สอบถามผมนอนสมาธิ ปล่อยสบายๆ ว่างๆ อยู่ดีๆ ตัวแข็งขยับไม่ได้ คล้ายๆ จะสั่นสะเทือนทั้งตัว แล้วเห็นทั่วห้องเหมือนลืมตา ทั้งๆ ที่หลับตา แถมได้ยินคนคุยกันเต็มไปหมด แบบนี้มันเกิดอะไรขึ้นครับ หรือผมเป็นบ้าครับ
เป็นดีมาก ๆ ครับ ของคุณเป็นอาการ ก่อน กายจิตจะถอดออกจากกายมนุษย์ แต่ถ้าคุณทำตรงนี้ให้ชำนาญโดยไม่ต้องถอด จะดีมาก ๆ ครับ เพราะจะได้ทั้งเห็นและได้ยิน ในเวลาเดียวกัน
ผมถามอีกอย่างนึงครับ ผีนี่เข้านอกออกใน อยากเดินเข้าบ้านใครก็ได้หรือครับ เพราะจากประสบการณ์กับที่อ่านๆ มาเหมือนอยากจะไปไหนมาไหนก็ไปได้ จะเข้าฝันใครก็ได้ มันไม่มีเขตเหรอครับว่านี่มันบ้านเรา
คุณ จขกท. เป็นเหมือนดิฉันเลยคะ ... แต่ดิฉันไม่สั่นคะ .. ไม่ได้นอนสมาธิด้วย .. เป้นมาตั้งแต่เด็กแล้ว .. อาการของดิฉันจะเป็นแบบ พอหัวถึงหมอนยังไม่หลับตา .. ธรรมดาเราจะมองมุ้งใช่ไหม๊คะ มันจะเหมือนมุ้งมันเข้ามาใกล้ ๆ เรามาก ๆ วืดเข้าออกหลายทีแล้วมันจะเหมือนหมดสติ .. แต่เราจะเหมือนลืมตามองไปรอบ และ ลุกนั้งโดยที่เห็นตัวเองนอนอยู่ และบางครั้งก็ได้มีการพุดคุยกับวิญญาณแถวนั้นบ้าง รึ โดนแกล้งอำบ้างก็มี .. ดิฉันเป้นบ่อยมากจนกระทั้งโต .. แต่ตอนนี้ไม่ค่อยเป็น อาจเป็นเพราะควบคุมสติได้มากขึ้น สวดมนต์ก่อนนอน ตั้งสติก่อนนอนเสมอคะ .. ส่วนคนอื่นไม่รู้เหมือนกันไหม๊
ที่คุณเขียนมานั้น มันเป็นผีในหนังนะครับ จริง ๆ แล้วทั้งหมดมันเป็นเรื่องของ จิต ต่อ จิต มากกว่า มันก็เหมือนกับ คน นั่นแหละ มีอิสระไปไหนมาไหนก็ได้ แต่อย่าเข้าบ้านผิดก็แล้วกัน เจ้าที่เจ้าทางเขาก็มีอยู่เหมือน ๆ กันนั่นแหละครับ
แล้วขยับออกมาพิมพ์ได้ยังไงละครับ ผมว่ามันไม่เป็นปัญหาหรอกครับ มันก็เหมือนนั่งสมาธิแล้วตัวแข็ง มันมีปัญหาตรงไหน เรื่องของร่างกายนี่เราสนใจกันด้วยหรือ ปฏิบัติทางจิต ต้องปล่อยวางเรื่องร่างกาย จิตมีสมาธิดีแล้วก็เป็นแบบนี้แหละครับ กังวลมากก็คลายออกจากสมาธิเอง นี่เขาเรียกว่าหนีของดี
ไม่เป็นไรหรอก..เป็นลักษณะอาการของจิตมีความเป็นทิพย์แบบไม่ได้ตั้งใจครับ... เป็นธรรมดาถ้าเราไม่ทราบ..อาจจะทำให้สงสัยได้บ้างก็มาถามๆในนี้ได้ครับ คุณ ธรรม-ชาติ อธิบายไปแล้วหละครับ.. ส่วนผมขออนุญาติเสริมหรือเพิ่มเติมให้ฟังดังนี้นะครับ.ถือว่าเล่าให้ฟังขำๆแล้วกันนะครับ ลักษณะอาการทางจิตแบบนี้..คุณจะยัง..จะไม่สามารถลุกขึ้นมาเดินหรือว่าถอดกายละเอียดได้นะครับ.. ถ้าจะถอดกายละเอียดต้องไปฝึก.อาปา หรือ สมถะให้ถึงฌาน ๔ หรือ ไปฝึกมโนมยิทธิให้ได้แบบที่เค้าเรียกว่าเต็มกำลัง(กำลังฌาน ๔)ซึ่งแล้วแต่คุณจะชอบแบบไหนนะครับ แล้วถ้าคุณกลับมาอยู่ในท่านอน เหมือนๆเดิม..อารมย์จิตจะดึงลงมาเหมือนๆที่คุณเป็นตอนนี้.และจะสามารถ.เห็นร่างกายตัวเองนอนอยู่ได้ครับ.ตัวคุณก็จะเดินไปไหน..มาไหน..ใกล้ๆบริเวณที่คุณนอนได้ .หลักๆคือ ถ้าคุณสามารถอยู่ ร่วมในเหตุการณ์นั่นๆได้.ไม่ใช่แค่ไปดูเฉยๆนะครับ..ถึงจะเรียกว่า กำลังฌาน ๔ หรือแบบเต็มกำลังครับ..