จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    วิชั่นของจิต
    จิตปุถุชน
    มองเห็นแต่ของหยาบ ของละเอียดจะมองไม่เห็น
    จึงดูคน หรืออะไรก็แล้วแต่ มักเห็นแต่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก เห็นแต่สิ่งหยาบ ก็เลยรู้-เห็นแต่สิ่งหยาบๆ เท่านั้น

    จิตอริยบุคคล
    มองเห็นถึงความละเอียด แต่ความละเอียดไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความละเอียดจิตของผู้นั้น
    จิตอริยบุคคลจึงไม่แปลก มักชอบมองเข้าไปถึงภายในนั้นได้แก่ จิตใจ

    เพราะฉะนั้นแล้ว
    จิตปุถุชน จึงมองไม่เห็นกิเลสต่างๆตนเอง จิตของตนเอง
    แต่จะมองให้เห็นกิเลสและจิต แบบทะลุปรุโปร่งนั้น
    เราจะต้องทำจิตให้เข้าถึงความละเอียดเสียก่อน หรือ ทำให้จิตนิ่งมากๆเสียก่อน
    โดยการเจริญสติภาวนา หรือ การปฎิบัติธรรม หรือ นำจิตมาเดินตามรอยมรรคมีองค์ ๘
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 พฤศจิกายน 2012
  2. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    ขอบพระคุณ ๆ คุณพี่ต้อย- สุภาทร เป็นอย่างยิ่งค่ะ
    จะฝึกละขันธ์ 5 เลิกพอใจกับมันซะที ขันธ์ 5 นี้ อย่างห่วงใยมัน

    อยู่เลย มันคอยตามหลอน..ตามหลอกไม่รู้จักจบจักสิ้น..เดินก้าว

    อย่างช้า ๆ ค่อย ๆ ไปนะคะ
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พวกเราเป็นแบบไหนกันหรอ?

    ผู้ที่ปฎิบัติถึงแล้ว มักมีนิสัยดูแต่ความเลวของตนเอง เพียงอย่างเดียว
    แต่ผู้ที่ปฎิบัติยังไม่ถึง ก็มักมีนิสัยดูแต่ความเลวของผู้อื่น หรือ คอยแต่จะมองหาความของผู้อื่น
    ก็เลยมองไม่เห็นความเลวที่อยู่ภายในของตนเอง

    คนที่ชอบเพ่งโทษ แต่ผู้อื่นๆเขา เลวกว่าคนที่ถูกเพ่งโทษซะอีก

    เพราะฉะนั้นผู้ปฎิบัติที่ดี จะต้องมีระเบียบวินัยที่ดีด้วย เช่น อย่าไปดูจริยาของผู้อื่นเขา
    เพราะมันไม่เกี่ยวกับปฎิบัติเพื่อมรรคผลของตนเอง

    ผู้ปฎิบัติใหม่ คอยรักษาศีลของตนให้ดีๆด้วย เพราะเรื่องศีลจะไม่มีผู้ใดมาคอยดูแลแทน
    แต่ถามว่าผู้ใดจะรู้ (ท่านพ่อรู้นะะะ ตาวิเศษเห็นะะะ)

    แต่ถ้าผู้ปฎิบัติเก่าๆ หรือ จิตบุญทั้งหลาย คอยหมั่นยกระดับจิตของตนเองให้สูง
    ทำจิตให้ว่าง สงบสงัด ให้บริสุทธิ์ ให้จิตตั้งอยู่เหนือกาย เหนืออารมณ์ต่างๆ
    ก็คือ คอยหมั่นทรงฌานเข้าไว้ เพราะจิตไปตั้งแต่ฝ่ายบุญกุศลแล้ว

