การปฏิบัติสมาธิเพื่อสุขภาพกายและจิตให้เหนือธรรมดาตามในทางพุทธศาสนา

สาธุครับพี่ เล่าซะเห็นภาพเลย ^____^

 

โมทนาบุญด้วยครับ สาธุ

 

พี่หมูน้องมีเรื่องรบกวน อยากให้พี่แนะนำ

หากอยู่ระหว่าง โลกุตรธรรม กับ โลกียธรรม

ต้องทำอย่างไรต่อไปครับ

 

อย่างน้อยเราก็ มีฤิทธิที่เรารู้เราเห็น เป็นเครื่องยืนยัน ว่าสิ่งนี้มีจริง
พระพุทธเจ้ามีจริง อะไรจะเป็นเครื่องพิสูจน์ บางครั้งมันก็เป็นปัจจะตัง

อย่างเรื่องของพี่ เรื่องพระบรมสารีริกธาตุ พี่มีความเชื้อว่ามีจริง พี่มีแต่ได้จากผู้อื่นมา และนำมาบูชา
ไม่เคยประจักษ์แจ้งด้วยตัวเอง วันหนึ่งพี่ได้พระบรมสารีริกธาตุจากพระป่ามา 3 องค์
แล้วเก็บไว้บูชาในผอบแก้วอย่างดีที่เป็นเกลียวหมุน
ห้องพระปิดหน้าต่างไว้ไม่เคยเปิด

วันหนึ่งขณะนั่งสมาธิ ได้ยินเสียงเปรี้ยง ดังมากแต่ไม่รู้ว่าอะไร
หลายวันแฟนพี่บอกว่าให้มาดู เห็นผอบเอียง พี่ก็เลยเข้าไปดู

มันเกิดปิติอย่างมาก พระบรมสารีริกธาตุที่เดิมมี เพียง 3 องค์
ตอนนี้เพิ่มเป็น ร้อยๆองค์ สันฐานกลม หลากสี สวยงามมาก เป็นที่น่าอัศจรรย์
ว่าเข้ามาได้อย่างไรในผอบ ตัวผอบก็ปิดแน่น ห้องพระก็ปิด
สิ่งนี้ ย่อมเป็นเครื่องยื่นยัน ในเรื่องของอจินไตย ของธาตุสี่ ของธรรมธาตุ
ของพระอริยะ ของพระพุทธเจ้า
ทำให้ เรายิ่งเชื่อมั่น และเคารพในพระพุทธเจ้า อย่างไม่มีข้อสงสัย

ถ้าเราเชื้อพระพุทธเจ้า เราก็ต้อง เชื้อว่า สวรรค์ นรก มีจริง เทพ พรม เทวดา
เปรต อสุรกาย มีจริง
ฤิทธิ อภิญญามีจริง
เพราะเป็นสิ่งพระพุทธองค์ ทรงตรัสไว้

หากอยู่ระหว่าง โลกุตรธรรม กับ โลกียธรรม
สิ่งที่ต้องทำ ก็คือการบ่มอินทรีย์ ให้แก่กล้า
ศีลของฆราวาส ก็คือศีลห้า ศีลของเทวดา ก็คือ ละอายชั่วกลัวบาป
คุณธรรมที่ ยิ่งๆขึ้นไป ก็คือ อภัยทาน จาคะ พรมวิหารสี่ เป็นต้น
พยายาม ปิดหนทางของ อกุศลกรรม ทั้ง ทางกาย วาจา ใจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในเบื้องต้น
กรรมทั้งหลาย ทั้งปวงในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เกิดจากการกระทำของเรา เป็นส่วนใหญ่
โลภ โกรธ หลง เป็นตัวก่อให้เกิดกรรม ที่มาจาก กาย วาจา ใจ ของเรา ทั้งสิ้น

เพิ่ม กุศลกรรม ที่มีอยู่แล้ว ให้ยิ่งๆ ขึ้น เป็นการบ่มอินทรีย์ และคุณธรรม ให้แก่กล้าขึ้น

สิ่งต่อไปที่เราต้องดำเนินต่อไป ก็คือมรรค
มี ทั้ง อานาปานสติ ที่พระพุทธองค์ยกย่อง
มีสติปัสฐานสี่ โพชงค์ 7 เป็นต้น ให้เราได้เดิน ในมรรคา นี้
เพื่อเข้าสู่ โลกุตรธรรม
การบ่มอินทรีย์ และคุณธรรม มันก็เหมือนเราปลูกมะม่วง ตั้งแต่ต้น เล็กๆ
มรรควิธี ก็เหมือนการ ดูแลรักษา ใส่ปุ๋ย พรวนดิน รดน้ำ
รอให้ต้นมะม่วงโตเต็มที่ พร้อมออกผล มันก็คือการบ่มอินทรีย์ให้แก่กล้า

