ประวัติสมเด็จโตฉบับพระยาทิพโกษา(สอน โลหะนันท์)ตอนที่18 สมเด็จโตคิดคำอติเรกถวายพระพร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 14 กันยายน 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    [​IMG]
    ครั้งหนึ่งสมเด็จพระยามหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) นิมนต์เข้าไปเทศน์ที่จวน สมเด็จเจ้าพระยาจุดเทียน พระเทพกระวีขึ้นธรรมมาสน์ ครั้นรับศีลเสร็จแล้ว พวกหัวเมืองเข้ามาหาสมเด็จเจ้าพระยา หมอบกันเป็นแถว ส่วนตัวเจ้าพระยานั้นเอกเขนกรินน้ำชาไขว่ห้างกำลังพระเทศน์ พระเทพกวีเลยเทศน์ว่า "สัมมามัวรินกินน้ำชา มิจฉาหมอบก้มประนมมือ" สมเด็จเจ้าพระยาบาดหูลุกเข้าเรือน ส่วนพระเทพกระวีก็ลงจากธรรมาสน์กลับวัดระฆัง ข่าวว่าตึงกันไปนาน
    ครั้นสมเด็จพระวันรัต (เซ่ง) ถึงมรณภาพแล้ว พระเทพกระวีต้องเป็นผู้ใหญ่นั่งหน้า ครั้งหนึ่งเมื่อมีกิจการฉลองสวดมนต์ในพระบรมมหาราชวัง พระเทพกระวีเป็นผู้ชักนำพระราชาคณะอ่อนๆ ลงมา ครั้นสวดเสร็จแล้วยถา พระรับสัพพีแล้วสวดคาถาโมทนาจบแล้ว พระเทพกวี (โต) จึงถวายอติเรกขึ้นองค์เดียวว่าดังนี้
    อติเรกวสฺสตํ ชีวตุ อติเรกวสฺสตํ ชีวตุ อติเรกวสฺสตํ ชีวตุ ทีฆายุโก โหตุ อโรโคโหตุ สุขิโต โหตุ มหาราชา สิทฺธิกิจจํ สิทฺธิกมฺมํ สิทฺธิลาโภ ชโย นิจฺจํ มหาราชสํ ส ภวตุ สพฺพทา ขอถวายพระพร ดังนี้
    สมเด็จพระจอมเกล้าทรงโปรดมาก รับสั่งถามว่า แก้ลัดตัดเติมจะได้บ้างไหม พระเทพกระวี (โต) ถวายพระพรว่า อาตมาภาพได้เปยยาลไว้ในตัวบทคาถา สำหรับสมเด็จบรมพิตรพระราชสมภารเจ้าจะได้ทรงตรอกลง ตามพระบรมราชอัธยาศัยแล้ว สมเด็จพระจอมเกล้าทรงตรอกซ้ำลงตรง ฑีฆายุ อีกบันทัดหนึ่ง ทรงตรอกลงที่หน้าศัพท์ มหาราชสฺส เป็น ปรเมนทรมหาราชวรสฺส นอกนั้นคงไว้ตามคำพระเทพกระวี (โต)ทุกคำ แล้วตราพระราชบัญญัติประกาศไปทุกๆ พระอาราม ให้เป็นขนบธรรมเนียมต้องให้พระราชาคณะผู้นั่งหน้าถวายคาถาอติเรกนี้ก่อน จึงรับ ภาวตุสัพฯ จึงถวายพระพรลา ออกจากพระที่นั่งได้ ตลอดจนการพระเมรุ การถวายพระกฐินทานตามพระอารามหลวง ต้องมีพระราชาคณะถวายอติเรกนี้ทุกคราวที่พระราชดำเนิน จึงเป็นราชประเพณีสืบมาจนทุกวันนี้แล
