สรุปว่าเปิดแล้ว เมื่อวานได้ไปบู๊ทอาจารย์มาอีกครั้ง ตามคำพูดของคุรุท่านหนึ่ง ว่าจะสอนวิธีควบคุมพลังและการใช้ตาที่3 ให้ ผมจึงหนีความเป็นจริง โดยการทิ้งงานกองโต ลืมเส้นตายงาน ไปเข้าร่วมอย่างไม่ลังเลใดๆ ฮ่าๆ เด็กดีอย่าเอาอย่างนะ นักเรียนวันนี้ จะมีผม คุณ เอ วิวัฒน์ และคุณลูกลิง นอกจากนี้ ยังมีคุณ เนอร์วาน่า 008 เข้ามาร่วมอย่างมหัศจรรย์อีกด้วย ท่านได้สอนวิธีเปิดปิดพลังโดยใช้ระหัสเดียวกับการเปิดปิดตาที่3 การBoostพลังให้ มากขึ้นโดยการเดินลมปราน(แบบหนังจีนนั่นแหละ) และยังแสดงถึงความมหัศจรรย์ของตาที่3 ที่คุรุท่านนั้น ได้แสดงให้พวกเราดูอีกด้วย อาจารย์อาชวินก็ยังกรุณาช่วยสอนและติงถึงเรื่องพลังที่ไม่นิ่งของผม ด้วยการสอนสมาธิให้เล็กน้อย โดยให้กำหนดจิตไปที่ขวัญกลางกระหม่อมของตนเอง ซึ่งจะทำให้นิ่งได้เร็วมากๆ ลองไปทำดูกันครับ ด้วยความที่จิตยังไม่นิ่งหรือว่าอะไรก็มิทราบได้ พลังออร่าผมตอนไม่Boost ตกไปอยู่ที่แค่ 80 กว่าๆ แต่หากBoostพลังแล้ว สามารถขึ้นไปได้ถึง142 คือจำนวนเท่าเดิมได้ แต่พลังไม่นิ่ง ยังวูปวาบๆเหมือนคลื่นน้ำอยู่ ไม่ก้าวหน้าเลยตรู orz ต่อไปคงต้องพยายามฝึกจิตให้นิ่งๆมากขึ้นเสียแล้ว นอกจากเรื่องนี้แล้ว คุรุท่านนี้ ยังได้เล่าถึงเรื่องราวในอดีตของพวกเราให้ได้ฟังกันอีกด้วย ดังนั้น วันนี้ จะเขียนแบบแปลกหน่อย บรรยายความรู้สึกของตนหลังจากที่ฟังเรื่องราวเหล่านั้น เรื่องราวที่ทำให้ผมเข้าใจถึงความเป็นตัวตนของตน ในปัจจุบัน โดยใช้แรงบันดาลใจจากเนื้อเพลงๆหนึ่ง จากเกมในอดีต ทั้งๆที่ภาษาอังกฤษย่ำแย่ แต่ก็พยายามล่ะนะครับ อย่าหัวเราะแล้วกัน อิอิ "Old Echo that realized" เสียงสะท้อนอันเก่าแก่ที่ระลึกถึง Stand through the cold of the night With faith burns in our heart Ready to fight, a knife held close by our side Like a proud wolf alone in the dark With eyes that watch the world Beside the highness like a shadow On the face of the moon ผ่านความเหน็บหนาว ด้วยศรัทธาอันอบอุ่นในใจ พร้อมที่จะต่อสู้ด้วยดาบข้างกาย มองโลกด้วยความระแวดระวัง ดุจสายตาของสุนัขป่า เคียงข้างนายเหนือหัว เป็นหนึ่งเดียวดุจเงาบนผิวจันทร์ Sorrow clenched to my heart In the blue of night Torn by the pain, I paint your name in sound the king who retrieve us with eyes of sorrow,whom we cling together The praise of the people are his only crown ความโศกเศร้าที่ยึดแน่นในใจ ในค่ำคืนอันโศกเศร้า