จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. watta chan

    watta chan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +586
    ขอแผนที่ และรถเมล์ผ่านได้ไหมครับ ...
    กะเหรี่ยงกำลังจะตกดอย....
     
  2. mooda94

    mooda94 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +299
    [​IMG]

    รถเมล์ที่ผ่านสาย
    36 ห้วยขวาง - สี่พระยา
    29 หัวลำโพง - ม.ธรรมศาสตร์สูนย์รังสิต
    11 ผาสุก - มาบุญครอง
    34 ม.รัตนโกสินทร์200ปี - หัวลำโพง
    93 ม.นักกีฬา - สี่พระยา
    79 อู่พุทธมณฑลสาย2 - ราชปรารภ
    16 หมอซิต2 - สุรวงศ์
    50 พระราม7 - สวนลุม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2012
  3. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ไปหน้าเก่าๆ เจอที่เคย post ไว้ เลยเอามา post ใหม่ค่ะ ช่วงนี้ท่านใหม่ๆในกระทุ้เยอะ
     
  4. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ไปเจอพี่ภู post ไว้ น่าจะเป็นประโยชน์กับท่านที่กำลังฝึกอยู่
    เลยมาลงให้ใหม่ค่ะ
     
  5. tossapon15

    tossapon15 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +417
    สงสัยจาเป็นผมคร้าบรักครูมากเลยอยู่น้านนนนนนนาน(smile)
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คำขอขมากรรมและอธิษฐานจิต
    อธิษฐานหน้าพระพุทธรูป หรือ สวดก่อนนอนก็ได้

    (นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 3 จบ)

    สัพพัง อะปาราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต

    หากข้าพเจ้า..(ชื่อ/นามสกุล).. จงใจหรือประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกิน ต่อ พระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระอริยสงฆ์เจ้า บิดา-มารดา ครูบาอาจารย์ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมถึงผู้มีพระคุณ และท่านเจ้ากรรมนายเวร จะด้วย กาย วาจา ใจ ก็ดี ขอได้โปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย

    หากข้าพเจ้ามีเจ้าของในตัวติดตามมา ขออนุญาตมีคู่ มีครอบครัวได้เหมือนคนปกติทั่วไป ขอถอนคำอธิษฐาน คำสาบานที่จะติดตามคู่ในอดีต ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกัน

    ข้าพเจ้าจะประพฤติตนในทางที่ถูก ที่ชอบ ที่ควร ขอบุญบารมีในอดีตกาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จงส่งผลให้ข้าพเจ้าและครอบครัว ตลอดจนบริวารที่เกี่ยวข้อง จงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ สติปัญญา ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ อุปสรรคใดๆ โรคภัยใดๆ ขอให้มลายสิ้นไป ขอให้ข้าพเจ้ามีความสว่างทั้งทางโลก ทางธรรมตั้งแต่บัดนี้ตราบเข้าสู่พระนิพพาน เทอญ

    หากมีผู้ใดเคยสร้างเวรสร้างกรรมกับข้าพเจ้า ไม่ว่าจะชาติใดภพใดก็ตาม ข้าพเจ้ายินดีอโหสิกรรมให้ ยกถวายพระพุทธเจ้าให้เป็นอภัยทาน ขอถอนความอาฆาตพยาบาท และ คำสาปแช่งในทุกชาติ ทุกภพ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของปวงชน ของเจ้ากรรมนายเวร ขอให้พ้นนรกภูมิ ได้พบแสงสว่างทั้งทางโลกและทางธรรม เทอญ

    *เครดิตคุณแพทUK
    ปล.ขออนุญาตนำมาลงอีกครั้ง เพราะแก้ไขเพิ่มเติมให้สมบูรณ์แบบยิ่งๆขึ้นไป

    ขอฝากธรรมะเล็กๆน้อย ก็คือ
    ธรรมอันเป็นสิ่งที่คอยกีดกั้น กีดขวาง คอยมิให้ผู้ปฎิบัติเข้าถึงความดี หรือบรรลุธรรม อันได้แก่
    นิวรณ์๕ สำหรับผู้ปฎิบัติใหม่
    นิมิต สำหรับผู้ที่กำลังปฎิบัติ
    แม้นแต่กระทั่ง พวกที่ติดสุขจากฌาน ติดตัวรู้ หรือ อภิญญา เมื่อจิตเดินทางมาถึงตรงนี้กัน หรือเมื่อจิตสามารถเข้าถึงความว่างหรือความละเอียดแห่งจิต ผู้ปฎิบัติจะเจอกิเลสละเอียดของตนเองได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับตนเองว่าจะกล้าฆ่ามันไหม จะเก็บหรือจะรักชอบพอใจกับสิ่งที่ได้มานั้น กิเลสตรงนี้ไม่มีผู้ใดบอกกับท่านได้หรือสอนท่านได้ นอกจากผู้ปฎิบัติจนกว่าสติปัญญามากเมื่อไหร่เมื่อนั้นก็จะมองเห็นหรือสามารถละกิเลสตัวละเอียดของตนเองได้ แม้นกระทั่งนิมิตนั้นจะเป็นความจริงก็ตาม ผู้ที่จะไปพระนิพพานกันชาติ จะต้องวางให้หมด แม้นกระทั่งบุญหรือบารมี ที่ครูๆทั้งหลายกำลังทำ กำลังสร้างกันอยู่นี้กัน
    เพราะฉะนั้นละ ปล่อย วางกันให้ได้ทั้งหมด จิตเขาจึงจะเข้าสู่ความว่าง หรือจิตจึงจะเข้าสู่วิมุตติสุข หรือเข้าพระพนิพพานกันได้