เล่าเพื่อไว้ในอนาคตหากคุณ สนใจนะครับ.. ส่วนท่านอนคุณสามารถทำให้ถึงกำลังฌาน ๔ ได้เหมือนกันครับ..ถ้าคุณสามารถสังเกตุระบบหายใจของท่านั่งได้ .แล้วคุณลองไปวิเคราะห์ในท่านอนดูว่าคุณจะวางมือไว้ตรงไหน. แล้วระบบหายใจยังเหมือนกับท่านั่งอยู่.ไม่ใช่แบบที่วางไว้ข้างๆตัวเหมือนที่ทำปัจจุบันนะครับ.. ที่กล่าวมาก็ถือว่าเป็นส่วนเสริมนะครับ..เพื่ออนาคตอันใกล้ของคุณเร็วๆนี้ครับ..
พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย วิญญานเป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย หมู่แห่งวิญญานหกเหล่านี้คือ วิญญานทางตา วิญญานทางหู วิญญานทางจมูก วิญญานทางลิ้น วิญญานทางกาย และวิญญานทางใจ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า วิญญาน---ขนธ.สํ.17/75/117..............-----------------------พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย คนทั่วไป กล่าวกันว่า วิญญาน เพราะอาศัยความหมายอะไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย เพราะกริยาที่รู้แจ้ง(ต่ออารมณ์ที่มากระทบ)ได้มีอยู่ ในสิ่งนั้น(เช่นนี้แล) ดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกว่า วิญญาน สิ่งนั้นย่อมรู้แจ้งซึ่งอะไร สิ่งนั้น ย่่อมรู้แจ้ง ซึ่งความเปรี้ยวบ้าง ย่อมรู้แจ้งซึ่งความขมบ้าง ย่อมรู้แจ้งซึ่งความเผ็ดร้อนด้วย ย่อมรู้แจ้งวึ่งความหวานบ้าง ย่อมรู้แจ้งซึ่งความขื่นบ้าง ย่อมรู้แจ้งซึ่งความไม่ขื่นบ้าง ย่อมรู้แจ้งซึ่งความเค็มบ้าง ย่อมรู้แจ้งความไม่เค็มบ้าง ภิกษุทั้งหลายเพราะกริยาที่รู้แจ้ง ได้มีอยู่ในสิ่งนั้น ดังนั้นสิ่งนั้น จึงถูกเรียกว่า วิญญาน---ขนธ.สํ.17/106/159..
พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย นักแสดงกลก็ตาม ลูกมือของนักแสดงกลก็ตาม แสดงกลอยู่ที่ทางใหญ่สี่แยก บุรุษผู้มีจักษุ เห็นกลนั้น ก็เพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคาย เมื่อบุรุษผู้นั้นเห็นอยู่ เพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคายอยู่ เมื่อบุรุษผู้นั้นเห้นอยู่เพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคายอยู่ กลนั้นย่อมปรากฎเป็นของว่างเปล่า และปรากฎเป็นของหาแก่นสารไม่ได้ไป ภิกษุทั้งหลาย ก็แก่นสารในกลนั้น จะพึงมีได้อย่างไร อุปมานี้ฉันใด........ภิกษุทั้งหลาย อุปไมยก็ฉันนั้น คือ วิญญาน ชนิดใดชนิดหนึ่ง มีอยู่จะเป็นอดีต อนาคต หือปัจจุบันก็ตาม เป้นภายในหรือภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือปราณีตก็ตาม มีในที่ใกลหรือที่ใกล้ก็ตาม ภิกษุสังเกตเห็น วิญญานนั้น ย่อมเพ่งพิจารณาโดยแยบคายอยู่ เมื่อภิกษุนั้นสังเกตเห็นอยู่ เพ่งพิจารณาโดยแยบคายอยู่ วิญญานนั้น ย่อมปรากฎเป็นของว่างเปล่า และปรากฎเป้นของหาแก่นสารมิได้ไป ภิกษุทั้งหลาย ก็แก่นสารในวิญญานนั้น จะพึงมีได้อย่างไร-----ขนธ.สํ.17/173/246....