    สติสยบกิเลสเพียงชั่วคราวเท่านั้น
    ฌานปิดอบายภูมิชั่วคราวเท่านั้น อย่าทนงตนว่าพ้นอบายภูมิแล้ว
    หรือ พวกที่หลงติดสุขจากฌาน ควรพึงระวังให้ดี(หมายถึงจิตที่สอบวิปัสสนาญาณยังไม่ผ่าน หรือ ช่วงที่ทรงฌานปกติ)
    ปัญญาณญาณเท่านั้น จึงปิดประตูอบายภูมิแบบถาวร

    ปล.จึงขอมาเตือน โดยเฉพาะที่ละ(ตัด)ขันธ์ ๕ ตนเองไม่ขาด(ไม่เด็ดขาด) ให้ไวๆ รีบแก้ไขด่วน!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 พฤศจิกายน 2012
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ผู้ที่ยังไม่ได้ฝึกจิต ก็เปรียบเสมือนเด็กอายุ 5-6 ขวบ
    อย่าไปกระทุ้งจิตเขาแรงเกินไปนะ ไม่งั้นหนีเข้าป่าแน่ ต้องชม ต้องคอยให้กำลังใจก่อน(หลอกล่อ)

    แต่ถ้าผู้ที่จิตพร้อมยก(จิตอนาคามี) อันนี้จะต้องกระทุ้งให้หนักๆ เพราะส่วนใหญ่มักมองไม่เห็นกิเลส(ละเอียด)ของตนเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 พฤศจิกายน 2012
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=kHzXy0AXjYo]หมอกหรือควัน เบิร์ด - YouTube[/ame]​
    อันไหนกิเลส อันไหนคือตัวเรา
    เหมือนกับหมอกหรือควัน
    พวกเราพอจะแยกกันออกไหม?​
     
  6. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สวัสดีค่ะครูภู ครูเพ็ญ ครูดัช ครูลูกหว้า ครูน้องหนู ครูวิทย์ ครูลูกพลังและครูทุกท่านรวมถึงจิตบุญและผู้ฝึกด้วยนะค่ะ
    มีคำถามค่ะครูภูวันนี้ตอนสวดมนต์ไหว้พระอยู่เห็นแสงสีขาวมาจากข้างบนส่องลงมาที่ตัวเองนั่งเป็นรูปสามเหลี่ยม (เหมือนมุ้งครอบตัวค่ะ)และรู้สึกปวดหัวแต่ทนได้ จึงนั่งสมาธิไม่สวดต่อ แต่ยังมึนๆอยู่เหมือนกันและหูก็ได้ยินเสียงแบบวี๊ดๆตั้งแต่เมื่อคืนก่อนนอนสวดมนต์จนวันนี้ เมื่อเช้ามืดนี้ฝันมีพลอยหล่นลงมาจากผนังบ้านเก็บได้เป็นกาละมัง ต้นไม้ที่ปลูกไว้ก็ออกดอกเป็นพลอยทุกต้นก่อนตื่นยังเห็นพลอยอยู่ตามพื้นยังเก็บไม่หมด พลอยในกาละมังมีหลายขนาดตั้งแต่ใหญ่มากๆแต่ไม่มีแบบเศษพลอยจิ๋วๆ เป็นพลอยสีม่วงอ่อนเจียรไนแล้วทุกเม็ดเลยค่ะ
     
  7. ปักธงชัย

    ปักธงชัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    584
    ค่าพลัง:
    +3,721
    คุณครูเกษ ผมยังอยู่นะ ครับ :cool:
     
  8. PlaiifarPP

    PlaiifarPP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +1,194


    "...มรณานุสสติ แปลว่า นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เรื่องของความตายเป็นของธรรมดาของสัตว์และมนุษย์ที่เกิดมา เมื่อมีความเกิดมาได้แล้ว ก็ต้องตายในที่สุดเหมือนกันหมด..."

    ความตายนี้รู้สึกว่าเป็นปกติธรรมดาของคนและสัตว์ทั่วไป ท่านผู้อ่านจะสงสัยว่า เมื่อความตายเป็นของธรรมดาที่ใคร ๆ ก็ทราบว่าตัวจะต้องตาย แล้วพระพุทธเจ้ามาสอนให้นึกถึงความตายเพื่อประโยชน์อะไร ?