    จิตของท่านเท่านั้น ที่จะทำหน้าที่ปล่อยวางกับสิ่งทั้งปวง มิใช่เรา
    และจิตเท่านั้น ที่จะไปพระนิพพาน มิใช่กาย
    เพราะฉะนั้น รไม่ว่าจะไปรู้ ไปเห็น ไปสัมผัสอะไรมา ก็ขอให้เราวางมันซะ ก็แค่นั้นเอง


    ผู้ที่จิตหยาบ ก็ขอให้ละวางของแต่ของหยาบๆก่อน
    แต่ถ้าผู้ที่มีจิตละเอียดดีแล้ว ก็ขอให้ละวางกับของละเอียดยิ่งๆขึ้นไป อันได้แก่สังโยชน์เบื้องสูง เป็นต้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 พฤศจิกายน 2012
  7. Ubonrat95

    Ubonrat95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +102
    ขออนุโมทนาบุญกับจิตบุญทึ่ 103-104 ด้วยนะค่ะ ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จก็อยู่ทึ่นั้นค่ะสาธุ 
    พี่แนทกลับไปเมืองไทยอย่าลืมส่งพลังบุญมาทาง UK ด้วยนะค่ะ

    จบ. 95 ;aa4 'aa26
     
  8. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    ขอโมทนากับจิตบุญดวงที่ ๑๐๔ และคุณครูผู้สอนด้วยค่ะ สาธุ...
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    วิชาป้องกันมิจฉาทิฎฐิ
    หลงนิมิต หรือ บ้าอภิญญา
    หลังจากการปฎิบัติจิตเกาะพระ โดยเฉพาะจิตบุญ ​


    เมื่อจิตบุญ(บางท่าน) ที่คอยหมั่นทรงฌานเป็นปกติ
    เข้าถึงความละเอียดแห่งจิต หรือ จิตเข้าถึงความว่าง
    จิตจะเข้าใจ คำว่า ธรรมดา มันเป็นเช่นนี่เอง

    ธรรมด๊าธรรมดา ก็เพราะจิตไปเห็น จิตไปรู้ซึ้งถึงความเป็นจริงของธรรมชาติแห่งตนเอง เรามองเห็นความเป็นไปของจิต บางทีเราเรียกว่า การเกิด การตั้งอยู่(ส่วนจะนานแค่ไหนขอตอบว่า ปัจจัยเป็นเหตุ) และการดับ
    นี่คือ ลักษณะธรรมชาติจิตของคนเรา ก็มีอยู่แค่นี้จริงๆ

    แต่ถ้าผู้ใดไม่ฝึก ก็จะไม่รู้ความจริงของจิตตนเอง เพราะทุกวันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญอย่างอื่นมากกว่า ที่ไม่ใช่เรื่องจิต ก็เลยได้รับรู้แต่ สิ่งมายา สิ่งหลอกลวงกันวันๆ เท่านั้นเอง
    แต่ถ้าพวกเราไม่ยอมฝึกจิต เราก็ไม่มีทางรู้สึกตัว รู้นะตนเองโง่ แต่ไม่ยอมรับตามสภาพความจริง
    ภาษาธรรมเขาเรียกว่า จิตไม่มีญาณ ไม่มีตัวปัญญาหรือตัวหยั่งรู้
    เมื่อจิตของคนเราไม่มีญาณ อะไรกับแค่ญาณ บางคนยังเข้าไม่ถึงฌานเลย เมื่อเข้าไปไม่ถึงฌาน จิตก็ไม่มีปัญญา
    เพราะฉะนั้น จิตปุถุชน อย่างมากแค่มีสติธรรมดาๆ ซึ่งมีมากกว่าคนบ้า แค่รู้สึกตัวกันเท่านั้นเอง ไม่หลงไม่ลืมเป็นใช้ได้
    แต่สติของผู้ปฎิบัติแค่นั้นมันไม่เพียงพอต่อการปฎิบัติ เพราะฉะนั้นผู้ปฎิบัติจำเป็นจะต้องเร่งสร้างสติให้มากกว่าเดิม เพราะว่าเมื่อมีสติมาก จิตก็นิ่ง หรือจิตเกิดฌาน เมื่อจิตนิ่งสงบดีแล้วปัญญาจึงเกิด เมื่อจิตมีปัญญาแล้ว ต่อไปจิตก็จะรู้เท่าทันกิเลสตนหรือกิเลสโลก หรือ จิตรู้เห็นเกิด-ดับในขณะจิตที่กำลังมีสิ่งที่มากระทบจิตนั้น เป็นธรรมดา
    จิตมองเห็นธรรมดา จิตก็ปล่อยวางได้ง่ายขึ้น เพราะจิตรู้แล้ว เข้าใจแล้ว

