุติสืบต่อไป..

    ปัจฉิมโอวาทแห่งพระศาสดา"จงยังความไม่ประมาท ให้ถึงพร้อม"

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  6. ข้าวฮาง

    ข้าวฮาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +608
    ช่วงนี้บุญน้อย....เข้ามา สาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาธุฯ ขอรับ กราบงาม ๆ 108 พันเก้า สำหรับทุกจิตบุญขอรับกระผม ปล.

    ข้าวฮางงอกแห่งท้องทุ่งตะวันฉาย...ยังมิวายคิดถึง บุญบอร์ด จอดใจหนอ

    เเวะเข้ามาสาธุฯ ล้น คอมพิวเตอร์จอ.....อิ่มใจพอแล้วคลิกออกอ่านข่าวภัย

    ข่าวนั้นมากยากแท้หยั่งถูกใช่.......คลิกเรื่อยไปมือเริ่มหงิกคลิกต่อหนอ

    ก่อนตาหลับแวะมาเวียนเขียนให้พอ.....คราหน้าต่อ บุญสาธุ อนุโมทนาอีกเอยฯ

    รอบนี้ติด ๆ เฮ้อ สงสัยฝืดจริง อิอิอิ
     
  7. Espanda

    Espanda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +720
    ไปเที่ยวกันไหม...

    [​IMG]

    ให้มองว่าที่เรามาเกิดเริ่มแรกเป็นการมาเที่ยว แต่การเที่ยวให้สนุกเราต้องมีพาหนะ(กาย) มีเซนเซอร์รับรู้(อายตนะ)
    เพื่อรู้ว่าดอกไม้หอม อาหารอร่อยดี ดนตรีไพเราะ ก็เหมือนเราไปเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์เองกับดูวิดีโอท่องเที่ยว
    ก็มีเวลาของทริป เป็นอายุขัย หมดก็ต้องกลับ ... แล้วเราก็หลงเพลิน ไม่ยอมรับกติกา ยึดโน่นนั่นนี้ วุ่นวายไปหมด
    อยากจะอยู่ต่อให้ได้ ให้เป็นหมาเป็นแมวก็ยอมนะตอนนั้น จิตเราเองนะที่หลงผิด พ่อแม่เรียกก็ไม่ได้ยิน
    มันหน้ามืดไปแล้ว เป็นหมาแมวไม่พอ หลบหน้าหลบตาท่านอีกนะ

    แต่ทุกสิ่งบนโลกเป็นปกติ ธรรมดาของมันอย่างนี้ เรากลับอยากให้เป็นตามใจเรา แล้วมันจะได้อย่างใจหรือ
    อะไรที่ขัดธรรมชาติมันก็ทุกข์ ใครทุกข์ จิตอันเดียวนี่แหละ โลกนี้ทุกข์เป็นหรือ มองให้ออกนะ
    ถ้ามองออกว่า อ้อ มันก็เป็นธรรมดาของมันอย่างนี้ เห็นกฏธรรมดาของโลกเมื่อไหร่ ก็หมดทุกข์
    เราทุกข์เมื่อไหร่ ไม่ต้องมองหาที่ไหนนะ มองที่จิตเราที่เดียวพอ ก็บอกแล้วว่า มีแค่จิตที่ทุกข์เป็น

    เอ้า ลูก ๆ คนไหนที่นึกได้ว่าปล่อยให้ท่านพ่อรอนานแล้ว ขอเสียงหน่อยเร้ววววว
     
  8. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนา สาธุ กับ ครู ลูกพลัง ที่ได้กล่าวคําอธิบาย ในครั้งนี้อย่างแจ่มแจ้งจริงๆ สมแล้วที่ท่านเป็นครูผู้สอน และเป็นผู้มีปัญญา ญาณ กว้างไกลจริงๆ ขอกราบน้อมรับ ด้วยความเคารพ อย่างสูงค่ะ และขอให้ท่านจงเจริญในธรรมยิ่งๆขื้นไป ด้วยเทอญ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2012
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีครับ นึกว่าลืมกันไปแร๊ะ
    ขอบพระคุณมากๆเลยนะครับ ที่ยังคิดถึงและแวะเวียนกันอยู่
    อย่าไปพูดว่าบุญน้อยจิ คุณมีบุญเยอะแยะนะ อย่าไปถ่อมตนจิ
    งั้นมาสร้างบุญใหญ่กันที่นี่จิ เดี๋ยวให้คุณฝั่งโขงมาต้อนรับนะครับ
    คุณอภิชัยนั่นไง๊ ท่านน่ารักและกันเองดีออก
    ที่นี่มีแต่จิงโจ้ เอ๊ย! จริงใจ+ใจจริง No fake

    ข้าวฮางงอกแห่งท้องทุ่งตะวันฉาย...ยังมิวายคิดถึง บุญบอร์ด จอดใจหนอ
    เเวะเข้ามาสาธุฯ...