    ปัญหาข้อนี้ตอบไม่ยาก เพราะธรรมดาของคนที่มีกิเลสทั่วไป รู้ความตายว่าเป็นของธรรมดาจริง แต่ทว่า เห็นว่าเป็นธรรมดาสำหรับผู้อื่นตายเท่านั้น ถ้าความตายจะเข้ามาถึงตนเองหรือญาติ คนที่รักของตนเข้า ก็ดิ้นรนเอะอะโวยวายไม่ต้องการให้ความตายมาถึงตนหรือคนที่ตนรัก พยายามทุกทางที่จะไม่ยอมตายปกติของคนเป็นอย่างนี้ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า เกิดมาแล้วต้องตาย ไม่ว่าใครจะหนีความตายไม่ได้ การดิ้นรน เอะอะโวยวายต้องการให้ความตายไปให้พ้นนี้เป็นการดิ้นรนเหนือธรรมดาไม่มีทางทำได้สำเร็จ จะทำอย่างไร ความตายก็ต้องจัดการกับชีวิตแน่นอน เมื่อกฎธรรมดาเป็นอย่างนี้

    พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน คือย้ำตามความเป็นจริงว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
    ความตายนั้นเป็นสิ่งปกติธรรมดาไม่มีใครจะหลีกหนีพ้น ความตายนี้แบ่งออกเป็นสามอย่างด้วยกัน คือ

    ๑. สมุจเฉทมรณะ ความตายขาดตอน
    หมายถึงความตายของพระอรหันต์ท่านเสร็จกิจแห่งพรหมจรรย์ คือสิ้นกิเลสแล้ว เหตุที่จะต้องทำให้เกิด คือกิเลสและตัณหาที่จะควบคุมบังคับท่านให้เกิดอีกไม่มี ท่านมรณะแล้วท่านไม่ต้องกลับมาเกิดอีก เรียกว่า สมุจเฉทมรณะ แปลว่าตายขาดตอนไม่กลับมาเกิดอีก

    ๒. ขณิกมรณะ แปลว่า ตายเล็กๆ น้อย ๆ
    ท่านหมายเอาความตาย คือ ความดับ หรือการเคลื่อนไปของชีวิต ที่มีการเคลื่อนไปวันหนึ่ง ๆ วันเวลาล่วงไป ชีวิตก็เคลื่อนไปใกล้จุดจบสุดยอดคือตายดับทุกขณะ การผ่านไปของชีวิตท่านถือเป็นความตาย คือ ตายทุกลมหายใจออกและเกิดต่อทุกๆ ลมหายใจเข้า อาหารเก่าที่บริโภคเข้าไปเป็นการหล่อเลี้ยงชีวิตชั่วคราวเมื่อสิ้นอำนาจของอาหารเก่า
    ร่างกายต้องการอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงแทนแต่ถ้าไม่ได้อาหารใหม่เข้าไปทดแทนชีวิตก็จะต้องดับ ชีวิตที่ทรงอยู่ได้ก็เพราะอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงไว้ เมื่อสิ้นสภาพของอาหารเก่า ท่านถือว่าร่างกายต้องตายแล้วไปยุคหนึ่ง พอได้อาหารใหม่มาทดแทน ชีวิตก็เกิดใหม่อีกวาระหนึ่ง การเกิดการตายต่อเนื่องกันทุกวันเวลาอย่างนี้ ถ้าอาหารเก่าหมดสภาพไม่บริโภคใหม่ หรือลมหายใจออกแล้ว ไม่หายใจเข้า สภาพของร่างกายก็จะสิ้นลมปราณ คือตายทันที ที่ทรงอยู่ได้อย่างนี้ก็เพราะได้ปัจจัยบางอย่างค้ำจุนทดแทนกันเข้าไป ท่านสอนให้มองเห็นสภาพของสังขารร่างกายว่ามีความตายเป็นปกติทุกวันเวลาอย่างนี้ท่านเรียกว่า ขณิกมรณะ แปลว่า ตายทีละเล็กละน้อย หรือตายเล็ก ๆ น้อย ๆ

