จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=kXXGakZlo_U]244_เบียร์ วรวุธ_ผู้ชายรักดี - YouTube[/ame]​
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=poM5sYfN00s]สิ่งที่ดีที่สุด...คือการได้พบเธอ.wmv - YouTube[/ame]​
    ความในใจพี่ภู..
    ครูเพ็ญนี่ ท่านน่ารักสำหรับพี่ภูและทุกท่านเสมอ
    พี่ภูทราบดีนะว่า ท่านมีกำลังมากหาประมาณมิได้
    แต่ถ้าพี่ภูไม่มีท่านนี้ ก็ไม่มีพี่ภูในวันนี้
    พี่ภูขอจดจำสิ่งที่ดีๆเสมอมา
    ตราบใดพี่ภูยังมีลมหายใจอยู่ เราก็คงได้พบเจอกันและได้ตอบแทนกัน
    กระทู้นี้รักๆกัน เมตตาๆกัน ช่วยเหลือหรือสงเคราะห์ๆกันให้มากๆนะ

    ขอให้พี่ภูเหนื่อยคนเดียวจะได้ไหม๊ พวกเราอย่าเหนื่อยกันเลยนะ
    หยุดเถิด หันมาดูจิตตนเอง มาทำให้จิตตนเองนิ่งเสียก่อน
    อย่างอื่นค่อยว่ากัน ไม่มีอะไรยาก
    การปฎิบัติที่ว่ายากนั้น ก็คือ การทำจิตตนเองให้นิ่ง นี่แหล่ะยาก
    แต่ที่นี่ จิตเกาะพระช่วยท่านได้ ขอเพียงให้ท่านผู้ปฎิบัติทุกคนตั้งใจจริง
    และทำตามที่ครูแนะนำให้มากที่สุด อย่าไปยึดติดกับครูคนใดคนหนึ่ง
    ครูที่นี่น่ารัก+ใจดีทุกคน
    อาจจะมีครูบางท่านที่อ่อนล้า ท่านอาจจะดุว่า แต่ขอให้ดูที่เจตนา
    ว่าท่านต้องการให้เราดี ต่างหาก
    เหมือนคุณพ่อ คุณแม่ ที่คอยสอน แต่เราเข้าใจว่าท่านดุ ท่านด่า ท่านว่า
    แต่หารู้ไม่ พอเราโตขึ้นมา เราจึงรู้ว่า ท่านนั้นหวังดีกับเราแค่ไหน
    เพียงตอนนี้เราไม่ทราบเท่านั้นเอง

    พี่ภู กล่าวขอขมากรรม หรือ ล่วงเกินจิตของผู้รับ ที่มิได้เจตนา แทนครูเพ็ญและครูทุกๆท่าน มา ณ ที่นี้ด้วย
    แต่หากไม่พอใจหรือไม่สบายใจ พี่ภูขอน้อมรับผิดแต่ผู้เดียว
    ถึงบางครั้งเราสะอาดคนเดียวไม่ได้ ถ้าตราบใดพวกเรายังสกปรกอยู่
    พี่ภูยอมให้กายตนเองสกปรก ถ้าลงไปรับพวกท่าน ที่ยังยืนอยู่กับความสกปรกนั้น
    นั่นก็คือ กิเลส
    รู้นะว่าการลงไปนั้น มันต้องแป๊ะเปื้อน ในบางครั้งต้องโดนหนามขีดข่วนบ้าง
    ยอมเจ็บปวดบ้าง ก็ไม่เป็นไร
    เพราะร่างกายนี้ ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ของข้า
    ร่างกายนี้สละไปแล้ว เพื่อพระพุทธศาสนา
    ขอประทานโทษ ที่กล่าวกับพวกเราเช่นนี้

