พระโพธิสัตว์เกี่ยวข้องกับอบายมุขได้หรือไม่

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ถิ่นธรรม, 9 ธันวาคม 2012.

  1. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    คนเป็นพระโพธิสัตว์ระดับนิตยโพธิสัตว์จะเป็นเจ้าของกิจการที่เป็นอบายมุขเช่นเหล้าเบียร์การพนันสนามม้าได้หรือไม่ครับ หรือแค่มีเิี่อี่ยวหรือเข้าไปสนับสนุนทางตรงหรือทางอ้อมได้แค่ไหนครับ เห็นเขาพยายามรณรงค์ให้เจ้าของบริษัทน้ำเมาเจ้าของบ่อนการพนันเป็นพระโพธิสัตว์กันจัง ดูแล้วไม่น่าเชื่อแต่ก็พูดไม่ได้
     
  2. จิ้งจอกขาว

    จิ้งจอกขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +420
    พิจารณาเอาเอง...
    "ไม่ใช่ดี อย่างที่คิด
    ไม่ใช่เลว อย่างที่เห็น"
     
  3. โต้งสารคาม

    โต้งสารคาม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +65
    เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ผู้ที่ปราถนาขนาดนั้นยอมตายยังดีกว่าขาดศีล5 คนที่ทำนายให้ก็หวังลาภสรรเสริญ
     
  4. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ต้องนิยามกันก่อนว่า พระโพธิสัตว์ คืออะไร

    ถ้าบอกว่า ใครก็ตามที่ปรารถนาจะให้สัตว์โลกพ้นทุกข์ ก็นับเป็นพระโพธิสัตว์
    ถ้านับแบบนี้ วันๆ นึง ในชีวิตประจำวัน เราเจอพระโพธิสัตว์ กันวันละหลายๆ คน เป็นปกติอยู่แล้ว

    เพียงแต่ยังเป็นผู้ที่เดินทางยังไม่ไกล ยังไม่มั่นคง เท่านั้นเอง และพวกนี้ ก็จะล้มเลิกไปกลางคันเสียเยอะ

    หากเป็นพระโพธิสัตว์บารมีปลายๆ แล้ว จะไม่ทำหรอก อะไรที่เบียดเบียนผู้อื่น มีแต่จะช่วยอย่างเดียว แม้ตัวเองต้องเดือดร้อนแค่ไหน ต้องอดตาย ก็จะไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ไม่ว่าทางตรง หรือ ทางอ้อม

    ตัวอย่างพระโพธิสัตว์บารมีปลาย ที่ชัดเจน ก็คือ ในหลวงของเรานี่แหละ...
     