    ฮ่าๆ ช๊อบชอบ วันหน้ามาแต่งใหม่นะ คนที่ก็แต่งกลอนเก่งนะ
    แต่ผมถนัดเปิดกลอนประตูตามที่คุณแนทพูดไปแร๊ะ เห่อๆ
    สกิดใจมาถึงบัดนาว อิอิ
    ช่างกล้าจริงๆเน๊อะ น้องแหวว น้องดาว ว่าไหม?
    เดี๋ยวจะกลับไปเปิดประตูหัวใจใครบางคน เห่อๆ เวน-กำของข้าน้อย

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 ธันวาคม 2012
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ช่วงนี้จิตบุญหายหน้าไปอยู่ฟาสฟู๊ดหมดแย๊วววว
    จิตบุญบางท่านยังมัวเดินเล่นอยู่แถวชายหาด หรือ สวนจักถูกใจ(สวนจตุจักร)

    จิตบุญบางท่าน เพิ่งจะรู้ซึ้งถึงใจ หรือ ถึงจิตพุทธะ ว่าเป็นยังไง เห่อ
    พูดไปก็หาว่าโม้ พอโดนกับตนเองบ้าง ถึงกับร้องเจี๊ยกจ๊ากกกกันเป็นแถว

    บ้างจิตบุญก็ยังซ้อม ซ่อมจิตยังไม่เลิก
    บ้างจิตบุญก็ยังติดเศษกรรม+ความศรัทธามีน้อยเกินไป ก็ยังไปไม่ถึงไหน
    ก็อย่าเพิ่งไปน้อยใจ บบ.พยายามหาทางช่วยเจ้าอยู่

    แต่เจ้าต้องช่วยตนเองก่อนนะ

    ในขณะนี้ มีทั้งม้าสว่าง มีทั้งม้ามืด กำลังวิ่งแข่งกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 ธันวาคม 2012
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=LunrljRxrzA]สาวฝั่งโขง อรวี สัจจานนท์ - YouTube[/ame]
    เอาใจสาวฝั่งโขง
    คนฝั่งโขง คนอิสานบ้านเฮา!
    โดยเฉพาะ ผู้ที่มีใจรักพระพุทธศาสนาของหมู่เฮาอันยาวนาน
    ได้มาร่วมสร้างบุญใหญ่กันแต่เนิ่นๆ
    กับสมเด็จพ่อองค์ปฐม และพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
    ใครรู้ตัวว่าเป็นพุทธบุตร พุทธภูมิ เหล่าดวงจิตเดิมของสาวกของพระพุทธเจ้า
    ให้รีบปรากฎตัวมาเสียดีๆ อย่าให้ต้องใช้กำลัง
    เดี๋ยวผมจะให้ครูลูกพลังใช้กสิณไฟ ไปรนก้นพวกเรานะ..อิอิ
    ก่อนที่ภัยพิบัติจะจัดหนักกว่านี้

    เปิดธรรมะสลับเพลงบ้างเน๊อะ
    เกรงว่าคนจะเบื่อธรรมะ บ้างก็เริ่มๆเบื่อทางโลกแล้ว
    เข้ามากันนะ เผื่อเน็ตล่ม จบเฮ่!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 ธันวาคม 2012
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    แด่คุณลินดา
    เจอตอธรรมะรึยัง?
    ถ้าพบเจอก็นำมาบอกกันบ้างเด้อ อย่าเก็บไว้แบบคุณแม่มาลินี ...อิอิ
    อย่าให้บบ.ลงไปเรียกกันนะ เพราะบบ.ท่านงานเยอะอยู่แล้ว

    แต่ถ้าเรื่องปัจจัตตังมาก ก็ให้นำไปลงที่ ฟาสฟู๊ด(เฟสบุ๊ค)นะ..อิอิ
     
  13. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    หลวงปู่สิม สอนไว้ว่า. คำว่าสงบ ไม่ใช่นิ่งเฉยเหมือนคนนอนตาย.
    คำว่า สงบ ไม่ใช่นิ่งเฉยเหมือนคนนอนตาย สงบก็คือว่าพูดอยู่ก็ได้ชือว่าสงบ คือพูดในสิ่งที่
    เป็นบุญเป็นกุศล ชักจุงจิตใจของตนและบุคคลอื่นให้เกิดศรัทธา ความเชื่อ เลื่อมใสอันมั่นคง
    ผู้ใดฟังก็จะได้นำไปพินิจพิจารณาว่า ทำอย่างไรจิตใจจึงจะสงบระงับได้. ความสงบ วาจา จิต
    ให้มีอยู่ทุกเวลาแล้วความทุกข์ความเดือดร้อนต่างๆจะไม่มีเกิดขึ้นแก่ผู้ทำจิตทำใจให้สงบนั้นเลยมีแต่ความสุขสบายกายสบายใจ อยู่ที่ใหนก็อยู่ภาวนาปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอยู่ที่ใหน
    ก็ดี คนดีอยู่ที่ใหนที่นั่นก็ดี.นี่คือความสงบที่พวกเราต้องฝึกกันจริงจังและจริงใจเราถึงจะเห็น
    ว่าเราสงบนั้นเราจะได้เมื่อเราทำ เราได้ความสงบนั้นแล้วเราถึงจะตอบตนเองว่าสงบ แล้วได้
    อะไร? รีบทำกันนะทำด้วย ความขยัน ความเพียร ความศัทธา ความมุ่งมั่น ด้วยสติ และปัญญา ไม่นานเกินรอ แล้วเราจะรู้ว่า ความสงบ ที่ไม่ใช่ตายสงบ ตามที่หลวงปู่สิมฝากไว้
    นั้นได้ความสงบที่แท้จริง.ขอน้อมรับไว้เจ้าค่ะ กราบหลวงปู่เจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2012
  14. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    สวัสดีครับ..ท่านข้าวฮางงอก..แวะมาเยี่ยมเยือนกันบ่อยๆนะ..
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,304
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ...........อนุโลมและปฏิโลม