ด้วยบาดแผลนั้น ข้ากล่าวนามของท่าน ราชันย์ผู้กอบกู้พวกเรา ผู้มีดวงตาอันโศกเศร้า ที่ข้าภักดี เสียงสรรเสริญของปวงราษฏร์นั้นเป้นมงกุฏของท่านผู้เดียว We lived in the Glory of morning And parted deep in the night of war Broken sword and shield, and tears that never fall But run through the next life Washed away by the darkest sorrow Our country is peaceful and still.... เราอยู่ในรุ่งอรุณที่รุ่งเรือง และตายจากไปในสงครามในค่ำคืน ดาบที่หัก โล่ห์ และน้ำตาที่ไม่ทันได้หลั่งริน แต่กลับไปสู่ชีวิตภพต่อไป ทั้งหมดถูกล้างไปด้วยความเศร้าและมืดมน ประทศของเรานั้นจึงได้อยู่สืบมาอย่างสงบ Look at mirror, a billion shades of life we passed The old echo fades away But again that I Still find the answer And then, we can live through the end of the past Still, we can fight to the end of the world ภายในกระจกที่ส่อง ก็จะเห็นหลากหลายชีวิตที่ผ่านมา แม้เสียงสะท้อนอันเก่าแก่นั้นจะจางหายไปแล้ว แต่อีกครั้งที่ข้าเฝ้าหาคำตอบ จากการที่เรามีชีวิตอีกครั้งจากจุดจบในอดีต และยังคงสู้ต่อจนถึงจุดสุดท้ายของโลก Broken mirror, a million shades of light we losed The old echo fades away But again that I Still find the answer And then, we can realize again and Do praise for our king ,to the end of the world กระจกที่แตกร้าว หลายแสงสว่างที่ได้สูญเสีย แม้เสียงสะท้อนของวันวานจะจางหายไปแล้วก็ตาม แต่อีกครั้งที่ข้านั้นค้นหาคำตอบ และระลึกได้อีกครั้ง ที่จะสรรเสริญท่านจนถึงวันสุดท้ายของโลก ผมเชื่อ แต่ก็เก็บไว้รอพิสูจน์นะ แต่ทำไม เขียนไปๆ แล้วอยากจะร้องไห้จังเลย
อ่านแล้วอยากรู้จัง เล่าต่อได้ไหมว่าเป็นใคร ยุคไหน ทำหน้าที่อะไร เป็นเจ้าของดาบที่ถือในงานหรือเปล่า ช่วยเล่าที กำลังได้อารมณ์
แวะมาทักทายจ้ะ เขาพูดดีนะคำคำนี้ ใช้ปลุกใจทหารในการออกรบเรื่องแกลดดิเอเตอร์ แต่ สัจธรรมแท้ เลย ทุกการกระทำทุกบันทึกไว้เป็นวัฏจักรแห่งกรรม
ข้าพเจ้า มีแสงลงกลางกระหม่อม มีแสงยิงมาตรงกลางตาที่สาม สว่างวาบไปตั้งแต่จักระหก และกระจายไปทั้งตัว เข้าฌาน เห็นแสงตั้งไม่รู้กี่เตื้อ ตั้งไม่รู้กี่แบบ ต่างๆ กัน ยังไม่เห็น จะไปถึงไหนกะเขาเลย สภาวะธรรม มีเกิดขึ้น ดับไป เป็นของธรรมดา ที่มาพูดๆ กัน อาจเป็นอุปาทานเสียเยอะก็ได้นะ บางทีต้องทดสอบตัวเองให้มากๆ เข้าไว้ จิตนี่ทำงานเร็ว หลอกเก่ง ต้องตรวจสอบค่ะ (smile)