    ด้วยสาเหตุนี้ถึงทำให้จิตปุถชนหรือคนธรรมดา จึงหนีความทุกข์กันไม่พ้น เพราะจิตม่นิ่ง หรือจิตไม่นิ่งเป็นปกติอยู่แล้ว พอมีอะไรบางสิ่ง บางอย่างมากระทบจิตเข้า จิตก็เลยต้องวิ่งหรืออ่อนไหว ไปตามสิ่งที่มากระทบจิตนั้นๆ
    นี่เป็นธรรมดาของผู้ที่ไม่ยอมฝึกจิต จิตก็ย่อมตามไม่ทันกิเลสหรือสิ่งที่มากระทบจิต จึงวิ่งตาม อ่อนไหวตาม รู้สึกตามทันที

    แต่หากผู้ใดฝึกจิตกันมาบ้างแล้ว ก็ยังดีกว่าผู้ที่ไม่เคยฝึก บางครั้งตามทันบ้าง บางครั้งตามไม่ทัน ก็ไม่เป็นไร อย่าไปกังวล อย่ารำคาญ เพราะจิตหรือความรับรู้สิ่งต่างๆนั้นอยู่ที่ขันธ์ ๕ (รูป๑ นาม๔)ของพวกเราทั้งหมดเลย แท้ที่จริงแล้ว ขันธ์ ๕ ก็คือ ตัวทุกข์ดีๆ นี่เอง เพราะฉะนั้น ถ้าขันธ์ ๕ หรือร่างกายของเรา คือตัวทุกข์ พวกเราก็อย่าไปคิดหนีกันเสียให้ยาก ถึงพยายามหนีทุกข์ ก็หนีไม่พ้น เพราะตราบใดเรายังมี/ครองขันธ์ ๕ กันอยู่
    บางคนถามว่าตายแล้วพ้นทุกข์มั๊ย ตอบว่า ไม่พ้นหรอก ถ้าผู้ใดไม่ยอมฝึกจิต เราก็จะไม่มีทางรู้จัก คำว่า ตัวตนหรือตนเองนั้น แท้ที่จริงแล้ว เราคือใคร
    มา ณ วันนี้ เมื่อผู้ปฎิบัติ โดยเฉพาะจิตบุญ ขอให้พวกเราลองถามตนเองกันดูนะว่า เราคือใครหรือใครคือเรา
    พวกเราพอจะมองเห็นตัวตนมากขึ้น หรือ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมมากขึ้น เมื่อก่อนทุกข์มากแต่เดี๋ยวนี้ทุกข์น้อยลง หรือ ทุกข์น้อยก็ไม่ทุกข์แล้ว

    การปฎิบัติของจิตเกาะพระนั้น ขอให้ผู้ปฎิบัติดูที่ปฎิเวธ หรือ ผลของการปฎิบัติตนเอง)เป็นหลัก อย่าได้ไปดูผู้ปฎิบัติท่านอื่นๆว่า ทำไมคนนั้นจิตยกไว ทำไมจิตเรายกช้า อย่าไปดู นอกจากจะเสียกำลัง เพราะเราไปบั่นทอนกำลังใจตนเอง แต่ถ้าจิตเข้าถึงความละเอียด เขาก็จะบอกว่า คุณกำลังทำผิดศีลละเอียด บางท่านรักษาศีลหยาบยังไม่ได้เลย ศีลหยาบจะว่าด้วยการเบียดเบียนผู้อื่น โดยการกระทำหรือคำพูด แต่ศีลละเอียดจะว่าด้วยเรื่องมโน(ความคิด)เป็นหลัก

    เพราะฉะนั้น โดยเฉพาะจิตบุญ ความหลง อวิชชา อย่าให้มี
    ขอให้ผู้ปฎิบัติคอยหมั่นระลึกรู้ตัวอยูเสมอ รู้ธรรมแต่ในปัจจุบันทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ
    สตินะ..สติ ตัวนี้สำคัญมาก เพราะสติเท่านั้นที่พวกเราสามารถนำไปใช้ได้ทั้งโลกมนุษย์ ทั้งโลกทิพย์ ถึงผู้ใดจะมีจิตไวหรือตนเองฉลาดเพียงใด
    แต่ถ้าท่านไม่มีสติมากพอ ท่านก็อาจจะตกม้าตายง่ายๆก็ได้

    พวกเราปฎิบัติมาถึงกันตรงนี้แล้ว อย่าพลาดเพราะขาดสติ ยกเว้นผู้ที่คอยหมั่นทรงฌาน เอ่ออันนี้ไปรอด
    แต่ถ้าจิตบุญไม่สนใจเรื่องสติ ไม่สนใจเรื่องจิต ท่านกำลังจะเสียผู้ เสียคนในไม่ช้านี้ เพราะอาจจะเสียท่าให้กิเลสมาร ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ตนเองนี่แหล่ะ เช่น เสียรู้ตนเอง มิใช่คนอื่น
    สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากจิตไม่นิ่ง จิตไม่นิ่งคือจิตไม่มีปัญญา เมื่อทั้งเราทั้งจิตไม่มีปัญญา ก็เท่ากับเราไปยอมความโง่หรือตกไปอยู่ภายใต้อานัติกิเลสตนเอง