    เพราะต่อไปนี้ ถ้าข้าฯและชาวคณะจิตเกาะพระ ทำใหเพวกท่านไม่สบายใจ หรือ ล่วงเกินพวกท่าน
    ข้าฯขอยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
    ขอขอบพระคุณที่ให้โอกาสพวกเราได้มาทำงานตรงนี้ แต่ถ้าไม่มีพวกท่าน
    พวกเราก็ไม่มีทางจะเป็นวันนี้
    วันที่เราพบกันและได้มอบสิ่งที่ดีที่สุด ให้แก่กัน
    นั่นก็คือ พวกเราจะรักกัน เมตตากัน ช่วยเหลือกัน
    และจูงมือน้อยๆ เกี่ยวก้อย พากันขึ้นข้างบน พระนิพพาน

    ปล.ขอให้จิตบุญทุกท่าน มาร่วมใจกันอีกครั้ง
    เหมือนวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ "วันสัมมนาจิตเกาะพระสัญญจร"
    เพื่อท่านพ่อ เพื่อพวกเราทุกๆท่าน
    ขอขอบพระคุณมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 ธันวาคม 2012
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 45 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 40 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    ภูทยานฌาน2, โอมธนกฤต, มาลินี UK, natthapatpun, Golden Sky

    จิตบุญที่แอบหนีเข้าป่า
    ได้โปรดวางอาวุธกันซะ ทางบ้าน(กระทู้ให้อภัยหมดแล้ว)
    มารัก มาร่วมใจช่วยงานท่านพ่อและครูบาอาจารย์ของพวกเราต่อไป
    แต่สำหรับผู้ที่อินทีย์ยังไม่แก่กล้า ก็ไม่เป็นไร
    ซุ่มอยู่ในป่า หรือ ปลีกวิเวกกันต่อไป

    แต่เมื่อไหร่ อินทีย์แก่กล้า ค่อยออกมาใหม่นะ
    เพราะตราบใด จิตบุญยังมีขันธ์ ๕ หนีไม่พ้น คำว่า โลกธรรม ๘
    หนีไม่พ้นกิเลตนเอง หรือ กิเลสผู้อื่น
    แต่ถ้าอินทรีย์ของพวกเราแก่กล้าแล้ว ย่อมเป็นสี ที่ทนแดด ทนฝน
    ทนต่อขัดสน(ยากจน) ทนต่อโดนเสียดสี(โดนตำหนิ โดนด่าว่าร้ายเสียๆหายๆได้)
    ถ้าจิตบุญลืมความเป็นคราบมนุษย์ หรือ ละขันธ์ ๕ ได้เด็ดขาดจริงๆ
    แล้วจะไม่มีความรู้สึกใด
    จิตจะได้เข้าอนัตตาไวๆ ความว่างไวๆ วิมุตติสุขไวๆ
    เพราะฉะนั้น คำว่า พระนิพพาน ก็จะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป

    ขอให้จิตบุญ เมื่อมีสิ่งมากระทบ ก่อนอื่นไม่ต้องไปดูสิ่งใด หรือใครๆ
    ขอให้รีบกลับมาดูที่จิตตนเองก่อนว่า ผลที่ถูกกระทบจิตนั้น
    มันเป็นเช่นไร ธรรมะของเหล่าจิตบุญโดยแท้จริง ก็อยู่ตรงนี้แหล่ะ
    เพราะไม่มีอะไรจะมาบอกท่านเลยว่า สอบผ่านแล้ว
    ข้อสอบและต้องทำให้ผ่าน ก็อยู่ที่ตัวจิตบุญทั้งนั้นเลย
    มิได้อยู่ที่พี่ภูหรือครูเพ็ญ หรือสิ่งที่มากระทบจิตตนเองเลย
    ผู้ปฎิบัติท่านอื่นๆก็เหมือน สิ่งที่มากระทบจิตนั้น จึงเปรียบเสมือนครูใหญ่ที่แท้จริงของผู้ปฎิบัติ
    หรือ ข้อสอบของผู้ปฎิบัติดีๆนี่เอง