    อนุโลมและปฏิโลม
    สำหรับ เวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้พากันสมาทานพระรัตนตรัยแล้ว สำหรับวันนี้ก็จะพูดเรื่องอนุโลมและปฏิโลม เพราะว่าย้อนถอยหลังไปตั้งแต่ต้นถึงอนาคามีเพื่อเป็นการสำรวมจิต การปฏิบัติพระกรรมฐานเขาต้องปฏิบัติกันแบบนี้ เพราะว่าสำหรับวันนี้หรือขณะนี้เราทำถึงอะไร วันต่อไปที่จะทำต่อก็ต้องตรวจจิตเสียก่อนว่าอารมณ์เดิมที่เราปฏิบัติมันทรง อยู่หรือเปล่า หรือว่าการปฏิบัติก้าวสูงขึ้นไป ก็ต้องกลับหลังมาดูใหม่ ถอยหน้าถอยหลัง สำรวจอารมณ์จิต ว่าจิตที่เราปฏิบัติมาแล้วมันมีความบริสุทธิ์ตามสมควรหรือไม่ หรือว่ามีข้อใดข้อหนึ่ง จุดใดจุดหนึ่ง ที่เรายังบกพร่องอยู่ จะได้ปรับปรุงอารมณ์จิตให้มันดี ให้สะอาดสม่ำเสมอ ควรแก่ผลที่จะพึงได้
    เมื่อ คืนที่แล้วเราได้พูดถึงอนาคามีผล ตอนนี้ก็กลับมาย้อนทวนต้น ว่ากำลังจิตของเราที่จะปฏิบัติเข้าถึงมรรคผล อันดับต้นเราก็มาดูโสดาปัตติผลกันก่อน นี่ต้องย้อนหลังขึ้นมาดูเสมอ ๆ วิธีที่เขาปฏิบัติกันได้ดีจริง ๆ ถ้าปฏิบัติขึ้นไปถึงไหนก็ตามแม้แต่ฌานโลกีย์ อันดับแรกเขาต้องคุมอารมณ์ตั้งแต่ต้นเข้าไปถึงระดับปลายอย่างเช่น เราปฏิบัติมาถึงฌาน 4 เวลาเข้าสมาธิจริง ๆ เขาจับทีละฌาน 1 2 3 4 ตามลำดับ เมื่อฌาน 4 ทรงได้ตามปกติ ถ้าเราจะปฏิบัติในอรูปฌานก็ต่อจากจุดนั้นเข้าไป ไม่ใช่อยู่ ๆ มาจับปลายมือกันเลยทีเดียว ดีไม่ดีปลายก็ไม่ได้ ต้นก็เสีย ปลายก็ไม่ได้ นี่ต้องถอยหน้าถอยหลังกันเป็นปกติ
    วันที่แล้ว เราพูดกันมาฟังกันมาถึงอารมณ์ของอนาคามี ความจริงก็ฟังกันมาหลานวันจนกว่าจะถึงจุดนี้ วันนี้เราก็มาฟังตอนต้น สำรวจจิตดูว่าเรายังมีอารมณ์บกพร่องในอันดับไหน สำหรับพระโสดาปัตติผล พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องตัดสังโยชน์ได้ 3 สำหรับสังโยชน์ข้อ 1 ได้แค่เล็กน้อย คือ สักกายทิฏฐิ หมายถึงว่าพิจารณาเห็นว่าสภาพร่างกายนี่ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา อารมณ์ที่จะทรงจุดนี้ได้จริง ๆ ก็คือ พระอรหันต์ สำหรับพระโสดาบันยังมีความรู้สึก
    ท่านบอกว่าพระโสดาบันนี่มี สมาธิเล็กน้อย และมีปัญญาเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มาก แต่ว่าพระโสดาบันกับพระสกิทาคามีอยู่ในขอบเขตของ อธิศีลสิกขา จำไว้ให้ดี หมายความว่าเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยศีล ฉะนั้นในฐานะที่เป็นผู้บริบูรณ์ไปด้วยศีล จะเห็นว่าสมาธิไม่หนักหนานัก ปัญญาก็จะไม่ก้าวมากเกินไป เป็นแต่เพียงว่ารู้ว่าจะต้องตาย ความตายมีแน่ พระโสดามีความยึดมั่นไม่แปรผัน มีความรู้สึกตัวอยู่ว่า เราจะต้องตานแน่ ฉะนั้นในเมื่อรู้ตัวว่าจะต้องตาย จะไม่มีความประมาทในชีวิต คิดว่าถ้าเราจะตายได้เราตายไปแล้วความสุขจะพึงมี ก็อาศัย พุทธานุสสติกรรมฐาน ธัมมานุสสติกรรมฐาน สังฆานุสสติกรรมฐาน มี ความยึดมั่น ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ อย่างจริงจัง ในเมื่อนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้ว ก็ต้องปฏิบัติตนเพื่อกันอบายภูมิ นั่นคือ ทรงศีลห้าบริสุทธิ์สำหรับฆราวาส สำหรับพระภิกษุสามเณรก็มีศีลของตัว ต้องรักษาให้บริสุทธิ์ ไม่ปรารภเรื่องการแสดงอาบัติ คือ เป็นผู้ไม่มีอาบัติจะแสดง และก็มีพระนิพพานเป็นอารมณ์
    การที่จะมีศีลบริสุทธิ์ได้ การมีศีลบริสุทธิ์คือควบคุมศีลเป็นอารมณ์เรียกว่า สีลานุสสติกรรมฐาน การ ที่จะมีศีลบริสุทธิ์ได้จริง ๆ ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็จะมารักษาศีลกันเฉย ๆ มาสมาทานกันเฉย ๆ ไม่มี กำลังธรรมะส่วนอื่นเข้ามาควบคุม ศีลทรงตัวอยู่ไม่ได้ ทีนี้ธรรมะที่จะมาควบคุม ศีลให้ทรงตัวอยู่ไม่ได้ ทีนี้ธรรมะที่จะควบศีลได้จริง ๆ ก็คือพรหมวิหาร 4 นี่เราต้องพิจารณาว่า พรหมวิหาร 4 ของเรามีครบถ้วนไหม ถ้ามีพรหมวิหาร 4 ครบถ้วน ศีลเราก็บริสุทธิ์ สมาธิก็ทรงตัว นี่ศูนย์กลางแห่งการปฏิบัติจริง ๆ เพื่อให้ศีลทรงตัว สมาธิทรงตัว อยู่ที่พรหมวิหาร 4 พรหมวิหาร 4 เป็นสมถะอันดับหนึ่งที่จะต้องทรงอยู่เป็นประจำ
    นอกจากนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้พรหมวิหาร 4 ของเราบกพร่อง เราก็ต้องใช้ เทวตานุสสติกรรมฐาน เข้าควบคุมกำลังใจอีกจุดหนึ่ง นั่นก็คือ หิริ และ โอตตัปปะ หิริ ความอายต่อความชั่ว โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่ว อันนี้เรียกว่า เทวตานุสสติ
    การ นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ คิดว่าตัวตายไปแล้ว หรือว่าความดีที่เราทำทั้งหมด เราไม่หวังผลตอบแทน ในชาติปัจจุบัน ไม่หวังผลในการเกิดเป็นเทวดา ไม่หวังผลในการเกิดเป็นพรหม สิ่งที่เราต้องการ คือ พระนิพพาน อันนี้เรียกว่า อุปสมานุสติ