    ๓. กาลมรณะ และ อกาลมรณะ
    กาลมรณะ แปลว่า ตายตามกาลตามสมัยที่ชาวโลกนิยม เรียกว่า ถึงที่ตาย คือสิ้นอายุ อย่างชนิดที่ไม่มีการแก้ไขได้
    อกาลมรณะ แปลว่า ตายในโอกาสที่ยังไม่ถึงกาลควรตาย แต่ต้องตายเพราะกรรมบางอย่างที่เป็นอกุศลเข้ามาบีบคั้นให้ตาย

    การตายประเภทหลังนี้พอมีทางต่อให้อายุยืนยาวต่อไปได้ตามสมควรแก่กรรมในอดีต จะต่อให้เลยพอดีนั้นไม่ได้ พวกตายตามแบบกาลมรณะตายไปแล้วเสวยผลกรรมทันที แต่พวกที่ตายตามแบบอกาลมรณะนี้ ตายแล้วยังไม่ไปเสวยผลกรรมทันที ต้องไปเป็นสัมภเวสี แสวงหาที่เกิดก่อน คือรอกาลที่จะถึงกาลมรณะก่อน เมื่อถึงเวลาแล้วจึงจะได้รับผลกรรมดีและกรรมชั่วที่ทำไว้ขณะที่ยังไม่ได้รับผลกรรมที่ทำไว้นั้นต้องลำบากในเรื่องอาหารและที่อยู่ ท่องเที่ยวไปตามความต้องการ พวกตายแบบอกาลมรณะนี้ ที่ชาวโลกนิยมเรียกว่า ตายโหงนั่นเอง เช่น ถูกฆ่าตายคลอดลูกตาย รถทับตาย ฟ้าผ่าตาย ฆ่าตัวตาย งูกัดตาย รวมความว่าตายแบบผิดปกติ ไม่ใช่ป่วยตายตามธรรมดาเรียกว่า อกาลมรณะ คือตายก่อนกำหนด ตายทั้งนั้น การตายแบบนี้ ถ้ามีท่านผู้รู้ช่วยเหลือสามารถช่วยให้พ้นตายได้ เช่น ที่นิยมเรียกกันว่า สะเดาะเคราะห์หรือต่ออายุ การสะเดาะ-เคราะห์หรือต่ออายุนั้น ต้องทำโดยธรรมจริง ๆ และรู้จริงจึงใช้ได้แต่ถ้าต่อแบบหมอต่อยังมืดมนท์ด้วยกิเลสแล้วไม่มีทางสำเร็จผล ไม่ต่อดีกว่า ขืนต่อก็เท่ากับไปต่อชีวิตหมอให้มีความสุข ส่วนผู้ต่อกลายเป็นผู้ต่อทุกข์ไป