  5. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    เรามาพิจารณาร่วมกันดีกว่าถึงเรื่องนี้ ก่อนอื่นเรามาดูที่พระอรหันต์ เราจะพบว่าจุดมุ่งหมายสูงสุดของพุทธศาสนาเถรวาทเราก็คือ การมุ่งที่สาวกยานหรือการเป็นพระอรหันต์ มากกว่ามุ่งที่ปัจเจกพุทธยาน แล พระโพธิสัตว์ยาน นั้นแล ส่วนฝ่ายมหายานนั้นมุ่งที่ พระโพธิสัตว์ยานเป็นสำคัญ ทั้งนี้เพื่อที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยทางมหายานกล่าวว่า ทางเถรวาทมีจุดมุ่งหมายที่คับแคบ คือมุ่งแต่จักเอาตัวรอดเพียงอย่างเดียวเพื่อตัวเอง เขาจึงเรียกเราว่าหีนยาน พวกมหายานกล่าวว่าอุดมคติของมหายานนั้นสูงส่งกว่าเพราะมุ่งที่จักขนสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามฝากไปด้วยกัน แม้จักต้องเข้าสู่พระนิพพานเป็นคนสุดท้ายก็ยอม ในโพธิสัตตวจรรยาวตาร ท่านศานติเทวะ กล่าวว่า “ตราบเท่าสิ้นแผ่นฟ้านภากว้าง หากสรรพสัตว์ยังเคว้งคว้างในสังสาร ข้าจะขอรื้อขนสัตว์นานเท่านาน ตราบสิ้นกาลสิ้นวัฏฏ์พิพัตน์เอย” ฝ่ายเถรวาทก็กล่าวว่าทางมหายานกำลังมุ่งที่อุดมคติที่ยากที่จะลุถึงได้ และเหมือนจักเป็นภารกิจที่แทบจะมองไม่เห็นทางสำเร็จเลยทีเดียว หากมองเพียงผิวๆๆ ก็นับว่าสองอุดมคตินี้ ก็ดูต่างกัน แต่นั้นเป็นเพียงแค่เปลือก เพื่อที่จะมองให้ทะลุถึงแก่นแท้เราย่อมต้องตีให้แต่ว่าจุดมุ่งหมายของพุทธศาสนาคืออะไร? กล่าวโดยสรุปคือ ลดความเห็นแก่ตัว ความยึดมั่นถือมั่นลง นั้นแล พระอรหันต์ก็คือบุคคลผู้หมดแล้วซึ่งความเห็นแก่ตัว ความยึดมั่นถือมั่นว่ามีเรามีของเรา
    เห็นอะไรไหม? เมื่อเราเอาอุดมคติพระโพธิสัตว์มาจับเราจะเห็นได้ทันทีว่า ความคิดที่ว่า เราจะปฏิบัติและช่วยเหลือให้สัตว์ทั้งหลายได้เข้าถึงนิพพาน แม้จักต้องเวียนกลับมาเกิดอีกหลายล้านชาติ หรือ กระทั้งการเข้าสู่พระนิพพานเป็นคนสุดท้ายก็ยอม นั้นก็เป็นไปเพื่อลดความเห็นแก่ตัว ความยึดมั่นถือมั่นลง นั้นแล จนกระทั้งหมดความแบ่งแยกเป็นเราเป็นเขา แม้กระทั้งชีวิตเราก็สละได้เพื่อคนอื่น ไม่เหลือความยึดถือว่าเป็นตัวเราของเราเลย เห็นอะไรไหมว่า นี่ก็คืออุดมคติพระอรหันต์ของเถรวาทนั้นเอง ไอ้ขจัดความเห็นแก่ตัวจนไม่เหลือความยึดถือว่าเป็นตัวเราของเราเลยนี่ เพียงแต่อุดมคติของมหายานนั้น เราจะต้องมองให้แตกว่า เป็นการใช้อุบายอันฉลาดในการสอนธรรมนั้นเอง คือ เน้นลงไปอย่างชัดๆๆเลย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ ลดความเห็นแก่ตัว ความยึดมั่นถือมั่นลงนั้นเอง ยิ่งใครทำได้จริงๆๆตามนี้เท่าไหร่ เขาก็ยิ่งใกล้ความเป็นพระอรหันต์ หรือพระนิพพาน ยิ่งกว่าที่เขาคิดเสียอีก โดยไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ........ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ง่ายๆๆเลย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินกว่าที่มนุษย์สักคนจะมีศักยภาพพอที่จะลุถึงเช่นเดียวกัน

    เกี่ยวกับเรื่องนี้ท่านศานติเทวะ กล่าวไว้ในโพธิสัตตวจรรยาวตาร ว่า"เมื่อคุณตั้งมั่นในโพธิจิตอันแน่วแน่มั่นคงว่า จะช่วยเหลือสรรพสัตว์อันไม่มีประมาณ และจะไม่มีวันละจากปณิธานอันยิ่งใหญ่นี้ นับแต่เวลานั้นเองคุณก็ย่อมได้รับบุญกุศลอันยิ่งใหญ่มหาศาลประดุจดั่งห้วงนภา อย่างต่อเนื่องและไม่ขาดสาย แม้ในขณะพักผ่อนอยู่ก็ตามที" นอกจากนี้ก็ยังมีท่านศานติเทวะยังแสดงทัศนะว่า "ที่ชนทั้งผองในโลกนี้ดูเมือนจะปราศจากความสุข ก็เป็นเพราะว่าเขามีความปรารถนา ที่จะแสวงหาแต่ความสุขเพื่อตัวเขาเอง ดั้งนั้นตรงกันข้ามเราจะเห็นว่าเหล่าผู้ที่มีความสุขในโลกนี้ ก็เป็นเพราะว่าเขามีแต่ความปรารถนาที่จะยังความสุขแก่ผู้อื่น"