    ที นี้เราก็ลองนั่งนึกถอยหลังว่าเราศึกษากันมาถึงพระอนาคามี แต่ความจริงสำนักนี้สอนถึงอรหัตผลมาตั้งแต่ปีที่แล้ว วันนี้เรามาทวนกันใหม่ ทวนสายสุขวิปัสสโกชัด มานั่งคิดพิจารณาดูจิตของเรา ว่า มรณานุสสติกรรมฐานนี่เรากำหนดคิดไว้เสมอหรือเปล่า หรือว่าลืมไป หลาย ๆ วันจึงมีความรู้สึกสักทีว่าเราอาจจะตาย ความจริง มรณานุสติ ที่ท่านแนะนำให้มีความรู้สึกไว้เสมอว่าเราจะตายเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่คิดว่าจะตายวันหน้า วันโน้น ไม่ใช่อย่างนั้น คิดว่าเวลานี้เราอาจจะตาย หายใจ เข้าแล้ว เราอาจจะไม่ได้หายใจออก หายใจออกแล้วอาจจะไม่ได้หายใจเข้า ความตายมันไม่มีนิมิตเครื่องหมาย จะตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเที่ยง ตายเมื่อเป็นเด็ก ตายเมื่อเป็นหนุ่มสาว ตายเมื่อแก่ เอาแน่ไม่ได้
    นี่ เราคิดถึงความตายกันละกี่ครั้ง ถ้าเราเผลอข้อนี้ ก็จงประณามใจของเราว่ามันชั่วเกินไป ที่ไม่ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง ความตายเป็นของธรรมดา เราเห็นกันเป็นปกติ คนตายให้เห็นสัตว์ตายให้เห็น แต่ว่าเราไม่มีความรู้สึกว่าเราจะตาย อย่างนี้ก็แปลว่าเลวเกินไป นี่ใคร่ครวญพิจารณาจิตของตน
    แล้วก็มาใคร่ครวญถึงพุทธานุสติ ธีมมานุสติ สังฆานุสติ ว่าเราใช้ปัญญาพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์บ้างหรือเปล่า และความดีที่ท่านปฏิบัติกันได้มานั้น เรานำส่วนใดส่วนหนึ่งมาประพฤติ ปฏิบัติบ้างหรือเปล่า ถ้าเราไม่คิดถึงข้อนี้ก็จงประณามใจไว้อีกว่า เราเลวเกินไป จะเป็นทาสของอบายภูมิ
    ต่อมาก็พิจารณา ศีล ว่าเราบกพร่องบ้างหรือเปล่า ถ้าเราบกพร่องก็ชื่อว่าเราเลวเกินไปแล้ว อันนี้เรามีนรกเป็นที่ไปแน่นอน ถ้าบกพร่องในศีล
    ทีนี้ก็มองไปดู พรหมวิหาร 4 ซึ่ง เป็นจุดหมาย จุดกลาง ที่ทำให้ทุกอย่างทรงตัว ว่าเรามีอาการทรงพรหมวิหาร 4 บ้างหรือเปล่า จิตของเรามีความรู้สึกว่าเรารักคนและสัตว์อื่นนอกจากตัวเรา เหมือนกับเรารักเราเอง เพราะในฐานะที่เขาทั้งหมด เป็นเพื่อนเกิด แก่เจ็บตายเหมือนกัน การประพฤติพลั้งพลาด ไปบ้างเป็นของธรรมดา ของปุถุชน ถึงแม้ว่าพระอนาคามี ก็ยังมีพลั้งพลาด แต่เป็นอนุสัย เมื่ออาการอย่างนี้เกิดกับเพื่อนของเรา เราเคยมีจิตคิดให้อภัยเพราะความรักบ้างหรือเปล่า หรือให้อภัยเพราะการสงสารเขา ในฐานะที่เขายังเป็นผู้มีความรู้น้อย มีสติไม่มั่นคง มีปัญญาไม่รอบคอบ
    แล้วเราเคยคิดอิจฉาริษยา บุคคลอื่นบ้างไหม เคยว่ากล่าวเสียดสี เพ่งโทษ เรียกว่า ทำให้เขาไม่มีความสุข มีในตัวเราบ้างหรือเปล่า กรรมใดที่เป็นเหตุเกินวิสัยที่ชาวโลกจะพึงหนีได้ เกิดขึ้นกับเราก็ดี เกิดขึ้นกับคนอื่นก็ดี เราคลายอารมณ์หวั่นไหวได้บ้างหรือเปล่า ทำจิตวางเฉยได้ไหม ในเมื่อกรรมเหล่านั้นมันหลีกเลี่ยงไม่ได้
    มา พิจารณาดูตัวเราว่าอาการ 4 ประการนี้มีครบถ้วนหรือว่าบกพร่อง คนเราทุกคนที่มีความเดือดร้อน ก็เพราะว่าขาดพรหมขาดพรหมวิหาร 4 นี่เป็นอันดับต้น ถ้าหากว่าจิตเราครบถ้วนในพรหมวิหาร 4 อยู่ที่ไหนก็ตามมันมีแต่ความเยือกเย็น มันมีแต่ความสุข สุขทั้งเรา และก็สุขทั้งบุคคลที่เนื่องกับเรา ในเมื่อเราพิจารณาถึงพรหมวิหาร 4 ว่ามันอาจจะมีบ้าง หรืออาจจะไม่มีบ้าง ครบหรือไม่ครบ
    เราก็ไปดูเทวตานุสสติกรรมฐาน ว่า หิริ และ โอตตัปปะ ความอายบาป ความเกรงกลัวบาป บาปคือ ความชั่ว ชั่วทางกาย ชั่วทางวาจา ชั่วทางใจ กายมันไม่ดีพยายามประทุษร้ายบุคคลอื่นเขา ลักทรัพย์เขา ละเมิดในกามารมณ์ วาจามันไม่ดีประเภทนี้ กรรมไม่ดี ทุกอย่าง กำลังใจก็เหมือนกัน คอยคิดประทุษร้ายบุคคลอื่นตลอดเวลา
    เป็น อันว่าอาการที่กล่าวมาแล้วนี้ถ้ามันมี ก็แสดงว่าเราไม่รู้จักความชั่ว ไม่ละอายความชั่ว ถ้าเราอายความชั่ว ถ้าเราอายความชั่วเราก็ไม่ทำ กลัวว่าผลของความชั่วจะสนองให้เรามีความทุกข์ เราก็ไม่พูด นี่อาการทั้งหลายเหล่านี้มีในจิตของเราบ้างหรือเปล่า
    และ อารมณ์หยั่งถึงพระนิพพานมีบ้างหรือเปล่า คิดถึงพระนิพพานวันละกี่ครั้ง นี่เป็นการทบทวนกำลังจิตอันดับต่ำ ถ้าทำได้อย่างนี้ถือว่าต่ำที่สุด ในของเขตของพระพุทธศาสนา เรานึกถึงความตาย เป็นอารมณ์ ไม่ประมาทในชีวิต เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระอริยสงฆ์ มีศีล 5 บริสุทธิ์ สำหรับฆราวาส พระเณรก็ศีลของตัว ทรงพรหมวิหาร 4 เป็นปกติ มีหิริโอตตัปปะประจำใจ และมีอุปสมานุสสติกรรมฐาน นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าเราอารมณ์ทรงได้ขนาดนี้เป็นปกติ ท่านเรียกว่า พระโสดาปัตติผล เป็นอารมณ์ที่มีอารมณ์ต่ำที่สุดในด้านของความดีในเขตของพระพุทธศาสนา
    ใคร่ ครวญว่าเราทุกคนใครบกพร่องจุดไหนบ้าง อันนี้ต้องจำไว้นะ แค่นี้มันต่ำสุด ถ้าเลวกว่านี้เป็นเรื่องของสัตว์ในอบายภูมิ ถ้าเรามีร่างกายเป็นคนก็พึงคิดว่าเราเป็นคนเทียบได้กับสัตว์นรก ตายแล้วก็เป็นสัตว์นรกไป ไปกลับเป็นคนใหม่ไม่ได้ ใจของเราต้องประณามไว้เสมอ อย่าทะนงตนว่าเป็นผู้วิเศษ คนไหนมีความรู้สึกตัวว่าเป็นผู้ฉลาดบุคคลนั้นก็คือเป็นคนที่โง่บัดซบ พระพุทธเจ้ากล่าวว่าบุคคลใดรู้ตัวว่าเป็นพาล พาลนี่เขาแปลว่าโง่ พระพุทธเจ้ากล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นบัณฑิต เพราะเป็นผู้รู้