    ประโยชน์ของการนึกถึงความตาย ...ทำให้เป็นคนไม่ประมาท เพราะรู้ตัวว่าจะตายจะได้แสวงหาความดีใส่ตัว... โดยรู้ตัวว่า ชาตินี้จนเพราะชาติก่อนให้ทานไว้น้อย ถ้าชาติหน้าไม่ยากจนอีก ก็พยายามให้ทานเสมอ ๆ ตามกำลังทรัพย์ที่พอจะให้ได้ และอย่าให้จนหมดตัว จะเกินพอดี ต้องให้พอเหมาะพอดี ไม่เดือดร้อนภายหลังนั่นแหละจึงจะควร
    รู้ตัวว่ามีโรคมาก ป่วยไข้ไม่สบายเสมอๆ ของหายบ่อย ๆ รูปร่างสวยน้อยไปคนในบังคับบัญชาดื้อด้าน วาจาไม่ศักดิ์สิทธิ์ อารมณ์ความจำเสื่อม ถ้าต้องการให้สิ่งบกพร่องเหล่านี้สมบูรณ์ในชาติหน้าจะได้พยายามรักษาศีล ๕ให้บริสุทธิ์ครบถ้วนแล้ว ก็จะได้รับอานิสงส์ มีอายุยืน รูปสวย ไม่มีโรคภัยรบกวน ไม่มีภัยจากโจรรบกวนทรัพย์สมบัติ คนในบังคับบัญชาอยู่ในโอวาทเป็นอันดี ไม่มีใครดื้อด้าน มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ พูดอะไรเป็นนั่น มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ก็ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์
    ถ้าเห็นว่า มีปัญญาน้อย ไม่ใคร่ทันเพื่อน ก็พยายามเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานพอมีฌานมีญาณเล็กน้อย ในชาติต่อไปก็จะเป็นคนมีปัญญาเลิศ
    ถ้าเห็นว่า ความเกิดเป็นโทษเป็นทุกข์ เพราะการเกิด ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร มีตระกูลสูงส่งประการใดก็ตาม ต้องประสบกับความทุกข์อย่างมหันต์ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ต้องการความเกิดอีก ก็เร่งรัดเจริญสมถะให้ได้ฌานต้น แล้วเจริญวิปัสสนาญาณให้จบกิจพระศาสนา.... ซึ่งเป็นของไม่หนักเลยสำหรับท่านที่นึกถึงความตายเป็นปกติ หรือที่เรียกว่า เจริญมรณานุสสติกรรมฐาน
    เพราะกรรมฐานกองนี้ เป็นกรรมฐานหลักสำหรับเจริญวิปัสสนาญาณ ท่านจะได้ดี เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระอรหันต์ ก็ต้องอาศัยการปรารภความตายเป็นปกติ แม้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง พระองค์แม้แต่จะเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ไม่ทิ้งมรณานุสสติกรรมฐาน คือนึกถึงความตายเป็นอารมณ์

    วันหนึ่งพระองค์ตรัสถามพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอนึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง พระอานนท์กราบทูลตอบว่า นึกถึงความตายวันละเจ็ดครั้งพระเจ้าข้า... พระองค์ตรัสว่า "...ยังห่างมากอานนท์ ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก..." การนึกถึงความตายเป็นปกติเป็นของดี แม้แต่พระพุทธเจ้ายังเฝ้าคิดถึงความตาย

    เพราะผู้ที่คิดถึงความตายรู้ตัวว่าจะตายแล้วย่อมไม่สั่งสมความชั่ว คอยปลีกตัวออกจากความชั่วและมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวในเมื่อความตายมาถึงแล้ว... เพราะคิดอยู่รู้อยู่เสมอแล้วว่าเราต้องตายแน่ ความตายนี้หานิมิตเครื่องหมายไม่ได้กำหนดการเกิดหมอบอกได้แต่กำหนด เวลาตายไม่มีใครกำหนดได้แน่นอนสำหรับปุถุชนคนธรรมดา สำหรับพระอริยเจ้าหรือท่านที่ชำนาญในอานาปานุสสติกรรมฐานท่านสามารถบอกเวลาตายที่แน่นอนของท่านได้ พระอริยาเจ้าที่จะบอกเวลาตายได้ ก็ต้องเป็นท่านที่ได้ วิชชาสามเป็นอย่างน้อย ถ้ามีความรู้พิเศษต่ำกว่านั้น ท่านก็กำหนดเวลาตายไม่ได้เหมือนกัน ท่านเปรียบชีวิต
    ไว้คล้ายกับขีดเส้นบนผิวน้ำ ขีดพอปรากฏว่ามีเส้นแล้วในทันทีเส้นที่ขีดนั้นก็พลันสูญไปชีวิตของสัตว์ที่เกิดมาก็เช่นเดียวกันความตายรออยู่แค่ปลายจมูกถ้าสิ้นลมปราณเมื่อไร ก็สิ้นภาวะเมื่อนั้นเอาความยั่งยืนไม่ได้เลย