ที่คุณกังขา บอกว่า เข้าฌาณ เห็นแสงไม่รู้กี่เตื้อ ก็ไม่เห็นไปถึงไหนกะเขาเลย... เนี่ยเป็นเพราะ ไม่ไปเองรึเปล่าจ้ะ หรือเพราะไม่ต้องไปกันแน่ อิอิ พอเห็นเกิด ก็เห็นดับด้วย เลยไม่ไปต่อน่ะสิ ใช่ม๊า (มันดับแล้วจะไปต่อไงหว่า??) ไม่ค่อยมีความเห็น บางทีแสงสว่างของจิตก็เป็นได้ บางทีแสงสว่างนอกจิต หรือแสงสว่างของกสิณ เกิดจากการกำหนดก็เป็นได้ .... สุดแท้แต่ว่า สัญญา เดิมๆ เขาถนัดแบบไหน เท่าที่ดูๆ ส่วนใหญ่ทำตามถนัด กันเสียส่วนมาก
(b-smile) ..ง่า .. อยากมีฤทธิ์แบบคุณปานโสม พวกฝรั่งนี่ เขาถอดจิตไปเที่ยวกันเป็นแก๊งค์เลยนะ ใช้การสะกดจิตหมู่ค่ะ แต่ก็มีบ้างที่บางคนไปไม่ได้ ({)
ดีครับ น้องโจ้ เจ้าของกระทู้นับเป็นตัวอย่างที่ดี ของผู้ที่สนใจฝึกฝน จนสามารถเปิดตาที่สามได้ครับ และกระทู้นี้ก็ยังเป็นกำลังใจให้อีกหลายท่านที่กำลังพยายามฝึกอยู่ครับ ขอให้ได้กันทุกคนครับ(b-smile)
ขออุ๊บไว้ก่อนแล้วกันครับ ถ้ารู้ถึงความจริงด้วยตนเองได้เมื่อไรแล้วจะมาเล่าให้ฟังแล้วกันครับ เพราะเรื่องราวเหล่านั้น ได้ฟังผ่านทางคุรุท่านหนึ่งที่เขาเห็นจากตัวผมเท่านั้นน่ะครับ สวัสดีครับพี่ปานโสม หาประโยคดีๆที่เป็นสัจจธรรมอยู่หลายประโยคเลยครับ สุดท้ายมาตายรังตรงที่หนังที่ตัวเองชอบที่สุด คือเรื่องแกลดดิเอเตอร์นี่เอง ไม่ค่อยไปถึงไหนเหมือนกันครับ เรื่องสมาธิ หรือเรื่องฌาณอะไรเนี่ย หลายอย่างก็กลัวว่าตนเองอุปทานไปเหมือนกันครับ เลยต้องเก็บไว้รอพิสูจน์ ดังที่ได้เขียนๆไปครับ สวัสดีครับ คุณโอโจ้ ขอบคุณที่ชอบกระทู้นี้ครับ คุณก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ผมรอที่จะได้พบอย่างเงียบๆในวันงานเดือนหน้าครับ อยากให้หลายๆคนเชื่อมั่นด้วยนะครับน่ะครับ เหมือนอย่างที่ผมจะเชื่อในอนาคต โดยผ่านทางเรื่องเล่าและสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม เพราะผมเองก็ไม่ใช่คนที่เชื่ออะไรง่ายๆเหมือนกัน ต้องพิสูจน์ด้วยตนเองก่อนตลอด ผมจึงกะจะเขียนกระทู้นี้ไปจนกระทั่งคำตอบทุกอย่างถูกแสดงออกมาแล้วครับ แต่ถามว่าเป็นตัวอย่างที่ดีไหม ผมว่ายังธรรมดาน่ะครับอาจารย์ชยา ตัวอย่างที่ดีกว่าผมคงมีอีกเยอะ เพียงแต่เขาไม่ยอมถ่ายทอดกานนน อิอิ เล่าๆอะไรกันหน่อยซิครับ ทุกท่าน ว่าเมื่อท่านรู้จักพลังจิตน่ะ เป็นอย่างไร อิอิ