    คำว่า เราเป็น"คนดี" นั้น ใครจะพูดไม่ได้ นอกจากผู้อื่น เท่านั้น
    มิใช่หน้าที่ตนเองพูดว่า เราเป็นคนดี

    ใครอย่าไปคาดหวังกับพี่ภูมากนักนะ เพราะพี่ภูก็มีกายหยาบเหมือนพวกท่านเราทุกประการ
    พี่ภูไม่ใช่เทวดาหรือพรหมที่ไหนนะ พี่ภูก็ยังมีความเลวอยู่ไม่น้อย
    แต่พยายามจะเอาความเลวของตนเอง ออกให้มากที่สุด
    พวกเราก็เหมือนกัน พยายามเอางูออกจากบ้านตนเอง แต่อย่าพยายามไปเอาออกจากป่าเลย เพราะมันจะยุ่งกันไปใหญ่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 ธันวาคม 2012
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คนเราไม่มีใครมาสอนกันได้
    แม้นกระทั่งตัวของเราเองก็ตาม ยังสอนตนเองไม่ได้เลย

    มีสิ่งเดียวที่พอจะสอนตนเองได้ หรือ เปลี่ยนตนเองให้ดีได้
    นั่นก็คือ พระกรรมฐาน ๔๐ กอง หรือ การเจริญสติภาวนา
    หรือจนกว่าตนเองจะพัฒนาจิตใจของตนเองให้มี ปัญญา
    ปัญญาที่ว่ามานี้ ก็ได้มาจาก การนำจิตมาเดินตามรอยอริยมรรค
    หรือ เจริญตามมรรคมีองค์ ๘ (ปฎิบัติตามศีล สมาธิ ปัญญา)
    เท่านั้น

    การปฎิบัติธรรมนั้น ทุกท่านจะต้องเป็นผู้รักษาศีลของตนเองให้ได้ก่อน
    ศีลเปรียบเสมือนรากฐานของโครงสร้าง
    ศีลเปรียบเสมือนขั้นบันไดบ้านที่จะนำเราขึ้นไปยังชั้นต่างๆ
    ศีลเปรียบเสมือนลูกทอย คือไม้แหลมสำหรับตอกต้นไม้เพื่อเหยียบขึ้นไป
    อะไรประมาณนั้น

    ขั้นต่อไปเราถึงมาทำภาวนา
    การทำภาวนา การเจริญสติภาวนา หรือ การสร้างสติแบบจิตเกาะพระ
    ก็คือ การระลึกหรือนึกถึงภาพพระในใจ
    แต่ใช้จิตจำ แทนสมองของตนเองนะ
    แต่ตอนแรกๆ เราหรือสติเราหรือสมองเราช่วยจำไปก่อน
    หรือเรียกว่า นึกถึงพระบ่อยๆ ถี่ๆ ทำไปจนกว่า จิตเขาจะเกิดปิติก็เป็นอันใช้ได้

    จิตเกาะพระจึงจะเริ่มต้นนับหนึ่ง
    นับสองก็คือ จิตเริ่มทรงฌานไปตามลำดับ
    นับสามก็คือ จิตกำลังเข้าสู่วิปัสสนา และไปจนกว่าจิตจะยก
    ถามว่าใครรู้ ตอบว่า ผู้ปฎิบัติเท่านั้นถึงจะรู้อารมณ์ของจิตตนเอง
    นี่ไง๊ เวลาพวกเราเรียนจิตเกาะพระกัน ถึงบอกว่าจะต้องมีครูคอยสอบอารมณ์ให้กันผู้ปฎิบัติ
    ทำเองก็ได้ แต่ถ้าคุณคิดว่า คุณคือสัพพัญญู (ผู้รู้ทุกอย่างได้เอง)