    ท่านเจริญมรณานุสสติกรรมฐาน เมื่อท่านคิดถึงความตายเป็นปกติ จนเห็นความตายเป็นปกติธรรมดา เตรียมพร้อมเพื่อรับสถานการณ์คือ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาพอสมควรแก่ความต้องการแล้ว ถ้าคิดให้ไกลไปอีกสักนิดว่า ความตายเป็นของมีแน่ เราไม่หนักใจแล้ว ความเกิดต่อไป
    ก็มีแน่ จะเกิดเป็นอะไรก็ตามเต็มไปด้วยความทุกข์ หนีทุกข์ไม่พ้น เราไม่ต้องการความเกิดอันเป็นเหยื่อของวัฏฏะอีก แม้แต่ร่างกายอันเป็นที่หวงแหนยิ่ง จะต้องพังทลายเรายังไม่มีเยื่อใย ก็สมบัติอะไรในโลกีย์ที่เราต้องการ เราไม่ต้องการอะไรอีก เทวโลก พรหมโลก เราไม่ต้องการ สิ่งที่พอใจที่สุดก็คือพระนิพพาน ทำใจให้ว่างจากความเกิด ความเกาะในชาติภพ
    ...ปรารภพระนิพพานเป็นปกติอย่างนี้ท่านมีหวังสิ้นชาติสิ้นภพ ประสบผลอย่างยอด คือถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันแน่นอน...


    ส่วนหนึ่งจากคำสอนของ พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ในเรื่อง
    มรณานุสติกรรมฐาน ในหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน


     
  9. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  10. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  11. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    อ๊าววว...กลับมาแล้วเหร๊ออออ...5555:cool:

    ยินดีต้อนรับอีกครั้งค่ะ มามะ..พร้อมที่จะเรียนรึยังค่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็ติดต่อมาที่นี้ได้เลยจ้าาาาา jaideejang_55@hotmail.com
     