    ครั้นถึงปีฉลู สัปตศก จุลศักราช ๑๒๒๗ ปี สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสถาปนาพระเทพกระวี (โต) ขึ้นเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ รับหิรัญบัตรมีฐานา ๑๐ มีนิตยภัตร ๓๒ บาท ค่าข้าวสาร ๑ บาทต่อเดือน สมเด็จฯ มีชนมายุ ๗๘ พรรษา ๕๖ ได้เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ในปีโสกันต์ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง โสกันต์คราวนี้มีเทศน์กัณฑ์เขาไกรลาส รวมที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นราชาคณะ เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังมาได้ ๑๕ ปี จึงได้เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ในปีฉลู สัปตศก จุลศักราช ๑๒๒๗ เป็นปีที่ ๑๕ ในรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงเทพมหานครแล
    ครั้งหนึ่งมีราชการโสกันต์ สังฆการีวางฎีกาว่าย่ำรุ่งถึง แล้วถวายพระพร ถวายชัยมงคลคาถา พระฤกษ์โสกันต์ วางฎีกาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ครั้นได้เวลาย่ำรุ่งตรง ท่านก็มาถึง พระมหาปราสาทยังไม่เปิดพระทวาร สมเด็จพระพุฒาจารย์ก็มานั่งอยู่บนบันไดพระมหาปราสาทชั้นบน แล้วท่านก็สวดชัยมงคลคาถาชยันโตโพธิยาลั่นอยู่องค์เดียว สามจบแล้ว ท่านก็ไปฉันข้าวต้มที่ทิมสงฆ์ แล้วท่านก็ไปพักจำวัดในโรงม้าต้น ในพระบรมมหาราชวัง ครั้นเวลาสามโมงเช้า เสด็จออกจวนพระฤกษ์ สังฆการีประจุ พระราชาคณะประจำที่หมด ยังขาดแต่สมเด็จพระพุฒาจารย์องค์เดียว เที่ยวตามหากันลั่นไปหมด สมเด็จพระจอมเกล้าทรงกริ้วใหญ่ พวกทนายเลือกสนใจใน บอกต่อๆ กันเข้าไปว่าได้เห็นสมเด็จหายเข้าไปในโรงม้าต้น พวกสังฆการี เข้าไปค้นคว้าอาองค์ท่านมาได้ ช่วยกันรุนก้นดันส่งเข้าไปในพระทวาร ครั้นทอดรพะเนตร์เห็น ก็กริ้วแหว รับสั่งว่า "ถอดๆ ไม่ระวังรั้วงานราชการ เป็นขุนนางไม่ได้ แฉกคืนๆ เร็วๆ เอาชยันโตทีเดียว" ขรัวโตก็เดินชยันโตจนถึงอาสนสงฆ์ ลงเข้าแถวสวด พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงคีบพระเมาฬี พระบรมวงศานุวงศ์ก็คีบ และคีบ แลโกน เป็นลำดับไป ครั้นเสร็จแล้ว ทรงประเคน อังคาสพระสงฆ์ แล้วเสด็จเข้าในพระฉาก
    ขรัวโตฉันแล้วก็นั่งนิ่ง เสด็จออกเร่งให้ยถา ขรัวโตก็ยถา แต่ไม่ตั้งตาลิปัด เวลานั้นพระธุระมาก มัวหันพระพักตร์ไปรับสั่งราชกิจอื่นๆ พระพุฒาจารย์ (โต) ก็เดินดุ่มๆ รีบออกไปลงเรือข้ามฟาก พอแปรพักตร์ไปรับสั่งอติเรก จะรีบฯ พระราชาคณะรองๆลงมา ก็ไม่มีใครกล้า นิ่งงันกันไปหมด รับสั่งถามว่า "อ้าว สมเด็จหายไปไหน" เขาทูลว่า "ท่านกลับไปแล้ว" "อ้าวพัดยังอยู่ ชรอยจะทำใจน้อยไม่เอาพัดไป เร็ว เอาพัดไปส่ง เอาตัวมาถวายอติเรกก่อน" สังฆการีรีบออกเรือตามร้องเรียก "เจ้าคุณขอรับ นิมนต์กลับมาก่อน มาเอาพัดแฉก" ท่านร้องตอบมาว่า "พ่อจะมาตั้งสมเด็จกลางแม่น้ำได้หรือ" สังฆการีว่า "รับสั่งให้หา" ท่านก็ข้ามกลับมา เข้าทางประตูต้นสน ดุ่มๆ ขึ้นมาบนพระปราสาท แล้วรับสั่งให้ถวายอติเรกเร็วๆ ฯ ทูลว่า ขอถวายพระพร ถวายไม่ได้ฯ" รับสั่งถามว่า "ทำไมถวายไม่ได้ฯ" ทูลว่า "ขอถวายพระพร เหตุพระราชบัญญัติตราไว้ว่า ให้พระราชาคณะถวายอติเรก บัดนี้ อาตมาภาพกลายเป็นพระอันดับแล้ว จึงไม่ควรถวายอติเรก ขอถวายพระพรฯ" รับสั่งว่า "อ้อ จริงๆ เอาสิ ตั้งกันใหม่" กรมวังออกหมายตั้งสมเด็จ บอกวิเสศเลี้ยงพระอีก สังฆการีวางฎีกา เอาพระชุดนี้ก็ได้ วิเสศทำไม่ทัน ก็ทำแต่น้อย ก็ได้เพียง ๕ องค์ ศุภรัตน์เตรียมผ้าไตรตั้ง และพระไตร พระชยันโต แล้วเสด็จ พวกสังฆการีวางฎีกาพระชุดโสกันต์กำหนดเวลา เลยกลับไม่ได้
    ครั้นเวลา ๕ โมง เสด็จออกทรงประเคน พระฉันแล้ว (ประกาศตั้งสมเด็จ) ทรงประเคนหิรัญบัตร ประเคนไตร บาตร ตาลิปัด ย่าม พระชยันโต คราวนี้สมเด็จยกไตรแพรครอง กลับเข้ามาอนุโมทนาแล้วถวายอติเรก ถวายพระพรลา เป็นอันเสร็จการไปคราวหนึ่งฯ
    ครั้งหนึ่ง เข้าไปฉันในพระบรมราชวัง ได้ทรงประเคนไตรแพร ท่านก็นำไตรแพรนั้น เช็ดปาก เช็ดมือ ยุ่งไปหมด รับสั่งทักว่า "ไตรเขาดีดี เอาไปเช็ดเปรอะหมด" ท่านตอบว่า "อะไรถวายได้ ผ้าเช็ดมือถวายไม่ได้ อาตามภาพก็ต้องเอาผ้าไตรของอาตมาเอง เช็ดอาตมาเอง เป็นอันได้ บริโภคของทายกแล้ว ไม่เป็นสัทธาเทยสินิบาตฯ
    ครั้งหนึ่งเข้าไปฉันในพระบรมมหาราชวังอีก ถวายเงินองค์ละ ๒๐ บาท สมเด็จทำดีใจ รวบเงินใส่ย่ามกราว ทรงทักว่า "อ้าว พระจับเงินได้หรือ" "ขอถวายพระพร เงิน พระจับไม่ได้ แต่ขรัวโตชอบ" เรื่องแผลงๆ ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) องค์นี้ตั้งแต่เป็นพระธรรมกิตติ มาจนเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ต่อหน้าพระที่นั่งเสมอมา แต่ก็ทรงอภัย ซ้ำพระราชทานรางวัลอีกด้วย ถึงวันรวบเงินนี้ ก็รางวัลอีก ๓๐ บาท รวบใส่ย่ามทันที ครั้นหิ้วคอนย่ามออกมา คนนั้นล้วงบ้าง คนนี้ล้วงบ้าง จนหมดย่าม ท่านคุยพึมว่า "วันนี้รวยใหญ่ ๆ" ฯ
    ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk-hist-index-page.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...