    เราจะเลิกสงสัยได้ ก็ต่อเมื่อจิตนิ่ง+ฌาน+ปัญญาญาณ = คือเป็นผู้รู้ซะเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 ธันวาคม 2012
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=JDjnLz_lv3I]ดา เอ็นโดฟิน การเดินทางที่แสนพิเศษ - YouTube[/ame]​
    สำหรับจิตบุญที่มีบางสิ่ง บางอย่างที่ไม่เข้าใจ
    ทำใจยอมรับมันให้ได้
    เพราะความรู้สึกเล็กๆ ที่ท่านกำลังเผชิญอยู่นั้น ก็คือ ส่วนหนึ่งของจิต ดวงจิตของตนเอง
    อย่าไปฝืน อย่าไปบังคับ อย่าไปแสดงความรังเกียจ เดียจฉัน อย่าไปรำคาญ ความรู้สึกตรงนั้น
    แต่เราต้องใช้ความรัก ความเมตตา และความเข้าใจ เท่านั้น

    แต่ถ้าพวกเราทำได้แบบนั้น จิตเราก็จะเบา+สบาย= พลังจิตก็จะกลับคืนมาใหม่ในที่สุดได้

    ตรงนี้ขอให้จิตบุญทั้งหลาย จงเข้าใจซะใหม่ว่า
    เรากำลังได้รับผลตามกฎแห่งกรรม
    อย่าไปใช้ธรรมะเข้าข่ม อย่าไปใช้ คำว่า ปล่อยวางเสีย
    เพราะมันเลยธรรมะไปแล้ว ก็คือ กฎแห่งกรรม
    เพราะฉะนั้น อย่าไปพูดกับจิตบุญ คำว่า ปล่อยวางมันเสียให้ยาก
    เพราะจิตบุญ หรือจิตที่ยกส่วนใหญ่นั้น เขาทราบดี ถ้าจิตไม่ทราบ ก็ยกไม่ได้
    เพราะจิตบุญถือว่าผ่านการวิปัสสนามาแล้วทุกคน

    เรื่องจิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แยบคายจริงๆ
    และที่ผมพูดได้ก็เพราะว่า ได้แก้ไขกรรม และได้ผลมาแล้ว
    ฟังให้ดีๆนะ พี่ภูมิได้ไปแก้กรรม
    เพราะไม่มีผู้ใดแก้กรรมได้ นอกจากแก้ไขกรรมจากหนักให้เป็นเบาได้

    ผงไม่เข้าตาใคร ก็จะไม่รู้ และอย่ามาพูดคำว่า เอาผงออกจากตาสิ! ปล่อยวางสิ!
    เพราะฉะนั้น คนที่นำเข็มไปจิ้มแทงคนอื่นจึงไม่รู้สึกเจ็บ แต่คนถูกจิ้มแทงนั้นสิ เขาเจ็บ
    เข้าใจไหม๊?
     
  6. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  8. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  9. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]


    ธรรมะจากพระโอษฐ์....ตัณหา คือ “เชื้อแห่งการเกิด”


    ตัณหา คือ “เชื้อแห่งการเกิด”
    วัจฉะ ! เราย่อมบัญญัติความบังเกิดขึ้น
    สำหรับสัตว์ผู้ที่ยังมีอุปาทานอยู่ (สอุปาทานสฺส)
    ไม่ใช่สำหรับสัตว์ผู้ที่ไม่มีอุปาทาน
    วัจฉะ ! เปรียบเหมือน ไฟที่มีเชื้อ ย่อมโพลงขึ้นได้ (อคฺคิ สอุปาทาโน ชลติ)
    ที่ไม่มีเชื้อ ก็โพลงขึ้นไม่ได้
    อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น
    วัจฉะ ! เราย่อมบัญญัติความบังเกิดขึ้น
    สำหรับสัตว์ผู้ที่ยังมีอุปาทานอยู่
    ไม่ใช่สำหรับสัตว์ผู้ที่ไม่มีอุปาทาน