  12. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    นำรูปวิมานสมเด็จพ่อองค์ปฐมวัดพระพุทธบาทสี่รอย จ.เชียงใหม่ มาให้ชมค่ะ คุณแม่สุมาลีบอกว่าใครอยากเห็นวิมานของสมเด็จพ่อองค์ปฐมบนพระนิพพานให้ไปดูตัวอย่างได้ที่วัดพระพุทธบาทสี่รอยค่ะ ท่านบอกว่าเหมือนมากทั้งลวดลายและการประดับตกแต่ง อภินัันทนาการจากกล้องคุณหนุ่มและคุณจุ๋ม(ไทย)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF1573.JPG
      DSCF1573.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      34
    • DSCF1577.JPG
      DSCF1577.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      37
    • DSCF1578.JPG
      DSCF1578.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.3 MB
      เปิดดู:
      43
    • DSCF1579.JPG
      DSCF1579.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.9 MB
      เปิดดู:
      36
    • DSCF1582.JPG
      DSCF1582.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      28
    • DSCF1583.JPG
      DSCF1583.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.6 MB
      เปิดดู:
      33
    • DSCF1594.JPG
      DSCF1594.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.1 MB
      เปิดดู:
      33
    • DSCF1595.JPG
      DSCF1595.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3 MB
      เปิดดู:
      40
    • DSCF1596.JPG
      DSCF1596.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.5 MB
      เปิดดู:
      38
    • DSCF1589.JPG
      DSCF1589.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      45
    • DSCF1588.JPG
      DSCF1588.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      40
    • DSCF1587.JPG
      DSCF1587.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.7 MB
      เปิดดู:
      36
    • DSCF1591.JPG
      DSCF1591.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      37
    • DSCF1593.JPG
      DSCF1593.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.7 MB
      เปิดดู:
      34
    • DSCF1581.JPG
      DSCF1581.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.4 MB
      เปิดดู:
      34
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2012
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 47 คน ( เป็นสมาชิก 7 คน และ บุคคลทั่วไป 40 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    ภูทยานฌาน2, วชระ, Ubonrat95, newwave1959, seeview, pattranit uk, PlaiifarPP
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุๆๆ
    ลูกขอน้อมกราบแทบพระบาทสมเด็จองค์ปฐมบรมครูด้วยเศียรเกล้าพระพุทธเจ้าข้า
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุกับธรรมทานของน้องฟ้าด้วยจ้าฯ
    ขอน้อมจิต ก้มกราบพระเดชพระคุณพระราชพรหมยานด้วยเศียรเกล้า...สาธุๆๆ
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุนิมิตของคุณแสงจันทรด้วย
    เดี๋ยวค่อยคุยกันหลังไมค์นะ ตามดูไป ตามรู้ไป ด้วยใจเป็นกลาง
    ตัดความโลภ ตัดความอยากให้หมด
    เมื่อเราไม่อยากได้ แล้วก็จะได้ โดยไม่ต้องขอ...
    คอยกำหนดจิตว่า เราไม่ต้องการ ไม่ว่าเพชร พลอย ทองคำ หรือ เหล็กไหล
    สิ่งที่เราต้องการ ก็คือ ไม่ต้องการ หรือ ไปนิพพานอย่างเดียว
    ถือว่าเป็นนิมิตที่ดี แต่ทุกสิ่งต้องวางนะ รู้+เห็น+รู้สึกอะไร=วางให้หมด
    เดี๋ยวดีเอง..
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนากับธรรมาทานของน้องนก(ญ)ด้วย
    จงนำจิตไปเกาะแต่ฝ่ายบุญกุศล
    จงพยายามมองเฉพาะแต่ความดีของผู้อื่นให้มากๆ
    จงมองความเลวของตนให้เห็น
    เมื่อเห็นความเลวของตนแล้ว ก็ให้ใช้สติปัญญากำจัดออกไปจากจิตของตนเองเสีย
    อย่าพยายามไปค้นหา เพ่งโทษ หรือ อย่าไปคิดเอาความเลวของผู้อื่นออก
    เพราะมันเป็นไปไม่ได้ แต่เอาความเลวของตนออกเสีย
    อันนี้พอจะเป็นไปได้
    อย่าพยายามไปว่าผู้อื่นเลว เราดีเลย เพราะต่างก็มีกายหยาบอันแสนสกปรกเหมือนกัน
    และอย่าไปคิดหนีความสกปรก หรือ หนีทุกข์ของตนเลย
    เพราะตราบใดพวกเรายังหนีจากการเวียนว่ายตายเกิด หรือ มีร่างกายนี้กันไม่ได้
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    หมูไม่กลัวน้ำร้อน!

    ตราบใดที่พวกเรายังมีกายหยาบ แสดงว่าเราเบื่อทุกข์ไม่จริง
    แต่ถ้าเราเบื่อทุกข์จริงๆ เราต้องมาเรียนรู้เรื่องทุกข์ หรือ อริยสัจจ์
    ด้วยการปฎิบัติธรรม หรือ ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
    มิใช่เอาแค่ฟังเทศน์ ฟังธรรมเพียงอย่างเดียว

    เราจะพ้นทุกข์ หรือ ออกจากทุกข์ได้นั้น เราจะต้องนำจิตไปเรียนรู้ทุกข์
    โดยการเจริญสติภาวนา หรือ ปฎิบัติตามมรรค(ศีล สมาธิ ปัญญา)

    แต่มิใช่ เมื่อมีความทุกข์หนัก ก็เดินไปวัดหรือไปหาพระ เพื่อให้ท่านเอาทุกข์ออกให้
    ไปวัดหรือไปหาพระได้ มิได้ห้าม แต่จะบอกว่ามันได้แค่ละทุกข์ได้แค่ครั้งคราวเท่านั้น
    แต่ถ้าไม่มีวัด ไม่พระแล้วพวกเราจะทำยังไง?
    นี่ไงเล่า...พี่ภูถึงได้บอกกับพวกเราว่า มาทำจิตให้เป็นพระกันซะเลย

    ต่อไปนี้ เราไม่ต้องไปหาพระที่วัด เพราะพระมาอยู่ที่จิตของเราแล้ว
    เพราะฉะนั้น กายหยาบก็เสมือนวัดดีๆ นี่แหล่ะ!
    มาร่วมสร้างวัดภายในกาย มาร่วมสร้างพระภายในจิตของตนเองจะดีกว่า...