    และจะขอย้ำเตือนเป็นครั้งสุดท้าย สำหรับจิตบุญที่สามารถเข้าถึงความว่าง ความละเอียดแห่งจิตของตนเองได้ จิตก็มักไปพบเจอกับสิ่งที่ละเอียดเหมือนกัน จิตบุญบางท่านไปสัมผัส ไปรับรู้สิ่งละเอียดมากมาย แต่ละท่านพบเจอแต่สิ่งไม่เหมือนกัน ก็เพราะว่า บุพกรรม(กรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน)
    จิตบุญบางท่านที่กำลังสัมผัส อาทิเช่น สามารถรับ-ส่งสื่อกับท่านพ่อได้ ติดต่อสื่อสารกับเทวดาประจำตนได้ โดยเฉพาะมารู้ภายหลังว่า จิตเดิมแท้หรือดวงจิตดั้งเดิมนั้น เป็นดวงจิตของใครกันแน่) หรือ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้ อันนี้ยิ่งหนักไปกันใหญ่ แต่ถ้าจิตเราไม่นิ่งมากพอ ก็จะเอนเอียง เบี่ยงเบนพฤติกรรม บ้างก็หลงตนเอง เพราะต่างรู้ดีว่าคนเรานั้นเกิดมานับชาติไม่ถ้วน

    แต่คนที่ถูกส่งให้มาเกิด เพื่อทำหน้าที่ แต่บางดวงจิตเกิดมาหลงกาย หลงใจ หลงอย่างอื่น เพราะมีบางอย่างสื่อมาว่า ส่งลงมาเกิดเพื่อให้เจ้าทำหน้าที่เพื่อเผยแพร่พระธรรม เพื่อมาตามหาดวงจิตพวกเรากลับบ้าน แต่ส่วนใหญ่ลูกหลานก็เดินหลงทาง พูดง่ายๆ ก็คือ เสร็จกิเลสมาร จิตตกอยู่ภายใต้กิเลสกันสิ้น จนหาทางออกจากทุกข์กันไม่เป็น หาทางกลับบ้านเดิมก็ไม่ได้

    พี่ภูขอถามหน่อยนะว่า..
    ถ้าจิตบุญท่านใดท่านหนึ่ง ถ้าท่านรู้ตนเองว่าเป็นจิตดวงหนึ่งที่มาจุติ เกิดเป็นมนุษย์ คือ พระพุทธสิกขี พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เพราะดวงจิตของพระพุทธสิกขีนั้นมีชื่อซ้ำกันถึง ๕ พระองค์
    หนึ่งในจิตบุญของเรานั้น เป็นผู้ที่มีบุญญาธิการมาเกิด แต่ท่านนี้เป็นดวงจิตของพระพุทธสิกขีทศพลที่ ๓ ตั้งแต่ท่านรู้อาจจะนอนไม่หลับก็เป็นได้ แต่ถ้าอินทรีย์แก่กล้าจะต้องรู้และวางได้ ไม่มีปัญหา จงทำหน้าที่ของตนต่อไป เพราะเป็นผู้ที่ลงมาทำหน้าที่ของตนเอง ตรงนี้
    และมีจิตบุญอีกจำนวนหนึ่ง เป็นดวงจิตที่แยกออกมาจากพระมหาอัครสาวก
    ของพระพุทธเจ้า เรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องอจินไตย อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น

    ส่วนจิตบุญที่ไม่ยอมละฌาน/วิปัสสนา/ญาณ เดี๋ยวท่านก็จะได้อภิญญาโดยไม่ต้องฝึก ขอให้ท่านเข้าสู่ศูนย์กลางกาย หรือ เข้าถึงความว่าง ความละเอียดกันให้ได้ หรือ ผู้ที่สามารถละขันธ์๕อย่างเด็ดขาด เดี๋ยวจิตจะเข้าสู่ความเป็น อนัตตาของเขาเอง เมื่ออินทรีย์แก่กล้า จิตจะเป็นพุทธะ และนับต่อไปนี้ความสงสัย ความไม่รู้ของตนที่เมื่อแต่ก่อนไม่รู้จะไปถามใครๆ ต่อไปเมื่อจิตสามารถเข้าถึงคำว่า จิตพุทธะ คือจิตถึงธรรมตัวเดียวกันทั้งหมด โดยธรรมชาติ ต่อไปคุณก็จะพร่ำธรรมะได้อย่างนำไหลไฟดับ

    ***พระพุทธสิกขีทศพลที่ ๑ (สมเด็จองค์ปฐม) คือ พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระองค์แรกในโลก เมื่ออสงไขยนับไม่ถ้วนก่อนหน้าพระโคตมพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน
    พระพุทธสิกขีทศพลที่ 1 - วิกิพีเดีย