    “พระโคดมผู้เจริญ ! ถ้าสมัยใด เปลวไฟ ถูกลมพัดหลุดปลิวไปไกล,
    สมัยนั้น พระโคดมย่อมบัญญัติซึ่งอะไรว่าเป็นเชื้อแก่เปลวไฟนั้น ถ้าถือว่ามันยังมีเชื้ออยู่ ?”
    วัจฉะ ! สมัยใด เปลวไฟ ถูกลมพัดหลุดปลิวไปไกล
    เราย่อมบัญญัติเปลวไฟนั้น ว่า มีลมนั่นแหละเป็นเชื้อ
    วัจฉะ ! เพราะว่า สมัยนั้น ลมย่อมเป็นเชื้อของเปลวไฟนั้น.
    “พระโคดมผู้เจริญ ! ถ้าสมัยใด สัตว์ทอดทิ้งกายนี้ และยังไม่บังเกิดขึ้นด้วยกายอื่น,
    สมัยนั้นพระโคดม ย่อมบัญญัติ ซึ่งอะไร ว่าเป็นเชื้อแก่สัตว์นั้น ถ้าถือว่า มันยังมีเชื้ออยู่ ?”
    วัจฉะ ! สมัยใด สัตว์ทอดทิ้งกายนี้ และยังไม่บังเกิดขึ้นด้วยกายอื่น
    เรากล่าว สัตว์นี้ ว่า มีตัณหานั่นแหละเป็นเชื้อ
    เพราะว่า สมัยนั้น ตัณหาย่อมเป็นเชื้อของสัตว์นั้น แล.
    สฬา. สํ. ๑๘/๔๘๕/๘๐๐.
     
  10. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ตรงนี้ขอให้จิตบุญทั้งหลาย จงเข้าใจซะใหม่ว่า
    เรากำลังได้รับผลตามกฎแห่งกรรม
    อย่าไปใช้ธรรมะเข้าข่ม อย่าไปใช้ คำว่า ปล่อยวางเสีย
    เพราะมันเลยธรรมะไปแล้ว ก็คือ กฎแห่งกรรม


    สาธุกับธรรมทานค่ะ
    ถ้าจะไปปล่อยวางโดยไม่เข้าใจเหตุผล มันจะวางไม่ลง
    แต่ถ้ายอมรับว่ามันเป็นกฏแห่งกรรม เคยทำเขามาก่อน ถึงเวลาโดนบ้าง
    ก็ต้องยอมรับไป fair enough ก็จะวางลง

    ที่พอทำได้ก็ขออโหสิกรรมจากเจ้ากรรมนายเวร แต่บางเรื่องเกิดมาแล้วจะให้หายไปทันทีก็ไม่ได้ อาจได้แค่ผ่อนหนักเป็นเบา แล้วเจ้ากรรมนายเวรก็ไม่ได้มีแค่กลุ่มเดียว ถึงเวลาโดน อาจโดนเช็คบิลทีเดียวหลายกลุ่ม หลายเรื่อง อย่างครูบาอาจารย์ท่านเคยบอก

    บางครั้งเกิดเห็นว่าอดีตชาติ เคยไปทำอะไรมา จะเห็นว่ากฏแห่งกรรมนี้ เที่ยงมาก และให้ผลตรงตัว


    ดังนั้นการรักษาศีลจึงสำคัญมาก เพราะการรักษาศีลคือการรักษาตัวเอง ไม่ให้ต้องโดนรับกรรมที่ก่อไว้ในอนาคต
    แต่ในภพชาติอันยาวนานเราคงเคยทำมาทั้งกรรมดีกรรมชั่ว ดังนั้นการหนีเข้านิพพาน น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด


    ที่ทำได้ระหว่างโดนกฏแห่งกรรมไม่ดีสนอง ก็ต้องพยายามพลิก วิกฤตเป็นโอกาส ใช้โอกาสนี้ ปฏิบัติธรรมต่อไปตามภูมิธรรมของต้วเอง รักษาจิตไว้
    ถ้าวางได้ว่ามันไม่ใช่เรา จิตก็ทุกข์น้อยลง ตามระดับของการวางได้