    ดั้งนั้นโดยแก่นแล้วทั้งอุดมคติพระโพธิสัตว์ และ พระอรหันต์คือสิ่งเดียวกัน แต่เพราะความไม่เข้าใจอย่างแท้จริงต่างหากที่ทำให้ผู้คนเข้าใจว่ามันต่างกัน นี่แลคือความมืดบอด แม้อุดมคติพระโพธิสัตว์จะพูดทำนองว่า จะของบรรลุธรรมคนสุดท้ายก็ตามที แต่แท้ที่จริงแล้วความคิดเช่นนี้นั้นแหละที่ทำให้ไปได้ถึงก่อนคนอื่นๆๆ อันที่จริง
    พวกมหายานเองก็ยอมรับเช่นเดียวกันกับเถรวาทว่า เราจำเป็นต้องบรรลุธรรมก่อนจึงจะช่วยเหลือคนอื่นได้จริงๆๆ ดั่งท่านศานติเทวะ กล่าวไว้ในโพธิสัตตวจรรยาวตาร ว่า"แม้เรา(ชาวพุทธ)จะตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่ในการปลดปล่อยสรรพสัตว์อันไม่มีประมาณก็ตามที แต่ถ้าแม้แค่ตัวเราเองเรายังปลดปล่อยตัวเองจากความทุกข์ไม่ได้ เราก็ย่อมตั้งปณิธานเหมือนคนเสียสติ ดั้งนั้นจงตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อให้ตนได้พบกับความหลุดพ้นเถิด"
    ในสัทธรรมปุณฑริกสูตร ของมหายาน มีคำว่าเอกยาน ความหมายของเอกยานก็คือ การต้องการจะบอกว่าทั้งสาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน แลโพธิสัตว์ยานนั้นก็คือยานเดียวกันนั้นเอง
    ในวัชรสูตร พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเอาไว้ว่า ทุกๆๆสิ่งคือธรรม และทุกๆๆสรรพธรรมก็ล้วนเป็นพุทธธรรม แม้แต่สิ่งที่เรามักไม่คิดว่าใช่พุทธธรรม แท้ที่จริงแล้วก็คือพุทธธรรม เพราะพุทธธรรมนั้นแท้ที่จริงแล้วก็ย่อมต้องเกิดจากสิ่งที่ไม่ใช่พุทธธรรม ความหมายนี้ก็ยืนอยู่บน หลักอิทัปปัจจยตานั้นเอง สรรพสิ่งทั้งปวงล้วนเชื่อมโยงในลักษณะของการอิงอาศัยกันและกัน ไม่มีสิ่งใดมีสวภาวะที่ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง สิ่งต่างๆๆล้วนเชื่อมโยงให้ความเกื้อกูล ซึ่งกันและกัน แลนี่คือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงเห็นในค่ำคืนแห่งการตรัสรู้ ทรงเห็นเกลียวร่วมแห่งความสัมพันธ์ที่ถักทอระหว่างกันและกันอยู่ ดั้งนั้นจึงกล่าวในอีกแง่มุมหนึ่ง ไม่มีความทุกข์ของคนๆๆหนึ่ง มีแต่ความทุกข์ของมนุษยชาติ (เพราะโดยรากฐานแล้วจิตสำนึกของมนุษย์นั้นเหมือนกัน รูปร่างหน้าตาที่ต่าง ฐานะ เชื้อชาติ นั้นเป็นเพียงภาพลวงตา) ดั้งนั้นแท้ที่จริงแล้วจึงไม่มีนิพพานสำหรับให้คนๆๆหนึ่งเข้าถึง จนกว่าทุกๆๆสิ่งจะตรัสรู้ด้วยเช่นเดียวกัน ไม่ว่านั้นจะเป็นอะไรก็ตาม อย่างช่น ก้อนหิน ทั้งนี้เพราะ สิ่งต่างๆๆขึ้นและตกพร้อมๆๆกัน ไม่มีความตื่นของคนๆๆหนึ่งมีแต่ความตื่นของทุกๆๆสิ่ง ดังนั้นจึ่งไม่มีจิตอันรู้ตื่นรู้เบิกบานสำหรับให้คนๆๆหนึ่งหรือสิ่งๆๆหนึ่งลุถึง(เมื่อเข้าใจสิ่งนี้ก็ชื่อว่าได้ลุถึงจิตอันรู้ตื่นรู้เบิกบานแล้วนั้นเอง)
    ที่นี้พระโพธิสัตว์ คือใครนี่คือ คำถามที่เราควรจะถาม ในมิติแรกเราคงจะเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ในนิกายมหายาน เช่น พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระโพธิสัตว์สมัทรภัทร พระโพธิสัตว์มัชชุศรี อันที่จริงพระโพธิสัตว์เหล่านี้ ก็มิได้แต่เพียงสื่อความหมายว่าเป็นอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์ มีอำนาจคอยสอดส่องมนุษย์ บันดาลพร ช่วยเหลือ เป็นที่กราบไหว้ที่อยู่ภายนอกเท่านั้น แต่ยังหมายความถึง บุคคลาธิษฐานแทนคุณสมบัติต่างๆๆของพระธรรมหรือสิ่งที่เป็นหัวใจของพระพุทธเจ้าทั้งปวงนั้นเอง เช่น พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรแทนความเมตตากรุณา พระโพธิสัตว์มัชชุศรีแทนกฏแห่งธรรมที่เป็นมูลฐานของสัตว์(แทนปัญญาญาณ) พระโพธิสัตว์สมัทรภัทรแทนกฏแห่งกรรม นั้นเอง