    ปล.แต่ถ้าใครนึกไม่ออกว่าเขาเข้าพระนิพพานกันยังไง
    ก็ขอให้นึกถึง ก่อนที่พวกเราจะอาบน้ำ เราต้องปลดหรือถอดเสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือยศออกจากร่างกายให้หมด เหลือแต่ตัวเปล่าๆ ใช่ไหม๊ นั่นแหล่ะ!
    แต่ถ้าจิตผู้ที่จะเข้าสู่พระนิพพานก็เหมือนกัน คือมันจะต้องละให้หมด
    โดยการเริ่มละสักกายทิฎฐิ หรือที่มีเห็นกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา ที่เรา(จิต)หลงไปยึดมั่นให้ได้กันเสียก่อน โดยการละหยาบ(รูป๑หรือร่างกาย) หรือละสังโยชน์เบื้องล่างให้ได้ก่อน
    ต่อไปถึงจะละความละเลียด(นาม๔หรือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) หรือ ละสังโยนช์เบื้องสูง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 พฤศจิกายน 2012
  10. เมธญา

    เมธญา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +1,584
    "จิตคิด จิตเกิด จิตไม่คิด จิตไม่เกิด
    จิตคิด จิตถูกทำลาย จิตไม่คิด จิตไม่ถูกทำลาย
    จิตปรุงแต่ง จิตถูกทำลาย จิตไม่ปรุงแต่ง จิตไม่ถูกทำลาย
    จิตแสวงหา จิตถูกทำลาย จิตไม่แสวงหาจิตไม่ถูกทำลาย
    จิตปรารถนา จิตถูกทำลาย จิตไม่มีความกำหนัด จิตไม่ถูกทำลาย"
    ========
    กราบหลวงปู่ดุลย์ค่ะ ธรรมะสวัสดี
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ปุจฉา-วิสัชนา
    คุณไปตลาดทำไม?
    ตอบ ไปซื้อของกิน ของใช้
    คุณไปวัดไปวาทำไม?
    ตอบ ไปทำบุญ
    และหน้าตาบุญมันเป็นยังไง มันเหมือนดอกบัว หรือว่า มะพร้าว?
    ตอบ ไม่ใช่ บุญคือความสบายใจ
    เมื่อได้ความสบายใจแล้ว ยังมีทุกข์หลงเหลืออีกมั๊ย?
    ตอบ มี
    อ๊าว! แต่ถ้ามีทุกข์จะทำยังไง?
    ตอบ ก็ไปทำบุญที่วัดกันใหม่
    ไปครั้งนี้ยังมีทุกข์อีกไหม๊?
    ตอบ มี
    อ๊าว แล้วจะไปทำไม๊อีก
    ตอบ ไปทำบุญ ไปเอาความสบายใจ
    สรุปว่ายังไงๆ ทุกข์ก็เกิดอยู่ใช่ไหม๊
    ตอบ ใช่

    และคุณรู้ไหม๊ว่า บุญ-บุญ สุข-ทุกข์ มันอยู่ที่ไหน?
    ตอบ ที่จิตใจ
    อ๊าว แล้วทำไมไปเอาบุญ ไปเอาความสบายใจกันที่วัดหล่ะ?
    ตอบ ก็ที่วัดมีบุญชั่วคราวและความสบายใจชั่วคราวให้กับเรา

    ถามใหม่ๆ ถ้าบอกว่าที่นี่มีบุญถาวร(ไม่ใช่ชื่อบริษัทรถทัวร์นะ ฮ่าๆ) และสุขใจนิรันดร คุณจะเอาไหม๊?
    ตอบ ใครไม่เอาก็โง่เต็มที

    พี่ภูจะแนะนำให้พวกคุณมาทำจิตเกาะพระกันที่นี่ไง๊!