ผลมะม่วงที่สุก หอมหวาม ก็คือปัญญาญาน ที่เกิดขึ้น
ปัญญาญาน ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเรายังเป็นมะม่วง ต้นอ่อนๆ ขาดการดู และรักษา
เอาแต่ไหว้วอน แบมือขอ ไม่รู้จักรักตัวเอง เอาแต่ ทำลาย ทำร้ายตัวเอง ไปวันๆ
ทั้ง ทางกาย วาจา ใจ

ศีล สมาธิ ปัญญา จึงมีความสำคัญ ต่อเราที่ จะต้องพากเพียร
อดทน สร้างเสริม ให้สูงขึ้น
สิ่งหนึ่งที่ต้องตระหนัก ก็คือ อย่าอยาก
ยิ่งอยาก ยิ่งยาก ยิ่งอด ที่จะได้ลิ้มรสมะม่วง

 

วลี นี้สำหรับ ท่านผู้ใจเย็นทั้งหลาย มารีบๆ ขวนขวาย กันเถอะ
อยากให้ บู้ทเปิดเร็ว พวกเราจะได้ขยันกันเสียที ไม่ไช่ทำๆ หยุดๆ
หากได้อาจารย์ มาคอยควบคลุมดูแล
ความทะยานอยากดึ จะได้บังเกิดขึ้น
กับพวกเราเสียที

 

วลีนี้ โดนเต็มๆเลย ทำๆ หยุดๆ

พี่หมูครับ ที่ให้มีสติกับชีวิตประจำวันนี้ ช่วยยกตัวอย่างให้ผมได้มั้ยครับ

จะได้ไปปฏิบัติถูกครับผม

 

อยากตอบให้ขอตอบเลยแล้วกันเพราะเห็นมานานแล้วเกิดความรู้สึกไม่อยากให้เสียเวลา

ข้อแรกคือสำรวจสภาวะทางกายทางแวดล้อมว่าเรามีภาระทางโลกหรืออะไรเกี่ยวพันตัวมากมายขนาดไหน

จากนั้นวางแนวทางในการปฏิบัติและเป้าหมายเราต้องมีชัดเจนว่าอย่างไร อย่างที่บอกว่า ต้องดูเหตุและผล

ความจำเป็นและอะไรต่างๆ ทั้ง 2 อย่างมีดีทั้งคู่แต่ต้องหล่อเลี้ยงด้วยศีลที่แปลว่าปรกติ

ทำทุกอย่างให้เป็นปรกติ และต้องรู้ว่าในขณะนี้เราอยู่ในฐานะอะไรซึ่งสำคัญมาก เพราะถ้าเราอยู่ในฐานนะลูกเราทำตัวอย่างไร

ฐานะพ่อทำตัวอย่างไร ฐานะบ่งบอกความรับผิดชอบต่างๆมากมาย นี่ก็แสดงให้เห็นถึงกรรมเก่า

ในที่นี้หมายถึงเหตุที่ทำให้เราเกิดจุติที่ไหน ทำไมไม่เกิดมาพร้อมหรือมีมากกว่านี้ซึ่งเราเลื่อกไม่ได้แต่เราเลือกที่จะเดินได้

ถ้ายังต้องอยู่ในโลกที่เป็นมนุษย์ก็ควรเป็นมนุษย์และรักษาหน้าที่ โดยมีศีลเป็นปรกติและอบรมณืจิตเราให้น้อมสู่เป้าหมายที่เราวางไว้

เพราะหน้าที่เรามี และต้องทำเพราะเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้ว

 

โดนเต็มๆเลยเรา
ถูกต้องอย่างพี่หมูว่าทุกประการค่า

 

ทำ พูด คิด ที่เป็นกุศล

การกระทำใดๆ ก่อนกระทำต้องมีสติ ในการกระทำ ความผิดพลาด จะน้อย

คำพูด ก่อนพูด ต้องมีสติระวัง ว่าคำพูดนั้น มีประโยชน์ หรือไม่มีประโยชน์
ส่อเสียด อิจฉา ไม่เป็นมงคลไม่ควรพูด

คิด ต้องมีสติกำกับ ความคิดที่เป็นอกุศลทั้งปวง ต้องละให้ได้

 