    คน ที่รู้ตัวว่าเป็นคนพาลมันจับความชั่วของตัวไว้เสมอ จ้องดูจิตว่าอารมณ์ชั่วมันจะเกิดเมื่อไร ในเมื่อความชั่วมันจะเกิดขึ้นมาในด้านไหน หาทางตัด นี่บัณฑิตมีความรู้สึกอย่างนี้ ไม่เคยมีความรู้สึกตัวว่าเป็นคนดี มองหาความชั่วของตัวให้พบ เมื่อหาชั่วพบ ทำลายความชั่วได้แล้วมันก็ดีเอง นี่จัดว่าเป็นความดีอันดับต้นสำหรับคนที่เข้าถึงพระพุทธศาสนา เพราะเราเรียนกันอันดับสูง นี่เราไม่ได้เรียนเปะ ๆ ปะ ๆ ตายแล้วจะไปไหนก็ช่าง อันนี้เราไม่ใช้ อย่างเลวที่สุดตายแล้วเราไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม และมีชาติเกิดจำกัด 1 ชาติ 3 ชาติ 7 ชาติ เป็นอย่างมาก แล้วไม่ลงอบายภูมิ นี่ศูนย์แห่งการศึกษาเป็นอย่างนี้
    ในอันดับต่อไป ขยับกำลังใจขึ้นไปอีกนิดว่า สำหรับโลภะ ความโลภ โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง พระโสดาบันยังมีอยู่ แต่อยู่ในขอบเขตของศีล เราทำลายความโลภ ด้วยจิตเมตตา กรุณา สงสาร คือ มีการให้ทานเป็นปกติ เป็นการตัดความตระหนี่ในจิต ความโลภของเราเบาบางลง ความโกรธทำลายลงไปด้วยอำนาจของพรหมวิหาร 4 เบาบางลงไปบ้างไหม เรามีจิตเคยคิดให้อภัยกับกับบุคคลผู้มีความผิดที่เราเรียกกันว่า อภัยทาน ไม่ถือโทษโกรธเขา และไม่มีความรู้สึกขึ้นว่าเราโกรธ เราอาฆาต แต่พอยับยั้งชั่งใจ ทรงใจได้ เราก็ให้อภัยไม่ถือโทษโกรธต่อไป อันนี้มีแก่เราหรือเปล่า
    และความหลง คือ ปัญหาสูงขึ้น คิดว่าร่างกายนอกจากจะตายแล้วมันก็เป็นปัจจัยของความทุกข์ ร่างกายไม่ใช่เป็นปัจจัยแห่งความสุข มันเป็นสมุฎฐานแห่งความทุกข์ที่จะพึงมี ถ้าเราหลงใหล ใฝ่ฝันว่าต้องการร่างกายนี้อีกเราก็จะพบกับความทุกข์ หาความสุขไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องหนีร่างกาย คือ ต้องไปพระนิพพาน เพื่อให้จากวัฏฏะ อารมณ์อย่างนี้ของเรามีหรือเปล่า นี่เราเรียนผ่านกันมาแล้ว ถ้าไม่มีก็แสดงว่าจิตของเราเลวไป ถ้ามีได้อย่างนี้ทรงเป็นปกติ ก็แสดงว่าเราเข้าถึงความเป็นพระสกิทาคามี
    ต่อไปเราก็พิจารณาอีกทีว่า เราศึกษากันมาถึงพระอนาคามี พระอนาคามีต้องมีอารมณ์จิตเข้มแข็ง พระพุทธเจ้ากล่าวเป็น อธิจิตสิกขา คือ มีอารมณ์จิตเข้มแข็งมาก ไม่ใช่อ่อนแอ คือ ว่าอารมณ์จิตของเราทรงอยู่ในกายคตานุสสติกรรมฐาน กับ อสุภกรรมฐานเห็นคนสัตว์ วัตถุ มีสภาพสกปรกทั้งหมด ไม่มีอะไรน่ารัก นอกจากสกปรกแล้วอัตภาพร่างกายนี้เป็นปัจจัยของความทุกข์ ไม่มีการทรงตัว เป็นเรือนร่างที่จิตจะเข้าอาศัยชั่วคราวเท่านั้น มันทำลายตัวมันอยู่ตลอดเวลา ไม่ช้ามันก็สลายตัว เราตัดความมัวเมาในเพศเสียให้หมด ไม่มีความรู้สึกในเพศ อันนี้มีในจิตของเราแล้วหรือยัง เรายังบกพร่องข้อไหน
    ประการ ที่สอง เราตัดปฏิฆะ นี่คือ อารมณ์เข้ามากระทบจิต ไม่ใช่ความโลภ ไม่ใช่ความโกรธ ความพยาบาท ปฏิฆะนี่คือ อารมณ์เข้ามากระทบจิต ไม่ใช่ความโลภ ไม่ใช่ความโกรธ ความพยาบาท ปฏิฆะยังไม่ทันจะโกรธ ยังไม่ทันจะพยาบาท พอวาจาเขาเข้ามาปะทะจิต อาการกายเขาแสดงเข้ามาปะทะจิตว่าแสดงถึงความเป็นศัตรู หรือ กลั่นแกล้งเรา เราไม่ยอมรับอารมณ์นั้นทันที ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของชาวโลก
    เมื่อเกิดมาในโลกมันจะต้องกระทบอารมณ์นั้นทันที ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของชาวโลก
    เมื่อเกิดมาในโลกมันจะต้องกระทบอารมณ์ 2 อย่าง คือ นินทา กับสรรเสริญ ถือ ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา นินทาเราก็ไม่รับ เฉย ไม่มีความรู้สึก สรรเสริญเราก็ไม่รับ ไม่พึงปรารถนา จะถูกนินทา หรือ ถูกสรรเสริญมีจิตสบาย มีจิตสบายคือ ทรงตัวเป็นเอกัคคตารมณ์ ไม่รับทั้งสองอย่าง เห็นคำนินทาว่าร้ายเป็นปกติธรรมดา ผ่านไป ได้ฟังคำสรรเสริญก็พึงนึกว่า นี่เขาต้องการให้เราเป็นทาส เขาจึงสรรเสริญยกย่องเรา มันเป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ เราจะดี เราจะชั่ว ไม่ใช่อยู่ที่คำนินทาและสรรเสริญ มันอยู่ที่เรารวบรวมกำลังใจเราให้เป็นสุข ตอนนี้อารมณ์ของเราจะทรงตัวทั้งเวลาหลับตาและลืมตา เห็นคน สัตว์ และ วัตถุที่สวยสดงกงามเราก็เบือนหน้าหนี รู้ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันสกปรก มันเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และก็มีจิตไม่สนใจ ไม่รับสัมผัสใด ๆ จากคำนินทาและสรรเสริญ
    อารมณ์ที่เป็นอิฏฐารมณ์ก็ดี อิฏฐารมณ์ ได้แก่อารมณ์ที่น่าปรารถนาชอบใจ อนิฏฐารมณ์ อารมณ์ ที่ไม่ชอบใจ ไม่มีอยู่ในใจของเรา มีอารมณ์จิตเป็นสุข อารมณ์อย่างนี้ถ้าทรงตัวถือว่าเราเป็นพระอนาคามี นี่เป็นการอนุโลมและปฏิโลม ในการปฏิบัติพระกรรมฐานเขาต้องทำแบบนี้ ฟังแล้วก็นำไปคิดใคร่ครวญพิจารณา ให้จิตมันทรงตัวตลอดวัน ทั้งเวลาลืมตาและหลับตา จึงจะใช้ได้ และพิจารณาว่าใจของเราทรงได้อันดับไหน เราทรงพระโสดาบันได้แล้วหรือยัง เป็นพระสกิทาคามีแล้วหรือยัง เป็นพระอนาคามีได้แล้วหรือยัง ถ้าโสดาบันยังไม่ได้ จงตั้งใจไปนรกตามความประสงค์
    ต่อจากนี้ ไปขอท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