    บุญถาวร+สุขนิรันดร์=จิตเกาะพระ

    ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเสียเงิน ไม่ต้องไปปฎิบัติที่วัด(ก็ได้ แต่ถ้าใครจะไปก็ตามใจ)
    (ภาษาสมมุติพูดลำบาก พูดมากผิดมาก คนที่ไม่พูดเลย ก็ไม่ผิด ขอประทานโทษโทษผู้ที่ติดรูป+นามสมมุติ ระวังให้ดีผู้ที่ไม่พาคนอื่นปฎิบัติ เอาแตาเพ่งโทษผู้อื่น ให้ไปอ่านธรรมะของหลวงพ่อเยอะๆหน่อย อย่าเอาธรรมไปสอนแต่คนอื่นเขา แต่คนอื่นมาสอนตนเองบ้างไม่ได้ มานะตนเองยังเอาออกไม่ได้เลย เอาออกได้ ต้องรอปัญญาตนเองเติบโตก่อน ธรรมะอันใดไม่ถูกจริต ก็ให้วางอุเบกขาไป ไม่ใช่วางไม่เป็น พวกเราอย่าไปยึดอะไร นอกจากพระรัตนตรัย ส่วนคุณพ่อคุณแม่ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ ก็ต้องยกย่องท่านอยู่แล้ว ผมก็บอกอยู่ทุกท่านอยู่แล้วว่า ถ้าผมสื่ออะไรผิดไป ก็ให้ทักท้วงซึ่งหน้า มิใช่ ไปพูดกับผู้อื่น นักเลงธรรมเขาพูดกันให้ถูกตัว นักมวยต้องวางให้ถูกคู่ ผมถึงไม่อยากเปิดกระทู้ก็เพราะอย่างนี้แหล่ะ มันหนีไม่พ้นโลกธรรมอยู่แล้ว ธรรมดาไปแล้ว ใครมีอะไรให้PMมาคุยกันโดยตรง มันจะมีอะไรมากมาย กระทู้นี้ผมตั้งเพื่อคนอื่น เพื่อท่านพ่อมิใช่มาหาชื่อเสียง หรือหาคนกราบไหว้หรือเคารพผมเลย มือไม่พาย เอา...ลาน้ำทำไม ช่วยสอนก็ไม่ช่วย ตอนนี้ผมรู้ตัวว่าผมกำลังทำหน้าที่อะไรอยู่ ส่วนใครจะมีหน้าที่แค่จับผิด ก็จับไป ผมไม่สนใจหรอก ผมแคร์เฉพาะลูกหลานท่านพ่อที่ตั้งใจไปนิพพานเท่านั้น ไม่มีผู้ใดถูกต้อง100%หรอก ขอให้ดูเจตนาผมดีกว่าว่าผมพยายามสื่อถึงอะไร พวกไปยึดสถานที่ ติดบัญญัติ แล้วจิตจะไปไหนไกล แต่ถ้าไกล ท่านก็คงไม่มายุ่งกับผมแน่ หรือคุณมีหน้าที่คอยจับผิดผมอย่างเดียว มีอะไรมาคุยกันตัวต่อตัวจะดีกว่า ไปแอบพูดกันที่อื่นผมจะไปรู้ไหม๊ ธรรมะแปลว่า ธรรมชาติ สอนแบบธรรมชาติ ถ้ากระทบผู้ใด ผมขออภัยด้วยก็แล้วกัน)

    รถก็ไม่ติด แฟนก็ไม่บ่น
    จิตเป็นสมาธิไว จิตทรงฌาณไว สติปัญญาเพิ่มพูน จิตเข้าวิปัสสนาเอง
    เจริญในจิตเจริญในธรรม ทางลัดตัดตรงเข้ามรรคผลนิพพานในชาตินี้เห็นๆ

    แต่ถ้าพวกคุณมีปัญญามาก แล้วจะพากันปฎิบัติจิตเกาะพระไหม?

    ปล. พี่ภูถาม-ตอบคนเดียว (สงสัยท่าจะบ้าแร๊ะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 พฤศจิกายน 2012
  12. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    อามิตาพุท สาธุ สาธุ..
    ท่านพี่กล่าวทุกถ้อยคำได้ชอบแล้ว ชอบแล้ว..
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เย้ดีใจๆ(กายนะกาย ไม่ใช่จิตดีใจ)
    ผมเป็นห่วงอยู่ท่านเดียว ก็คือ ครูลูกพลัง
    แหม๊ พี่ภูเทศน์เกือบจะ ๒๐ กัณฑ์ พึ่งจะมาapprove
    ไม่เหนื่อยไม่ท้อ สู้ตายๆ เพื่อท่านพ่อ
    เพราะได้มอบกายถวายชีวิตไปให้กับท่านพ่อหมดแล้ว ทั้งกายและจิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 พฤศจิกายน 2012
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีครับ ครู(ราชินี)แนทUK
    ยินดีต้อนรับสู่สุวรรณภูมิ ดินแดนแห่งจิตเกาะพระ ฮ่าๆ
    หลงวันหลงคืนหรืออิ่มอกอิ่มใจ อันไหนมีมากกว่ากัน
    โอ้โหสายบุญUK ยกตามหลังเธอไปเลยนะนั่น
    อะไรจะปานนั้น ที่แน่ๆญาติเธอมารอสัมมนาฯเพี๊ยบ! ห้ามตกใจนะะะ
    โมทนาสาธุๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 พฤศจิกายน 2012
  15. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    555..ไม่ช่ายอย่างน้านน.. ก็พรู๊ปทุกอันอยู่เลี้ยว..ในเมื่อเป็น"สัจจธรรม"..555