    ประการต่อมา เราจะมาดูมิติที่สองกัน เรามักเข้าใจว่าพระโพธิสัตว์เป็นอะไรบางอย่างที่อยู่ภายนอก เป็นอะไรที่ห่างไกลจากชีวิต แต่นั้นเป็นสิ่งที่ไร้สาระ พระโพธิสัตว์ไม่ใช่อะไรบางอย่างที่เป็นผู้วิเศษบนสวรรค์ บนสุขาวดีพุทธเกษตร หรือ รูปปั้นตามโรงเจที่คนบอดสอดอ้วนวอนถึง แต่ลอง มองดูในโลกใบนี้ดีๆๆสิแล้วหนุ่มจะเห็นพระโพธิสัตว์ เห็นพระองค์ในวัยรุ่นที่ตั้งใจเรียนเพื่อที่จะได้เป็นที่พึ่งของครอบครัวของพ่อแม่ในยามแก่ชรา เห็นพระองค์ในเด็กผู้หญิงที่จูงคนแก่ข้ามถนน เห็นพระองค์ในเด็กผู้ชายที่ยืนขึ้นในรถเมล์ให้คนแก่นั้ง เห็นพระองค์ในคุณสืบที่ยิ่งตัวตายเพื่อเรียกร้องให้รัฐหยุดบุกรุกป่าสร้างเขื่อนและหาประโยชน์ เห็นพระองค์ในกลุ่มกรีนพีชที่ยอมเอาตัวเอาผูกติดระเบิดเพื่อเรียกร้องจิตสำนึกของนายทุนให้หันกลับมาดูแลโลกและสรรพสัตว์มากกว่านี้ เห็นพระองค์ในภิกษุแลภิกษุณีเวียดนามที่ยอมเผาตัวเองเพื่อเรียกร้องสันติภาพในสงครามเวียดนาม เห็นพระองค์ในภิกษุณีเวียดนามที่ยอมให้อภัยแก็งส์โจรสลัดไทยที่ปล้นพวกเธอข่มขื่นพวกเธอเมื่อครั้งล่องเรือหนีจากเวียดนามในยุคสงคราม เห็นพระองค์ในอาสาสมัครพิทักษ์ป่าที่ยอมปิดทองหลังพระปกป้องป่า เห็นพระองค์ในแพทย์อาสาสมัครที่ยอมไปในที่กันดารเพื่อรักษาผู้คนแม้่จะไม่ได้อะไรตอบแทน เหล่านี้ต่างหากคือพระโพธิสัตว์ เมื่อท่านสมัตรภัทรโพธิสัตว์ตั้งคำถามถาม พระอามิตภะพุทธเจ้า ว่า “พระโพธิสัตว์คือผู้ใด” พระอามิตภะตรัสตอบว่า “ก็เธอไง” นั้นแหละ พระโพธิสัตว์ก็คือเธอไง เข้าใจไหมล่ะหนุ่ม

    ทีนี้เรามาดูคุณสมบัติที่สำคัญ ของมนุษย์กัน เราจะพบว่านั้นก็ความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง พัฒนาตัวเองได้ นี่แลคือความงามของการเกิดเป็นมนุษย์ ในพุทธปรัชญา เราพูดถึงภพทั้งหก อันเกี่ยวโยงต่อคุณลักษณะบางประการ เปรตเกี่ยวเนื่องกับความโลภ เดรัจฉานเกี่ยวเนื่องกับโมหะ สัตว์นรกเกี่ยวเนื่องกับโทสะ อสูรเกี่ยวเนื่องกับความริษยา เทวดาเกี่ยวเนื่องกับจิตที่เป็นสุข(ซึ่งยังคงเป็นสุขที่ยังไม่ใช่ของแท้ยังมีความทุกข์ดำรงอยู่) แลมนุษย์ซึ่งมีคุณลักษณะกลางๆๆนั้นก็คือสามารถที่จะเวียนว่ายไประหว่างภพอื่นๆๆตามแต่ที่จะถูกครอบงำด้วยสิ่งใด เช่นความโลภก็เป็นเปรต ทีนี้ก็ยังหมายถึงผู้ซึ่งมีศักยภาพสูงสุดที่จักไปให้พ้นจากสังสาระเหล่านี้อีกด้วย ดั้งนั้นเราจึ่งถือว่าในหกภพพระพุทธเจ้าจักมีได้ก็แต่เมื่อสัตว์ลงมาจุติสั่งสมบารมีในภูมิมนุษย์เท่านั้น