    อย่าลืมว่ากฏแห่งกรรมแต่ละเรื่องนี่ในที่สุดก็เป็นอนัตตาเหมือนกัน 555


    "พ่อจะดูแลเจ้าเอง"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2012
  11. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ข้อดีอีกอย่างตอนโดนกฏแห่งกรรมที่ไม่ดีสนองคือ เห็นว่าพ่อแม่เป็นเหมือนพรหมของลูกจริงๆ รวมถึงการได้เห็นน้ำใจเพี่อนฝูง และคนรอบข้าง อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2012
  12. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    "..ความหลง ความโกรธ นี้มันเป็นมูลรากของกิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด เกิดความพอใจก็เพราะตัณหา เกิดความไม่พอใจก็เพราะตัณหา ความทุกข์เกิดขึ้นก็เพราะตัณหานี้แหละ

    อดีตที่ล่วงมาแล้วไปกาลนาน จิตมันเอาอารมณ์อันนั้นแหละมาคิด ตัดอดีตอนาคตเสีย เอาอารมณ์ปัจจุบัน ให้จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน.. "

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2012
  13. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    ปัจจุบัน เป็นเวลาสำคัญที่สุด อดีต ผ่านไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ไม่ต้องไปคิดถึง
    อนาคต ยังไม่มาถึง การวิตกกังวลถึงอนาคตจึงไม่มีประโยชน์อะไรเลย
    เรื่องคนอื่นไม่สำคัญเท่าไร โดยเฉพาะความชั่วของคนอื่นอย่าแบก
    ตัวเราเองทำดี ทำถูก รักษาใ
    จเป็นปกติได้ สำคัญที่สุด

    ทำหน้าที่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด ด้วยใจดี คือใจเป็นศีล ไม่เบียดเบียน ตั้งเจตนาถูกต้อง
    ไม่ยินดี คือ ไม่โลภ
    ไม่ยินร้าย คือ ไม่โกรธ
    รู้เท่าทันอารมณ์ คือ ไม่หลง
    มีความเมตตากรุณา ต่อตนเองและผู้อื่น

    ชีวิตทั้งหมดให้อยู่ด้วยอานาปานสติ คือ ทำหน้าที่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด ด้วยใจดี สุขใจ

    --คัดจากหนังสือ "เราเกิดมาทำไม" โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก-
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2012
  14. fein

    fein เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +463
    ครูเพ็ญดุใช้ได้เลยนะคะ โชคดีฝ้ายยังไม่เคยโดนครูดัชตีกิเลสเลย แหะๆ
    เอาใจช่วยคุณเต่านะคะ

     
  15. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน

    แต่ไหนแต่ไรมา ในโลกนี้ เวรไม่มีระงับด้วยการจองเวร มีแต่ระงับด้วยการไม่จองเวร นี้เป็นกฎเกณฑ์ตายตัว


    (ธรรมบท, ยมกวรรค, ๕)
     
  16. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    เพลงเพราะและมีความหมายดีมากค่ะ อ.ภู ครูเพ็ญ
    เช้านี้อากาศสดใส มาให้กำลังใจทุก ๆ ท่านค่ะ
     
  17. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    ธรรมะพาเพลินคุณหมอ ครูนก
    วันพ่อใกล้มาแล้ว ขอให้มีความสุขทุกคนค่ะ
    มีเพลง จม.ถึง พ่อ ฟังสนุก ๆ นะคะ

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=4NE2n7JUlQo"]http://www.youtube.com/watch?v=4NE2n7JUlQo[/ame]

    ไฟล์เพลง
    คลิกขวา save target as

    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD-%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%8A%E0%B8%94.346639/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 ธันวาคม 2012
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,305
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ธรรมะครูเพ็ญค่ะ