    แต่อีอันนี้เราตั้งใจที่จะhighlight & re-play again!
    สืบเนื่องมาจากเรื่องนี้มันเป็น"กิเลสละเอียดมาก" ดั่งครูอาวุโส2ท่านได้เคยเปรียบไว้คือ
    - ครูดัช:"จิตเรามันยิ่งใหญ่ขึ้นมากเท่าไร กิเลสมันก็ขยายตัวใหญ่ตามตัวมากขึ้นเท่านั้น"
    (ถ้าสติ/จิตของเรา มันไม่ใหญ่ไปกว่ากิเลสอันนั้นๆแล้ว..ไฉนเลยจะ"เอาอยู่?")
    - ครูวิทย์:"เมื่อทุบก้อนหินให้แหลกละเอียดเท่าใด กิเลสมันก็เป็นฝุ่นผงเท่านั้น"
    (ถ้าสติ/จิตของเรา จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน.. อันฝุ่นผงหรือกิเลสอันละเอียดแล้วไซร้.. ไฉนเลยจะ"เอาอยู่?")
    โดยรวมความคือว่า "ตั้งอยู่บนความประมาทเกินไป!" โดนกิเลสละเอียดมากๆเล่นงานแล้วก็ยัง"ไม่รู้ตัวอีก" เขาถึงเรียกว่า"หลง"หรือเป็น"อวิชชา" ซึ่งก็เป็นสังโยชน์ตัวสุดท้ายอันละเอียดอ่อนมากๆ จำเป็นต้องมี"สติ+สัมปชัญญะ" อย่างยิ่งยวด!หรือบางทีเขาก็เรียกกันว่า"มหาสติ" ถึงจะ"เอาอยู่"..

    ครั้นอันบุคคลได้"หลง"ไปในนิมิตแล้ว หามีสติได้เฉลียวใจหรือฉุกคิดหรือทบทวนหรือพิจารณาบ้างว่า"อันนิมิตที่รับรู้มา" แท้จริงแล้วมันคือ "นิมิตแท้" หรือ "อุปาทานนิมิต"
    หรือว่าโดน"อุปาทานนิมิต"อันเป็นอวิชชาเข้าครอบงำแล้ว แต่หารู้ตัวไม่ จึงได้นำไปอุปาทานสังขาราปรุงแต่งต่อยอดออกไป เลอะเทอะเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด (ยิ่งไปกว่านั้นคือ"ไม่รู้ตัว"และไม่ฟังใครอีกต่อไปแล้ว"มานะสังโยชน์มาแล้ว"เพราะหลงเชื่อในนิมิตแห่งตนเองจนเกินไป)
    นิมิตที่ได้รับรู้มา(นิมิตภาพ นิมิตเสียง/กลิ่น นิมิตผุดรู้) แม้นจะเป็นจริงหรือจะอุปาทานก็แล้วแต่ ก็แค่เพียงรู้-วาง เท่านั้นเป็นพอ..
    จิตบุญแต่ละท่านๆได้บำเพ็ญเพียรมาถึงขนาดนี้ แต่ถ้าดันไปหลงนิมิต บ้าอภิญญา โดนอวิชชาอันละเอียดมากๆเข้าครอบงำแบบไม่รู้ตัวแล้ว ก็ต้องถือว่า"น่าเสียดาย น่าเสียดาย" ดำรงตนอยู่บน"ความประมาท"มากเกินไป..
    ทั้งนี้..ที่พูดมามิได้หมายความว่า"อย่าไปฝึกฝน!" แต่เราหมายความว่าจงฝึกฝนไปพร้อมๆกับฝึกฝน"มหาสติ"ไปในตัวด้วย.. สาธุครับ

    ปล.
    ก็พอดีท่านพี่ภูเทศน์ขึ้นต้นมาให้ เราก็เลยhighlight & re-play ต่อซะเลย..ขอบคุณท่านพี่ครับ
     
  16. mooda94

    mooda94 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +299
    ขอถามหน่อยนะคะ อาการเริ่มหยุดหายใจเป็นช่วงๆ ใครมีประสบการณ์บ้างค่ะ
     
  17. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]

    ธรรมโอวาท - หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร


    จิตอยู่เหนืออารมณ์

    เหมือนเรืออยู่เหนือแม่น้ำ

    มันก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน

    จึงจำต้องฝึกอบรมตัวเองให้มีความอดทน
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ผมชื่อหน่อยครับ..อิอิ(อันนี้โม้)
    ถ้าบอกว่าพี่ภู เกรงว่าจะไม่ให้ตอบ
    คุณmooda94 เอ๊ย คราวหน้าพิมพ์เยอะๆหน่อยก็ได้ ไม่ใช่โทรเลข
    ที่นี่กระทู้ unlimited พิมพ์โดยไม่มีจำกัด
    ขอบตอบว่า เมื่อจิตเข้าถึงความละเอียด ลมหายใจก็ละเอียดตาม
    หรือ ลมหายใจจะเแผ่วเบามาก เพราะว่าถ้าจิตของคนเรานิ่งมากๆ
    เราก็เลยเข้าใจว่า ระบบการหายใจหยุดเป็นช่วงๆ แต่จริงๆแล้วระบบาการหายใจก็ทำงานของเขาเป็นปกติ แต่ถ้าจิตเราละเอียดมาก ยิ่งเราทรงฌานลึกมากเท่าใด ลมหายใจดูเหมือนจะหายไปเลย หรือเข้าใจว่าเราไม่ได้หายใจ หรือคิดว่าตนเองได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว
    เพราะว่าระบบประสาทระหว่างกายกับจิตในขณะที่ทรงฌานลึกๆ ตั้งแต่ฌาน๔ละเอียด อาการทางกายก็คือ อาการหูดับ ลมหายใจจะหายไปเลย
    อันนั้นผู้ปฎิบัติอย่าไปตกใจนะ เพราะพี่หน่อย เอ๊ย พี่ภูเคยเป็นมาแล้ว ตกใจนึกว่าตนเองตายไปแล้ว เพราะยกมือกายละเอียดขึ้นมาอังที่จมูก ปรากฎว่าลมหายใจไม่มี แต่จริงๆแล้ว ยังหายใจอยู่เหมือนเดิม อย่าไปสงสัย เวลาทรงฌานลึกมาก อย่าไปสงสัย ขอแค่สติตามดูห่างๆเท่านั้น เจออะไรก็รู้เท่าทันโดยการไม่หลงไปดูนิมิตต่าง
    อีกไม่นานนัก จิตเขาจะเลื่อนไปสู่ฌานสูงไปเรื่อยๆ เช่น จากฌาน๓ ไปฌาน๔ หรือจากฌาน๔ไปฌาน๕๖๗๘ไปเรื่อยๆ