    ในฐานะมนุษย์ เราย่อมต้องมีวิถีทางอยู่ภายในตัวเองแล้ว ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถยกระดับภาวะภายในและนำความผ่องแผ้วเบิกบานมาสู่ตัวเรา วิถีทางสายนั้นรอคอยให้เราก้าวเดินไปอยู่ตลอดเวลา เรามีจิตใจและมีร่างกาย ทั้งสองสิ่งนี้เป็นสมบัติล้ำค่าของเรา แลเพราะเหตุที่เรามีจิตและร่างกายนี้ เราจึงสามารถเรียนรู้และเข้าใจถึงสัจจะได้ ภาวะการดำรงอยู่นั้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์และทรงคุณค่า แน่นอนว่าเราไม่มีทางรู้ว่าเราจะอยู่ได้นานแค่ไหน ดังนั้นในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราจึ่งควรใช้มันอย่างเต็มเปี่ยมในการพัฒนาศักยภาพความเป็นมนุษย์ และ ตระหนักถึงคุณค่าของมันอย่างเต็มที่ ทีนี้ปัญหานั้นอยู่ที่ว่า ในชีวิตประจำวัน เรามักที่จะพลาดในการเป็นประจักษ์พยานถึงแก่นสารอันดีงามซึ่งมีอยู่ในตัวเรา เมื่อเราได้ยินเสียงเพลงเพราะๆๆ นั้นไก็เท่ากับเรากำลังสดับฟังแก่นแท้อันดีงามของเราเองแล้วล่ะ แล เมื่อเราก้าวออกไปสู่สายฝนเราย่อมรู้สึกสะอาดสดชื่น และเมื่อเราเดินออกจากห้องที่อึดอัดปิดล้อม เราย่อมดื่มด่ำในอากาศสดชื่นที่พรั่งพรูเข้ามา เหตุการณ์เหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นเพียงชั่วเศษเสี้ยววินาที แต่มันล้วนเป็นประสบการณ์ที่แท้จริงของความดีงาม มันอุบัติขึ้นกับเราอยู่ตลอดเวลา แต่เรากลับไม่ใส่ใจ และถึอเอาเองว่ามันเป็นเพียงสิ่งดาษ ๆ น่าเบื่องั้นๆๆแหละ นี่แหละคือปัญหา

    แลสิ่งนี้ก็เลยทำให้เราไม่อาจจะเห็นความดีงามในตัวเราได้ ตลอดจนไม่เคยมองโลกมองผู้คนในฐานะสิ่งที่ดีงามอย่างแท้จริงเลยนอกจากมองว่าเรามันแค่หนอนไร้ค่า ไร้ความหมาย เป็นคนบาป กิเลสหนา มองว่าคนส่วนใหญ่ใจแคบเห็นแก่ตัว เพราะนี่มันกลียุคนี่ เห็นหนังสือพิมพ์ไหม?มีแต่ข่าวฆ่ากันตาย ข่มขื่น ครอบครัวที่แตกร้าว ซุบซิบนินทา รบราฆ่ากัน แล้วเราก็เลยไม่เคยรู้ตัวว่าเรามีเมล็ดพันธ์แห่งความดีงามในตัว เราไม่เชื่อว่าเราจะพัฒนาตนจนกลายมาเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระโพธิสตว์ได้ เรามองว่ามันเป้นเรืท่องวไกลตัว เป็นเรื่องของชาติหน้า แต่เราเคยสังเกตไหมว่า แม้แต่จอมมารร้ายอย่างฮิตเลอร์ สตาลิน หรือ เหมาเซตุง ก็มีช่วงเวลาที่อ่อนโยนต่อผู้อื่น นี่แหละในบางแง่แล้วนี่ก็เป็นการพิสูตรว่าคนเหล่านี้ในบางครั้งบางคราวก็มีจิตแห่งพระโพธิสัตว์สถิตอยู่เช่นกัน เห็นอะไรไหมล่ะ นี่ขนาดจอมมารที่ชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตรื แล้วเราล่ะ เคยคิดไหม?ล่ะ