พี่ๆครับ แล้วเวลานอนภวนาแต่รู้สึกว่าตัวเราหายไปนิมันคืออะไรหรอครับ คือมันหายไปหมดเลย พอลดกำลังสมาธิก็จะค่อยๆกลับมา บางที เริ่มๆจับคำภวานา แขนเริ่มหายก่อนไม่ถึงวิหายทั้งตัวเลยอะครับ
ไม่ทราบขอรับ เพราะอาการแบบที่คุณกล่าวมานั้น แสดงว่าคุณไม่ได้ทำสมาธิแต่คุณฟุ้งซ่าน โดยที่คุณไม่รู้ตัว จึงทำให้เกิดอาการอย่างที่คุณเล่ามา เพราะถ้าคุณมีสมาธิ อาการเหล่านั้นจะไม่เกิด เนื่องจากคุณสามารถควบคุมสติสัมปชัญญะของตัวเองได้เพราะคุณมีสมาธิ
ถ้าเป็นของผมก็มือนึงวางไว้หน้าอก อีกมือวางไว้ที่ท้อง อันนี้ถูกไหมอะครับ รู้สึกว่ามันนิ่ง แล้วเคยแบบขยับไม่ได้ แล้วพอฝืนลุกแรงๆ เหมือนตัวในมันหลุดมาก่อน แล้วตัวนอกค่อยตามขึ้นมา ตอนตัวในหลุดมา ภาพข้างหน้าชัดเจนเหมือนลืมตาดู อันนี้มันหลุดออกมาจริงๆไหมอะครับ ขอถามอีกนิดนะครับ อันนี้เป็นมาตั่งนานพึ่งเคยลองทำเมื่อ สองสามวันก่อน คือจับลมหายใจตอนนอนมันขยับไม่ได้ รู้สึกตัวแต่ตื่นไม่ได้ เลยลองอธิษฐานว่าขอให้กายทิพย์รวมตัวแล้วมาลอยอยู่ตรงหน้าดู เห็นตัวเองลอยอยู่บนกายเนื้อ แล้วพุ่งจิตกลับเข้ามา ทีนี้เหมือนมีอะไรกระแทกเข้ามาในตัวเอง ตื่นได้เลยที่นี้ ไม่ทราบว่าอารมณ์ตรงนี้ผมหลอนไปเองหรือเปล่าครับ ขอความกรุณาด้วยครับ
ของคุณ mobilelizard ฝึกไปตามที่คุณ nopphakan แนะเอาไว้นั่นแหละครับ น่าจะถูกกับจริตคุณได้ดี และไปได้ไวขึ้น ยามใดที่ ตัวคุณเดินไปไหน..มาไหน..ใกล้ๆบริเวณที่คุณนอนได้ เมื่อไรแล้ว ก็ลองเล่นเสริม ๆ แบบ ลอยขึ้นข้างบนบ้าง ข้างล่างบ้าง ทางซ้าย ขวา หน้า หลัง บ้างจนพอชำนาญแล้วจึงฝึกชำแรกผนังห้องของคุณดูบ้างนะครับ แต่อย่าเพิ่งออกไปนอกบริเวณบ้านก็แล้วกัน ผมเล่นกับมันอยู่ 2 เดือนเงียบ ๆ คนเดียว มันส์...ดีจิง ๆ จุ๊ๆๆ... นานมาแล้ว พอเข้าใจเรื่อง ผีนอกหนัง แล้วก็จะวางแล้วไปสู่ระดับสูงขึ้นไปได้เองแหละครับ (deejai) ของคุณ phoohats ในคำถามที่ว่า "ไม่ทราบว่าอารมณ์ตรงนี้ผมหลอนไปเองหรือเปล่าครับ" ผมแนะนำว่า "ให้ทดสอบ" ในการ หลอน ตัวเองในอิริยาบทอื่นดูนะครับ ให้ทดสอบหลอนตัวเองให้เต็มแรงเลย ผมรับประกันได้ว่า "หลอนไม่ออก" หรอกครับ เรื่องแบบนี้ จิต+สติ+สมาธิ ต้องลงตัวในระดับชั้นนี้เท่านั้น ปรากฏการณ์นี้จึงเกิดขึ้นได้ เมื่อคุณรู้ "เหตุ" แห่งการกระทำได้จริง "ผล" ย่อมตามมาด้วยความเป็นจริงเช่นกัน แต่ยามใดที่คุณ "ไม่รู้เหตุ" ผลลัพธ์ย่อมเป็นการ "บังเอิญ" นั่นเอง จนกว่า "ความสิ้นสงสัยจะหมดไป" นะครับ แนะนำให้คุณ เดินไปพร้อม ๆ กันกับคุณ mobilelizard นะครับ เพราะรู้สึกว่ามาในเรื่องเดียวกันทั้งคู่ ตาม ๆ คุณ nopphakan ไว้นะครับ แล้วจะไปได้เองแหละ