    ******************************
    น้อมเศียรเกล้ากราบหลวงพ่อเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,304
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน

    -------------------------------------------
    อนุโมทนาสาธุค่ะ มีเทปของท่าน ท่านเทศน์ดีมากเลยและนับถือท่านมากค่ะ ศึกษาประวัติท่านก็ทึ่งจริงๆ รวยมากท่านทิ้งหมด"มันไม่ใช่ทางหลุดพ้นลูกเอ๊ย"
    www.kubajaophet.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2012
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,304
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    พลังแห่งการ..........การเชื่อมบุญตัวเรากับเทวดาประจำตัว

    “การเชื่อมบุญ” นี่แหละที่จะเป็นตัวที่สามารถทำให้ เราสามารถรู้จักกับเทวดาได้และท่านก็จะรู้จักเรา กระชับสายใยแห่งความผูกพันและสายในแห่งบุญทั้งบุญเก่าและบุญใหม่เข้าหากัน เพื่อให้บุญนั้นมีกำลังพอที่จะส่งผล ช่วยให้พบกรรมดีได้เร็วขึ้นและช่วยคลายวิบากกรรมไม่ดีได้
    ในเมื่อเรายังเป็นมนุษย์ยังอยู่ในโลกมนุษย์ ต่างภพภูมิกับท่าน ด้วยพลังบุญเท่านั้นที่จะทำให้มนุษย์ติดต่อสื่อสารและมีบุญที่ร่วมกันกับเทวดา ยิ่งเราเป็นผู้ชอบทำบุญกุศลแล้ว เทวดาจะพึงพอใจมาก