    ดังนั้น..... มนุษย์ทุกคนจึ่งมีรากฐานแห่งธรรมชาติอันดีงามอยู่ ซึ่งบรรจุไว้ด้วยความอ่อนโยนและความละเอียดอย่างล้นเหลือ ไม่ใช่ชั่วร้ายไปซะหมด ดังนั้นถ้าเราเกิดเผลอคิดไปว่าคนๆๆนั้นเป็นคนชั่วอย่างแน่นอนหาดีไม่ได้เลย ก็เท่ากับบิดเบือนความจริง เมื่อเรามีแดดสว่างสดใสเราจะปฎิเสธมันโดยการกล่าวว่าแดดนั้นเป็นสิ่งเลวได้ละหรือ แลเมื่อเราตระหนักและยอมรับได้ถึงความจริงนี้ได้ สิ่งนี้ก็ย่อมต้องส่งผลถึงตัวเราด้วย มันช่วยให้เรามีกำลังใจในชีวิต ความกรุณา ศรัทธาในผู้คนมากขึ้น และ กระปรี้กระเปร่า จนอาจจะเยียวยาตนเองให้หายจากความรู้สึกกดดันต่างๆ ได้ ถ้าเราตระหนักว่า โลกของเรานี้ดีงาม นี่สำคัญนะ สำหรับผู้เป็นพระโพธิสัตว์นะ
     
  6. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    เป็นเช่นนั้นครับ อนุโมทนาด้วยครับ หวังซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นต้องดูครับว่า เป็นช่วง ต้น กลาง ปลาย เพราะสัจจะธรรมของสิ่งชีวิตในธรรมชาตินั้นจะต้องมีการเริ่มต้นเสมอ เมื่อมีการเริ่มต้นมันจะต้องมี ดีบ้าง ถูกบ้าง ไม่ดีบ้าง ผิดบ้าง สั่งสม และต้องได้เรียนรู้สิ่งเป็นไปทั้งหลายทั้งมวลไห้มีประสบการณ์เรียนรู้ในวัฏฏะ ในที่สุดความพร้อมมาถึงความเสื่อมย่อมไม่มี จึงได้เป็น บรมครูของสรรพสัตว์ในสามโลกได้
     
  7. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405
    เอาในปัจจุบันนะครับ
    องค์นิยตะโพธิสัตว์ทั้ง ๑๐ พระองค์ไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์ครับ
    องค์นิยตะโพธิสัตว์จะมีปกติอุปนิสัย(อัธยาศัย) ๖ ประการคือ

    ๑.เนกขัมมัชฌาสัย หมายถึง มีความพอใจที่จะออกบวชตลอดทุกชาติ รักในเพศบรรพชิตเป็นอย่างยิ่ง

    ๒.วิเวกัชฌาสัย หมายถึง มีความพอใจอยู่ในที่เงียบสงัด วิเวกผู้เดียว ที่ใดสงบสงัดปราศจากความอึกทึกครึกโครม ย่อมพอใจในสถานที่นั้นยิ่งนัก

    ๓.อโลภัชฌาสัย หมายถึง มีความพอใจในการบริจาคทาน หากมีช่องทางใดที่จะบริจาคทานได้แล้ว จะไม่ละเว้นเลย จะทำอย่างเต็มที่เต็มกำลัง และยินดีพอใจที่จะคบหากับบุคคล ผู้ปราศจากความโลภ ไม่มีตระหนี่เป็นยิ่งนัก​

    ๔.อโทสัชฌาสัย หมายถึง มีความพอใจในความไม่โกรธ พยายามหักห้ามความโกรธอยู่ตลอดมา เจริญเมตตาแก่สัตว์ทั้งปวงด้วยความปรารถนาให้เขาพ้นจากทุกข์ภัยในวัฏสงสารเป็นยิ่งนัก

    ๕.อโมหัชฌาสัย หมายถึง มีความพอใจในการทำลายโมหะ พยายามบำเพ็ญภาวนา เพื่อให้เกิดดวงปัญญา พิจารณาเห็นบาปบุญคุณและโทษตามความเป็นจริง และพอใจในการคบหาคนดี มีสติปัญญายิ่งนัก

    ๖.นิสสรณัชฌาสัย หมายถึง มีความพอใจที่จะยกตนออกจากภพ ไม่ยินดีในการท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร โดยมีจิตที่ มุ่งตรงต่อพระนิพพานเพียงอย่างเดียว