    ขอฝากคำเตือนถึงจิตบำเพ็ญและจิตเกาะพระสักเล็กน้อย
    พวกท่านอย่าชะร่าใจกันนัก
    โปรดอย่าได้นึกว่าเราจะมีครูสอนจิตเกาะพระทางเน็ตและทางโทรศัพท์อย่างนี้ตลอดไป
    อะไรๆในโลกนี้มันก็ไม่เที่ยง มีแปรปรวน เกิดดับตลอดเวลา
    เพราะธรรมชาติเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เดินทางไปสู่ความว่างอยู่เสมอ(ดับ)
    ไม่มีใครห้ามธรรมชาติได้

    เพราะฉะนั้นอย่าชะล่าใจว่าวันนี้เรามีครูอยู่เป็นเพื่อน
    แต่ขอให้นึกไว้เสมอครูอาจจะตายวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ก็ได้
    ถ้าครูตายแล้วใครจะมาขยายธรรมให้พวกเรา
    ถ้าตอนนั้นจิตเราะเค้วงค้าวงไหม
    วันนี้เราทำสบายๆเรื่อยๆเฉื่อยๆ
    จิตเกาะพะก็ติดๆหลุดๆเหมือนคนที่เสาอากาศชำรุด
    ถ้าวันหนึ่งไม่มีครูกลุ่มจิตบุญแล้ว
    เราจะเดินทางไปไหนต่อ
    หรือถ้าหากเราเกิดตายขึ้นมาวันนี้หรือวันพรุ่งนี้แล้วเราจะทันถึงฝั่งพระนิพพานไหม
    ถ้าจิตเราไม่ถึงฝั่งพระนิพพานแล้วจิตเราหลังความตายไปไหน
    จิตเกาะพระก็ติดๆดับๆ ถ้าเราจะตายนึกถึงพระทันไหม
    ขอให้จิตบำเพ็ญและจิตเกาะพระทุกท่านเพียรนึกถึงความตายไว้เสมอค่ะ

    ถ้าใครที่พอจะเร่งความเพียรได้ก็ขอให้เร่งนะ
    สตินะสติ อย่าห่างจิต จิตอย่าห่างพระ
    จิตเกาะพระให้ติดจิตเกาะพระให้แน่น
    ถึงเวลาตายขึ้นมาจิตก็พร้อมแล้วที่จะตามพระไปสู่สุคติ

    ที่ต้องมาเตือนกันวันนี้เนื่องจากมีสัญญาณเตือนกระชั้นเข้ามาเรื่อยๆ แล้ว
    จิตบำเพ็ญและจิตเกาะพระอย่าชะล่าใจกันนัก
    เอาจิตยกขึ้นที่สูง เอาจิตให้รอดกันเดี๋ยวนี้
    ขอให้เร่งความเพียรนึกถึงพระนึกถึงพระให้ถี่ขึ้นอีกนะคะ
    ทำจิตเกาะพระให้ได้ทั้งวันทั้งคืน
    ทำตามที่ครูแนะนำ เอาจิตให้รอดกันให้ได้นะ

    แต่ไม่ต้องห่วงครูจิตบุญกันนะ เพราะจิตท่านรอดกันหมดแล้ว
    ถ้าถึงวันที่ติดต่อครูไม่ได้ เหล่าจิตบำเพ็ญและจิตเกาะพระจงตั้งสติให้มั่น
    ให้นึกถึงภาพพระให้มากกว่านึกถึงครูนะ
    หากท่านทำจิตเกาะพระได้แนบแน่น
    เห็นพระอยู่ในจิตได้ตลอดเวลา
    ก็ขอให้สบายใจได้เลยว่าจิตท่านไปสบายแน่
    ท่านไม่ต้องมีครูสอนจิตเกาะพระแต่จิตท่านก็มีที่พึ่งที่ดีที่สุดในโลกคือพระพุทธเจ้า

    ขอให้มีศัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์
    ขอให้ท่านจงมีศัทธาในพระนิพพาน

    ขอให้ทุกท่านจงมีศัทธาในจิตศักดิ์สิทธิ์ของตน
    ทำจิตเกาะพระด้วยความศัทธาอย่างยิ่งยวด
    แล้วความสุขจะอยู่กับจิตของท่านตลอดไป