    หลักการสำคัญที่จะทำให้การเชื่อมบุญกับเทวดานั้นสำเร็จ ตามที่เราปรารถนานั้น คือ ตัวเราเองต้องมีบุญเสียก่อน ถึงจะเชื่อมบุญได้ การที่จะมีบุญได้มีอยู่วิธีทางเดียว คือการที่เราต้องสร้างบุญขึ้นมาการสร้างบุญใหญ่ๆ ในทางพระพุทธศาสนามีหลักสำคัญก็คือการบำเพ็ญบุญ 3 อย่างที่กล่าวไปแล้ว คือ ให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนาการเชื่อมบุญหัวใจสำคัญก็ตรงนี้แหละ...ยื่นส่งบุญให้เทวดาอย่างไร ก็คือการ “อุทิศ”ส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ท่าน การอุทิศบุญกุศลนี้จะว่าไปก็เป็นหนึ่งบุญและคุณงามความดีอีกอย่างหนึ่งตามหลักบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการข้อที่ว่าด้วย “ปัตติทานมัย” เป็นการบอกให้ทราบและรับเอาบุญนั้นไปใช้ได้ทันที การขอพรนั้นเป็นสิ่งที่ดีและขอได้ทุกโอกาสขอได้กับเทวดาทุกองค์ (เพราะอย่าลืมว่า ไม่มีเทวดาองค์ไหนมาคอยอยู่ประจำตัวดูแลเราตัวต่อตัว แน่นอน) เมื่อเรายังคงอยู่ในศีลมีบุญติดตัว มีความตั้งใจมั่นและศรัทธาในความดี รับรองว่าความสำเร็จบังเกิดขึ้นกับเราแน่ๆ
    สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ในขณะที่กำลังขอพรหรือขอความช่วยเหลือนั้นสิ่งที่ขอก็ต้องเป็นเรื่องที่ดีด้วยหากจุดประสงค์ในการขอไม่บริสุทธิ์ จิตก็จะไม่สะอาดไม่อาจก่อพลังงานที่ดีขออะไรไปก็ไม่ได้ผลไม่เกิดอะไรขึ้นและท่านเทวดาก็คงไม่อำนวยผลให้เกิด เพราะถ้าท่านทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่าท่านได้ทำบาป แล้วของที่ไม่ดีอย่างกรรมชั่วและบาปนั้นไม่มีใครเขาอยากได้
    เมื่อจุดประสงค์ดี จิตใจสะอาดและสิ่งที่ขอกำลังจะเป็นผลให้ลองสังเกตดูว่า ช่วงเวลาที่จิตใจสะอาดจะมีมีความกล้าแข็งทางจิตขึ้นด้วยจะมีความรู้สึกโล่งโปร่งสบาย อาจมีอาการขนลุก น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวหรือมีแสงสว่างวาบขึ้นมาในจิตแสดงว่า เทวดาท่านรับรู้แล้วในสิ่งที่เราต้องการและท่านจะช่วยอำนวยพรให้ส่วนเรื่องจะประสบผลสำเร็จดังที่ตั้งใจหวังหรือไม่ ก็อยู่ที่กรรมลิขิตตามหลักของ “กฎแห่งกรรม” อีกทีหนึ่ง