     
  8. Nuthsunti

    Nuthsunti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +328
    พระโพธิสัตว์ระดับนิยตโพธิสัตว์ ท่านสร้างบารมีมามากมาย ถึงขั้นได้รับพุทธพยากรแล้วนั้น
    ปัญญา ของท่านมากพอที่จะรู้ว่า หากท่านเป็นต้นเหตุที่ทำให้ สรรพสัตว์จำนวนมากต้องตกนรกแล้ว รับรองว่าท่านไม่ทำเด็ดขาด
    ท่านคงจะยอมตายดีกว่า ที่จะยอมหาปัจจัยในการดำรงชีวิต ที่ได้มาจากการทำให้ สรรพสัตว์จำนวนมากต้องตกนรก
     
  9. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    เพราะอะไรไทยจึงติด Top 5 ของโลกในเรื่องสุรา ทั้งที่เป็นเมืองพุทธมีข้อห้ามเรื่องสุรา ผลประโยชน์มหาศาลทำเอาคนที่คิดว่าดีก็ยังยอมไปเป็นแบ็คให้กิจการที่ทำลายประชาชนมากที่สุด
    ผมต่อสู้เรื่องสุรามานาน แต่ก็สู้ไม่ได้ แม้แต่จะพูดความจริงกับสาธารณชนยังทำไม่ได้เลย ทุกฝ่ายปิดปากเงียบไม่กล้าพูดปัญหาที่แท้จริง ได้แต่เลียบๆเคียงแก้กันที่ปลายเหตุ อย่างที่ว่า เห็นกันว่าดี แต่ความจริงอาจตรงข้าม
    คำตอบของทุกท่านก็ชัดเจนตรงกัน พระโพธิสัตว์จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจการที่เป็นอบายมุขอย่างเด็ดขาด แต่ก็ได้แค่นั้น สุดท้ายก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2012
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    คุณเคยได้ยินเรื่อง นิยตโพธิสัตว์ ลา พุทธภูมิ หรือเปล่า

    คือ มีพระบางท่านท่านบอกว่า พระยามาราธิราช ท้าวมาลัย ก็เรียก
    ที่จะตรัสเป็น พระพุทธเจ้า ชื่อ ธรรมสามีพุทธเจ้า ตอนนี้ ท่านลาพุทธภูมิ
    สำเร็จเป็นอรหันตต์นั่งจุมปุ๊กอยู่ในเมืองแก้วเป็นที่เรียบร้อย

    ถ้า เรื่องนี้เป็นไปตามนั้น อันนี้ก็ไม่แปลก ที่ นิยตโพธิสัตว์ จะลาพุทธภูมิ
    แล้วไปขายเหล้า กระมัง


    ******************

    อีกอย่าง คุณ จขกท ก็คุ้นเคยกับคำสอน ที่ พระอรหันต์บางชื่อ ยังปรากฏและมารับถวายข้าว
    ปลาอาหาร ส้มตำ ไก่ย่างไม่ใช่เหรอ หากคุ้นเคยเรื่องนี้ ก็คงไม่แปลกอีกหละ หากจะมีการลงมา
    ขายสิ่งมอมเมากันยกเมือง เหมือนเรื่อง นางหมาที่โอ้ละพ่อกลายเป็นผลงานศิลปเป็นตัวเท่านั้นเอง

    *********************

    ก็นะ แต่ เรื่อง โลภ โกรธ หลง อันนี้คุณ ถิ่นธรรม สามารถรู้ได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว เรื่องที่ว่า จขกท
    จะเผลอไปกับ โลภ โกรธ หลง นี้คงยาก

    นี่ก็แปลว่า จขกท สามารถพึ่งตัวเองได้ จึงได้แยกแยะได้ว่า นิยตโพธิสัตว์ไม่สมควรจะไปส่งเสริม
    ให้สัตว์ตกอยู่ในข่ายความประมาท เพราะ น้ำเมา เป็นต้น เนาะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  11. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,363
    =====

    ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า
    พระนิยตโพธิสัตว์ นี้ พระพุทธองค์จะทำนายตรัสกล่าวเช่นนี้ได้ นั้นหมายความว่า พระโพธิสัตว์ ผู้นี้ ได้ประกอบกรรมดี สร้างบารมีมามากมายนับไม่ถ้วน จนกำลังของบุญมีกำลังมากมายมหาศาล ที่จะให้ผลให้พระโพธิสัตว์ผู้นี้ได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน อีกประการคือ ด้วยกำลังจิตที่สร้างบารมีมากมาถึงระดับนี้แล้ว จิตมีมโนปณิธาณแรงกล้าเป็นที่สุดดุจพระอาทิตย์สาดส่องแสงยามเที่ยงวัน ย่อมสว่างจ้าไม่อาจเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้