คุณ กังขา หยอกชาเล่น แน่ๆเลย เรื่องฤทธิ์ นี่...เป็นคำพูดที่ดูขลัง แต่หากทำได้ขนาด กลางไปถึงมาก เมื่อจิต แท้ ไม่บริสุทธิ์ คงตัว เสื่อมนะ... แค่นั้นไม่พอ ผู้ที่มีครูอาจารย์ที่เก่ง ท่านเห็นเราผิด นี่ ท่านถอดฤทธิ์ ถอดวิชา เอาเฉยๆ จิต ที่เป็นอกุศล ที่เป็นมารทั้งหลาย นี่ มันสอดมันแทรกเร็ว เราน่ะไม่ทันนึก ไม่ทันได้ปรุงแต่งหรอก แต่ (สัญญาเดิม) มันวู๊บเดียว แค่นั้นแหล่ะ ครูอาจารย์เป็นสิบ เป็นร้อย ท่านรู้ท่านเห็นหมด มีการตักเตือนกัน ไม่ต้องไปนั่งจ้อให้ท่านฟังเลย ท่านรู้หมด ชาเคยพลาด..โดนกักบริเวณ 3 เดือน(สองหน) ลองดื้อ ไป ก็โดนล๊อกจิตไว้ คุณกังขาเคยบอกว่าโดนผีอำ อาการคล้ายๆกัน แต่นี่ จะเหมือนติดคุก ที่ไม่มีกำแพง สว่างใสไปหมด กว้างใหญ่ เท่าๆที่ เราจะมีแรง ทะยานไป นับกันว่ากว้างใหญ่กว่าจักรวาล แต่พอยิ่งไป ยิ่งหนี ก็เหนื่อยเอง เพราะไปยังไงก็ติดอยู่อย่างนั้น กลับไม่ได้หรอก แต่ จิตยังเป็นอิสระอยู่คือ เห็น ได้ยิน เคลือนไหว (ตัดโลก ชั่วคราว) แต่ไปติดอยู่ไหน ตัวเองก็บอกไม่ได้ เมื่อพยายามอย่างสุดชีวิตแล้ว...กลับไม่ได้ ก็นั่งร้องไห้...สำนึกผิด ทุกวันนี้ จิตก็ไม่บริสุทธิ์ล้วน ยังมีผิดเป็นระยะ ระยะ 4 วันที่แล้วก็ผิด ใช้ คาถา จับขโมย โดยเอาหนามทิ่ม ที่รอยทางเดิน อธิฐานว่าขอให้ผู้นำเงินไป เจ็บเท้าเดินไม่ได้ 1-7วัน วันนี้มีคน ขาเจ็บบวมเบ่ง เดินไม่ได้ ไม่มาทำงาน ชารู้แล้ว แต่ก็ไม่รู้จะทำไง...กลุ้ม กรรม ของชา กับเขา น่ะ แต่เราปกครองคนเยอะจำเป็นต้องจัดการ และชาก็บอกครูอาจารย์ว่าจะอภัย ให้เมตตาเป็นทาน...ตอนที่ขอใช้คาถา แต่เงินมันเยอะ...ก็เลยไม่รู้จะทำไง กลุ้ม.... น้องที่พลังจิต ชอบในเรื่องฤทธิ์ จึงมาเขียนให้ได้มุมมอง ว่า นี่ก็ยังน้อยไป ส่วนผู้ที่เก่งในเรื่องคาถา ก็ต้องระวังให้มาก เก่งก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำถูกไปหมด ที่มาเขียนนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะถูก...เหมือนกัน เฮ้อ กลุ้ม... (b-uh)
4 วันที่แล้วก็ผิด ใช้ คาถา จับขโมย โดยเอาหนามทิ่ม ที่รอยทางเดิน อธิฐานว่าขอให้ผู้นำเงินไป เจ็บเท้าเดินไม่ได้ 1-7วัน วันนี้มีคน ขาเจ็บบวมเบ่ง เดินไม่ได้ ไม่มาทำงาน ชารู้แล้ว แต่ก็ไม่รู้จะทำไง...กลุ้ม ...................................................... ได้วิชาจับขโมย มาอีก 1 วิชา (b-smile)
อ้างอิง .. ชาเคยพลาด..โดนกักบริเวณ 3 เดือน(สองหน) ลองดื้อ ไป ก็โดนล๊อกจิตไว้ อา... แต่ก็ยังแสดงว่า อาจารย์ดูแลอยู่นะคะ มีฤทธิ์ มีคาถา นี่ไม่ใช่ของง่ายๆ ไม่ได้มีกันง่าย สาธุนะคะคุณชา แต่กลุ้มเรื่องเงินนี่ ดีกว่ากลุ้มไม่มีเงินนะคะ .. รึเปล่านะ?? (b-smile) ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านนะคะ ({)