    พอจะเข้าใจกันนะะะ ล่อซะคุ้มเลย เธอถามแค่บรรทัดเดียว
    พี่ภูตอบซะ๑๐บรรทัด ดีนะยังยั้งทัน...แต่ถ้าไม่เข้าใจถามมาใหม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 พฤศจิกายน 2012
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จิตเหนืออารมณ์ เป็นจิตโลกุตตระ
    จิตโลกุตตระ เป็นจิตเหนือโลก หรือ อนัตตา
    จิตอนัตตา เป็นจิตที่ว่างเปล่า
    เพราะฉะนั้นแล้ว กิเลส ทุกข์ สุข อารมณ์ต่างๆก็มีอยู่ที่ขันธ์ ๕ ทุกอย่าง
    เพียงแต่เฉยนิ่งรู้มีปัญญา หรือเป็นจิตที่ตื่น รู้ และเบิกบาน เท่านั้น
    เพราะจิตที่ฝึกฝนมาดีแล้ว ย่อมเป็นจิตที่ผ่านวิปัสสนามาแล้ว
    จนจิตเป็นวิปัสสนาญาณ หรือ ปัญญาญาณ หรือ ญาณ
    สรุปรวมความว่า จิตมันรู้แล้ว รู้อะไร จิตเขาไปรับรู้ตามความเป็นจริงทั้งหมดแล้ว ในขณะที่สติยังตามไม่ทันจิต หรือผู้ที่ปฎิบัติงงๆและก็งงๆอยู่กันน่ะ
    จิตวิปัสสนาอัตโนมัดไปเรียบร้อย

    เราหรือสติเราไม่สามารถจะไปบังคับจิตให้เขารู้หรือไม่ให้รู้ หรือไม่มีอะไรไปบังคับจิตของตนเองได้ (จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว)
    สรุปแล้วจิตที่อยู่กับตนเองก็บังคับไม่ได้ หรือจิตผู้อื่นก็บังคับไม่ได้ เช่นเดียวกัน
    บางท่านบอกว่าเอาธรรมะเข้าข่มอันนี้ยิ่งเสียหายไปกันใหญ่ เพราะทำแบบนั้น
    จิตเขาก็ยิ่งแอนตี้หรือเกลียดเข้าไปใหญ่
    การปฎิบัติธรรม หรือ การเจริญสติภาวนานั้น เราเองก็จะต้องมองหาจุดความพอดีให้ดี
    แต่ถ้าเป็นรถก็ต้องศูนย์ถ่วงล้อ นั่นเอง
    ทำไปๆ เดี๋ยวก็รู้ เหมือนถามว่า เมื่อไหร่เราจึงจะมีปัญญา หรือภูมิธรรม ภูมิปัญญามากแบบเขา หรือเห็นโน้นนี่เหมือนเขา หรือเมื่อไหร่จะได้อภิญญากับเขาบ้าง
    ไม่มีทางถ้าตราบเรายังคิด ยังอยากอยู่ เพราะนั่นกิเลสกำลังไปรบกวนจิตตนเองมิให้นิ่ง หรือเสมือนนิวรณ์ ๕ กำลังขวางกั้นการปฎิบัติดี ผลก็คือ จิตจะไม่มีทางสงบ
    เมื่อจิตไม่สงบ จิตก็จะไม่นิ่ง ถ้าจิตไม่นิ่ง จิตก็ไม่ทรงฌานอย่างแน่นอน
    สำหรับปัญญษก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะปัญญา(ทางธรรม)
    ที่แท้ก็อยู่หลัง คำว่า สมาธิ



     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤศจิกายน 2012
  20. mooda94

    mooda94 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +299
    พอเข้าใจค่ะ ถ้ามีอาการอย่างอื่นเกิดขึ้นจะมาถามพี่หน่อย..เอ้ยพี่ภู ให้ยาวกว่านี้
    ขอบคุณมากค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...