    ขอทุกท่านจงสำเร็จมรรค ผล นิพพาน ชาตินี้ด้วยเทอญ

    พี่เพ็ญ จบ. ๓

    --------------------------------------------------------
    อนุโมทนาสาธุๆๆ กราบคุณครูเพ็ญค่ะ
     
  19. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    โมทนาค่ะ คุณพี่ต้อย และครูเพ็ญที่คอยช่วยเตือนนะคะ ก็ปฏิบัติหน้าที่ทางโลกไป ..
    เตือนตนเองว่า ภัยกำลังมา ระลึกนึกถึงพระท่านอยู่เสมอ ๆ นะคะ
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,305
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    อะจีรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิง อะธิเสสสะติ ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโณ นิรัตถังวะ กะลิงคะรัง
    ร่างกายนี้ ไม่ช้าก็มีวิญญาณไป ปราศจากวิญญาณแล้ว ร่างกายก็ถูกทอดทิ้งเหมือนกับท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์


    เรื่องตลก ( จากในหลวง )

    ๑.

    ..เหตุการณ์เกิดที่จังหวัดตาก เมื่อพระเทพทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ

    และได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด และถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด

    แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า "ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ"

    แม่ค้าตอบว่า "ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท และที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80 บาทจ๊ะ"
    เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพาลที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน
    ๒.

    ...อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสานเมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง

    ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลาย ออกแปลกใจ ในการกราบบังคมทูล
    ที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน
    เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถาร ถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดี

    จึงมีคำกราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า
    บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้าข้า. ."
    มาถึงตอนสำคัญ ที่ทรงพบนกในกรง ที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน

    ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว..พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า "มีทั้งหมดสามตัว
    พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย

    และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว" เรื่องนี้ ดร.สุเมธ
    เล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะ ไม่ยกเว้นแม้ในหลวง
    ๓.

    ...เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น
    เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาติ
    นำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกา เป็นรุ่นพิเศษ
    ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า "ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"
    ๔.

    ...เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน
    และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้า เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน

    ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่ง กราบบังคมทูลรายงาน ว่า "ขอเดชะ
    ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าพลตรี ภูมิพลอดุลยเดช
    ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต กราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ"
    เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวล อย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า
    "เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..." ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้
    ๕.

    ...มีอยู่ครั้งหนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตร ให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
    ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้
    ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า "ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า" ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ กับอธิการบดีว่า "เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก"
    ๖.

    ...เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร
    มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว
    แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า "ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์"
    ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว"
    ๗.

    ...วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด
    ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท แล้วก็เอามือของแกมาจับ
    พระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่า ยายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง
    แล้วก็พูดว่า ยายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ
    มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือไม่ แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า
    "เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก"
    ๘.

    ...ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน
    มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา

    คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยว ชาญทางราชาศัพท์
    ก็กราบบังคมทูลว่า "เอ้อ - ทรง...อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ" พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า
    "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง" แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่า
    หมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า
    เอ้าพูดภาษาอังกฤษกันเถอะ เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังก ฤษไป
    ๙.

    ...เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า นางสนองพระโอษฐ์ ของฟ้าหญิงองค์เล็ก
    ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง
    ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์
    นางสนองพระโอฐก็ งง...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก็ยังไม่เปิดนี่หว่า
    แต่ พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ ก็ที่แบงค์จริงๆนะ
    ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์ แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ ... ขนลุกเลย
    ๑๐.

    ..มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร
    อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่า มีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน
    ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้
    ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า "เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว"

    และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ...
    ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป
    พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท
    ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทาน อีกครั้ง เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม

    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

    ปล. ที่มา คุณบุหงาแป้งล่ำ จาก Bloggang
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...