ยินดีด้วยครับคุณ raquaz สำหรับความสำเร็จ ที่คุณได้รับ และผมขอขอบคุณในความคิดริเริ่มเปิดกระทู้เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ สำหรับคนใหม่ ตัวผมเองก็เริ่มพร้อมๆกับคุณ แต่ยังไม่มั่นใจ จนได้รับคำยืนยันและทดลองด้วยตัวเองโดยเฉพาะการมองอาวุธที่ท่านคุรุ ให้มองแล้วด้วยตาที่3แล้วตอบ ปรากฎว่าเราทั้ง4คนตอบได้ถูกเหมือนกัน ก็เลยทำให้ผมมั่นใจขึ้นและยิ่งตอนที่คุณ เนวาดามาโดยที่ท่านคุรุบอกว่าท่านใช้ โทรจิตเรียกไป ส่วนคุณเนวาดาบอกว่านั่งสมาธิแล้วเห็นหลวงปู่ท่านบอกว่าให้เอากระบี่ หรือเครื่องรางอะไรซักอย่างที่อยู่ที่คุณ เนวาด้า(ขออภัยครับผมจำไม่ได้ว่าคืออะไร) มาให้คุรุท่านนั้นที่บู้ทของอาจารย์จนทำให้คุณเนวาด้าต้องลางานมาที่บู้ทของอาจารย์ในวันนั้น ซึ่งบางคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ หรืออาจจะว่าคิดเข้าข้างตัวเองหรือเปล่าก็แล้วแต่มุมมอง แต่ผมเองมองในมุมของพลังจิตแล้วท่านอาจารย์ อาชวินก็บอกว่าเป็นเรื่องของพลังจิตที่ฝึกได้ ส่วนตัวผมเองผมหลังจากที่ไปงานครั้งที่1ผมก็เริ่มจัดโปรแกรมฝึกในแต่ละวัน ทันที ตามความเข้าใจของตัวเอง ช่วงเช้า 1.ฝึกหมุนจักระที่6,7 ประมาณจุดละ 5 นาที 2.สวดมนต์ (สวดแบบตั้งใจสวดตามตัวหนังสือเลย เพราะรู้สึกว่าจะทำให้จิตเราจับอยู่กับบทสวดมนต์ อย่างเดียวไม่คิดฟุ้งไปเรื่องอื่น)<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-comfficeffice" /><o></o> 3.นั่งสมาธิ แต่ตอนเริ่มนั่งทุกครั้งผมจะกำหนดจิตไปไว้ที่กระหม่อม ประมาณ5นาที แล้วมาไว้ที่ระหว่าง คิ้ว <o></o> อีก3-5นาที หลังจากนั้นก็นั่งสมาธิตามแบบที่เคยนั่ง 4. แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล (อันนี้ผมคิดว่าสำคัญ เพราะถ้าเราทำด้วยความตั้งใจ ผมรู้สึกว่าจะทำให้เรา สบายใจมากและก็ใจเย็นขึ้น) 5.ระหว่างวันถ้านึกขึ้นได้ก็จะพยายาม เอาสติมากำหนดอยู่ที่งานที่เราทำเพราะรู้สึกว่าจะช่วยให้มีสมาธิใน การทำงานมากขึ้น และเป็นการฝึกจิตไม่ฟุ้งไปในเรื่องอื่น 6. ระหว่างเวลาว่าง เช่นช่วงรถติด ก็จะแผ่เมตตา ช่วงเบรก ช่วงว่าง ต่างๆ (ตรงนี้ผมว่าสำคัญมากเลย เพราะรู้สึกว่าพอเราทำบ่อยๆ แล้วเราจะใจเย็นลง ถ้าโมโหใครก็จะมีสติกับมาได้เราจะไม่เหมือน เมื่อก่อน) 7. ช่วงเย็นถ้าว่างก็จะฝึกมองดูออร่าตัวผ่านกระจกบ้างฝึกสัมผัสพลังงานจากฝ่ามือบ้างพระเครื่องบ้าง ถ้า มีเวลา 8. ช่วง 20:30 น. หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย ก็เริ่มสวดมนต์ไหว้พระขั้นตอนเหมือนช่วงเช้า หลังจากนั้นก็ลองฝึกมองภาพ3มิติบ้างประมาณ10นาที ดูออร่าบ้างนิดหน่อย แล้วหยุดพักผ่อนดูทีวี ตามปรกติ ระหว่างนั้นถ้านึกขึ้นได้ก็จะนึกแผ่เมตตาอุทิศบุญเป็นระยะๆ ผลของการทดลองช่วง1อาทิตย์แรกแผ่เมตตาอุทิศบุญบ่อยมาก แต่พอสัปดาห์ที่สองทำได้มากขึ้น แล้ว รู้สึกว่านั่งสมาธิจิตจะสงบและไม่ฟุ้งเหมือนเมื่อก่อน สัปดาห์ที่3เริ่มมีอากาเต้นตุ๊บๆตรงหว่างคิ้วแล้วเต้น มากขึ้นเวลานั่งสมาธิ ถึงช่วงนี้เวลานั่งสมาธิจิตจะไปจับตรงหว่างคิ้วเองเลย ตรงนี้ก็ไม่ทราบเป็นเพราะ อะไร แต่ตั้งแต่สัปดาห์ที่2 มานี่ผมจะนึกแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลได้มากครั้งขึ้น รู้สึกสบายใจมากขึ้นไม่ได้ หวังผลอะไรกับการฝึกเท่าไรแต่ก็ยังฝึกอยู่สม่ำเสมอ จนถึงวันงาน เมื่อวันที่ 9 ก.ย. เจอท่านคุรุที่ท่านคอยแนะนำวิธีฝึกให้ท่านให้ลองดูออร่าเพื่อนในงานสลับกัน ก็มองเห็นแต่ยังไมชัดเจนเห็นเป็นสีแล้ว ประมาณ2-3สี แต่เป็นสีใสๆ แล้วต้องเพ่งนานอยู่กว่าจะเห็นเป็นสี อ้อเกือบลืมคือที่ไปงานครั้งแรกผมวัดพลังภายในได้ 72 เมตร รัศมีออร่า3.5เมตร ในงานครั้งที่2 วัดพลังได้124 เมตร รัศมีออร่าได้4.5 เมตรครับ แต่ท่านคุรุที่สอนผมได้กรุณาอธิบายว่ากำลังที่สูงก็มีโอกาสมองเห็นสิ่งที่เป็นทิพย์ต่างๆเช่นวิญญาณ กายทิพย์ต่างๆได้มากกว่าคนที่พลังน้อย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตที่ทรงอยู่ในพรหมวิหาร4 แต่โดยส่วนตัวผมพอท่านบอกให้ทรงจิตให้อยู่ในพรหมวิหาร4 ก่อนเพ่งมองไปที่เป้าหมาย ผมจะนึกถึงอารมณ์ความรู้สึกตอนที่เราแผ่บุญอุทิศส่วนกุศลบ่อยๆทำให้เราความรู้สึกนั้นได้เร็วขึ้นซึ่งก็ทำให้มอง เห็นแสงออร่าได้เร็วขึ้น แต่ก็ยังต้องค่อยๆเพิ่มพลังขึ้นอีกครับ
เอาบุญมาฝากคุณมงค่ะ...และสมาชิกท่านอื่น ๆ ด้วย...เสียดายครั้งที่ 2 ไม่ได้ไป เพราะติดงานอธิษฐานตายในโลงศพ....แต่ที่เสียดายยิ่งกว่า เลขท้าย 3 ตัวหมุน 4 ครั้ง ซื้อ 257 ตามจำนวนของศพที่นอนตาย เลขดันออก 247 เฮ้อ...พลาดไปแต้มเดียวเอง และช่วงสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ มีงูเขียว วัยกำลังเป็นสาว มาขดตัวเป็นรูปสัญลักษณ์ตัวโอม ให้เห็นอีกด้วยแน่ะ คิดว่าเจ้าหล่อนคงมาให้โชคนะเลยซื้อ 39 เลขดันออก 36..... ไปอีกงวดหน้าจะเจียดเงินทำบุญไปให้นะจ๊ะเจ้างูเขียว สาธุ สาธุ สาธุ