    ปล.ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และขอโทษที่ล่วงเกินจิตของท่าน มิได้มีเจตนาแอบแฝงใดๆ ถ้าข้าพเจ้าเทศน์ไม่ถูกใจ
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เรื่องนี้ถือว่าสำคัญอย่างหนึ่ง
    ได้โปรดอย่ามองข้ามไป​
    จิตบุญท่านใดมีปัญหาเรื่องเศษกรรม
    มิใช่หมายถึง จิตบุญ(จิตยก) (ดวงจิตที่ 80-90%) กันนะ
    พวกเราอย่าเพิ่งไปคิดนะว่า จิตบุญ(จิตยก)นี้ จะยกหรือเป็นจิตบริสุทธิ์ 100%

    แต่จะหมายถึงในส่วนที่เหลืออีก คือ 10-20%
    จะขอเรียกว่า เศษกรรมเล็กๆน้อยๆ จิตบุญจะมีไม่เท่ากัน
    ส่วนตัวเลข เช่น 10-20% นี้เป็นตัวเลขสมมุติกันขึ้นมาเฉย
    พวกเราจะได้มองเห็นภาพโดยรวม หรือ ยกตัวอย่างให้ดู จะได้เข้าใจมากขึ้น

    เพราะเรื่องจิตเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน
    ซึ่งจิตบุญบางท่านที่กำลังประสบปัญหาอยู่ในขณะนี้
    ได้แก่ เมื่อจิตยกแล้ว แต่ดูเหมือนไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง
    เช่ เราปฎิบัติมาก็ถึงป่านนี้ แล้วทำไมปล่อยวางกันไม่ได้หล่ะ
    นี่ไง๊ คือ ปัญหา แต่สำหรับท่านที่ปล่อยวางได้ ก็แสดงว่าท่านมีอินทรีย์แก่กล้า
    แต่ถ้ายังไม่แก้กล้า ก็จะคลายทุกข์ คลายปัญหาด้วยตนเองยังไม่ได้
    อย่าเพิ่งไปเสียใจ เพราะปัญหาเขามีไว้เพื่อแก้ มิใช่มัดหรือว่าผูกต่อ

    สิ่งที่พูดอยู่ในขณะนี้ บางท่านยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ไม่เป็นไร
    ผมจะช่วยตามแก้ไขในส่วนเศษกรรมนี้ให้ท่านได้
    เดี๋ยวผมกำลังส่งทูตไปหาท่านไวๆนี้

    โปรดติดตาม...
    ภู..ทวิภพ จบไปแล้วนะะะ อย่าไปถามหากันอีก เดี๋ยวขวัญจะเสีย
    อันนี้เรื่องใหม่ สดๆร้อนๆ
    และจิตบุญทุกท่านจะต้องรับทราบด้วย
    เพราะมันสำคัญมาก

    ปล.เดี๋ยวกลับมาพูดต่อไป อาจจะพูดต่อใน facebook เพราะเป็นเรื่องภายในของจิตบุญทั้งหลาย
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=_vulNAn65EY]วังวน Clash - YouTube[/ame]​
    ผู้ใดตกอยู่ในวังวน
    จึงเปรียบเสมือนควายติดหล่ม
    ความรักของคนเราก็เหมือนกัน
    ถ้าผู้ใดหลงเข้าไปแล้ว จะออกย๊ากกกกมั๊กๆ
    สร้างภพ สร้างชาติ สร้างกรรม
    ตราบใดยังอยู่ในวังวนวัฎฎสงสาร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 พฤศจิกายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...