    ดังนั้นความเป็นพระนิยตโพธิสัตว์จึงไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆแต่เกิดขึ้นได้ยากยิ่งนัก จึงจะไปถึงได้ อนึ่งขนาดพระอริยะหลายๆท่านหรือพระอรหันต์บาง
    พระองค์ที่ท่านลาพุทธภูมิ เช่นหลวงปู่มั่นเป็นต้น ท่านยังไม่ใช่พระนิยตโพธิสัตว์เลย แต่ท่านก็สำเร็จอรหันต์ได้ และท่านก็สร้างบารมีมามากเช่นกันครับ หลวงพ่อฤาษี หลวงพ่อปาน หลวงพ่อเดิม หลวงพ่อเงิน เป็นต้น ท่านยังไปไม่ถึงคำว่านิยตโพธิสัตว์เลย แต่บารมีท่านมีมาก ขนาดเราๆยังทำได้ไม่เท่าเสี้ยวหนึ่งที่ท่านสร้างบารมีมา ลองคิดดูนะครับ

    ดังนั้นพระนิยตโพธิสัตว์ ที่ถูกตรัสทำนายแล้วย่อมเป็นผู้ที่ประเสริฐมากกว่าที่เราท่านทั้งหลายคิด จิตใจสูงส่ง มากด้วยบุญญาปารมี ชีวิตที่เหลือคือสร้างแต่ความดีสร้างแต่บารมี การทำชั่ว กิเลสที่เป็นอย่างหยาบ และปานกลางไม่มีแล้ว เหลือกิเลสอย่างละเอียดที่ยังชำระไม่หมดครับ จนกว่าจะตรัสรู้ครับ

    ดังนั้นการค้าขายเหล้า หรืออบายมุขย่อมไม่มีเพราะเป็นบาบเป็นทางเสื่อม เป็นสิ่งที่บ่อนทำลายความดี บารมีย่อมเสื่อมถอยครับ สาธุ
     
  12. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ขออภัยครับ ไม่คุ้นเคยครับ ไม่ทราบรายละเอียดของพระอรหันต์รูปนั้น เรื่องนางหมาก็ไำม่ทราบจริงๆว่าคืออะไร รบกวนอธิบายครับ


    ส่วนเรื่องนิตยโพธิสัตว์นั้น ผมไม่ได้แต่งตั้งและก็ไม่มีพุทธพยากรณ์ใดๆ แต่มีกลุ่มคนพยายามดัน ถึงขนาดว่าระบุลำดับในอนาคตวงศ์ไปเรียบร้อยแล้ว อย่างเว็บนี้ก็ปรากฎบ่อยๆ ซึ่งตอนนี้แค่สู้กับลูกสมุนที่เป็นแค่คนธรรมดายังแย่เลย เจองบโฆษณาประชาสัมพัํ์นธ์ของกลุ่มน้ำเมาก็สู้ไม่ไหวแล้ว ไหนจะอิทธิพลอีก ตอนนี้เป็นแ่ค่บริษัทขั้นเทพ อีกหน่อยยกระดับเป็นน้ำเมาโพธิสัตว์ อะไรจะเหลือ ใครจะกล้าไปสู้กับพวกเขา ตอนนี้ก็ได้แต่แก้ไขที่ปลายเหตุที่ตัวประชาชน แต่ตัวต้นเหตุไม่มีใครกล้าแตะต้อง ถ้าสามารถใช้กฎเกณฑ์เดียวกันกับที่เราจัดการกับกิจการบุหรี่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของต่างชาติมาจัดการกับกิจการสุราซึ่งสร้างความเสียหายร้ายแรงมากกว่ก็คงจะดี แต่ก็ำทำไม่ได้ เพราะอิทธิพลเร้นลับที่ครอบงำสังคมไำทยขัดขวางอยุ่ พวกคุณไม่รู้หรอกว่าโพรงกระต่ายลึกแค่ไหน รับรองว่าลึกเกินกว่าที่จะจินตนาการไปถึง เอาแค่หยาบๆที่มองเห็นได้มีหลักฐานชัดๆก็เกินกว่าที่จะกล่าวแล้ว

    แค่มอมเมาชาตินี้ยังไม่พอ จะมอมเมากันข้ามภพข้ามชาติกันเลยหรือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...