--วันอาทิตย์อีกแล้ว-- หลังจากสอนภาษาญี่ปุ่นช่วงเช้าเสร็จ ก็รีบไปที่ซุ้มอาจารย์เหมือนเคย วันนี้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาของอาจารย์มากันมากมายเหลือเกินเลยครับ พวกพี่ทานะบารมี โทรมาหาแต่เช้า เพื่อที่จะชวนมาซุ้มอาจารย์ด้วยกัน แต่เผอิญผมมีสอนเสียก่อน เลยต้องต่างคนต่างไป ขอบคุณที่นึกถึงเสมอครับ คุณMoonly ที่อุตส่าห์เอาลูกแก้วจักรพรรดิ์ลูกโตที่สุดมาให้ ตามที่ผมเคยบ่นว่า ขอไปแล้วไม่ได้ ขออนุโมทนาด้วยครับ นั่งคุยกันไปได้สักครู่หนึ่ง ก็เกิดความคิดขึ้นอย่างหนึ่ง คุรุวิวัฒน์ ผู้ที่ช่วยทำน้ำมนต์ให้ดื่มเสมอๆ ซึ่งพลังของคุรุวิวัฒน์เป็นพลังร้อน เลยแกล้งถามอาจารย์ไปเล่นๆว่า พลังอาจารย์ช่วยสลายไขมัน ลดความอ้วนได้ไหมครับ แน่นอนว่าได้ แต่ต้แงใช้การปรับกิจวัตรประจำวันเข้าร่วมด้วย คุรุวิวัฒน์ท่านเลยได้ช่วยสลายไขมันบริเวณกล้ามเนื้อหนึ่งแพ็คตรงท้องให้ผมเป็นการทดลอง พร้อมกับบอกแนวทางการกินอาหารและใช้ชีวิตประจำวันด้วยครับ เลยถือโอกาสนี้เริ่มไดเอทอย่างจริงจังเสียที อิอิ หลังจากนั้นสักครู่ คุณเมาท์ ที่มีของมาแจกให้บูชากันเสมอๆ ก็มาพร้อมกับคุรุโคมฉาย และในช่วงนี้เอง ที่พวกเราได้รับพรจากพระพุทธเจ้า28 พระองค์ ผ่านทางร่างของลูกค้าท่านหนึ่งที่มาให้อาจารย์อาชวินอัดพลังศักดิ์สิทธิ์ให้กับวัตถุมงคลที่จะนำไปใช้สร้างพระพุทธรูป ที่พลังขณะที่ลงมาโปรดพวกเรานั้นแรงมาก จนตัวผมเอนไปตามแรงเลยทีเดียว ต่อหน้าพระพุทธเจ้า 28 พระองค์นั้น ผมได้อธิษฐานของให้ได้ช่วยเหลือผู้คนโดยการใช้ตาที่ 3 ของผมด้วยครับ เนื่องจากเป็นโอกาสอันดีสุดๆ และพวกเราทุกคนยังได้รวบรวมเงินทำบุญ สมทบทุนสร้างพระพุทธรูปในครั้งนี้อีกด้วยครับ ต่อมา ก็ได้มีการถอนคุณไสย์ออกจากวัตถุมงคลชิ้นหนึ่งที่ลูกค้านำมาให้อาจารย์ดูเช่นกัน โดยถูกฝังไว้ใต้ฐานรูปจำลอง โดยโบกปูนพลาสเตอร์ทับเอาไว้อีกที ดังนั้น ผมกับอาจารย์วิวัตน์ก็เลยช่วยกันเลาะปูนออก จนพบลวดเส้นหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นแกนการหล่อปูน พร้อมกับ แท่งคริสตัล ตัวต้นเหตุที่มีผีสิงอยู่ข้างใน นอกจากนี้ ยังได้พบกับสตรีท่านหนึ่งที่มีอดีตเป็นพระราชธิดาของสมเด็จพระเอกาทศรถ ท่านได้นำสารจาเบื้องบนมาถึงพวกเราทุกคน ณ ที่นั้น ซึ่งน่ามหัศจรรย์ที่แต่ละคน ณ ที่นั้น ก็จะมีอดีตร่วมกันกับท่านมา วันนี้ จึงพอเข้าใจสาเหตุว่าทำไมบู๊ทอาจารย์จึงคนเยอะมาก คงเป็นเพราะสัญญาเก่าที่พวกเรามีมานั่นเอง วันนี้ แม้จะไม่ค่อยได้ฝึกอะไรเสียเท่าไร แต่ก็รู้สึกคุ้มค่ามากมาย ที่ได้ พบกับสิ่งมหัศจรรย์มากมายที่เกิดขึ้นในวันนี้ จริงๆ