รับทราบครับผม ขอบคุณครับ

 

สาธุ ครับอาจารย์

 

ขอบคุณครับ อาจารย์

ถึงเวลาของผมแล้ว

 

จะไปนิพพาน สัมผัสหรือยัง แจ้งหรือยัง ว่ามันเป็นยังไง

จะฝึกก็ส่งการบ้าน ผมจะตอบให้ ไม่ตื้อแล้วนะครับ

เมื่อก่อนมีอาจารย์บาสคนเดียว ตอนนี้มีถึงสามคน พร้อมตอบ

ตามใจแล้วนะครับ

 

เป็นนักเรียนไม่เก่ง แถมขี้เกียจ เจอครูใหม่ไฟแรงแบบนี้ เลยต้องพยายาม
เพิ่มรอบความขยันนั่งครั้งเดียวไ่ม่ได้ก็นั่ง2รอบ

รอบแรกก่อนนอนอยู่ๆก็เด้งออกจากสมาธิ ไอ้เจ้าความคิดหนึ่งบอกว่าพอเถอะ
ยังไม่ได้เถียงอะไร เด้งออกมาเลย ไม่ทันได้พิจารณาใดๆ มึนหัวตึ้บทันที
เดี๋ยวไปหานาฬิกาจับเวลาก่อน หายไปไหนไม่รู้

รอบดึก ตื่นมานั่งใหม่ ตอนแรกเหมือนจะดี แต่สักพัก ฟุ้งสุดจะฟุ้ง
โน่นย้อนไปถึงตอนตัวเองเป็นนักเรียนประถม จำท่าทางเพื่อนหันหลัง
เขียนกระดานได้เลย

เดี๋ยวมาส่งการบ้านเรื่อยๆนะคะ แต่ก่อนมีปัญหาเรื่องง่วง ตอนนี้ฟุ้งจัด
เริ่มบท1 นับใหม่ดีมั้ยคะ จะได้อยู่กับร่องกับรอย

ขอบคุณจ้ะน้องภูมิที่เข้ามาเร่ง เติมเชื้อขยันให้นักเรียนที่เหลือ(ขอ)(deejai)

 

มาส่งต่อบ้าง

ชีวิตประจำวันก็พยายามมีสติมากขึ้น วันนี้ก็ได้เห็นว่าตัวเองนั้นฟุ้งแค่ไหน

นั่งวันนี้ ไม่ค่อยได้คิดนู่นนี่มากเท่าไหร่ นั่งนิ่งๆมีกระตุกบ้างเป็นบางครั้ง

 

นั่งแบบนี้ล่ะครับ ดู รู้ ละวาง

เดี๋ยวจะเริ่มชิน แนะนำก่อนนั่งสวดมนต์ บทที่ชอบ

สวดจนรู้สึกว่าควรหยุด แล้วก็นั่งสมาธิต่อครับ

 

พูดน้อยลงหน่อยนะคับ ช่วงนี้

อยากบอกเอิทว่า กายยังไม่ใช่ของเราเลย

นับประสาอะไรกับวัตถุ สิ่งของเหล่านั้น

 

เมื่อเห็นสัจธรรทมามาก จึงเกิดศรัทธา

เมื่อมีศรัทธา จึงมีศีล

เมื่อมีศีล จึงเกิดสมาธิ

เมื่อมีสมาธิ จึงเกิดปัญญา

เมื่อเกิดปัญญา จึงปล่อยวาง

ประมาณนี้แล

 

เกิดแรงขยันขึ้นนิดนึง เมื่อก่อนโน้นจะง่วงมาก ตอนนี้อยู่ไทยเวลากลับกัน เวลานั่งก่อนนอนจึงไม่ง่วง ความฟุ้งมากมายเหมือนกายกับใจมันก็ต่างคนต่างทำงาน กายก็ยังคงนับและพุทโธไม่มีหลงแต่ใจก็ยังคิดไปไกลหลายอย่างก็ดึงกลับเป็นพักๆ เวลานั่งรถไฟฟ้าก็พิจารณากายไม่เที่ยงบ้างลืมบ้าง สรุปยังบท1อยู่แบบต้องต่อสู้กับความขี้เกียจ ได้แค่อย่างละ 30ทุกคืนค่ะ ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านค่ะ

 

เคยฝึกมาแล้ว กลับมาอีกครั้งง่ายนิดเดียวครับ

ผ่านโลกมามากมายขนาดนี้ ไม่ยากครับ

ค่อยๆ ทำเรื่อยๆครับ