    *********************************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2012
  18. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    ขอบพระคุณ อ ใหญ่ ณภ ู ที่ระลึกถึงพี่พอใจนะคะ
    ยังอยู่ ๆ คู่กับเวปจืตพร้อมฯ เสมอ ๆ
    อ่านธรรมะทุกวัน ๆ ค่ะ วันนี้ ประทับใจเพลงทราย ๆ ชายทะเล ซึ้ง มีความหมาย ๆ
    กำลังคิดหาวิธีเอาทรายมาผสมปูนอยู่ เอ ๆ ปล่อยไปตามธรรมชาติ ดีกว่า นั่งดู น้ำเซาะทราย ดีกว่าเป็นน้ำหรือทราย นะคะ

    คิดถึงทุก ๆ ท่านค่ะ
     
  19. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    :cool:ได้รับแล้วจ้า ๆ พี่ต้อย สุภาทร พรของพี่ที่ส่งมา รู้สึกปิติอยู่ค่ะ
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,304
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    เคล็ดลับเรื่องการบูชาสมเด็จพระปิยมหาราช
    เคล็ดลับเรื่องการบูชาสมเด็จพระปิยมหาราช
    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระปิยมหาราช

    ควรบูชาทุกวัน
    หากไม่บูชาทุกวัน เพราะมีกิจจำเป็นก็ให้บูชาทุกวันอังคาร (ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์เจ้า) และวันพฤหัสบดี (ซึ่งเป็นวันครู) และควรบูชาในทุกวันพระเป็นประจำทุกวันพระก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าถ้าบูชาแล้วต้องถวายติดต่อกันไป ไม่ใช่ทำๆ หยุดๆ และในวันพระให้ยกเว้นการบูชาสิ่งที่เป็นอบายมุข เช่น บุหรี่ เหล้า

    สิ่งที่ท่านโปรด
    คือน้ำมะพร้าวอ่อน กล้วยน้ำว้า ทองหยิบ ทองหยอด บรั่นดี ซิการ์ ข้าวคลุกกะปิ และดอกกุหลาบหรือดอกไม้สีชมพู อันเป็นสีวันพระราชสมภพ
    -จุดธูปบูชาครั้งแรกให้จุดธูป 16 ดอก แล้วครั้งต่อไป จุดธูป 9 ดอก หรือ๕ ดอก
    -ว่าคาถาบูชา (ตั้งจิตอธิษฐานขอสิ่งที่ต้องการจากท่าน อย่าบนบานสานกล่าว)

    การบูชา
    ให้ จุดธูปอัญเชิญดวงพระวิญญาณมารับเครื่องสักการบูชา ทำอย่างจริงใจและนอบน้อม จะได้ทำมาค้าคล่องและมีความสุขความเจริญทั่วไป สุขทั้งกับครอบครัว ตำแหน่งหน้าที่การงานก้าวไกล

    สำหรับคนธรรมดาทั่วไป
    ตั้งพระบรม ฉายาลักษณ์ไว้ในที่สูง จากนั้นหาหิ้งหรือโต๊ะขนาดพอสมควรกับฐานะ ตั้งแจกันดอกไม้ ในตอนเช้าก็ถวายพระสุธารส (ชาหรือกาแฟหรือน้ำหวาน กับผลไม้ หรือขนมตามสมควรแก้ฐานะ หรือจะเป็นอาหารชุดเล็กเหมือนถวายข้าวพระพุทธก็ได้)

    สำหรับคนมีฐานะ (เศรษฐีหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่)
    จัด หามุมหนึ่งของบ้าน ในห้องพระ หรือชั้นบนบ้านในมุมบ้านมุมใดมุมหนึ่ง ตั้งพระบรมฉายาลักษณ์ในที่สูง ๆ ด้านล่างมีโต๊ะแบบหลุยส์และเก้าอี้แบบหลุยส์หรือแบบอื่นที่งดงามตามกำลังมา วางไว้ใต้พระบรมฉายาลักษณ์ แก้วแบบใช้ดื่มไวน์หรือแก้วมีก้าน ถวายผลไม้อย่างดีและเครื่องคาวหวานในถาดเครื่องถ้วยชามที่งดงาม รินน้ำใส่ในแก้วก้าน รินเหล้าองุ่นอย่างดีจะเป็นเหล้าองุ่นหรือเหล้าแบบคอนยัคก็ตามแต่ลงไปในแก้ว ก้าน ชงกาแฟ ขนมปังใส่ในถ้วยกาแฟที่มีจานรองถวาย พร้อมกับเครื่องคาวหวาน และแจกันดอกไม้พ้นเที่ยงแล้วยกอาหารคาวหวานและกาแฟออก ทิ้งผลไม้และน้ำตลอดจนเหล้าไว้ที่เดิมจนพระอาทิตย์ตกดินจึงเก็บ เหล้าให้เทออกใส่ขวดเก็บไว้เอาไว้กิน เพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บหรือแก้อาการเจ็บป่วยได้อีกด้วย


    พระคาถาบูชาสมเด็จพระปิยมหาราช**(ธูป 9 ดอก)
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (ว่า 3จบ)
    พระสยามมินโท วะโรอิติ พุทธะสังมิ อิติอะระหัง สะหัสสะกายัง วะรังพุทโธ นะโมพุทธายะ (ว่า 3จบ)

    .........(ให้ตั้งจิตอธิษฐานปรารถนาสิ่งใดให้ขอกับท่าน (ขอพรท่านห้ามบน)
    ขอเดชะฝ่าละออกธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้า (นาย นาง นางสาว) ชื่อ..............นามสกุล...................
    ต้องการให้พระองค์ท่านช่วยเรื่อง.....
    ปิยะ มะมะ นะโมพุทธายะ (ว่า 3 จบ)
    ****************************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...